2 ตอน deep inside
โดย arti.s
01: deep inside
ซานฟรานซิสโก เป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับสองของสหรัฐอเมริกา แต่ค่ำคืนนี้ผู้คนบางตาต่างจากปกติ อาจเป็นเพราะนี่เป็นวันพุธกลางสัปดาห์ที่แสนน่าเบื่อก็ได้ละมั้ง ผู้คนจึงเลือกขลุกตัวอยู่ในบ้านดูหนังผ่านสตรีมมิ่งมากกว่า
เมดดี้ เดินฮัมเพลงฝ่าความเย็นกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี เธอชอบเวลาที่ได้ครอบครองถนนสายนี้เพียงคนเดียว ไม่ต้องคอยหลบหลีกคนที่เดินสวนมาให้ขัดใจเล่น เธอแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีน้ำหมึกยามค่ำคืน ดื่มด่ำกับแสงระยิบระยับจากดาวนับล้านดวง
ตุ๊บ! โอ๊ย!!! โอ๊ย? สาบานว่านี้ไม่ใช่สำเนียงและเสียงของเมดดี้ และคนท้องถิ่นก็ไม่น่าจะมีใครโอดร้องด้วยความเจ็บปวดเป็นคำว่า โอ๊ย เนี้ยนะ? นับว่าเป็นสิ่งใหม่ที่เรียกร้องให้หูของ เมดดี้กระดิกอย่างสนอกสนใจ ปกติจะได้ยินแต่ อ๊าว-ฉึ! (Ouch!) ตอนคนอุทานเวลาเจ็บตัว หรือไม่ก็ Shit! Fuck! เป็นคำหยาบคายไปเลย
“โอ๊ย i’ m sorry ขอโทษค่ะขอโทษ i’ m sorry” อืม เมดดี้ยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้เธอจะเป็นคนโดนชน แต่แรงเบาหวิวนั่นก็ไม่ได้ร้ายแรงมากจนทำให้ล้มหน้าทิ่ม แต่ถ้าเป็นกระเป๋าเดินทางใบยักษ์ข้างตัวผู้หญิงคนนี้ก็ไม่แน่
เธอใช้เพียงสายตาคอยลอบสังเกตบุคคลที่เคลื่อนไหวตรงหน้าอย่างลุกลี้ลุกลน สาวร่างบางที่ดูแล้วน่าจะมีความสูงมากกว่าเธอนิดหน่อย สวมแจ็คเก็ตสีขาวหนาเตอะ กำลังก้มเก็บโทรศัพท์พร้อมทั้งบ่นงึมงำอะไรสักอย่างที่เธอไม่สามารถเข้าใจได้ หน้าจอโทรศัพท์เปิดแผนที่สถานที่หนึ่งค้างไว้อยู่
“ขอโทษนะคะ คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า? ฉันนี่ซุ่มซ่ามชะมัดเลย มัวแต่ก้มดูแผนที่จนลืมดูทางรอบๆ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ? สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย โกรธหรอ ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ”
“ไม่เป็นไร ฉันโอเคดี” เมดดี้ชิงพูดขึ้นมาก่อนที่สาวร่างบางตรงหน้าจะร้อนรนตีความไปอีกแบบ พอได้ยินคำตอบแสนโล่งใจเข้า ใบหน้าเจื่อนที่ผสมกับความกังวล เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างอย่างโล่งอก “เดินไปอีกสองบล็อกเลี้ยวซ้าย เดินอีกไม่เกินยี่สิบก้าวก็น่าจะถึงพอดี”
"คะ?"
สาวร่างบางเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เมดดี้พูดออกมา ทำให้เจ้าตัวต้องแสดงความมีน้ำใจเพิ่มขึ้นอีกนิด โดยการชี้ไปยังหน้าจอโทรศัพท์ “Breadbelly น่ะ เดินไปอีกนิดเดียวก็ถึง อ้อ แต่ร้านปิดแล้วนะ” เมดดี้จากลาสาวร่างบางแสนซุ่มซ่ามไว้เพียงเท่านั้น และก้าวเดินต่ออย่างเงียบๆ จนถึงบ้านตัวเอง
เมดดี้ ยืนจ้องบานประตูบ้านตัวเองอย่างใช้สมาธิ ก่อนจะก้าวถอยหลังออกมาครึ่งก้าว เหลียวซ้ายแลขวามองรอบด้านจนแน่ใจว่าไม่มีคนแปลกหน้าเดินตามมา ถึงได้โน้มใบหน้าตัวเองไปกระซิบบางอย่างกับประตูบ้าน ไม่เกินสองวินาที เธอก็เข้ามาอยู่ในบ้านอันอบอุ่นเป็นที่เรียบร้อย
เทียนหอมกลิ่นเอิร์ลเกรย์ถูกจุดเตรียมไว้อย่างรู้งาน เมดดี้ รักกลิ่นที่ทำให้ใจสงบที่สุด อันที่จริงต้องบอกว่าจุดไว้ตลอดเวลาน่าจะถูกต้อง แต่หลังๆ มานี่ เปลี่ยนไปใช้เครื่องพ่นอโรม่าบ่อยกว่า เพราะการจุดเทียนนั้นเสี่ยงกับการทำให้เกิดไฟไหม้ ก็ตั้งแต่อยู่ที่นี่มาก็ไหม้ไปแล้วถึงสองครั้ง การต่อเติมบ้านใหม่แต่ละรอบนั้นไม่สนุกเลย
“คุณกลับมาเร็วกว่าที่คิดนะครับ” คุณพ่อบ้านเดินมารับแจ็คเก็ตตัวเก่งไปแขวนไว้ที่ราวบนผนังอีกด้านอย่างเคยชิน
“โอลิเวียหนีกลับจากงานเร็วน่ะนิค แถมยังบ่นเรื่องที่ฉันเล่านิทานให้ลิลลี่ฟังอีก คนเขาอุตส่าห์ไปเลี้ยงลูกให้ พูดดีๆ หน่อยก็ไม่ได้ ชิ!”
นิโคลัส หรือเรียกสั้นว่า “นิค” เป็นพ่อบ้านอายุเจ็ดสิบกว่าปีที่คอยดูแลเมดดี้มาอย่างยาวนาน กำลังยืนอมยิ้ม
“คุณกวนประสาทเธอก่อนหรือเปล่าล่ะครับ โอ้ตายล่ะ! นั่นผมพูดว่ากวน… หรอ?” เมดดี้ตวัดสายตาเขียวปั๊ดมาหาคุณพ่อบ้าน แต่แฝงไปด้วยความไม่จริงจัง “ฮ่าฮ่า ผมแค่ล้อเล่น”
“ให้ตายเถอะ นอกจากลิลลี่แล้ว ก็ไม่เห็นมีใครอยู่ข้างฉันสักคน นิคก็ด้วย ดูแลกันมาตั้งนาน ดันเชียร์คนอื่นออกหน้าออกตา” เมดดี้มุ่ยหน้าแต่ก็ยอมหยิบถ้วยน้ำอุ่นที่นิคยื่นให้ขึ้นจิบ
“คุณโอลิเวียเธอเป็นถึงดาราดังเชียวนะครับ”
“ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ฟังแล้ว กู้ดไนท์ค่ะนิค”
เมดดี้ โบกมือหมุนตัวเดินขึ้นชั้นสองไปยังห้องนอนของตัวเอง วิ่งเล่นกับลิลลี่ตั้งแต่ตอนเย็น เรียกได้ว่าสูบแรงไปจนหมดตัว แต่แปลกดีที่หัวใจกลับฟูฟ่องราวกับได้ชาร์จแบตฯ เต็มเปี่ยม เมดดี้ทิ้งตัวหลับไปบนเตียงนุ่ม พร้อมใบหน้าเคลือบรอยยิ้ม
____________________
ภายในวิหารแห่งหนึ่ง มีหญิงสาวกำลังถูกร่างกำยำของชายร่างใหญ่ตรึงแขนไปกับพื้น เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือไม่เป็นผล พละกำลังอันเหลือล้นทำให้เธอไม่สามารถดิ้นหนีรอดไปได้ โพไซดอนซุกไซร้ไปตามเนื้อตัวอย่างหลงใหล กลิ่นหอมจากกายสาวยิ่งทำให้อยากรีบครอบครองเรือนร่างสมบูรณ์แบบนี้
“ข้าจะทำให้เจ้ามีความสุขที่สุดเมดูซ่าที่รัก…”
เทพเจ้าแห่งท้องทะเลยินยอมให้กามราคะมอมเมา ลงมือปู้ยี่ปู้ยำสนองตัณหาตัวเองจนสุขสม สุดท้ายแล้วร่างอันงดงามบริสุทธิ์ผุดผ่องที่หวงแหนมาทั้งชีวิตของเมดูซ่า ต้องแปดเปื้อนไปด้วยความโสมม น่าสะอิดสะเอียน หนำซ้ำยังเกิดขึ้นต่อหน้ารูปปั้นของเทพีอาธีน่า ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทคอยอยู่เคียงข้างกัน
ทางเดินข้างรูปปั้น ปรากฏร่างสะโอดสะองของเทพีอาธีน่าตัวจริงที่กำลังย่างก้าวเข้ามาดูซากความโสโครก ใบหน้าโศกเศร้าน้ำตารื้นจวนจะไหลออกเป็นทาง สี่ห้องหัวใจที่คิดว่าจะมอบให้แก่เมดูซ่า เจ็บปวดราวกับถูกมีดดาบเป็นพันเล่มฟันทิ้งจนไม่เหลือชิ้นดี
“เลว เลวทั้งคู่! โพไซดอนกล้าดีอย่างไร!” อาธีน่ากรีดร้องกู่ก้องด้วยความโกรธจนวิหารทั้งหลังสั่นสะเทือน เศษหินดินทรายปลิวว่อน ท้องฟ้าด้านนอกมืดครึ้ม อากาศแปรปรวนคล้ายกับความรู้สึกด้านในที่ตีรวนจนยากที่จะอธิบาย
“เจ้าทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไรเมดูซ่า ไหนว่าจะถือครองพรหมจรรย์ด้วยกันตลอดไป เจ้ามันคนโกหก!”
หากอาธีน่าเปิดแง้มหัวใจดูสักนิด ก็จะมองเห็นความเจ็บปวดที่กำลังเล่นงานเมดูซ่าอย่างร้ายกาจอยู่เช่นกัน คุณค่าของสาวงามถูกขยี้จนป่นปี้ หากตายเสียได้ตอนนี้เมดูซ่าก็อยากจะทำ เธอไม่อาจทนอยู่ในสภาพนี้ต่อไป เจ็บปวดทางกายไม่นานก็หาย แต่แผลเป็นที่กรีดลึกทะลุจิตใจ มองไม่เห็นหนทางรักษาเลย
ตู้ม!!!
เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาท เทพเจ้าแห่งท้องทะเลพลาดท่าถูกลูกไฟจากปลายหอกอาวุธคู่ใจของอาธีน่าสาดเข้าอย่างไม่ยั้งมือ ร่างกำยำถูกอัดเข้ากำแพง อั๊ก! ถึงแม้จะยกตรีศูลขึ้นมาป้องกันได้ทัน แต่มิอาจต้านทานแรงโกรธกร้าวที่มาพร้อมกับไฟลูกใหญ่
เมื่อใดที่อาธีน่าเกิดอาการขุ่นเคืองใจอย่างรุนแรง เมื่อนั้นอานุภาพความโกรธจะยิ่งเพิ่มพูนทวีคูณ เทพีสาวที่เคยแสดงความโอบอ้อมอารี พลิกโฉมจากหน้ามือเป็นหลังเท้า อาธีน่าดีดตัวลอยเคว้งอยู่ในอากาศ ดวงตาแดงก่ำร่ายคำสาปด้วยน้ำเสียงปวดหูชวนคลื่นไส้ ลมพายุขนาดย่อมพัดหมุนวนสิ่งของในวิหารกระจัดกระจายแตกเป็นเสี่ยง เพล้ง!!!
“อาธีน่าหยุดเดี๋ยวนี้ อย่าคิดทำอะไรที่เจ้าจะต้องเสียใจภายหลัง ข้าขอเตือน!”
โพไซดอนเปล่งเสียงเตือนสติ แต่กลับโดนฟาดให้ไปอยู่อีกฝั่ง แน่นอนว่าพลังทำลายล้างเพียงเท่านี้ มิอาจทำอะไรเทพเจ้าแห่งท้องทะเลได้ บทลงโทษแสนสาหัสจึงตกเป็นของเมดูซ่าหญิงงามเพียงผู้เดียว
“หากความงามของหญิงสาวผู้นี้คอยกระตุ้นความกระหายของผู้พบเห็นนัก ก็จงอยู่กับความน่าเกลียดชังตลอดกาลไปเลยแล้วกัน!”
สิ้นคำต่อว่า เมดูซ่าถูกลำแสงเย็นวาบฉาบไปทั่วทั้งกาย ความเจ็บปวดคืบคลานไปทุกอณูรูขุมขน เธอโดนคำสาปร้ายเล่นงานอย่างทุรนทุราย เสียงร้องปานจะขาดใจก็มิอาจเรียกร้องให้เพื่อนสนิทชิดใกล้มองเห็นความสงสาร
อาธีน่า มองดูผลงานตัวเองอย่างเลือดเย็น ผิวนุ่มนวลที่ตนเองชอบสัมผัส แปรเปลี่ยนเป็นสีเทาอมม่วงเส้นเลือดปูดโปนเป็นหย่อม เส้นผมสวยดุจไหมทองคำที่ชอบอาสาหวีให้ก่อนนอน ค่อยๆ กลายเป็นงูตัวเล็กตัวน้อยชวนขนลุกจนครบทุกเส้น
“ข้าเกลียดเจ้า เมดูซ่า” หยาดน้ำตาเม็ดโตหยดลงพื้น อาธีน่าหมุนตัวออกจากวิหารอย่างไม่คิดเหลียวหลัง
“เมดดี้ เมดดี้ เฮ้ ตื่นเร็วครับ” นิโคลัส เขย่าร่างบางที่กำลังถูกฝันร้ายเล่นงานอย่างหนักหน่วง กรี๊ดด!!! เมดดี้สะดุ้งลืมตาตื่นอย่างเหนื่อยหอบ ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงจนเจ็บแปลบ
“นิค!!” เมดดี้รีบลุกขึ้นไปกอดรับความอบอุ่นจากชายสูงอายุที่ยินดีจะเข้ามาปลอบทุกครั้งที่เธอเกิดฝันร้าย
“นี่ตีห้าแล้ว ผมลงไปเอาโกโก้อุ่นมาให้ดีกว่า อยู่กับเจ้ามูสไปก่อนนะครับ เจ้านั่นน่ะเป็นห่วงคุณใช่เล่น ตะกายประตูจะเปิดห้องจนเป็นรอยไปหมด”
นิโคลัส เอ่ยด้วยเสียงทุ้ม รอยยิ้มแฝงความใจดีทำให้เมดดี้อุ่นใจเสมอ เจ้ามูสแมวดำสุดหล่อนี่ก็เหมือนกัน แสนขี้อ้อน มูสมักจะเข้ามาคลอเคลียเวลาที่อยากปลอบใจ ยิ่งเวลาไม่สบายก็คือเสนอตัวเป็นพยาบาลนอนเฝ้าไข้ทั้งวัน
#เมดูซ่าไม่ผิด
เนื้อเรื่องจะสลับกับปัจจุบัน และเชื่อมเรื่องราวในอดีตนะคะ เราบอกไว้ก่อนเพราะกลัวคนอ่านงง
ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ