เมื่อรู้ตัวอีกที ผมพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ที่นุ่มสบายราวกับนอนบนปุยเมฆ มีแสงลอดผ่านผ้าม่านสีฟ้าอ่อนปักลายดอกไม้เข้ามากระทบในมุมองศาที่พอดีเป๊ะกับศีรษะ เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์สมองที่ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้วถูกอบจนสุกไปเสียก่อน ผมจึงต้องยันตัวลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างเสียไม่ได้

หลังจากหายมึนแล้ว ผมจึงกวาดตาสำรวจไปรอบห้อง ผนังถูกตกแต่งด้วยวอลเปเปอร์สีฟ้าพาสเทล พื้นเป็นกระเบื้องสีเทาอมฟ้า ที่ข้างเตียงมีพรมเช็ดเท้าสีฟ้าพาสเทลที่เข้มกว่าสีวอลเปเปอร์วางอยู่ ชั้นที่หัวเตียงเป็นสีฟ้าออกขาว โต๊ะและเก้าอี้ที่วางอยู่ติดผนังก็เป็นสีฟ้า กระทั่งแล็บท๊อปบนโต๊ะก็ยังสวมเคสสีฟ้า… เอาเป็นว่าทุกอย่างในห้องนี้ล้วนเป็นสีฟ้า ไม่เว้นแม้กระทั่งชุดนอนที่ผมกำลังสวมอยู่

เดี๋ยวก่อนนะ.. พอก้มลงมองตัวเอง ขนทั่วร่างก็พากันลุกซู่ขึ้นมาโดยมิได้นัดหมาย ก่อนหน้านี้ ผมมีสีผิวออกคล้ำเล็กน้อย และถึงจะไม่ได้เรียกว่าบึกบึนแต่ก็ถือว่ามีกล้ามเนื้อพอสมควร แต่ตอนนี้ นอกจากร่างของผมจะผอมบางพร้อมปลิวไปตามลมแล้ว ผิวก็ยังซีดขาวจนน่ากลัว

ผมรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำเพื่อส่องกระจก ภาพที่สะท้อนออกมาคือเด็กหนุ่มที่มีใบหน้ารูปไข่ขาวนวลเนียนงดงามยิ่งกว่าชายและหญิงใดๆ ที่ผมเคยเห็น ดวงตากลมโตมีหยาดน้ำตาเอ่อคลออยู่ด้านใน จมูกเล็กๆ เชิดรั้น ริมฝีปากอิ่มแดงระเรื่อแถมมีลักยิ้ม ร่างแบบบางสะโอดสะองแต่สมส่วนนั้นเตี้ยกว่าผมตัวจริงเกือบสิบเซ็นต์

นะ นะ นี่มัน… นายเอกพิมพ์นิยมสไตล์ท่านเทพชัด ๆ!

ผมลองยกมือขึ้นหยิกตัวเอง เชี่ย! มันไม่ใช่ความฝันด้วย!

ทรุดตัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรงบนพื้นกระเบื้องสีฟ้าลายลูกไม้ไม่ทันไร จู่ๆ กระดาษแผ่นหนึ่งก็ตกลงมาบนกลางหัวพอดิบพอดี บนกระดาษว่างเปล่าขาวโพลน พอเงยหน้าขึ้นมองเพดานก็ไม่เห็นว่ามีช่องเปิดให้ของตกลงมาได้เลย

ผมหันกลับมาจ้องกระดาษในมือของตัวเองอย่างพรั่นพรึง ตัวอักษณค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาทีละตัวคล้ายถูกพิมพ์ ตอนแรกผมสะดุ้งแล้วกรีดร้องอย่างเสียสติ นอกจากจะโดนส่งมาโลกเกย์นิเวิร์สอะไรนี่แล้ว ยังต้องเจอผีเจ้าที่หลอกตั้งแต่วันแรกเลยเรอะ! แต่เมื่อกลั้นใจมองอีกครั้ง จึงพบว่าที่แท้ก็เป็นสารจากท่านเทพหัวร้อนนั่นเอง

 

‘เจ้ามนุษย์ชั้นต่ำ

ถึงแม้ว่าเจ้าจะลบหลู่ข้าอย่างไม่น่าให้อภัย แต่เพราะข้ามีจิตใจเมตตาการุณย์เป็นที่ตั้ง ดังนั้นจึงจะให้โอกาสเจ้าได้แก้ตัว

เงื่อนไขของข้ามีเพียงอย่างเดียว นั่นคือหากเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงประชากรทั้งหมดของโลกนี้ให้กลายเป็นเกย์ได้ ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว ข้าสาบานว่าจะส่งเจ้ากลับโลกเดิมทันที

และนี่คือพรของข้าที่จะประทานให้เจ้า จงรับไว้ด้วยความปลาบปลื้มและใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้

1. มีความงดงามเหนือบุรุษและสตรีในโลกหล้า ชนิดที่ความงามอย่างมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภากลายเป็นเพียงเศษธุลีดิน

2. ไม่ว่าบุรุษและสตรีหรือคนข้ามเพศเมื่อเห็นเจ้า จะเกิดความหลงใหลอย่างไม่อาจต้านทานได้ ยินยอมพร้อมใจจะกระทำตามคำบอกของเจ้าทุกอย่าง

3. กระทั่งชายแท้ๆ ที่มิเคยชมชอบผู้ชายมาก่อน ก็จะตกหลุมรักเจ้าเข้าในบัดดลเพียงแค่สบตา ดั่งคำว่า ‘กูไม่ได้ชอบผู้ชาย... กูชอบมึงแค่คนเดียว’

 

ข้า เทพเจ้าผู้งดงามที่สุดในบรรดาหมู่เทพ’

 

อะไรนะ? ทำให้ทุกคนในโลกกลายเป็นเกย์? นี่มันชักจะบ้าเกินไปแล้วนะ

ยังไม่ทันที่จะทำความเข้าใจกับเนื้อหา เปลวไฟสีม่วงพลันลุกโชนขึ้น และลามไปทั่วแผ่นกระดาษอย่างรวดเร็วจนต้องโยนทิ้งแทบไม่ทัน แต่เปลวไฟนั้นไม่ได้ลุกไหม้ไปที่อื่นต่อ เมื่อเผากระดาษแผ่นนั้นจนไม่เหลือแม้แต่ผงธุลีแล้ว เปลวไฟปริศนาก็มอดดับไปอย่างไร้ร่องรอย

ผมได้แต่ยืนนิ่งมองเหตุการณ์เหนือธรรมชาตินั้นดำเนินไปต่อหน้าต่อตา ถึงขั้นนี้แล้วก็คงต้องก้มหน้ายอมรับความจริงแล้วสินะ

หลังจากไว้อาลัยให้ตัวเองเป็นเวลาสิบวินาทีถ้วนแล้ว ผมก็รวบรวมร่างกายที่บอบช้ำลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับชะตากรรมอันโหดร้าย ก่อนอื่น ผมคงต้องหาข้อมูลเสียก่อนว่าร่างบางผู้นี้เป็นใคร มาจากไหน ประกอบสัมมาชีพอะไร เพื่อที่จะวางแผนการเปลี่ยนประชากรให้เป็นประชาเกย์ได้อย่างสมบูรณ์

เมื่อฟ้าสีม่วงผ่องอำไพ เหล่าเกย์จะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน!

จากข้อมูลในบัตรประชาชน นายเอกผู้นี้มีชื่อเดียวกับผมคือ ‘สิรวิชญ์ ชาญอักษร’ บวกลบคูณหารแล้วปีนี้อายุ 18 ปี จากบัตรนักศึกษาทำให้รู้ว่าเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับที่ผมเคยเรียน เพียงแต่ชื่อในโลกนี้มีความแตกต่างจากโลกของผมอยู่เล็กน้อย สมมติชื่อมหาวิทยาลัยผมคือ abcd ของพ่อนายเอกนี่ก็จะเป็น abdc ทำนองนั้น

รหัสตัวหลังของผมกับเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นเลขเดียวกัน ด้วยความคล้ายคลึงของชื่อมหาวิทยาลัยแล้วก็พออนุมานได้ว่าน่าจะเรียนคณะเดียวกันอีกด้วย ผมเปิดแล็บท็อปดูเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมจากรหัสนักศึกษา ดีที่ไม่ได้ตั้งรหัสผ่านไว้เลยสามารถล็อคอินเข้าเครื่องได้โดยสะดวก

จากการใช้เวลาเกือบห้าชั่วโมงการค้นหาประวัติของนายสิรวิชญ์คนนี้ทั้งจากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยและโซเชียลเน็ตเวิร์คต่าง ๆ ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะมีฐานะร่ำรวยไม่เบา ขัดกับจำนวนเพื่อนที่ดูน้อยนิดเหลือเกิน

ส่วนทางด้านคณะก็เป็นไปอย่างที่คาด ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดีเพราะนายสิรวิชญ์หมายเลขสองเป็นเฟรชชี่ที่กำลังจะเปิดเทอมในไม่กี่วัน แถมวิชาที่เรียนยังคล้ายกับโลกนั้นมาก ผมเองพอจะมีคลังความรู้ติดสมองบ้าง ฉะนั้นเรื่องเรียนคิดว่าไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมากนัก

พอเอาข้อมูลทั้งหลายที่ได้มาประกอบกันแล้ว พบว่ามิชชั่นของท่านเทพช่างไกลเกินเอื้อมเหลือเกิน สิรวิชญ์เป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาผู้มีดีแค่หน้าตาเท่านั้น และถึงจะรวยพอตัวแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นติดท๊อปเทนประเทศ จะไปมีความสามารถถึงขั้นเปลี่ยนให้ทุกคนเป็นเกย์ได้อย่างไร นี่มันจงใจกลั่นแกล้งกันชัดๆ!

ยิ่งคิดยิ่งเครียด และยิ่งเครียดก็ยิ่งหิว ผมจึงตัดสินใจไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน พอเปิดตู้เสื้อผ้าดูก็พบกับเรื่องน่าสะพรึงยิ่งกว่าว่าเสื้อผ้า กางเกง ถุงเท้า เนคไท เสื้อคลุม และทุกสิ่งที่สามารถนำมาสวมบนสารร่างได้ล้วนอยู่ในโทนสีฟ้า แถมมีไล่ทุกเฉดอีกต่างหาก… ยังโชคดีที่พ่อไม่เอาชุดนักศึกษาไปย้อมเป็นสีฟ้าด้วย เห็นแล้วได้แต่แอบจดโน้ตในใจว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาเวลาไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ได้

กว่าจะทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เป็นช่วงบ่ายพอดี ตอนแรกว่าจะไปหาซื้ออะไรกินที่หน้าปากซอยตามความคุ้นชิน แต่ก็นึกขึ้นมาได้ก่อนว่าตอนนี้ผมมาอยู่ในร่างของสิรวิชญ์คนรวย ไม่ใช่สิรวิชญ์คนจนที่ต้องกล้ำกลืนไปรับงานทำลายสมองอีกต่อไปแล้ว ฉะนั้นจึงสมควรต้องมีแม่บ้านมาทำอาหารให้กินบ้างอะไรบ้าง พอคิดได้แบบนี้ก็ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย เพราะดูจากอากาศในช่วงนี้แล้วนั้น ถ้าขืนต้องเดินออกไปเองคงได้ถูกเผาจนไหม้เกรียมทันทีเป็นแน่

 

บ้านของเด็กหนุ่มใหญ่โตและหรูหราเหมือนที่จินตนาการไว้ เครื่องเรือนล้วนเป็นของที่แค่เห็นก็รู้ว่าแพง ทั้งยังประดับตกแต่งด้วยภาพวาดและเครื่องประดับเก่าแก่อย่างมีรสนิยม แต่ทว่ากลับว่างเปล่าวังเวงจนน่าขนลุก ถ้าจะให้จำกัดความสั้นๆ คงเป็นประเภท ‘ใหญ่โต แต่ขาดชีวิต’ ละมั้ง คือดูแล้วเหมือนเป็นบ้านตัวอย่างในโครงการขายมากกว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย

“มีใครอยู่ไหมครับ!” ผมลองตะโกนเรียก ถึงจะดูไร้มารยาทไปหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าเดินตามหาทั่วบ้านแหละน่า

รอไปสักพักก็ยังไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ทว่าก่อนจะตะโกนเรียกอีกรอบ จู่ๆ หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งพลันเปิดประตูข้างเข้ามาพอดีพร้อมกับหญิงสาวอีกคน เมื่อหญิงวัยกลางคนเห็นว่าผมยืนอยู่บนหัวบันไดก็มีสีหน้าตื่นตกใจ เธอรีบวิ่งขึ้นมาแล้วดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่นทันที

“คุณหนูวิชญ์! ทำไมออกมาข้างนอกห้องแบบนี้ล่ะคะ เดี๋ยวจะป่วยอีกรอบนะ” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือขณะลูบหลังผมเบา ๆ ผมนิ่งไปครู่หนึ่งจึงค่อยยกมือขึ้นกอดกลับแบบเงอะๆ งะๆ

“ผมหายป่วยแล้วครับ… คุณป้า” ผมตอบกลับไป เธอดันตัวผมออกแล้วจ้องมองมาด้วยน้ำตาคลอเบ้า ดูจากคำพูดคำจาแล้วน่าจะเป็นแม่บ้านเก่าแก่ที่ดูแลเด็กหนุ่มมาตั้งแต่เล็ก เพราะฉะนั้นผมจึงเพิ่มรอยยิ้มบางเบาที่ริมฝีปากเพื่อความน่าเอ็นดู อย่างไรเสียการผูกมิตรกับพวกคนรับใช้เก่าแก่ย่อมมีแต่ได้กับได้ ถ้าอ้างอิงจากนิยาย 6,040 เรื่องที่อ่านผ่านตาขณะทำหน้าที่ค้นหาดวงดาวอะไรนั่นอะนะ

ตรงข้ามกับป้าแม่บ้าน หญิงสาวอีกคนกลับมีสีหน้าเฉยชาติดจะรำคาญเสียด้วยซ้ำ และนั่นทำให้อดแปลกใจไม่ได้

ดูโดยรวมแล้ว หญิงสาวผู้นี้น่าจะอายุประมาณเกือบสี่สิบ ทว่าด้วยการแต่งหน้าจัดจ้านและเสื้อผ้าแนบเนื้อที่ใส่อยู่ทำให้ดูเหมือนสาวรุ่น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ดูขัดตาเลยแม้แต่น้อย

เธอเดินอย่างเชื่องช้าขึ้นมา แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ได้มองมา แต่ตอนที่สวนกันผมคิดว่าอย่างไรเธอก็เป็นผู้ใหญ่ ในฐานะที่เป็นเด็กก็ควรจะทำความเคารพเสียหน่อย ผมจึงยกมือขึ้นมาไหว้ รอยยิ้มนอบน้อมถูกจุดขึ้นมาที่ริมฝีปากอีกครั้ง

“สวัส—” คำพูดชะงักอยู่ที่ริมฝีปากเมื่อหญิงสาวเดินผ่านไปราวกับผมเป็นเพียงอากาศธาตุ จะเหลือบมองมาสักนิดก็หาไม่ ผมลดมือลงช้าๆ คล้ายจะได้ยินเสียงหน้าตัวเองแตกเพล้งดังขึ้นมา ได้แต่กลั้วหัวเราะหึในลำคอแก้เขิน

ทว่าป้าแม่บ้านกลับดูเป็นเดือดเป็นร้อนมาก เธอรีบวิ่งเข้ามาหาผมแล้วเอื้อมมือมาลูบหลังด้วยความเป็นห่วง ท่าทางดูแล้วจริงใจไม่ใช่น้อย เธอมองผมด้วยแววตาที่ฉายความเวทนาแวบหนึ่งขณะเอ่ยปลอบ

“ไม่เป็นไรนะคะ คุณผู้หญิงอาจกำลังอารมณ์ไม่ดี คุณหนูอย่าโกรธแม่ของตัวเองเลยนะคะ”

“แม่?” ทวนคำด้วยความสงสัย ผู้หญิงจัดจ้านคนนั้นเป็นแม่ของเด็กหนุ่มหรือนี่ หน้าตาดูไม่ให้เท่าไหร่เลยแหะ… ขณะที่เงียบไปเพราะกำลังบวกลบคูณหารอายุของเธอกับผมอยู่นั้น ป้าแม่บ้านที่คงจะคิดว่าผมกำลังโศกเศร้าเสียใจอยู่จึงพยายามเปลี่ยนเรื่อง

“โธ่ คุณหนูอย่าเสียใจไปเลยค่ะ ไหน ๆ ตอนนี้คุณหนูก็หายดีแล้ว ป้าว่าลองออกไปข้างนอกไหมคะ”

ผมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วนึกขึ้นมาได้ว่าช่วงนี้มีจัดขายหนังสือเรียนที่คณะอยู่ จะไปซื้อพร้อมสำรวจที่ทางในมหา’ ลัยก็ไม่เลวเท่าไหร่นัก “งั้นไปที่มหา’ ลัยละกันครับ ผมว่าจะไปซื้อหนังสือเรียนเสียหน่อย”

ป้าแม่บ้านขมวดคิ้ว “เรื่องแบบนี้ให้คนรับใช้ไปซื้อเองก็ได้มั้งคะ ไม่จำเป็นต้องลำบากไปเองเลย”

ผมชะงักไป นั่นสิ รวยขนาดนี้จะไปซื้อเองให้เหนื่อยทำไมวะ

“แต่ผมอยากไปซื้อเองมากกว่าครับป้า ช่วงนี้อยู่แต่ในบ้านจนเริ่มเบื่อแล้ว” และผมไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงประหลาดคนนั้นเท่าไหร่ด้วย แต่เรื่องนี้พูดออกไปไม่ได้แน่ “เห็นว่าห้างแถวนั้นเพิ่งเปิดร้านอาหารใหม่ เดี๋ยวพอซื้อเสร็จแล้วจะได้ไปหาอะไรกินต่อเลย”

“งั้นป้าไปเรียกคนขับรถก่อนนะคะ คุณหนูไปรอที่หน้าบ้านได้เลยค่ะ” ผมพยักหน้ารับเป็นเชิงขอบคุณ ตอนที่กำลังจะเดินลงบันไดไปต่อนั้นก็ได้ยินเสียงกระแทกประตูดังสนั่นไล่หลังมา ตามด้วยเสียงข้าวของแตกกระจาย

แม่งั้นรึ… ผมหัวเราะเบาๆ ดูเหมือนว่าจะส่อแววปัญหาครอบครัวสุดคลาสสิคตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วสิ

ก็น่าสนุกดีนี่

 

คนขับรถเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาเรียบเฉยที่เอาแต่ขับรถไปเรื่อยๆ เหมือนหุ่นยนตร์ ผมเองก็ไม่ได้สนใจจะพูดคุยทักทายกับเขาเท่าไหร่นัก จึงเสียบหูฟัง นั่งไถแอปโซเชี่ยลทั้งหลายไปพลางๆ ขณะเอนตัวผิงเบาะนุ่มในรถหรูราคาเฉียดสิบล้าน

จนกระทั่งเกือบถึงหน้าประตูรั้วคณะ คนขับจึงเอ่ยปากพูดในที่สุด “จะลงตรงไหนครับ”

ผมสะดุ้งแล้วดึงเอาหูฟังออกจากหู “ตรงหน้าคณะก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเดินเข้าไปเอง”

เขาขมวดคิ้วนิดหน่อยแต่ไม่ได้เอ่ยค้านอะไร รถหรูจอดตรงก่อนถึงหน้าประตูเล็กน้อย เรียกความสนใจจากผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้มากโข ผมเช็กข้าวของเครื่องใช้ว่าเอามาครบถ้วนแล้วจึงคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพาย จากนั้นก็เปิดประตูรถลงไป

“เสร็จแล้วโทรเรียกผมนะครับ” คนขับเอ่ยไล่หลังก่อนจะขับรถออกไป

เมื่อเข้ามาแล้วก็พบว่า นอกจากชื่อจะคล้ายกันแล้ว แผนผังของมหา’ ลัยแห่งนี้ก็แทบไม่ต่างอะไรจากของผมมากนัก จึงตัดปัญหาหลงทางไปได้อีกหนึ่ง... ซึ่งก็คงไม่ได้ช่วยอะไรในแผนการครองโลกมากนัก

ระหว่างทางเดินเป็นอะไรที่ทรมานใจมากเพราะมีแต่คนหันมามองผมตลอด กระทั่งเดินผ่านไปกันแล้วก็ยังเหลียวหลังมองตามมาด้วย่านตาหลงใหลได้ปลื้มอย่าปิดไม่มิด ผมที่ไม่ค่อยเป็นจุดสนใจของมนุษย์หน้าไหนมาก่อนจึงรู้สึกเขินไม่ใช่น้อย ยิ่งเห็นว่ามีคนมองตามมแล้วกระซิบกระซาบกันยิ่งชวนให้รู้สึกว่ากำลังถูกคุกคามยังไงไม่รู้ จึงเร่งสาวเท้าไปยังใต้ตึกคณะอย่างรวดเร็ว

 

ที่ลานใต้ตึกคณะบริหารฯ มีซุ้มขายหนังสือเรียนตั้งอยู่ตรงกลางอย่างโดดเด่น พวกรุ่นพี่ในชุดนักศึกษานั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ มีคนมาเลือกซื้อหนังสือบ้างประปราย อาจเพราะราคาก็ไม่ถูกกว่าด้านนอกมากนักละมั้ง คนก็เลยขี้เกียจถ่อสังขารมาซื้อถึงที่นี่

ผมกวาดสายตามองหนังสือเทียบกับรายชื่อในอีเมล์ และพบว่าขาดไปอยู่เล่มหนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นมาเรียกรุ่นพี่ที่ยังเอาแต่นั่งคุยกัน “พี่ครับ คือเล่มนี้…”

“เออมึง เมื่อวานไปดูหนังแม่งโคตรน่าเบื่อว่ะ กูจะหลับคาโรง”

“กูบอกมึงแล้วไหมล่ะ สมน้ำหน้าไม่ฟังกู”

“…” โดนเมินอย่างสมบูรณ์แบบ ผมได้แต่ยิ้มแห้งแล้วเอ่ยเรียกด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมจนแทบกลายเป็นการตะโกน

“พี่ครับ!”

รุ่นพี่ทุกคนพลันเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกันทันที แล้วจากนั้นทุกสรรพสิ่งก็เงียบสงัดดุจมีคนมากดปิดสวิชต์ เงียบชนิดว่าถ้าเข็มตกก็ยังได้ยิน สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่ผมเป็นทางเดียว ดวงตาของพวกเขาแลดู… เลื่อนลอย? คล้ายกำลังเคลิบเคลิ้มด้วยฤทธิ์จากสมุนไพรสีเขียวจนถึงจุดสูงสุด

“นะ นะ น้องต้องการอะไรหรือครับ” หลังจากเดดแอร์ไปสักพัก รุ่นพี่คนหนึ่งที่รวบรวมาติได้ก่อนเพื่อนก็ละลั่กละล่ำพูดขึ้นมา ใบหน้าของเขาแดงเถือกไปถึงใบหู

คงไม่ได้โดนกระทืบใช่ไหม… ผมยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ ก่อนตอบ “คือเล่มนี้มันไม่มีในซุ้มอะครับ ผมเลยจะถามว่าต้องไปหาซื้อจากที่ไหน”

“น้อง น้องไม่ต้องไปซื้อหรอกครับ ทิ้งไลน์มาเลย เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้ แล้วค่อยนัดรับกันอีกที” รุ่นพี่คนหนึ่งรีบตอบ เรียกสายตาน่ากลัวจากบรรดาเพื่อนๆ ที่พร้อมใจกันหันมองเขาเป็นทางเดียว

“ไอ้หะ— อะแฮ่ม! อย่ามาเนียนครับเพื่อน กูรู้นะว่ามึงคิดอะไรอยู่”

“กูไม่ได้คิดอะไรเว้ย แค่อยากช่วยน้องเขาปะวะ”

แล้วหลังจากนั้นก็เป็นความโกลาหลย่อมๆ เมื่อเหล่ารุ่นพี่และบรรดาคนที่กำลังซื้อหนังสืออยู่แถวนั้นต่างพุ่งเข้ามาหาผมอย่างไร้สติดุจแมลงวันตอมขี้ ทั้งมาขอถ่ายรูปคู่และมาขอแลกไลน์แลกเบอร์กัน ชุลมุนวุ่นวายเสียจนจนตอนแรกนึกว่าผมเผลอไปลบหลู่ศาลไหนมา เลยโดนบรรดาสาวกตามมารุมกระทืบ ถ้าไม่ได้ยินเสียงของพวกเขาเสียก่อน

“ลูกขาาา สนใจลงเพจคิวต์บอยไหม แม่จะไปติดต่อให้ค่าาา อร้ายยย น่ารักไม่ไหวแล้วว”

“น้องงง น้องคือความหวังของหมู่บ้านค่ะ ปีนี้ตำแหน่งเดือนมหาลัยจะหนีไปไหนได้คะ ต้องตกเป็นของคณะเรานี่แหละ!”

“ทำไมน้องถึงได้น่ารักขนาดนี้ครับ หัวใจพี่จะละลายเป็นเบอร์ 08x-xxx-xxxx”

นี่มันคือเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย! หรือว่าจะเป็นผลของพรอะไรนั่น… ชักจะน่ากลัวเกินไปแล้วละมั้ง

ขะที่กำลังยืนงงในดงคนเมาอยู่นั้นเอง ดุจสรวงสวรรค์เมตตาเปิดทาง จึงมีเสียงทุ้มต่ำเจือความหงุดหงิดแทรกขึ้นมากลางวง

“พอได้แล้ว หนังสือขาดนี่ไม่คิดจะรับผิดชอบกันเลยหรือ อย่าลืมว่ายังมีรุ่นน้องอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ซื้อกันนะ”

ราวกับว่าเสียงนั้นเป็นรัศมีบุญที่ส่องสว่างลงมายังขุมนรก เหล่าวิญญาณร้ายที่รุมทึ้งผมถึงกลับหยุดชะงักกะทันหัน ผมรีบหันไปมองที่ต้นเสียง และเมื่อเห็นใบหน้าของต้นกำเนิดแสงบุญแล้ว ผมก็เป็นฝ่ายชะงักบ้าง

ชายหนุ่มมีรูปร่างสูงกำยำ ผิวขาวผ่องออร่า ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มติดจะเย็นชาเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นคมกริบเหมือนพญาราชสีห์กำลังจับจ้องเหยื่อ แม้จะสวมเสื้อมิดชิดแบบไม่คำนึงถึงสภาพอากาศแต่กลับให้ความรู้สึกร้อนแรงดุจไฟเออร์ แล้วยังไงต่อวะ… สีผมสีตาของเขาก็ตามปกติของคนไทยทั่วไป ไม่ได้เป็นสีเทาควันบุหรี่หรือเป็นสีฟ้าน้ำทะเลลึกสุดหยั่งเหมือนพระเอกคนอื่นเขา สรุปรวมๆ คือหล่อมาก หล่อจนฉุดค่าเฉลี่ยของคนทั่วประเทศให้ขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์หน้าตาดีได้ ขนาดนั้นเลย

“พี่ธีระ…” ใครสักคนเรียกขึ้นมาอย่างยำเกรง แล้วฝูงชนก็สลายการชุมนุมกลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว

“เอ้า ในเมื่อของหมดก็เอามาเติมสิ มัวแต่นั่งรออะไร” คุณพี่ธีระว่าเสียงเรียบ ส่วนพวกรุ่นพี่หน้าซีดไปเลย

พวกเขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดกันมือระวิง สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางราวกับนักโทษรอฟังคำตัดสินประหารชีวิต

“คือผมลองเช็กกับคนคุมสต๊อกแล้ว เขาบอกว่าของที่เหลือจะมาถึงวันพรุ่งนี้น่ะพี่ เหมือนว่ามีปัญหากับสำนักพิมพ์หรืออะไรนี่แหละ รอบแรกเลยส่งมาไม่ครบ”

“แล้วยังไงต่อ”

“ผมติดต่ออาจารย์ที่ดูแลเรื่องนี้แล้ว ท่านบอกว่าจะช่วยเร่งสำนักพิมพ์ให้… คือตอนช่วยกันขนมาพวกผมนับจำนวนกันดีแล้วนะ! ไม่ได้นับขาดแน่นอน”

แล้วเขาก็ทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่พี่ธีระยกมือขึ้นมาห้ามด้วยสีหน้าหน่ายใจเสียก่อน “เอาเถอะ ในเมื่อปัญหาไม่ได้อยู่ที่พวกเธอ พี่ก็ไม่ได้จะว่าอะไร แต่อยากเตือนว่าอย่าเล่นกันระหว่างทำงานให้มากนัก มันเสียภาพลักษณ์ที่ปกติก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้วกันหมด”

พวกรุ่นพี่ยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่ายปะหลกๆ สีหน้าท่าทางดูโล่งใจมากจนผมนึกสงสัย คุณพี่คนนี้เขาน่ากลัวขนาดนั้นกันเชียว หรือว่าจะเป็นมาเฟีย?

ความคิดไร้สาระถูกแทรกด้วยเสียงเย็นๆ ของฝ่ายตรงข้ามที่ตอนนี้จ้องมองมาด้วยแววตาคล้ายกำลังประเมิน “ว่าไง เธอจะมาพรุ่งนี้อีกรอบหรือจะไปซื้อข้างนอกเอง แต่ขอบอกว่าสำหรับเล่มนี้ ข้างนอกขายแพงกว่ามาก”

“เดี๋ยวไปซื้อข้างนอกก็ได้ครับ ผมไม่ค่อยว่างมาที่คณะเท่าไหร่” จริงๆ ก็ว่างแหละ แต่ผมไม่อยากโดนฝูงซอมบี้รุมทึ้งอีกแล้วเลยตอบไปเช่นนั้น

พี่ธีระพยักหน้ารับ เขาคว้ากระดาษมาจดยุกยิกแล้วยื่นให้ผม “ไปซื้อที่ร้านนี้ก็แล้วกัน ถึงจะแพงกว่าที่คณะขาย แต่ก็ถือว่าถูกกว่าเจ้าอื่นเยอะ”

ผมเอ่ยขอบคุณแล้วรับมาดู บนกระดาษมีชื่อร้านและสถานที่ตั้งอย่างละเอียด และโชคดีที่ร้านตั้งอยู่ในห้างที่ผมว่าจะไปกินข้าวพอดี

“จะว่าไป เธอ… วิชญ์?”

“ครับ รู้จักผมด้วยเหรอ”

“อือ เธอเป็นสายรหัสของพี่ไง เมื่อวานพี่รหัสเธอเพิ่งส่งเฟซมาให้ เมื่อเช้าเลยทักไปแต่ไม่ตอบอะไรเลยนี่”

ผมนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นมาได้ เมื่อเช้าตอนที่นั่งค้นข้อมูล ผมพึ่งไล่กดรับคำขอเป็นเพื่อนของพวกพี่สายรหัสไป เห็นมีคนหนึ่งทักแชทมายาวเหยียดแต่ตอนนั้นขี้เกียจเลยกดเข้าไปเคลียร์แจ้งเตือนเฉยๆ ไม่คิดว่าจะได้เจอตัวจริงเร็วขนาดนี้เลยแหะ

ผมยิ้มแห้งกลับไป “ขอโทษครับพี่ พอดียุ่งๆ อยู่เลยกดเข้าไปแต่ยังไม่ได้อ่านละเอียด ยังไงเย็นนี้จะตอบกลับไปนะครับ”

อีกฝ่ายส่ายหน้าแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็ทำให้ใบหน้าของเขายิ่งเพิ่มความหล่อขึ้นไปแบบทวีคูณ

“เอาเถอะ พี่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรขนาดนั้น” แล้วเขาก็ทำท่าเหมือนพึ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “ต้องแนะนำตัวด้วยใช่ไหม พี่ชื่อธีระ กำลังจะขึ้นปีสี่ ถ้ามีปัญหาอะไรก็ติดต่อมาได้เสมอนะ”

ว่าแล้วพี่เขาก็ยกมือขึ้นโบกลาก่อนจะหมุนตัวดินจากไปด้วยท่วงท่าสง่างาม ผมคล้ายถูกมนตร์สะกดบางอย่างจึงเผลอใจหันมองตามไปจนสุดสายตา โห… คนอะไรวะแค่มองด้านหลังก็รู้ว่าหล่อ

“เอ่อ น้องครับ” มีคนหนึ่งสะกิดเรียก ผมหันไปมองและพบว่าเป็นรุ่นพี่กลุ่มนั้นนั่นเอง เลยเลิกคิ้วเป็นเชิงถามมีอะไรหรือ

“คือพี่อยากจะเตือนน้องอย่าง… คืออย่าบอกพี่ธีระนะ” พอผมพยักหน้าเขาจึงพูดต่อ “ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่ พี่อยากจะเตือนน้องว่าทางที่ดีแล้ว ระวังอย่าทำให้พี่ธีระขุ่นเคืองใจแม้แต่น้อยนิดนะครับ แล้วก็… ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอย่าทักไปหาพี่เขาเลยนะ”

“อ่า ครับ” ผมรับคำ พอมองเลยไปด้านหลังก็เห็นว่ารุ่นพี่คนอื่นล้วนพยักหน้าอย่างแข็งขันด้วยสีหน้าจริงจัง ท่าทางไม่ได้ล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย

“ทำไมเหรอครับ” ผมลองถามกลับไป พวกรุ่นพี่ยิ่งมีสีหน้าเครียดกว่าเดิม

“พี่ไม่บังอาจพูดครับ”

“ถูกต้องแล้ว เรื่องนี้กระทั่งตายก็ยังพูดไม่ได้”

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย พี่ธีระอะไรนั่นเป็นคนที่คุณก็รู้ว่าใครอย่างนั้นรึ แล้วถ้าอย่างนั้น…

“แล้วเรียกชื่อพี่เขาได้ไหมครับ หรือว่าเป็นเรื่องไม่บังควร?” แต่เอ๊ะ เมื่อกี้ก็เห็นคนเรียกกันนี่น่า

ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะแบบฝืนๆ “เรียกได้ครับ แต่ทางที่ดีพยายามหลีกเลี่ยงจะดีกว่า”

 

หลังจากกำชับกันสองสามคำแล้ว ผมก็ลาพวกรุ่นพี่ที่แล้วเดินออกมา ในสมองยังคงเรื่องพี่สายรหัสนามธีระวนเวียนอยู่ เชี่ย นี่ผมกำลังเข้ามาพัวพันกับอะไรครับเนี่ย เจ้าแห่งโลกมืดงั้นเรอะ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดเข้าแอปพลิเคชั่นเมสเสนเจอร์ แชทบนสุดปรากฏชื่อนามสกุลเต็มของชายหนุ่มที่เพิ่งสนทนากันเมื่อครู่

‘Theerawat Anatraratch’

 

ผมควรจะลบแชททิ้งไปดีไหมเนี่ย