“เค้ามองแกเพราะแกน่ารักมั้ง”

 

เกดว่าขณะที่หยิบสมุดวาดรูปฉันไปเปิดเล่น

 

“แกหน้าตาน่ารัก เป็นผู้หญิงที่มีส่วนผสมของหลิวอี้เฟยกับคิมโกอึนใน cheese in the trap แต่แกขาวไม่ได้ครึ่งเท่าที่ฉันยกตัวอย่างมา”

 

“ก็กูคนไทย”

 

เกดมู่ปาก “แกบอกว่าเค้าหน้าคล้ายตัวละครในเกม หล่อกว่าพี่เบียร์ป่ะ?” พี่เบียร์คือเดือนคณะฉัน ..ไม่ใช่เดือนคณะทุกคนที่จะเป็นที่ต้องตาต้องใจบรรดาสาวๆ ในมหาวิทยาลัย แต่พี่เบียร์ข้ามขั้น.. ระดับความหน้าตาดีกินขาด มติเอกฉันท์ว่าเขาหน้าตาดีธรรมชาติให้มา เขาเป็นผู้ชายที่เหมือนหลุดออกมาจากหนุ่มป๊อปในหนังสือการ์ตูน

 

ใบหน้าหล่อคม ผิวขาวจัด ยิ้มสวย ดูหล่อแบบคลีนๆ ร่างกายสูงใหญ่มีมัดกล้ามพอประมาณ ..เคยเห็นเขาลงแข่งกีฬา พี่เบียร์ขโมยทุกความสนใจของผู้หญิงเกินครึ่งค่อนสนาม

 

นอกจากรูปร่างหน้าตาดี บ้านก็ยังรวย.. ฉันไม่รู้ว่ารวยระดับไหน แต่จากที่ฟังเขาเล่าต่อๆ กันมา แล้วก็รถสปอร์ตที่มาจอดที่คณะ ..คงรวยมากแน่นอน

 

“พี่เบียร์หล่อกว่าว่ะ หล่อออร่ากว่า”

 

สมมติถ้าหนุ่มสตีฟเดินคู่มากับพี่เบียร์ จะโดนออร่าพี่เบียร์กลบไปประมาณ 60%

 

“โหว พูดถึงก็มา..” สายตาของเกดไปหยุดตรงที่ผู้ชายที่เดินขึ้นบันได ฉันเอี่ยวตัวไปมอง พี่เบียร์เดินขึ้นมาพอดี แขนข้างหนึ่งสะพายกระเป๋า ใบหน้าคมยิ้มแย้ม ฉันมองเห็นออร่าวิ้งๆ เปล่งประกาย

 

สมมติถ้าอยู่ในเรื่อง F4 ..พี่เบียร์ได้อยู่กลุ่ม F4 แน่นอน

 

“ตายยากแหง..” เกดว่า พูดปุ๊บมาปั๊บ ฉันมองตามกลุ่มพี่เบียร์ที่เดินห่างจากโต๊ะที่ฉันกับเกดนั่ง ..ใบหน้าหล่อคมของพี่เบียร์หันมาทิศทางโต๊ะของพวกฉัน แล้วพี่เบียร์ก็ขยิบตาให้พวกฉันทีหนึ่ง

 

“เฮ้ย ..พี่เค้าขยิบตาให้พวกเราว่ะ”

 

“ให้แกคนเดียวดิ” เกดเน้นเสียง ฉันกะพริบตาปริบๆ เกดขยายความให้ฟัง “..อย่างพี่เบียร์อ่ะนะหยอกแต่สาวสวยๆ น่ารัก แกเองก็เป็นไทป์แบบที่พี่แกชอบ ขาวๆ หน้าอินเตอร์ อย่างฉันดำๆ หน้าใกล้เคียงกับนุ่น ศิริพันธ์ ไม่ใช่ไทป์พี่แกว่ะ” เกดเป็นสาวผิวสีน้ำผึ้ง หน้าคมแบบฉบับสาวไทย เบ้าหน้าจัดว่าดูดี แต่ไม่ใช่สเปกผู้ชายไทยส่วนใหญ่

 

“ญู เมื่อก่อนตอนปีหนึ่งน่ะ แกอ่ะคล้ำเพราะรับน้องตากแดด ผิวเสีย หน้าก็แพ้น้ำ สิวขึ้นเต็ม โทรมสัสๆ .. พวกผู้ชายในคณะเลยไม่แลไง พอมาตอนนี้สิวหาย หน้าใส ขาวขึ้น ..พวกผู้ชายเลยเบิกตามองบ้าง”

 

นึกย้อนไปเมื่อฉันเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ สภาพฉันโทรมจริงๆ นั่นแหละ ผิวแพ้น้ำจนสิวขึ้น (สันนิษฐานว่าน่าจะแพ้สีที่พวกพี่ๆ เอามาป้ายหน้าด้วย) สภาพหนังหน้าแทบดูไม่ได้ คุณนึกภาพหน้าผู้หญิงขาวๆ ที่แก้ม หน้าผาก คาง จมูก มีสิวผดสิวอักเสบแดงๆ สิวหัวหนองขาวๆ ต้องแบกสภาพหน้าอย่างงี้ไปเรียน แล้วก็ไม่มีเวลาดูแลตัวเองเพราะต้องใช้เวลาปรับตัวกับชีวิตมหาลัยหนัก ไหนจะรับน้องไหนจะปั่นงาน..

 

กว่าจะมีเวลาว่างไปหาหมอสิวได้ ..กว่าจะรักษาหน้าให้กลับมาใสได้ ก็หมดเป็นหมื่นๆ ..

 

หมอให้กินยาที่มีฤทธิ์ที่ทำให้ปากแห้ง ฉันเลยติดนิสัยชอบลอกหนังปากตั้งแต่นั้นมา..

 

 

 

 

 

 

+++

 

 

 

 

 

เป็นอีกครั้งที่ฉันเจอพ่อหนุ่มสตีฟ

 

วันนี้มีเรียนแค่คาบเดียว หลังจากกินข้าวเที่ยงกับเกดเสร็จฉันก็จะชอบมานั่งขาดเวลาในร้านคาเฟ่ไก่กา ฉันชอบนั่งคนเดียว นั่งดื่มกาแฟกินขนม ใช้สมาธิจดจ่อกับการวาดรูปลงในสมุดสเกต ซึ่งเกดก็เข้าใจความโลกส่วนตัวสูงของฉันดี

 

วันนี้สตีฟก็ยังคงนั่งที่โต๊ะตัวเดิม ตำแหน่งเดิม

 

ฉันเดินไปสั่งกาแฟที่เคาน์เตอร์ “พี่หยี วันนี้ญูเอาเอสเปรสโซ่ปั่น แล้วก็ช็อกโกบอล” ช็อกโกบอลของพี่ลูกหยีขนาดใหญ่พอๆ กับลูกปิงปอง

 

ฉันเลือกไปนั่งที่โต๊ะที่อยู่ห่างโต๊ะของผู้ชายคนนั้นไม่เท่าไหร่ คราวนี้เลือกนั่งฝั่งที่เห็นหน้าเขาได้ถนัดถนี่

 

พี่หยีเอากาแฟกับของหวานมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ฉันใช้ส้อมตัดแบ่งช็อกโกบอลเป็น 2 ซีกแล้วก็จิ้มซีกหนึ่งเข้าไปในปาก

 

รสขมปนรสหวาน เคี้ยวหนึบๆ ลิ้นเลียที่ริมฝีปาก.. ริมฝีปากที่เริ่มแห้ง หนังปากเริ่มจับตัวเป็นแผ่น

 

ฉันลอกหนังปากด้วยความเคยชิน เป็นพฤติกรรมที่ห้ามไม่ได้ พอๆ กับห้ามเด็กทารกดูดนิ้ว

 

“?”

 

ตาของเขาจับจ้องมาทางฉัน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น คิ้วของเขาเริ่มขมวดมุ่น..

 

ฉันเลียริมฝีปาก รสเลือดปนกับรสช็อกโกแลต ศีรษะของหนุ่มสตีฟสะบัดหนีไปอีกทาง เขาหยิบหูฟังมาสวม มือทั้งสองที่วางบนโต๊ะประสานเข้าหากัน ฉันเห็นเส้นเลือดปูดโปนที่ข้อแขนและหลังมือ

 

..เกร็งอะไรวะ?

 

ฉันกางสมุด ใช้ดินสอร่างภาพช็อกโกบอลกับกาแฟ ตาเหล่มองผู้ชายที่นั่งจิกมือตัวเองเป็นระยะๆ

 

ทำท่าเหมือนคนอั้นขี้

 

ฉันหยิบพู่กันแทงค์ เทน้ำเปล่าใส่กระบอกพู่กัน น้ำเปล่านี่พี่ลูกหยีแถมให้ฟรี

 

ระหว่างที่นั่งละเลงสี ฉันเลียริมฝีปากอีกครั้ง แล้วก็พบว่าเลือดมันหยุดไหลไปแล้ว

 

“…”

 

ฉันได้ยินเสียงถอนหายใจของผู้ชายคนนั้น ..หายใจเหมือนโล่งอกอะไรสักอย่าง ดวงตาสีเขียวของเขามองมาที่ฉัน ..เหมือนฉันเป็นตัวปัญหาอะไรสักอย่าง

 

ฟุบ

 

จู่ๆ เขาก็ลุกพรวดขึ้น เดินผ่านฉันเดินออกจากร้านไป พี่ลูกหยีตกใจ “ขอบคุณนะค่า~~” ตะโกนไล่หลังราวกับว่าตัวเองเป็นพนักงานยูนิโคล่

 

พี่ลูกหยีเดินมาเก็บแก้วที่โต๊ะของชายคนนั้น “โหย ยังเหลือตั้งเยอะ”

 

“ทำไมเหรอพี่หยี?”

 

พี่ลูกหยียกแก้วกาแฟขึ้นมา “กาแฟที่ลูกค้าคนนั้นสั่ง พร่องไปแค่นิดเดียวเอง ..พี่เสียดาย”

 

“แล้วเขานั่งนานรึยังพี่”

 

“ก่อนที่น้องญูจะมาเกือบครึ่งชั่วโมง” พอเธอมานั่งได้สักพักก็ลุกออกไป “ปกติเค้าดื่มหมด แต่ว่าวันนี้มาแปลก.. จิบไปนิดเดียวเอง”

 

“…”

 

“ปกติเค้ามานั่งร้านพี่บ่อยมั้ย?” ฉันถาม เกิดความสงสัยในตัวผู้ชายคนนี้เป็นพิเศษ

 

พี่ลูกหยีมองหน้าฉันอย่างประหลาดใจ “ก็บ่อยนะ มาทุกบ่ายทุกวัน มาบ่อยกว่าน้องญู” ฉึก.. รู้สึกเหมือนโดนลูกศรแทงใส่ “พี่ถามเขาว่าเรียนคณะอะไร เขาก็บอกว่าไม่ได้เรียน เขาเรียนจบตั้งนานแล้ว เพิ่งย้ายมาจากอังกฤษ ย้ายมาอยู่กับญาติ ญาติเขาอยู่แถวนี้ ทำหอพักนักศึกษา หอริเวนเดลล์

 

ฉันรู้จักริเวนเดลล์ หออยู่ฝั่งเดียวกับหอที่ฉันอยู่ ริเวลเดลล์ค่าเช่าต่อเดือนราคาแรงพอสมควร ที่มีจอดรถกว้างขวาง หอพักของฉันมีแต่ที่ให้จอดมอเตอร์ไซต์

 

..ถ้าอยู่ริเวนเดลล์ ก็ห่างจากหอพักฉันไม่กี่เมตร..

 

“น้องญูถามพี่เรื่องนี้ น้องญูสนใจผู้ชายคนนั้นเหรอ ~” พี่หยีทำเสียงเจ้าเล่ห์ หน้าตาเหมือนป้าๆ ในละครที่ขี้เสือก ส่วนฉันพยักหน้ายอมรับตรงๆ

 

“ญูก็สนใจจริงๆ แหละ หน้าเ-าเหมือนตัวละครในเกมที่อยู่ชอบ” ถ้าไปคอสเพลย์ล่ะก็ แต่งขึ้นมากแน่ๆ

 

 

 

 

+++

 

 

 

 

 

 

[ญู 2 ทุ่มเจอกันที่คณะ]

 

 

 

ฉันหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดผมเปียกๆ ของตัวเอง เพิ่งอาบน้ำเสร็จ โน้มตัวลงดูที่หน้าจอ Macbook Pro ในเฟสมีแชทเด้งขึ้น ยัยเกดส่งข้อความมาพอดี

 

พวกเพื่อนๆ ในสาขามักจะแห่กันไปทำงานที่คณะ เพราะงานที่ไอเดียมักจะแล่นตอนกลางคืน มีเพื่อนอยู่กันเยอะๆ ช่วยให้ทำงานสนุกแล้วก็ง่วงนอนยาก ..ที่สำคัญผลาญค่าไฟได้

 

ฉันพิมพ์ตอบกลับ [จ้า ..เลทนิดๆ นะ]

 

ฉันหยิบเสื้อยืดลายการ์ตูนที่สั่งซื้อจากเน็ตมาใส่ กับกางเกงยูนิโคล่ขาสั้นเหนือเข่าประมาณหนึ่งคืบ หยิบ Macbook Pro ใส่กระเป๋า ตามด้วยกระเป๋าสะพายนารายา

 

ก่อนจะไปคณะฉันต้องแวะไปร้านเช่าการ์ตูนใกล้ๆ หอก่อน

 

ร้านเช่าการ์ตูนพี่แม้น เป็นร้านเช่าที่มีหนังสือเยอะที่สุด ห้องก็เป็นห้องแอร์ เดินเลือกหนังสือได้สบาย แต่เสียอย่างเดียว..

 

“อ้าว น้อง~”

 

เจ้าของร้านขี้หม้อไปหน่อย

 

ชายวัยสามสิบต้นๆ ร่างอวบระยะสุดท้าย ใส่แว่นหน้าเตอะ ปลายจมูกมันแผล็บ รูขุมขนขนาดกว้างและมีสิวหัวดำ ..เห็นแล้วฉันอยากจะเอาที่แปะจมูกลอกสิวเสี้ยนมาให้พี่เขาใช้

 

‘พี่แม้น’ เป็นเจ้าของร้านการ์ตูนแห่งนี้

 

“วันนี้เรื่องนี้น้องชอบอ่าน เล่มใหม่มาแล้วนะ” พูดจาเสียงหวานจ๋อย

 

“อ๋อค่ะๆ ”

 

ฉันเดินไปหยิบการ์ตูนแผง การ์ตูนเรื่อง “แวมไพร์ร้ายทะลายรัก” เล่ม 3 มาพอดี

 

จากนั้นฉันก็หลบไปหาการ์ตูนเล่มอื่น หลบให้พ้นจากสายตาพี่แม้น.. หลบรังสีความขี้หม้อของเขา

 

ตอนที่ฉันย้ายหอมาใหม่ เข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ หน้าแพ้น้ำ ผิวแย่ สิวเขรอะ พี่แม้น.. เจ้าของผู้มีความสองมาตรฐาน (..และคงหลายมาตรฐาน) เลือกปฏิบัติระหว่างนักศึกษาผู้หญิงหน้าตาดีกับหน้าตาบ้านๆ จนถึงขี้เหร่..

 

พี่แม้นบริการลูกค้าเข้าร้าน ตามมาตรฐานของพนักงานในร้านหนังสือทั่วไปพึงกระทำ แม้จะมีหงุดหงิดใส่เหวี่ยงใส่ลูกค้าอยู่บ้าง ..โดยเฉพาะที่ลูกค้าเบ้าหน้าไม่ตรงสเปกพี่แก..

 

รุ่นพี่ในคณะของฉันเคยมาที่ร้านเช่านี้.. ‘พี่จิ๊บ’ พี่จิ๊บเป็นอดีตดาวคณะ ผิวขาวตามแบบลูกคนไทยเชื้อสายจีน หน้าหมวยๆ จัดว่าเป็นมนุษย์หน้าตาดีที่ขาวตรงสเปกพี่แม้น

 

ทันทีที่ฉันกับพี่จิ๊บเดินเข้ามาในร้าน สายตาพี่แม้นก็มาหยุดตรงที่พี่จิ๊บ พูดจากับฉันอีกเสียงหนึ่ง ส่วนกับพี่จิ๊บ ..เสียงสอง

 

‘น้องชื่อจิ๊บเหรอ โฮ๊ะชื่อน่ารักเนอะ อยากได้เรื่องไรล่ะ เดี๋ยวพี่หาให้ ~’ เสนอตัวบริการเยี่ยงแขก VIP

 

พอพี่แม้นแสดงอาการหม้อออกหน้าออกตา พี่จิ๊บเลยพาแฟนมาที่ร้านการ์ตูน (ขรรม) พี่แม้นเลยหุบปากเงียบ พึงปฏิบัติกับพี่จิ๊บในฐานะลูกธรรมดาทั่วไป

 

และตอนนี้มาเป็นฉันแทน

 

เนื่องจากพอขึ้นปี 2 ฉันมีเวลาดูแลตัวเองมากขึ้น ไปรักษาสิว หน้ากลับมาเนียนใส ขาวขึ้น พี่แม้นผู้เลือกปฏิบัติกับหนังหน้าคน ก็เลยพูดจาดีเสียงสองกับฉันมากขึ้น

 

เอองี้เนอะ.. ผู้ชายยยยยยยยยยยยยยยย

 

 

 

 

 

 

++++

 

 

 

 

พอเช่าการ์ตูนเสร็จฉันก็เดินมาที่จอดรถของหอ เจอลุงยามนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกเอ่ยทัก ลุงยามที่ฉันไม่รู้จักชื่อ แต่ลุงแกทักฉันบ่อยเหลือเกิน “จะออกไปไหน?”

 

“ไปคณะค่า ~” ฉันคล้องถุงพลาสติกกับหูที่อยู่ข้างหน้า จัดการเสียบกุญแจสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ขับออกไป

 

มอเตอร์ไซค์ของฉันขับผ่านตึกหอพักริเวนเดลล์ ตึกสีเทาอมม่วงสูง 6 ชั้น ฉันมองยอดตึกที่ตัดกับภาพทิวทัศน์ตอนกลางคืน ..วันนี้พระจันทร์เต็มดวง..

 

พระจันทร์เต็มดวง ..ก็ต้องมีมนุษย์หมาป่า ~

 

ฉันคิดเพ้อฝันไปเรื่อยๆ แต่งเติมความแฟนตาซีให้กับชีวิต เหมือนกับแทค #โอ้โหแฟนตาซี ในทวิตเตอร์ บางครั้งฉันก็มโนภาพในหัวบ่อยๆ ว่า อยากให้โลกนี้มีมนุษย์หมาป่า แวมไพร์ พวกเทพสัตว์ในนิยาย ฯลฯ ชีวิตที่พบปะกับความแฟนตาซีทุกวัน คงดีไม่น้อย..

 

รถมอเตอร์ไซค์เลี้ยวเข้าไปในคณะ ..คณะศิลปกรรมศาสตร์.. คณะที่ประชากรในมอ (ย่อมาจากมหาลัย) น้อยที่สุด และอยู่ในดงป่าไม้พงไพรมากที่สุด

 

ต้นไม้ต้นเล็กต้นใหญ่โอบล้อมคณะของฉันไว้ ในขณะที่คณะอื่นตั้งอยู่ติดกับถนน อยู่ในที่ที่สว่าง ที่ที่คนสังเกตเห็นง่าย แต่คณะของฉันกลับเหมือนกับอาศรมของฤๅษีที่ต้องซ่อนในป่าลึก ..ถ้าโดนคนดักปล้นตอนกลางคืน ก็จะไม่แปลกใจเลย

 

แสงไฟที่เปิดในคณะทำให้ทุกอย่างดูสว่างๆ เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่าพวกนักศึกษาชอบทำงานกันตอนกลางคืน อาจารย์สั่งงานตอนเช้าตอนกลางวัน ..มีเวลาว่างมากมายก็ไม่ทำ จะแอคทีฟก็ต่อเมื่ออาทิตย์ตกดิน..

 

ตะวันตกดินไม่พอ ต้องเป็นคืนวันที่พรุ่งนี้จะส่งงานด้วย..

 

 

 

จอดมอเตอร์ไซต์เสร็จเรียบร้อย ฉันก็เดินเข้าคณะขึ้นบันไดไปชั้นสอง แสงไฟจากห้องทำงานเล็ดลอดออกมาจากช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ บนประตู

 

“มาแล้วจ้า ~”

 

“อีญูมาๆๆ”

 

เพื่อนห้าคนนั่งอยู่ในห้อง เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ฉันหาที่นั่งว่างๆ ที่ใกล้กับปลั๊กไฟ เปิด Mac book เปิดโปรแกรม หยิบเมาท์ปากกาออกมา

 

“ญู ยืมตูนอ่านหน่อยดิ” ซันนี่ เพื่อนชายใจหญิงของฉัน ฉันยังไม่ทันได้เอ่ยปากอนุญาต อีคุณซันนี่ก็จัดการดึงถุงหนังสือการ์ตูนฉันไป

 

“แวมไพร์เล่มสามมมมมม “ซันนี่แทบกรี๊ด แวมไพร์ร้ายแวมไพร์รักเป็นการ์ตูนผู้หญิงที่กำลังฮิตช่วงนี้ ภาพสวยมีเอกลักษณ์ เนื้อเรื่องก็ปวดตับนิดโหน่ย..

 

เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า นางเอกจับได้ว่าแฟนที่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมแอบคบชู้กับเพื่อนสนิท ด้วยความโมโหนางเอกเลยเข้าไปตบหน้าเพื่อนสนิทของตัวเอง แล้วโดนแฟนหนุ่มตบหน้ากลับ (พลั้งมือ) แฟนหนุ่มกับเพื่อนของนางก็พากันหนีไป ส่วนนางเอกโดนตบเลือดกบปาก เดินเอ๋อๆ เหม่อลอยไป กลิ่นเลือดที่ปากโชยจนไปล่อแวมไพร์ตัวประกอบตัวหนึ่งออกมา

 

แวมไพร์จะทำร้ายนางเอก แต่โดนพระเอกมาขวาง พระเอกก็เป็นแวมไพร์เหมือนกัน แต่เป็นฝ่ายดี พระเอกทำร้ายแวมไพร์นั่นจนมันหนีไป แล้วก็จัดการเทศนานางเอก

 

นางเอกยืนเอ๋อๆ มึนๆ ยังช็อกที่รู้ว่าโลกนี้มีแวมไพร์อยู่ (โอ้! ความแฟนตาซี) พระเอกใช้นิ้วเช็ดเลือดที่กลบปากนางเอก แล้วเอานิ้วมาดูด (ฉากนั้นเซ็กซี่สาสสส) แล้วก็เตือนนางเอก อย่าเดินทะเล่อทะล่า โดยที่ปากยังเปื้อนเลือดอย่างงี้อีก

 

จากนั้นก็มีเหตุให้นางเอกพบกับพระเอกเรื่อยๆ มีเหตุให้นางเอกเสียเลือดเป็นระยะๆ ..

 

ฉันอ่านเจอในเว็บออนไลน์ จากนั้นก็มีสำนักพิมพ์ในไทยประกาศ LC ฉันนับวันรอเช่าอ่านอย่างใจจดใจจ่อ พอเช่ามาอ่านพวกเพื่อนก็ยืมไปอ่านกัน ติดเรื่องนี้เหมือนกัน ฉันรู้สึกอิ่มเอมเหมือนได้เป็นผู้เผยแพร่ลัทธิ

 

 

 

 

“หาว ~”

 

ทำงานไปได้ครึ่งทาง เกดที่นั่งฝั่งตรงข้ามฉันก็นั่งบิดขี้เกียจ ถึงในห้องจะเปิดเพลงเกาหลีจังหวะชวนให้ลุกขึ้นมาเต้น แต่ก็ไม่ช่วยไล่ความง่วงออกไปจากตัวเลยสักกะนิด

 

“ญู ไปเซเว่นมั้ย? ร่างกายต้องการคาเฟอีน”

 

“ไปดิ”

 

ฉันตามเกดไปที่จอดรถของคณะ นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของเกด ระหว่างนั้นหางตาเหลือบเห็นชายหญิงคู่นั้นกำลังนั่งคุยที่บันไดของคณะ

 

“พี่เบียร์กับสาวที่ไหน?” เกดว่า ผู้หญิงที่นั่งคุยกับพี่เบียร์ใส่ชุดนักศึกษารัดรูป กระโปรงทรงเอเหนือเข่ามาสองคืบ ..อีกนิดก็จะสะหมีเหอ (ผวน) บล็อกหน้าแบบเดียวกับพริตตี้ศัลยกรรมทั่วไป ที่เด่นโคตรๆ คือความขาวระดับเดียวกับเด็กผีในจูออน

 

ไม่ได้พูดเวอร์ค่ะ พูดจริง

 

“คณะอื่นมั้ง..”

 

ลมหนาวกระทบหน้าฉันจนต้องหรี่ตา ขับมอเตอร์ไซค์ตอนเที่ยงคืนฝ่าลมหนาวเป็นอะไรที่… สุดๆ

 

“สาวไม่ซ้ำเลยว่ะ พี่เบียร์เนี่ย” เกดบิดคันเร่งมอเตอร์ไซค๋ “ไปให้สุดแล้วหยุดที่เอดส์”

 

รถจอดอยู่ที่หน้าเซเว่น เซเว่นที่ติดกับโรงอาหาร แสงไฟหน้าร้านทำให้พื้นที่โดยรอบดูสว่าง ตัดกับต้นไม้ดำมืดที่อยู่บริเวณใกล้เคียง

 

“เท่งทึงหายไปไหนอ่า?”

 

เท่งทึง คือ หมาสามสีหน้าประตูเซเว่นที่เกดตั้งชื่อให้ (ดูมันตั้ง..) หมาเซเว่นมักจะได้รับความเอ็นดูเป็นพิเศษจากพวกนักศึกษา เกดชอบซื้ออาหารหมาในเซเว่นมาให้มันกิน เวลาเกดโผล่มา เจ้าเท่งทึงก็จะสะบัดหางเดินเข้ามาหา

 

“คงเบื่อเฝ้าประตูเซเว่นแล้วมั้ง คงหาเรื่องออกแรด~”

 

“แรดบ้านแกดิ เท่งทึงงงงง อยู่ไหนลูกกกก”

 

“เอาเวลาถามหาหมาไปซื้อกาแฟดีกว่าเพื่อน” ฉันเดินเข้าเซเว่นโดยไม่รอเกด เสียงออดดังที่ประตูเลื่อน

 

“?”

 

เห็นคนที่ไม่คาดคิด เขากำลังต่อแถวรอคิดเงินที่เคาน์เตอร์ เส้นผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิง ข้างบนชี้โด่ชี้เด่เหมือนรังนก ร่างสูงอยู่ในชุดเสื้อยืดกับกางเกงนอนขาวยาว

 

หนุ่มสตีฟ

 

ฉันกะพริบตาปริบๆ ในมือของสตีฟมีขวดสบู่ขนาดเล็ก แป้งเย็นกลิ่นผู้ชาย แววตาของสตีฟก็ดูประหลาดใจที่เจอฉันเช่นกัน

 

โอเค เราต่างจำกันได้.. ว่าเคยเจอกัน

 

ฉันเดินไปที่ตู้เครื่องดื่ม หยิบชาฟูจิ กาแฟกระป๋องยี่ห้อที่อาจารย์บอกว่าดื่มแล้วดีดๆ (ตาสว่าง) จากนั้นก็ไปฝั่งขนม หยิบคิทแคท พวกขนมช็อกโกแลต ของโปรด.. พวกเลย์ขนมกรุบกรอบเป็นอะไรที่ฉันไม่ค่อยชอบ กินแล้วหิวน้ำบ่อย

 

เดินไปฝั่งเครื่องสำอาง พวกของใช้ที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประตู ..สบู่กลิ่นใหม่ออก ลิปมันออกสูตรใหม่ ฝาชมพูเป็นหลอดเอาไว้บีบทาปาก

 

“ลิปมันยี่ห้อนั้นใช้ดีนะ” เสียงทุ้มๆ เนิบๆ ทำให้ฉันหันขวับ

 

เจ้าของเสียงยืนห่างอยู่คืบหนึ่ง ใบหน้าของสตีฟ ..ใกล้สุดตั้งแต่ได้เจอหน้ากัน ในมือของเขาถือถุงเซเว่น

 

เอ๊ะ พูดกับกูใช่มั้ยวะ?

 

ที่ตรงนี้มีแค่เขากับฉัน โอเค นายพูดกับเรา..

 

“..เหรอ อ๋อๆ” พยักหน้าแบบเด๋อๆ ด๋าๆ สมองยังมึนเรียบเรียงระบบความคิดไม่ทัน

 

นัยน์ตาสีเข้มของเขามองที่ปากของฉัน ปากของฉันยังคงขุยๆ

 

“อย่าปล่อยให้ปากแห้งแบบนั้น” พูดจบเป็นเกดหมายเลข 2 แล้วก็จากไป

 

ฉันยืนเอ๋อ เอานิ้วลูบริมฝีปากของตัวเอง ..ปากกู ปากกู มันแห้งกรังเป็นพื้นดินแล้งน้ำแตกระแหงขนาดเชียวเหรอวะ?

 

“เขาเป็นใครวะ? ทำไมถึงมาคุยกับแก” ฉันรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเกด ในมือเกดมีแก้วกาแฟพลาสติกกับซองปลาหมึกแห้ง

 

ฉันส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ มาทักเรื่องปากเราอ่ะ บอกว่าอย่าปล่อยให้ปากแห้งแบบนั้น”

 

เกดมองปากของฉัน จากนั้นก็พยักหน้า.. “เขาพูดถูกว่ะ”

 

 

 

สึส..