วันที่ 6 สัปดาห์ราตรีกาล ในรอบดวงดาวที่ 5

 

แต่ละวันของสัปดาห์ราตรีกาลมักจะมีกิจกรรมสันทนาการในพื้นที่สาธารณะ เพื่อบรรเทาความรู้สึกด้านลบ อันเป็นผลกระทบจากสภาพแวดล้อม

แต่เพราะพายุฝนกินเวลาถึง 5 วัน ทำให้กิจกรรมกลางแจ้งเกือบทั้งหมดของเมืองถูกยกเลิก เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และถูกทดแทนด้วยรายการชื่อดังเป็นการปลอบใจ

เดิมทีนาร์เมอร์มีกำหนดการเที่ยวชมทะเลในเมืองติดชายฝั่งประมาณสองวันก่อนจะถึงสัปดาห์ละอองดาว แต่ที่นั่นดันกลายเป็นเขตอันตรายก่อนที่เขาจะก้าวเท้าออกจากบ้านเพียงสองชั่วโมง เพราะมีคนร้ายฉวยโอกาสก่อเหตุโดยอาศัยคุณสมบัติของหลุมดำ ทำให้มีผู้สูญหายและได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง

ลุตต์ เฮล์ม เพื่อนสนิทขี้เซาที่เพิ่งกลับมาพักผ่อนได้สองวัน เด้งตัวขึ้นจากโซฟาราวกับถูกสาดน้ำร้อนใส่ คงเพราะแม่อยู่เมืองท่าที่ติดกัน เขาจึงเป็นห่วงจนถึงขั้นทำหน้าตาตื่น นาร์เมอร์วางมือบนหัวไหล่อีกฝ่าย กระซิบเสียงเบาให้ติดต่อหัวหน้าทีม ลุตต์จึงได้สติเดินขึ้นห้อง

แม้กฏของบ้านจะเป็นการไม่พูดถึงเรื่องงาน ด้วยเหตุผลที่รู้กันดี แต่เรื่องคราวนี้ถือเป็นหนึ่งในกรณียกเว้น

ชายหนุ่มเพ่งมองรายงานข่าวด้วยความรู้สึกหนักใจ เขาโยนกระเป๋าลงข้างตัว หมดอารมณ์เที่ยวอย่างสิ้นเชิง

ระหว่างนั้นมีเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นหน้าประตูบ้าน ตามมาด้วยเสียงแจ้งเตือนว่ามีคนแสกนเปิดประตู และมีเสียงแกร๊กดังขึ้นเบา ๆ

หญิงสาวในชุดเดรสรัดรูปสำหรับออกงานสังคมปรากฏตัวเป็นคนแรก แขนคล้องกระเป๋าค้ำตู้เก็บรองเท้า ขณะปลดสายรองเท้าส้นสูง ไฮพาเธีย ไลคอส บ่นอุบเรื่องงานเลี้ยงของตระกูลกับคนด้านหลังหลายประโยค

นาร์เมอร์เห็นหญิงสาวที่สูงกว่าหน่อยด้านหลังสวมเดรสเบาสบายลายดอกไม้และหมวกปีกกว้าง มือข้างหนึ่งเท้าเอว อีกข้างถือเส้นเชือกสีแดงที่ผูกติดกับบรรดาข้าวของด้านหลัง มันเป็นอุปกรณ์ขนสัมภาระขนาดย่อม แอมซัส กรอมเฟลธ กำลังคุยตอบโต้และพยักหน้ารับ

ดูเหมือนเพื่อนร่วมบ้านอีกสองคนจะเจอกันกลางทาง

“โอ๊ะ ฉันกลับมาทันพอดีเหรอ?”  ผู้พูดยกมือปิดริมฝีปากสีพีช ผมลอนที่บรรจงดัดขยับเล็กน้อย ขณะยืนนิ่งรอให้พรมล้างเท้าอัตโนมัติทำงาน

นาร์เมอร์เหลือบมองจอกระจกบานใหญ่ในห้องนั่งเล่น มันกำลังเปลี่ยนเป็นภาพนักข่าวอีกรอบ เขาขยับคางเป็นเชิงบอกใบ้เล็กน้อย

“มีข่าวคดีฆาตกรรมที่เมืองติดชายฝั่ง ห้ามคนนอกเข้าออก ผมก็เลยไม่มีที่ไปแล้ว”

“อะไรนะ?/ห้ะ?”  เสียงแรกเป็นไฮพาเธีย เสียงที่สองเป็นของแอมซัส

ยังไม่ทันจะถามไถ่กันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากบันได พร้อมกับคำพูดรัวเร็ว

“ผมต้องไปทำงานด่วน วันนี้ไม่ได้ทานอาหารด้วยนะ”  ลุตต์ขยับไหล่สวมเสื้อคลุม สับเท้าจนเกือบวิ่งไปยังประตู

“นายจัดสัมภาระแล้ว?”  นาร์เมอร์ถามขึ้น

“เอ่อ ยัง ฉันคงไม่ได้ใช้”

“งั้นเอาของฉันไป มีแต่ของใหม่พร้อมใช้งาน”  ชายหนุ่มโยนกระเป๋าให้เพื่อนที่อ้าแขนรับพอดี

“ขอบใจ”

“เดี๋ยว ๆ เอานี่ไปด้วย”  แอมซัสยื่นขนมให้เพื่อนร่วมบ้าน “กินรองท้องก่อนขึ้นรถไฟนะ ตอนนี้รีบแค่ไหนก็ต้องรอรอบถัดไปอยู่ดี”

“ข้างนอกฝนตก ลุตต์น้อยอย่าลืมหมวก”  ไฮพาเธียยื่นหมวกให้พร้อมกับกวาดตามองความเรียบร้อย เธอพยักหน้าพอใจ

“ค่อยดูปลอดภัยหน่อย”

นาร์เมอร์เกือบจะหลุดปากว่าหมอนี่แข็งแกร่งจะตาย ไม่ป่วยง่าย ๆ หรอก แต่เขางับริมฝีปากได้ทันและโบกมือส่งเพื่อนแทน

“เฮ้อ หวังว่าจะจับตัวคนร้ายได้เร็ว ๆ”  แอมซัสบ่น ยื่นของในมือให้นาร์เมอร์ถือ มองไล่หลังไฮพาเธียที่เดินขึ้นห้อง

“ผมก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น”

แอมซัสพยักหน้ารับ แม้จะรู้เห็นเรื่องประมาณนี้มาบ้าง แต่ก็ยังทำใจให้ชินไม่ลงสักที

“เธอน่าจะโดนรองเท้ากัด ฉันจะขึ้นไปดูสักหน่อย นายเปิดเพลงรอไปนะ”

“ได้ครับ”

นาร์เมอร์เปิดระบบบ้านพักอัจฉริยะผ่านกระดานใสบนตู้เย็น เปลี่ยนจอกระจกให้ฉายในครัวแทนห้องนั่งเล่น และเลือกแพลตฟอร์มถ่ายทอดสดยอดนิยม เขาสุ่มช่องสตรีมเมอร์ที่กำลังร้องเพลงมาหนึ่งช่อง เพื่อขับไล่บรรยากาศหดหู่จากข่าว

‘วันนี้เราจะได้กินอะไรนะ?’ ชายหนุ่มพึมพำในใจขณะโน้มตัวจัดของในครัว

“นาร์เมอร์ อยู่ไหน?”  เสียงไฮพาเธียแว่ว

“ครับ? ผมอยู่ในครัว..”

ปั้ก!

นาร์เมอร์กำลังยื่นมือเก็บของที่หล่นใต้เก้าอี้ แต่เพราะความลืมตัว ตอนถูกเรียกไม่ทันระวัง เขาจึงผงกศีรษะด้วยความเคยชิน มันจึงกระแทกเข้าเต็มแรง

“โอ๊ะตายแล้ว ไหนดูสิเลือดออกไหม”

ชายหนุ่มทรุดตัวลงกุมศีรษะ ข้าวของในมือร่วงลงพื้น เขาเกือบอุทานหยาบคายต่อหน้าไฮพาเธีย แต่ก็ยั้งปากเอาไว้ได้ทัน ความเจ็บปวดแล่นผ่านจนเจ็บแปล๊บน้ำตาเล็ด เขาสูดลมหายใจเพื่อเรียกสติกลับมาแล้วฝืนยันตัวขึ้นจากพื้น

ตอนนั้นจึงเหลือบเห็นสีหน้าเป็นห่วงของไฮพาเธีย ด้วยความที่ไม่อยากให้เธอกังวล จึงคิดจะขยับปากเอ่ยบอกว่าไม่เป็นไร แต่อีกฝ่ายกลับหมุนตัวจ้ำอ้าวไปยังห้องนั่งเล่น

“....?”

“เกิดอะไรขึ้น?”

แอมซัสที่ทุบสถิติอาบน้ำของตนเองอีกครั้ง เอ่ยถามคนทั้งคู่โดยพยายามกลั้นขำสีหน้านิ่งอึ้งของนาร์เมอร์

“ฉันหาเขาไม่เจอก็เลยลองเรียก ไม่คิดว่าหัวจะกระแทกกับเก้าอี้”  ไฮพาเธียกล่าวด้วยสีหน้าเจ็บแทน พยายามจะควานหายาในกล่องแล้วเดินเร็วกลับไปในครัว

“ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นครับ ผมสะเพร่าเอง ตอนนี้ไม่ค่อยเจ็บแล้ว”

“แต่เมื่อกี้หน้านายดูเจ็บมาก”  แอมซัสเอ่ยขัดด้วยรอยยิ้ม ขณะเตรียมวัตถุดิบทำอาหาร

“เดี๋ยวผมก็หายน่า”

“ทายาสักหน่อยไหม?”

เมื่อเห็นไฮพาเธียยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ชายหนุ่มจึงก้มศีรษะให้เธอมอง

“ขอบคุณครับ แต่ผมหายเจ็บแล้วจริง ๆ เลือดไม่ออกด้วย”

“ก็ได้ ๆ พอ ๆ ไม่ต้องแหวกผมแล้ว เดี๋ยวเสียทรงหมด”

หญิงสาวเป็นคนแนะนำให้นาร์เมอร์ตัดทรงประบ่ายอดฮิต และแก้ปอยหน้าม้าเล็กข้างขมับเองกับมือ เมื่อเห็นเขาสอดมือยีเส้นผม จึงอดไม่ได้ที่จะอยากสางผมให้ใหม่ แต่ก็ข่มใจเพราะกลัวจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บตัวซ้ำสอง

แอมซัสมองพี่น้องต่างนามสกุลแล้วหัวเราะแผ่ว

ไฮพาเธียมีแค่น้องสาวกับพี่ชาย ทำให้เธอมีมาดพี่สาวติดตัวมาด้วย แม้จะออกจากบ้านมาแล้วก็ยังมีนิสัยชอบดูแล ช่วงแรกที่ทำความรู้จักกันก็เลยเอ็นดูสองหนุ่มที่อายุน้อยกว่าสองปีไปโดยปริยาย และพอรู้ว่าพวกเขาไม่ได้มีครอบครัวสมบูรณ์พร้อมเหมือนเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงออกเกินกว่าเหตุราวกับแม่ไก่เลี้ยงลูกเจี๊ยบ

โชคดีที่สองเพื่อนซี้ไม่ถือสาเอาความ แค่บางครั้งพวกเขามักจะรับมือไม่ถูก เพราะไม่เคยมีคนคอยทำอะไรให้

“เธอไม่นั่งพักสักหน่อยล่ะ?”

แอมซัสกดปรับอุปกรณ์ในครัวเพื่อจะเริ่มทำอาหาร เธอพยักเพยิดไปทางนาเมอร์ที่กำลังแทะผักเล่น

“งั้นฉันขอล้างคอสักกรึบแล้วกัน เมื่อกี้ไม่ได้ดื่มเลยสักอึก โดนลากไปทางโน่นที ทางนี้ที น่าเบื่อสุด ๆ”

ไฮพาเธียที่กำลังเก็บยาเอ่ยตอบ ก่อนจะกลับมาควานหาสิ่งที่ต้องการจากตู้เก็บของในครัว เธอขยับมือจัดแจง รินของเหลวใส่แก้วเชื่องช้าด้วยสีหน้าพออกพอใจ

“เอาไหม?”

นาร์เมอร์ส่ายหน้าหนักแน่นครั้งหนึ่ง ยกผักไม่สมประกอบในมือขึ้นเป็นนัย

“หรือเธอจะทานต้มกระต่ายแดงของฉันแทน?” แอมซัสกลั้นยิ้มขณะเหลือบมองท่าทางของคนทั้งคู่

ไฮพาเธียกำลังอมเครื่องดื่มพอดี เธอส่ายหน้าปฏิเสธเสียง ‘อือ’ ในลำคอพร้อมส่ายมือย้ำ ก่อนจะกล่าวชัดถ้อยชัดคำ

“ฉันอยากกินสตูว์เนื้อชดเชยความรู้สึกหม่นหมองใจ เฮ้อ สัปดาห์ราตรีกาลรอบนี้น่าเบื่อชะมัด ดันมีพายุฝนเสียได้ สงสัยต้องทำตุนไว้เยอะ ๆ”

นาร์เมอร์พลันเหลือบมองแม่ครัวจำเป็น ขยับคอส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายห้ามปราม ในขณะที่แอมซัสริมฝีปากระตุกทันทีที่ฟังหญิงสาวพูดจบ

ปกติไฮพาเทียเป็นคนทำอาหารบ่อยที่สุดในบ้าน รสชาติอร่อยจนแทบกราบเท้าให้ทำทุกวัน แต่ถ้าดื่มเกินสามแก้วก็จะทำออกมารสชาติปะแล่มลิ้น ถึงจะไม่ได้เมาก็ตาม

แม้อาหารเหล่านั้นจะไม่ได้แย่ แต่เลือกได้ขอไม่กินรสชาตินั้นไปอีกหลายวันจะดีกว่า

พวกเขาคุยกันทางสายตาจนไม่ทันห้ามคนที่กำลังกระดกแก้วที่สี่

สุดท้ายแอมซัสเป็นฝ่ายปราชัย เธอเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนขณะนึกหัวข้อสนทนา

“ไหนเธอบอกว่าจะจองร้านอาหารวันที่ 2 สัปดาห์หน้าไง”

“อา จริงด้วยแฮะ” ไฮพาเธียเงยหน้าขึ้นจากทิซคาบนข้อมือ สีหน้าเหมือนเพิ่งจำได้

“งั้นฉันทำแค่นิดหน่อยก็ได้” เธอยันตัวขึ้นจากเก้าอี้เมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมบ้านทำอาหารส่วนของตนเองเสร็จแล้ว พร้อมกับบึนปากเหมือนเด็กถูกขัดใจ

นาร์เมอร์เห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขอโทษเพื่อนสนิทในใจ ก่อนกระแอมกล่าวขัดจังหวะ

“ทำผัดกะหล่ำปลีเนื้อเพิ่มก็ได้ครับ เดี๋ยวผมส่งพัสดุด่วนให้ลุตต์เอง ป่านนี้คงหัวหมุนจนไม่ได้ทานข้าว”

“โอ๊ะ จริงด้วย! ฉันลืมได้ยังไงเนี่ย!”

แอมซัสส่ายหน้ายิ้มให้กับคนที่มีความกระตือรือร้นกะทันหัน วางจานข้าวลงบนโต๊ะ

“ข้าวผัดสะเก็ดดาวของนาย”

“ขอบคุณครับ” นาร์เมอร์กลืนผักคำสุดท้าย กำลังจะเอ่ยหยอกล้อว่าไม่ให้ทานต้มกระต่ายแดงบ้างเหรอ ก็เหลือบไปเห็นพฤติกรรมแม่ครัวเข้าพอดี

“เดี๋ยว ๆ นั่นมันกระปุกพริกแห้งครับ!” นาร์เมอร์ตกใจเบิกตากว้าง เขาจำได้ว่ามันไม่มีในสูตร!

“หยุ๊ด!!” แอมซัสถลาไปคว้าขวดเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะยืนประกบแม่ครัวตลอดเวลาทำอาหาร

คืนที่ 6 ของสัปดาห์ราตรีกาลก็ผ่านพ้นไปทั้งอย่างนั้น