3 ตอน บทที่ 3 ความอนาถาของนางเซ่อจี้นางหนึ่ง [rewrite]
โดย sweet cloud
ทั้งคู่ต่างมีปมความเจ็บปวด
เหมือนมีลวดมาปักดวงฤทัย
ต่างไม่ทราบว่าทางออกอยู่หนใด
การปลิดชีพให้ทางออกดีที่สุด
...ในตอนนี้…
แสงอุราของดาวเคียงเดือนกระทบกับแม่น้ำเถียนที่มีบุรุษใบหน้างดงามหน้าตาหวานปานน้ำผึ้งผุดใบหน้าขึ้นมาก่อนที่ลำตัวในชุดอาภรย์สีขาวธรรมดาจะลอยตามมาครึ่งกาย
หญิงสาวใบหน้าอ่อนเยาว์สวมชุดฮั่นฝูสีชมพูผมเกล้าสูงเดินกึ่งวิ่งกึ่งเดินมือจิกนิ้วอีกข้างเธอรู้สึกวิตกกังวลเหลือเกินเพราะลูกชายของเธอหายไปตั้งแต่หัวค่ำข้าวปลาตอนเย็นก็ไม่กินไปถามนางโลมตำแหน่งต่างๆ ก็หาได้สนใจลูกของนางเท่ากับตัวเองไม่
อยู่ๆ ก็มีลมพัดมากระโชกแรงจนเธอต้องเอามือมาบังจนใบหน้าหันไปหาแม่น้ำเถียนอย่างมิได้ตั้งใจ
อ้าย…
ถึงแม้ร่างกายของลูกชายของเธอจะอยู่ไกลจากเธอหลายลี้แต่สายตาของผู้เป็นแม่ช่างเฉียบขาดใบหน้างดงามที่สืบทอดจากเธอหาได้ที่ไหนไม่ได้แล้ว เธอผวาจนเอานิ้วมาจับที่ริมฝีปากล่างของตัวเองตาเธอเริ่มมีน้ำตารื้น
เหมือนแม่น้ำรู้สถานการณ์ น้ำเริ่มพัดเชี่ยวให้เจ้าร่างใบหน้าซีดเซียวลอยไปยันหญิงสาวคนนั้นเหมือนรู้ใจนาง
เธอไม่สนแล้วว่าชุดที่เธอสวมใส่อยู่จะราคาแพงแค่ไหนเธอตะลุยเดินเข้าไปในแม่น้ำตะเกือกตะกายจนน้ำแทบจะล้นคอเธอ
แขนของผู้เป็นมารดาทั้งสองเกี่ยวรั้งร่างลูกชายของเธอให้พ้นขึ้นมาอยู่ขอบแม่น้ำโดยมีต้นดอกอิงฮวารายล้อมเพื่อความสวยงามกลิ่นของมันช่างหวานเหมือนเคลือบน้ำตาล
ใบหญ้านุ่มเหมือนปุยฝ้ายไม่บาดผิวเหมือนได้นอนตั่งราคาแพงในโรงเตี้ยม มือผู้เป็นมารดาลูบหน้าลูกชายด้วยความหวงแหน
“อ้าย” เธอกล่าวชื่อลูกชายด้วยเสียงที่สั่นสะอื้นเพราะใบหน้าของลูกชายของเธอนั้นไม่ต่างกับศพเสียเท่าไหร่ จนเธอค่อยๆ ใจชื้นขึ้นเพราะริมฝีปากอันบางกริบเริ่มมีสีชมพูระเรื่อ
“อ้าย” เธอกล่าวชื่อลูกชายอีกครั้งพร้อมกับลูบหน้าอ้าย ลูกชายของเธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วลุกตัวแล้วไอพรวดออกมา แค่กๆ เธอลูบหลังลูกชายของเธอด้วยความตกตะลึงและดีใจในคราวเดียวกัน
น้ำตะล่อมออกจากปากออกมาค่อนข้างมากแต่ก็ทำให้หายใจสบายขึ้น บรรยากาศ กลิ่น หรือแม้กระทั่งชุดที่สวมใส่ ช่างไม่คุณเคย ตาเลื่อนมองฝ่ามือทั้งสองข้างผิวขาวสะอาดดุจดั่งหิมะนิ้วมือเรียวยาวสวยสวัตสายตาเล็บมือใสสีชมพูเหมือนกลีบดอกอิงฮวา
“เป็นไงบ้างลูก” เสียงผู้หญิงเหมือนอยู่ในวัยกลางคนยังไงอย่างงั้นแต่ใบหน้าช่างอ่อนวัยคล้ายเด็กวัยแตกสาวใหม่ๆ
เธอใส่ชุดเหมือนในหนังจีนใบหน้าก็งดงามเกินคาดทรงผมก็เกล้าสูงลู่หยุ่นร์กวาดสายตามองไปรอบๆ ต้นดอกอิงฮวาร้อยเรียงกันอยู่ขอบแม่น้ำเถียนท้องฟ้าสีน้ำเงินไม่ทึบและไม่สว่างมากเพราะมีพระจันทร์เต็มดวงคอยให้แสงสว่างอยู่
ที่นี้...ที่ไหนวะ ลู่หยุ่นร์ขบคิด
หอโคมแดงคือสวรรค์ของบุรุษ
ต่างลุ่มหลงและมัวเมากับหญิงงาม
หารู้ไม่ว่าพวกเขาเป็นแค่เหยื่อ
ของการหลอกและจกเงินเพียงเท่านั้น
พื้นปูนเย็นที่ชื้นแฉะแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคมากสำหรับพวกขุนนางเมืองต่างๆ และพวกคนมากทรัพย์และเหล่าทหารยศสูงต่างเข้ามาในเมืองโคมแดงเพื่อมาหาหญิงสาวมาบริการพวกเขา
ณ หอนางโลมขนาดใหญ่ที่มีพวกขุนนางทะยอยต่างเข้ามาข้างในหอมีพวกผู้หญิงแต่งตัวชุดหลากสีต่างควงแขนขุนนางเป็นคนๆ ไป
แม่เล้าร่างท้วมสวมชุดเกาะอกกระโปรงสีแดงสลับกับสีทองมีผ้านางฟ้าสีเขียวหยกคลุมไหลใบหน้าขาวดุจดั่งกระดาษซวนจื่อปากแดงเรียวเล็กที่ถูกพู่กันตวัดวาดนางเดินกะเผลกกำพัดแน่นก้านไม้แทบหักส่งยิ้มให้พวกขุนนางแบบเจือนๆ แล้วรีบเร่งฝีเท้า ผับๆ เดินออกไปข้างนอกหอเพื่อไปตามใครมาสักคนกลับมาทำหน้าที่
ณ ห้องพิเศษบนชั้นสามของหอนางโลมที่มีไว้เพื่อคนมากทรัพย์และคนยกสูงมาบรรทมพักหรือทำเรื่องอย่างว่า
บรรยากาศในยามวิกาลช่างน่าอภิรมย์ยิ่งนักเมืองเจียวหลินเมืองที่เป็นสัญลักษณ์ของดอกไม้นานาพันธ์ผู้คนต่างอยากมาเที่ยวชมความงดงามของเมืองนี้ องค์ชายฮุ่ยเฟยเทียนก็เป็นเช่นกัน เขาพาพวกทหารยศสูงๆ และพวกขุนนางมาเที่ยวชมเมืองหลินเพื่อมาชมความงดงามของเมืองและมาเชยชมสาวงามในเมืองเจียวหลิน ผู้คนที่เคยสัมผัสกับเมืองนี้ต่างพูดต่อๆ กันมาว่าเมืองเจียวหลินนี้ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีมักจะมีใบหน้าที่งดงามสะดุดตาจนแยกไม่ออกว่าคนใดเป็นบุรุษหรือสตรีจึงเป็นเรื่องปกติที่จะถามบุคคลนั้นๆ ว่าเป็นเพศอะไร
เหตุที่เฟยเทียนพาทหารและขุนนางมาเที่ยวชมเมืองเจียวหลินนี้เหตุผลก็สั้นง่ายดาย ก็แค่เลี้ยงไว้ให้ดีๆ จะได้เชื่อฟังง่ายๆ
เฟยเทียนผิวของเขาค่อนข้างคล้ำและมีตาสีแดงหยกอันเป็นเอกลักษณ์กำลังมองไปยันพระจันทร์ที่มันเริ่มเปลี่ยนรูปทรงเป็นดาวเต็มดวงเขานั่งอยู่บนโต๊ะอาหารที่ว่างเปล่าอย่างผ่อนคลายที่ติดกับหน้าต่างทรงหกเหลี่ยมคนผ่านมาเห็นคงมองว่าเขาผู้นี้ช่างไร้มารยาทแต่ถ้าคนผู้นั้นรู้ว่าเขาเป็นใครก็คงจะไม่เหลียวมองแต่จะกลับก้มหน้าก้มตาสำรวมกิริยาแทน
ขาด้านขวายืดไปข้างหน้าส่วนขาอีกข้างตั้งชันเข่าแต่ความสงบนั้นก็อยู่ได้เพียงไม่นานเพราะข้างหลังของเขามีพวกขุนนางอย่างกับสุนัขติดสัตว์ห้าท่านที่กำลังทำนางเซ่อจี้นางหนึ่งเหมือนไม่ใช่มนุษย์ขุนนางท่านหนึ่งดึงผมนางขุนนางอีกคนลูบไล้ขาอีกคนก็เลียฝ่าเท้าของนาง ขุนนางอีกท่านก็มุดเอาปากไปขยั้มตรงของสำคัญของนาง ขุนนางอีกคนก็กัดหน้าอกของเธอจนเป็นรอยฟัน
แต่องค์ชายเฟยเทียนกลับรู้สึกเฉยชาเพราะเขาเห็นจนชินชาเหมือนเรื่องบัดสีบัดเถลิงที่คนทั่วไปมองว่าน่ารังเกียจแต่เขากลับมองว่ามันเป็นเรื่องปกติ นางเซ่อจี้นางนั้นมองแผ่นหลังขององค์ชายเฟยเทียนเพื่อขอความเมตตาถึงเธอจะทำอาชีพนี้แต่การกระทำเช่นนี้มนุษย์ทั่วไปหาได้ทำกันไม่การกระทำเช่นนี้มันโหดร้ายกว่าที่นางได้คิดไว้ไม่
จนเธอร้องขอความช่วยเหลือโดยกล่าวชื่อองค์ชายเฟยเทียนอย่างน่าเวททนาจนเฟยเทียนเหลียวหันมามองนางแต่ไม่ใช่เพราะความรู้สึกสงสารแต่กลับเป็นความรู้สึกรำคาญต่างหากเฟยเทียนฉีกชายกระโปรงอาภรณ์ของตัวเองแล้วโยนไปให้พวกขุนนางที่กำลังกระทำชำเราอยู่บนพื้น
เฟยเทียนกล่าวน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เอาผ้านี้มัดปากนางที”
หน้าตาของลู่หยุนร์ในร่างของอ้ายอย่างกับปลาทองโดนแหย่ตาเบิกโพลงกว้าง หันซ้ายหันขวา จนตาโฟกัสกับใบหน้าอันงดงามของหญิงที่นั่งคุกเข่าที่คอยเอามือมาลูบหลัง ถึงแม้ทรงผมเกล้าสูงของเธอจะยุ้งเหยิงไปหน่อยแต่ก็ไม่ลดความงามตรงใบหน้าของเธอเลย
“อ้าย เป็นไงบ้างลูก” เธอกล่าว
อ้าย...ใคร...ผมเหรอ
เขากะพริบตาปริบๆ แล้วหันไปมองดูเสื้อผ้าของหญิงสาวแล้วของตัวเองเหมือนเขาหลุดออกมาจากหนังจีนยังไงยังงั้น แล้วก็หันไปมองทรงผมของหญิงสาว ไม่ผิดแน่
“อ้าย เป็นอะไรไปลูก”
ร่างคนนี้ชื่ออ้ายงั้นเหรออ้ายที่แปลว่ารัก ชื่อสั้นแท้
“ก็-สบายดี-ขะ...ขอรับ” พูดแบบนี้เปล่าวะ
เธอพยักหน้าเบาๆ
“เหตุอันใดเจ้าถึงเล่นน้ำในยามวิกาลเช่นนี้อ้าย”
“...” แล้วข้าต้องพูดเช่นไรดี
อยู่ๆ ภาษาพูดและคิดของลู่หยุ่นร์ในร่างอ้ายก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปตามเจ้าของร่าง
ลู่หยุ่นร์สงบนิ่งเงียบเพราะพึ่งฟื้นสติยังคงเลอะเลือน ปากจะพูดก็ไม่พูดจะเอ่ยก็ไม่เอ่ย จนหญิงสาวคนนั้นส่ายหน้าถอนหายใจ
“ลุกขึ้นมาเถอะ” นางยืนขึ้นพร้อมกับพยุงแขนของอ้ายที่ลู่หยุ่นร์อยู่ในร่าง ตอนลู่หยุ่นร์ลุกขึ้นเขาแทบจะล้มร่างที่เขาอาศัยอยู่ด้วยความบังเอิญช่างบอบบางและไร้เรี่ยวแรง
“อะ---เออ” ลู่หยุ่นร์เหมือนจะกล่าวอะไรออกมาสักอย่าง
“อะไรรึ” เธอกล่าว
“พวกเราอยู่ในยุคสมัยราชวงศ์ใดรึ” เธอหันมามองหน้าเขาแล้วขมวดคิ้ว ลู่หยุ่นร์คิดว่าเขาคงเหมือนในนิยายย้อนยุคกระมังแต่นิยายที่เขาอ่านก็คนละราชวงศ์
“เจ้าถามแปลกนักอ้ายเจ้าก็อยู่มาตั้งแต่เกิด ในเมืองเจียวหลินนี้ไม่มีฮ้องเต้หรือพระมเหสีปกครอง ตั้งแต่เทพเซียนหญิงเจียวหลินไม่ประทับอยู่ในเมืองเจียวหลินนี้นานโขแล้ว พวกคนในเมืองนี้เลยใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆ ไร้กฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดเท่าเมืองอื่นไม่ แต่ก็ยังดีที่มีฮ้องเต้ของเมืองปิงหานคอยดูแลอยู่แต่มักจะไม่ค่อยถูกกับฮ้องเต้ของเมืองเลี่ยงเซี่ยเสียเท่าไหร่เพราะฮ้องเต้เมืองเลี่ยงเซี่ยก็ต้องการจะปกครองเมืองเจียวหลินนี้เมืองที่ไร้ผู้นำมาควบคุมแต่กลับมีข้อดีมากมาย ใครจะไม่อยากได้”
ชื่อเมืองลู่หยุ่นร์ไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่ชุดที่สวมใส่อยู่อย่างกับอยู่ในละครจีนเรื่องหนึ่งเขาไม่ได้อยู่ในเมืองจ้งโก๋หรอกเหรอ
ร่างของอ้ายช่างไร้เรี่ยวแรงถึงแม่จะมีนางมาคอยพยุงเดิน เขาก็ยังเดินแบบไร้เรี่ยวแรงจะวูบบ้างอยู่ๆ ก็รู้สึกอยากอ้วกบ้าง
เมืองที่ไร้การปกครอง...ใครๆ ก็อยากได้…เพราะมีข้อดีมากมาย...งั้นเหรอ เขาอยู่ในโลกใดกันแน่
ชายผิวคล้ำตาสีแดงทับทิมผู้สูงศักดิ์นั่งอยู่บนโต๊ะไม้วางแขนศอกที่ขอบหน้าต่างเกลี่ยนิ้วเล่นอีกข้างไปมามองหญิงเซ่อจี้ที่โดนพวกขุนนางห้าคนรุมโทรมอย่างเฉยชาและเบื่อหน่าย แต่สายตาที่นางเซ่อจี้มองมาที่เขานั้นช่างเอ้อล้มไปด้วยความเศร้าน้ำตาของนางแทบจะไหลเป็เลือดน้ำมูกน้ำปากก็ไหลไปด้วยความเจ็บปวดถึงนางขอความช่วยเหลือสุกชีวีจนนางลืมคิด ว่านาง ไม่ไก้เป็นคนเดียว ที่โดนแบบนี้
ผ้าที่องค์ชายเฟยเทียนชีกให้มัดปากนาง นางก็กัดจนขาดเพราะความเจ็บปวดจนนางไม่เหลือเรี่ยวแรงจะขอความช่วยเหลือ สภาพร่างกายของนางเปลือยเปล่ามีทั้งรอยกัดและรอยฝกชำเสื้อผ้าขาดกระจายเหมือนเป็นเศษผ้าเช็ดฝ่าเท้า ปิ่นปักผมที่มารดาของนางให้นางก่อนสิ้นใจตายพวกขุนนางก็คว้างทิ้งไปทิศใดนางก็ไม่ทราบ เพราะโดนพวกคุณนางเอาปากมาประกบไม่ซ้ำคนจนไม่มีเวลามาหันมองว่าปิ่นปักผมที่มารดาของเธอให้เธอมาอยู่หนใด
“ใคร...ก็...ได้..ช่วย..ข้าด้วย”
เอ่ยประโยคขอความช่วยเหลือและประโยคลาตายครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกัน น้ำตาที่ไหลเป็นน้ำใสกลับกลายเป็นเลือดแดงฉานเพราะที่จริงแล้วเลือดกำเดาของนางจะไหลออกจากจมูกอยู่แล้วแต่ด้วยความที่นางถูกอุ้มจนนางต้องเงยหน้าอยู่ตลอดเวลาเลือดกำเดาจึงไหลย้อนกลับกับไหลออกมาผ่านดวงตาและใบหนูของนางแทน
ขุนนางทั้งห้าที่อุ้มนางอยู่ต่างผละร่างของนางออกทันทีด้วยความตกใจผวา ร่างของหญิงสาวชักดิ้นกระตุกอยู่อย่างนั้น หูและดวงตากลับมีสายเลือดไหลออกมาอย่างน่ากลัวภายใต้โคมไฟสีเหลือง ขุนนางต่างรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน แต่กลับองค์ชายเฟยเทียนถอนหายใจออกมาเบาๆ
“กะแล้วเชียวว่านางต้องตาย” เฟยเทียนกล่าวพร้อมกับหันหน้าไปมองพวกขุนนางที่จับกลุ่มกัน
“คนที่สามแล้วนะพวกท่าน” แล้วกวาดสายตาไปมองใบหน้าหญิงสาวที่ใบหน้างดงามแต่เริ่มซีดเซียว “แต่นางนี้แตกต่างหน่อย ตรงที่นางตายตาไม่หลับ”
เฟยเทียนกล่าวจบประโยคก็มีแมลงวันตัวหนึ่งมาตอมที่ลูกตาดำนางเหมือนดวงตาของนางคือพื้นผิวให้แมลงวันวางไข่
TBC.
rewrite(1) 12/02/2022
Comments (0)