หลังจากเอ้อระเหยลอยชายอยู่นาน ในที่สุดก็ถึงเวลาเปิดเทอมจนได้

อัปเดตสถานการณ์ระหว่างนี้เล็กน้อย นับตั้งแต่วันนั้น ผมก็ไม่ได้พบสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘แม่’ เลยแม้แต่เงา ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดีแล้ว เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะวางตัวกับแม่ผู้เย็นชาและไม่สนใจลูกอย่างไรไม่ให้ขัดกับมาตรฐานศีลธรรมอันสูงส่งของชาวประเทศนี้เหมือนกัน

ส่วนทางด้านลอร์ดธีระ เนื่องจากกลัวว่าพี่ท่านจะพิโรธตามที่พวกรุ่นพี่ว่าไว้ สุดท้ายเลยต้องกดเข้าไปอ่านข้อความอย่างละเอียด เนื้อหาก็สมกับเป็นรุ่นพี่ผู้แสนดีจริงๆ ทั้งเรื่องรายวิชา อาจารย์ สถานที่ต่างๆ ในมหาวิทยาลัยตลอดการเข้าร่วมกิจกรรมสะสมแต้มต่างๆ ล้วนถูกลิสต์ออกมาเป็นหัวข้อ มิหนำซ้ำยังมีภาพประกอบอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนไร้ระเบียบอย่างผมแล้ว ก็นับได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตคนละชั้นกันอย่างแท้จริง

และหลังจากไปสอบถามเรื่องพี่ธีระจากบรรดาพี่รหัสตลอดจนพี่บัณฑิตแล้ว ทุกคนล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าพี่ท่านคืออภิมหาตำนานของมหา’ ลัยแห่งนี้ เรียกได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จัก… และพอได้ฟังวีรกรรมต่างๆ ของพี่แกแล้วก็อดขนลุกไม่ได้ นี่ผมมีบุญญาธิการได้เป็นสายรหัสของบุคคลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือนี่

พอบอกไปแบบนั้น พวกรุ่นพี่ก็เงียบไปสักพัก แล้วตอบกลับมาสั้นๆ แค่ว่า ‘เรียกว่าเป็นกรรมหนักของพวกเราดีกว่านะ’

… เอาเป็นว่าจบประเด็นเรื่องนี้ไปก่อนละกัน

 

หลังจากกินข้าวเช้าแล้ว ผมก็เรียกลุงคนขับรถให้ไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้า ด้านในสถานียามนี้ค่อนข้างเงียบ อาจเป็นเพราะผมออกมาเช้ามาก ซึ่งก็ไม่ใช่เพราะขยันหรือว่าอะไร แต่นายสิรวิชญ์คนเก่าดันสุ่มกาชาได้เซคที่เริ่มเรียนตอนแปดโมงเช้า ผมเลยต้องรับกรรมต่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ครั้นจะเปลี่ยนเซคก็ต้องรอไปอีกหนึ่งอาทิตย์หลังเปิดเทอม ช่างเศร้าแท้ชีวิต

จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงรังสีเย็นยะเยือกน่าขนลุกจากทางด้านหลัง มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายออกมาไม่ถูก คล้ายกับเป็นความ… เหม็นเน่า?

เหม็นคลุ้งเสียจนน่าสะอิดสะเอียน…

“วิชญ์?” เสียงที่ดังขึ้นมาพร้อมสัมผัสเย็นเยียบที่หัวไหล่ทำให้ผมสะดุ้งเฮือก ผมหันหน้าไปด้านหลังโดยอัตโนมัติ และก็ต้องสะดุ้งอีกรอบเมื่อไปปะกับใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาในระยะประชิด จนริมฝีปากเฉี่ยวกับแก้มของฝ่ายตรงข้ามแบบไม่ได้ตั้งใจ

พี่ธีระ…

ผมอ้าปากพะงาบๆ ด้วยไม่รู้ว่าจะตอบอะไรกลับไป บรรยากาศชวนขนหัวลุกนั่นหายไปแล้ว เหลือเพียงบรรยากาศชวนเคอะเขินเท่านั้น และเพราะอีกฝ่ายคือลอร์ดมืดธีระ ดังนั้นลืมบรรยากาศโรแมนติกแบบในนิยายไปได้เลย

“บะ บะ บ้านอยู่แถวนี้หรือครับ” นั่นคือสิ่งแรกที่ผมพูดไปหลังจากหาเสียงของตัวเองเจอ พี่ธีระพยักหน้ารับ

“เธอนี่ออกมาเช้าเหมือนกันนะ เพิ่งจะหกโมงครึ่งเอง”

“อ่า พอดีผมมีเรียนเซคแปดโมงครับ แล้วเปิดวันแรกด้วยเลยอยากไปเช้าๆ หน่อย” ผมตอบกลับไป ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “จะว่าไป… พี่เองก็มาเช้าเหมือนกันนะครับ”

“อ้อ พี่มีประชุมที่สโมฯ พอดีน่ะ เวลาไหนๆ ก็ไม่มีใครว่างกัน มีแค่ตอนเช้านี่แหละ”

“ขยันจังเลยนะครับ” ผมรับคำ แล้วนึกขึ้นมาได้ว่าพี่รหัสเพิ่งเล่าให้ฟังว่าพี่ธีระเป็นประธานรุ่นมาทุกปี แถมเป็นประธานสโมฯ ของคณะอีกต่างหาก ซึ่งที่มาของตำแหน่งนั้นเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยอภินิหารอันน่ามหัศจรรย์ จนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในไฮไลต์ของตำนานพี่แกเลยทีเดียว

“ไม่หรอก มันเป็นหน้าที่ ว่าแต่เซคแปดโมงคือเซคอาจารย์รินทร์ใช่ไหม”

“วิชาสแตทอะครับ ยังไม่รู้เหมือนกันว่าอาจารย์ชื่ออะไร”

พี่ธีระขมวดคิ้วทำหน้าครุ่นคิด “งั้นน่าจะอาจารย์พีระพงษ์… ถึงแกจะดุไปหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นอาจารย์ที่สอนเก่งมาก เรียนเซคนี้ดีแล้ว พี่สนับสนุน”

อ่าว… ผมที่กำลังคิดจะเปลี่ยนเซคเลยได้แต่ยิ้มแห้งในใจ ในเมื่อพูดเสียขนาดนี้แล้ว ผมจะแอบไปเปลี่ยนได้อย่างไรละครับ!

หลังจากนั้นพี่ธีระก็หันไปสนใจอุปกรณ์ประหลาดในมือของเขา ผมก็ไม่มีความกล้าและไม่รู้จะชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องอะไรเลยหันกลับไปเล่นโทรศัพท์ต่อ จนกระทั่งรถไฟฟ้าแล่นมาถึงสถานี ผมจึงก้าวเดินขึ้นไปโดยไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอด้วยความคุ้นชิน

“อย่าเล่นโทรศัพท์เวลาขึ้นลงรถ” เสียงเรียบนิ่งดังขึ้นที่ข้างหูก่อนที่ร่างของผู้พูดจะเดินเฉียดผมไป กลิ่นน้ำหอมซึ่งโชยมาให้ความรู้สึกวิงเวียนอย่างน่าประหลาด น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้กลิ่นอะไรเลยแม้แต่น้อย

ผมมองตามเข้าไป แล้วก็ต้องสะดุ้งจนโทรศัพท์เกือบจะลื่นหลุดมือเมื่อว่าแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มกลายเป็น หลุมดำมืดสุดหยั่งที่ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกจนสั่นสะท้าน มีสิ่งชั่วร้ายน่าขยะแขยงเคลื่อนไหวยุบยับอยู่ในวังน้ำวนนั้น แต่ในชั่วพริบตามันก็สลายไปราวกับเป็นแค่ภาพลวงตา

นั่นอะไรกัน…

ผมยืนเอ๋ออยู่ตรงนั้นจนกระทั่งเสียงเตือนประตูปิดดังขึ้นมาจึงเพิ่งได้สติรีบกระโดดเข้าขบวนรถ พี่ธีระที่นั่งอยู่ริมสุดเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมพอดี แล้วขมวดคิ้วเป็นเชิงตำหนิ

“บอกแล้วว่าอย่าเล่นโทรศัพท์”

“อ่า…” ผมยิ้มแห้ง อยากจะบอกไปเหลือเกินว่าที่ยืนนิ่งอยู่ตรงประตูเสียนานมันเป็นเพราะพี่นั่นแหละโว้ยยย แต่ภายนอกก็ได้เพียงตกปากรับคำแบบเด็กดี

ระหว่างที่นั่งอยู่ผมก็เหลือบมองพี่ธีระเป็นระยะ พอแน่ใจว่าไม่น่าจะมีอะไรแปลกๆ โผล่ออกมาแล้วจึงค่อยถอนสายตากลับไปดูโฆษณาบนทีวีของรถไฟฟ้า ไม่กล้าหยิบโทรศัพท์ออกมาให้ขัดเคืองสายพระเนตรท่านอีก

บางทีคงเป็นเพราะนอนน้อยเกินไปละมั้งเลยเบลอจนเห็นอะไรแบบนั้นได้ ผมปลุกปลอบใจตัวเอง ถึงพี่ธีระจะดูมีออร่าประหลาดเกินคนทั่วไปอยู่บ้าง แต่อย่างไรเสียก็เป็นมนุษย์ธรรมดาแบบเราๆ นี่แหละ… มั้ง

 

ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ในที่สุด รถไฟเที่ยวที่ลุ้นระทึกที่สุดในชีวิตก็ถึงจุดหมายเสียที ตอนแรกนึกว่าจะรอดพ้นแล้ว แต่พี่ธีระกลับเดินตามมา

“เอ้อ เที่ยงนี้มีกิจกรรมรับน้อง เธอจะไปเข้าร่วมไหม”

รับน้อง? เออ จริงด้วย เห็นมีโพสต์ในกลุ่มอยู่ว่าหนึ่งเดือนหลังจากเปิดเทอมจะมีกิจกรรมรับน้องตอนเที่ยง ไม่บังคับให้เข้าร่วม ใครไม่อยากเข้าก็ไม่ต้องเข้า ไม่มีบทลงโทษอะไร แต่สิ่งที่ดึงดูดใจผมมากที่สุดคือบรรทัดสุดท้ายของโพสต์ว่า

‘มี-แจก-ข้าว-เที่ยง-ฟรี!’

ขนาดนี้แล้วก็ไม่ต้องถามเลยว่าจะเต็มใจเข้าร่วมหรือเปล่า ผมขอตอบสั้นๆ คำเดียวว่า

“เข้าครับ” เรื่องแบบนี้มันแน่อยู่แล้ว คิดถึงของฟรี คิดถึงสิรวิชญ์!

“ก็ดี” อีกฝ่ายพยักหน้า “งั้นตอนเที่ยงพี่จะลองไปดูสักหน่อย ไว้เจอกันนะ”

ว่าแล้วพี่ธีระก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วจนมองตามไม่ทัน ทิ้งไว้เพียงประโยคสุดท้ายที่ยังคงดังก้องอยู่ในหู

‘ไว้เจอกันนะ’

ในหัวปรากฏประโยคสุดคลาสสิกลอยขึ้นมา ‘Dark Lord Theerawat is watching you’

ไม่จริงงงงงงง แถมดันไปตกปากรับคำไว้มั่นเหมาะแล้ว จะหนีก็หนีไม่ได้อีก บ้าเอ๊ย!

 

สรุปตลอดคาบเช้านั้นก็เรียนไม่รู้เรื่องเกือบทั้งคาบ เพราะสมองยังคงวนเวียนอยู่แต่เรื่องรุ่นพี่ผู้ลึกลับ และแน่นอนว่าไม่ใช่ในทางชู้สาว

ส่วนเรื่องเปลี่ยนเซคนั้นก็ถูกยกเลิกไปจากสารบบความคิดเรียบร้อย เพราะนอกจากจะมีพระบัญชาลงมาให้เรียนเซคนี้แล้ว ผมยังค้นพบว่าความดุของอาจารย์พีระพงษ์นั้นเรียกได้ว่าเป็นเกราะกันภัยชั้นดีไม่ให้ผมโดนฝูงซอมบี้รุมทึ้งเหมือนเช่นตอนมาซื้อหนังสือเรียนได้

เรื่องของเรื่องคือ ทันทีที่ผมเดินเข้ามาในห้อง สรรพเสียงพลันหยุดชะงัก สายตาของชายหนุ่มทุกผู้ล้วนจ้องมองมาที่ผมเป็นตาเดียว ราวกับว่าผมเป็นสิ่งแปลกปลอมที่หลุดมาจากนอกโลกอย่างไรอย่างนั้น

“เอ่อ สวัสดี” ผมโบกมือทักทายกลับไป ซึ่งนั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์

ราวกับว่าการโบกมือของผมไปแตะโดนสวิช์อะไรบางอย่างเข้า สภาพในห้องกลายเป็นความโกลาหลเมื่อบรรดาผู้ชายล้วนลุกฮือเข้ามารุมล้อมฉุดกระชากลากถูให้ผมไปนั่งกับพวกเขา จากนั้นก็เป็นการพยายามแจกเบอร์ แจกเฟซ แจกไอจี แจกสารพัดทุกสิ่งที่สามารถจะเป็นช่องทางติดต่อได้

ทางด้านพวกผู้หญิง แม้จะไม่ได้เข้ามารุมล้อมผม แต่ทุกคนล้วนจับกลุ่มซุบซิบกันอย่างตื่นเต้น ฟังคร่าวๆ แล้วดูเหมือนจะเป็นการพยายามจับคู่จิ้นผมกับชายหนุ่มรูปหล่อแต่ละคนในห้อง ซึ่งให้ความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก

ตอนที่ผมคิดว่ากำลังจะขาดอากาศหายใจตายไปแล้วนั่นเอง ประตูห้องก็พลันเปิดออกอีกครั้ง แล้วร่างท้วมของชายวัยกลางคนก็ก้าวเข้ามา

“นักศึกษาทั้งหลาย พวกเธอกำลังทำอะไรอยู่! กลับไปนั่งที่ได้แล้ว!” ตามมาด้วยเสียงดังกึกก้องไปทั่วห้อง แม้จะไม่ได้ใช้ไมโครโฟนในก็ตาม

หลังจากนั้นอาจารย์ก็เริ่มสอนทันทีโดยไม่ได้แนะนำตัวอะไรเลยแม้แต่น้อย ไม่มีการเกริ่นนำอะไรทั้งสิ้น ระหว่างนั้นก็มี TA เดินเข้ามาแจกเอกสารคอร์สให้ เลยเห็นว่าชื่ออาจารย์คือพีระพงษ์เหมือนที่พี่ธีระได้บอกไว้เมื่อเช้า

พอเริ่มมีคนพยายามชวนผมคุยในห้อง อาจารย์ที่ราวกับมีตาหลังก็หันมาตะโกนว่า “นักศึกษา! ตั้งใจเรียนหน่อย ไม่งั้นก็ไม่ต้องเข้ามาเรียนกับผม!”

และเป็นเช่นนี้ทุกครั้งไป จนในที่สุดผมก็ได้นั่งเรียนอย่างสงบสุขเสียที

พอเลิกเรียนแล้ว ผมก็รีบเก็บของแล้วรีบเดินออกจากห้องไปทันที ไม่กล้าอยู่ในห้องต่อแม้แต่วินาทีเดียวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น แต่แล้วก็มีคนมาสะกิดแขนผมเบาๆ เสียก่อน เลยต้องหันหน้ากลับไปอย่างเสียไม่ได้

คนที่มาสะกิดไม่ใช่ชายหนุ่มร่างกำยำผู้บ้าคลั่งอย่างที่คิดไว้ แต่เป็นชายหนุ่มร่างผอมบางท่าทางขี้อาย หน้าตาอ่อนเยาว์น่ารักเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ดวงตากลมโตเหมือนลูกเก้งน้อยที่ช้อนขึ้นมามองถูกล้อมรอบด้วยแพขนตาหนางอนเด้ง

“มีอะไรเหรอครับ” ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลงเล็กน้อย ถ้าอีกฝ่ายเข้ามาผูกมิตรกับผมก็คงจะดีมาก… อย่างน้อยก็ดีกว่ากลุ่มชายฉกรรจ์พวกนั้นแหละน่า

“คือเรา… เรายังไม่มีเพื่อนเลย ขอไปกินข้าวกับนายได้ไหม” อีกฝ่ายก้มหน้างุดถามเสียงแผ่ว ท่าทางบอบบางน่าทะนุถนอมรวมกับลักษณะทางกายภาพช่างเหมือนกับพวกนายเอกคลิเช่ในนิยายวายไม่มีผิด

เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ…

จู่ๆ บนหัวของฝ่ายตรงข้ามพลันปรากฏตัวอักษร 4D เรืองแสงสีม่วงอ่อนขนาดยักษ์ว่า

‘นายเอก’

อะไรกันเนี่ย! ผมหันซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นว่าจะมีใครตื่นตะลึงกับตัวอักษรบนหัวของเขาเลย ผมเลยลองขยี้ตามองอีกสามรอบ แต่ก็พบว่าตัวอักษร ‘นายเอก’ ก็ยังคงลอยเด่นอยู่เหนือหัวของเขาเช่นเดิม เติมคือตอนนี้มันกะพริบแสงเป็นจังหวะสามช่าอีกต่างหาก

“เอ่อ… ได้เลย เราก็ยังไม่มีเพื่อนเหมือนกัน” พอตอบรับไป ตัวอักษรสีม่วงอ่อนเหล่านั้นก็สลายเป็นผงแล้วซึมเข้าสู่ร่างของนายเอกผู้นั้นทันที

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คุณนายเอกก็ฉีกยิ้มกว้างสดใสทันที “จริงเหรอ ขอบใจมากนะ เราชื่อเดียร์ นายชื่ออะไรอะ”

“วิชญ์…” ผมตอบกลับไปสั้นๆ ด้วยยังรู้สึกอึ้งไม่หายกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเมื่อกี้นี้อยู่

ดูจากรูปการณ์แล้ว ชายหนุ่มผู้นี้คงเป็นตัวช่วยที่จะนำไปสู่มิชชั่นอิมพอสสิเบิ้ลของท่านเทพสินะ ถ้าเป็นแบบนี้ไม่คว้าไว้ก็คงโง่เต็มทนแล้ว

เอาล่ะ! มาเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของฉันเถอะนะ พ่อนายเอก!

 

ผมตัดสินใจไปนั่งในห้องสมุด ตากแอร์เย็นๆ รอจนถึงช่วงพักเที่ยงจะได้ไปรับแจกข้าวฟรี เอ๊ย! ไปเข้ารับน้องต่างหาก ซึ่งเดียร์เองก็เห็นด้วย พวกเราสองคนเลยได้มานั่งท้าทายสายตาประชาชนอยู่ที่โซฟาหนานุ่มกลางห้องสมุดด้วยประการฉะนี้แล

“เอ้อ นายมีเพื่อนจากโรงเรียนเก่าเข้ามาด้วยไหม ฉันไม่มีเลย” ตัดสินใจเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน อีกฝ่ายเงยหน้าจากนิตยสารขึ้นมาส่ายหัวดุ๊กดิ๊ก… น่ารักเป็นบ้า สุดท้ายก็เลยอดยื่นมือเข้าไปบีบแก้มนุ่มๆ ของอีกฝ่ายไม่ได้

“อึ๋ยยย วิชญ์ อย่าแกล้งกันแบบนี้สิ” เขาเอื้อมมือมาดึงมือผมออกแล้วหัวเราะเบาๆ “เราก็ไม่มีเหมือนกัน คือเรามาจากต่างจังหวัดน่ะ เพื่อนเกือบทุกคนเรียนมหา’ ลัยในจังหวัดหมดเลย เพื่อนคนที่เข้ากรุงเทพฯ ก็ไม่ได้เรียนที่นี่”

อ้อ งั้นก็ยิ่งดีเลย การที่อีกฝ่ายไม่มีเพื่อนตามมาด้วยจะทำให้แผนการตีสนิทของผมง่ายดายมากขึ้น

พูดถึงเรื่องนี้ก็น่าแปลก วิชญ์ที่เรียนอินเตอร์มาตลอดตั้งแต่อนุบาล ทำไมตอนเข้ามหา’ ลัยถึงเปลี่ยนมาเรียนภาคไทยได้ จะว่าบ้านถังแตกก็ไม่น่าใช่ เพราะเท่าที่เห็นตอนนี้ก็มีกินมีใช้สุขสบายเกินมาตรฐานชนชั้นกลางไปมากโข

มันเพราะอะไรกันนะ…

ผมเก็บความสงสัยไว้ในใจก่อนแล้วกลับไปให้ความสนใจกับเดียร์แทน “ว่าแต่ตอนบ่ายเดียร์มีเรียนไหม ฉันยังมีอีกหนึ่งวิชา ขี้เกียจจัง”

“อื้อ มีนะ เราเรียนอีค่อนเซคสองอะ แล้วนาย?”

ผมก้มลงดูตารางเรียนในโทรศัพท์ตัวเอง และพบว่าเป็น “เซคสองเหมือนกัน”

“เอ๋ ดีจังเลยนะ” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง “แล้ววิชาอื่นล่ะ เรามีเรียนด้วยกันอีกไหม”

ผมเลยขอดูตารางเรียนของอีกฝ่ายเทียบกับของตัวเอง และพบว่าพวกเราล้วนเรียนเซคเดียวกันทุกวิชา… เชี่ย มันจะบังเอิญไปไหมวะ ไม่สิ นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว มันต้องเป็นพรหมลิขิตจากท่านเทพเป็นแน่แท้

“ไหนๆ ก็เรียนด้วยกันทุกวิชาเสียขนาดนี้แล้ว ฉันขอไลน์นายหน่อยได้ไหม จะได้ติดต่อกันสะดวก”

เดียร์ยื่นโทรศัพท์ที่สวมเคสแมวน้ำสีชมพูอ่อนนุ่มนิ่มขนาดใหญ่เกือบสองเท่าของตัวเครื่องมาให้ผม หลังจากจัดการแอดไอดีกันเรียบร้อยแล้ว ก็มัดมือชกแอดเฟซกับไอจีไปให้ด้วยเสียเลย จากนิยายนับพันเรื่องที่อ่านมา ก็มีสองแอปนี้แหละที่เป็นบ้านเบสและแฟนไซต์ของบรรดาพระเอกนายเอก เรียกว่าไม่มีไม่ได้แล้ว

หลังจากพูดคุยไร้สาราะเรื่อยเปื่อยอยู่นาน ในที่สุดก็ถึงช่วงเที่ยงเสียที ผมรีบจูงมือเดียร์ลงไปที่ลานใต้คณะทันที ไม่ได้สนใจสายตานับสิบคู่ที่มองตามมาพร้อมเสียงซุบซิบนินทา

“จะมีรับน้องโหดเหมือนที่เคยเป็นข่าวไหมอ่า ถ้าแบบนั้นเราก็ไม่อยากเข้านะ” เดียร์พึมพำเสียงแผ่ว

“ไม่น่าจะมีหรอก คณะบริหารฯ ไม่น่าจะโหดอะไรขนาดนั้น”

และพี่ธีระก็อยู่ด้วย… พอคิดมาถึงตรงนี้ก็ขนลุกขึ้นมา ไอ้หยา มัวแต่ห่วงอาหารฟรีจนเกือบลืมรุ่นพี่ไปแล้ว แต่นั่นก็อาจเป็นเรื่องดีเหมือนกัน ผมเชื่อมั่นว่าด้วยบารมีของพี่แกแล้ว ย่อมไม่น่ามีใครกล้าเล่นอะไรแผลงๆ แน่นอน

ตอนไปถึงก็มีพวกปีหนึ่งนั่งอยู่พอสมควรแล้ว ดูแล้วน่าจะให้นั่งแยกกันเป็นแถวๆ ละมั้ง ผมเลยลากเดียร์ไปนั่งอยู่ปลายแถวที่ยาวที่สุด

พอนั่งปุ๊บ คนข้างหน้าที่กำลังคุยกันอยู่ก็หันหลังมาหาทันที ทั้งคู่เป็นชายหนุ่มร่างเล็กผิวขาว หน้าตาคนหนึ่งหวานใสหยาดเยิ้มดุจเด็กสาวแรกแย้ม ติดแค่มันเป็นผู้ชาย ส่วนอีกคนน่ารักคิกขุแบบพวกไอดอลญี่ปุ่น… แต่ก็เป็นผู้ชายเฉกเช่นเดียวกัน

และเมื่อรวมเข้ากับเดียร์ที่นั่งหน้าผมแล้ว ทั้งสามก็กลายเป็นสมาชิกของ ‘ภาคีเผ่านายเอกพิมพ์นิยม’ อย่างสมบูรณ์ ทั้งร่างเล็กบอบบาง ขาว น่ารัก ออกสาว และที่ขาดไม่ได้เลย... เป็นคนแคระ

“สวัสดี” ผมเป็นฝ่ายทักทายก่อน คนทั้งคู่จึงเอ่ยแนะนำตัวกลับมา

“เราชื่อนัทนะ ส่วนไอ้หมอนี่…” นัท หรือก็คือชายหนุ่ม (?) น่ารักคิกขุเอื้อมมือไปคล้องคอคนด้านข้างเข้ามาแนบชิด “… ชื่อมูน แล้วพวกนายล่ะ”

คราวนี้เดียร์เป็นฝ่ายตอบกลับไป “เราชื่อเดียร์ แล้วเพื่อนเราชื่อวิชญ์”

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ เดียร์กับวิชญ์” มูนยิ้มน่ารักทักกลับ แล้วก็ทำท่านึกอะไรขึ้นมาได้ “เดียร์… ใช่เดียร์ที่เป็นเน็ตไอดอลแล้วเคยไปแคสต์เป็นนักแสดงของค่ายนาเดือนแต่สละสิทธิ์ไปปะ”

แล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์กดเข้าไอจีแล้วยื่นมาให้พวกผมดู

‘D e a r i e’

และเมื่อดูยอด followers แล้วนั้น… 356k

เน็ตไอดอลจริงด้วยนี่หว่า… ว่าแต่ไอจีที่ผมแอดไปเมื่อกี้ไม่ใช่อันนี้นี่ หรืออันนั้นเป็นไพรเวต?

“อ่า ไม่คิดว่าจะมีคนรู้จักนะเนี่ย แหะๆ” เดียร์ยิ้มเอียงอายแล้วยกมือขึ้นมาเกาหลังหูอย่างขัดเขิน

“เราตามค่ายนาเดือนมาตลอดจะไม่รู้จักได้ไง เสียดายจังที่นายถอนตัวไปอะ ตอนนั้นเชียร์มาก”

“อ๋อ เรากำลังทุ่มกับการเรียนอยู่น่ะ เลยตัดสินใจถอนตัวดีกว่า คือเราไม่ใช่คนเรียนเก่งไงเลยกลัวตามไม่ทัน”

“แล้วนี่ว่าจะกลับไปอีกไหมอะ อยากดูๆๆ”

จากนั้น ทั้งสามคนก็สุมหัวเอียงคอหัวเราะคิกคักกันด้วยท่าทีราวสาวน้อยแรกรุ่น เท่าที่พอจับใจความได้ก็เกี่ยวกับเรื่องชุดซีรีส์วายและนักแสดงไอดอลอะไรสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจ และไม่อยากจะเข้าใจด้วย เลยตัดสินใจเฟดตัวออกมาเงียบๆ ดีกว่า

“เอ้อ วิชญ์ นายมีอะไรจะพูดไหมอะ เห็นเงียบไปเลย ขอโทษน้า” มูนร้องทักขึ้นมาในที่สุด อีกสองคนจึงหยุดคุยกันแล้วหันมามองผมเป็นเชิงอยากรู้

“อ่า ไม่รู้สิ ปกติเราดูแต่ละครหลังข่าวของทีวีช่องน้อยสี ทีวีเพื่อคุณ” ผมตอบ แล้วรีบกล่าวเสริมว่า “แต่ถ้าเดียร์ได้แสดงเมื่อไหร่ สัญญาเลยว่าจะตามไปหาดูแน่นอน ต่อให้ต้องเสียเงินเพิ่มก็เถอะ”

เดียร์ทำหน้าเขิน แล้วเอนตัวเข้ามากอดเอวผมไว้หลวมๆ “วิชญ์น่ารักจัง ขอบคุณมากนะ”

จากสักที่ไม่ใกล้ไม่ไกล ผมได้ยินเสียงคนซุบซิบดังแว่วมาทำนองว่า ‘น่ารักจังเลยน้า~’ ไม่ก็ ‘คู่นี้น่ารักอะ เคะกับเคะ งู้ยยยย’ หรือ ‘แกดูสิ เขากอดกันแล้ววว ฉันเขินอะ’

ผมฟังแล้วเกือบพ่นน้ำออกมา อย่าจิ้นแล้วจัดโพสิชั่นกันตามใจชอบเซ่! หยุดพฤติกรรมเหล่านี้ หยุดทันที คนธรรมดาที่ไม่ใช่นักแสดงขายจิ้นไม่ว่าจะหญิงหรือชายเขาไม่สนุกด้วยหรอกนะ!

นัททำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่รุ่นพี่ปีสองด้านหน้าก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

“เอาล่ะน้องครับ ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่คณะบริหารรรรร” แล้วรุ่นพี่คนอื่นก็พากันตบมือเป่าปากเสียงดังกึกก้อง พวกผมเองก็ตบมือตามน้ำไปเช่นเดียวกัน

พอเสียงตบมือซาลงแล้ว รุ่นพี่ก็เริ่มพูดต่อ สรุปได้โดยคร่าวว่าเป็นการแนะนำพวกกิจกรรมต่างๆ ในคณะที่ควรเข้าร่วม การเก็บแต้มกิจกรรมเพื่อเอาไปเป็นส่วนลดซื้อของในมหา’ ลัย โครงการติวของรุ่นพี่ รวมไปถึงชวนรุ่นน้องสมัครเข้าสโมฯ ซึ่งทั้งสามคนก็หันมาชวนผมว่าจะสมัครไหม ผมได้แต่ตอบปฏิเสธกลับไป แค่นี้ชีวิตก็ยุ่งยากมากพออยู่แล้ว ไม่อยากจะหาภาระเพิ่มเข้าตัวอีกหรอกนะ!

หลังจากบอกกล่าวอะไรจบแล้วก็เป็นช่วงเวลาที่ผมรอคอย… ข้าวเที่ยงฟรี

ข้าวกล่องที่รุ่นพี่แจกนั้น ถึงรสชาติจะไม่ได้ดีเลิศอะไรขนาดนั้นแต่ก็จัดว่าใช้ได้ทีเดียว ผมจึงจ้วงกินหมดในเวลารวดเร็ว ระหว่างนั้นพี่รหัสที่เพิ่งเคยเจอตัวจริงเป็นครั้งแรกก็เดินเข้ามาชวนคุยแล้วเอาของมาให้

พอทุกคนกินข้าวกันเสร็จแล้ว พวกรุ่นพี่ก็ให้ทุกคนเล่นเกมจำชื่อรุ่นพี่และเพื่อนๆ โดยจะให้จับเป็นกลุ่มละประมาณ 20 คน แล้วให้เวลา 5 นาทีจำชื่อเพื่อนทุกคนในกลุ่ม รวมไปถึงพวกรุ่นพี่ที่เป็นคนจัดกิจกรรมด้วย พอครบกำหนดแล้วก็จะต้องเลือกตัวแทนกลุ่มออกมาคนหนึ่ง พอรุ่นพี่ชี้ไปที่ใครก็จะต้องตอบชื่อเพื่อคนนั้นให้ได้ภายใน 5 วินาที… แถมรอบสองจะมีการสุ่มเพื่อนคนละกลุ่มอีก คือกว่าจะจบเกมคงต้องจำชื่อเพื่อนทั้งรุ่นแล้วละมั้งเนี่ย

เรียกได้ว่าเป็นเกมที่กติกาง่าย แต่โหดหินอย่างแท้จริง

ภายในห้านาทีนั้น ผมพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะจำชื่อเพื่อนทุกคนในกลุ่ม ซึ่งก็จำได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น เลยได้แต่นั่งภาวนาอย่างแรงกล้าว่าตัวเองจะไม่โดนสุ่มเรียก

แต่โชคชะตาก็ไม่เข้าข้าง เมื่อปากขวดน้ำดันหมุนมาหยุดที่ผมพอดี…

แกล้งตายได้ไหมเนี่ย

 

สุดท้ายผมก็ต้องออกไปยืนอยู่ด้านหน้าจนได้ มองไปเห็นเดียร์ นัท และมูนทำปากมาว่า ‘สู้ๆ นะ’ เลยรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาหน่อย… ซะทีไหนล่ะ!

ตอนที่รุ่นพี่สุ่มกลุ่มผม คนแรกที่ได้คือเดียร์พอดีเลยตอบไปได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ไล่ไปกลุ่มอื่นๆ ต่อ ตอนที่เพื่อนผู้โชคร้ายที่โดนสุ่มออกมาด้วยตอบชื่อเพื่อนในกลุ่มเขา ผมก็ต้องพยายามจำไปด้วย ซึ่งแต่ละคนถ้าไม่ชื่อพิสดารมาก ก็ชื่อซ้ำกันจนจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร

ในที่สุดก็วนมาถึงผมอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นใครก็ไม่รู้ที่ผมจำชื่อไม่ได้

“เอ้า เพื่อนชื่ออะไรครับไหนตอบหน่อยย” ไอ้รุ่นพี่ก็ยืนบิวต์อยู่ข้างๆ ผมที่เหงื่อแตกพลั่ก เดียร์พยายามทำปากบอกชื่อ แต่ผมดันอ่านปากเขาไม่ออก อั้ม? อุ้ม?

“ชื่ออะไรเอ่ย ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง หมดเวลา!”

“ตอบไม่ได้นะครับ อะ น้องชื่ออะไรเอ่ย” รุ่นพี่ทำท่าหัวเราะชอบใจแล้วหันมาถามชื่อผม

“วิชญ์ครับ”

“โอเค น้องวิชญ์ตอบชื่อเพื่อนไม่ได้นะครับ สรุปเพื่อนชื่ออะไรนะ” แล้วเพื่อนคนที่โดนชี้เมื่อกี้ก็ตอบว่าชื่ออ้อม… สรุปเมื่อกี้เดาไม่ตรงเลยสักชื่อนี่หว่า

“ตามกติกาแล้วต้องโดนลงโทษ น้องอ้อมอยากลงโทษน้องวิชญ์ยังไงดีครับบบ”

“เต้นไก่ย่างค่ะ!” เธอตะโกนตอบ แล้วทุกคนก็ส่งเสียงเออออเห็นด้วยกันทั้งลาน ไม่เว้นแม้กระทั่งเพื่อนใหม่ทั้งสาม

“ไก่ย่างงงงงง” พวกรุ่นพี่ก็ร้องออกมาพร้อมกัน จากนั้นก็ทำพิธีอัญเชิญรุ่นพี่ร่างใหญ่หัวใจสาวน้อยก็ออกมายักย้ายส่ายสะโพกให้ดูเป็นจังหวะ

“เต้นตามนี้เลยนะคะน้องวิชญ์ เอ้าเริ่ม สามมม สี่!”

ผมได้แต่ยิ้มแหยๆ แล้วเต้นโยกตัวไปมาเบาๆ ตามพี่เขาไป ซึ่งก็ดูจะไม่ถูกใจพวกรุ่นพี่เท่าไหร่นัก

“น้องทำไมเต้นเบาแบบนั้นละครับ เต้นแรงๆ หน่อยสิ! ดูตัวอย่างพี่มอลลี่เขาสิครับ เต้นตามแบบนั้นเลย” ไอ้รุ่นพี่พิธีกรครนเดิมก็ยังคงเดินตามมาบิวต์ ส่วนพี่มอลลี่เดินเข้ามาโอบผมให้ไปยืนที่ด้านหน้าตรงกลางด้วยกัน

“อะ เริ่มใหม่พร้อมกันนะคะ ไก่ย่างถูกเผา!”

พอเห็นว่าสายตาของทุกคนจ้องมองมามที่ผมเป็นตาเดียว นั่นยิ่งทำให้รู้สึกหายใจไม่ออกมากขึ้นไปอีกจนเริ่มหอบ คือการที่ทุกคนเงยหน้ามองเราเป็นทางเดียวจากที่ไกลๆ เนี่ย สำหรับผมมันน่ากลัวยิ่งกว่าถูกรุมล้อมเสียอีก

ฝ่ามือของผมเปียกชื้นและสั่นระริก ในที่สุดผมก็ตัดสินใจบอกรุ่นพี่ออกไปตรงๆ

“พี่ครับ คือ… ผมไม่ไหวแล้ว”

พวกรุ่นพี่ขมวดคิ้ว แล้วเดินเข้ามาเอามืออังกับหน้าผากด้วยความเป็นห่วง “อ้าว เป็นอะไรไปล่ะน้อง ไม่สบายเหรอ”

“ก็นิดหน่อยอะครับ คือ…” ผมพูดยังไม่ทันจบประโยค พี่มอลลี่ที่ยืนด้านข้างก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

“อ้าวน้อง ทำไมตอนแรกยังดีอยู่เลย แบบนี้จงใจกวนกันเหรอคะ”

ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่าครับ คือผมจู่ๆ ก็เวียนหัว มันตื้อๆ ขึ้นมาเหมือนจะเป็นลม”

“เอาน่ามอลลี่ หน้าตาน้องเขาดูซีดมากเลยนะ ให้เขาไปพักเถอะ” รุ่นพี่ผู้ชายอีกคนพูดขึ้นมา แต่พี่มอลลี่ดูไม่พอใจเท่าไหร่นัก หล่อนเอื้อมมือมาคว้าแขนผมไว้ไม่ให้เดินหนี

“เห้ยมึง รุ่นน้องคนอื่นมองอยู่นะ” พี่ผู้ชายคนเดิมรีบกระซิบต่อ “เดี๋ยวแม่งโดนเอาไปลงเฟซว่ามึงรังแกน้องนะเว้ย ปล่อยไปเถอะ”

“มึงนี่มัน… เห็นเด็กหนุ่มๆ หน้าตาดีหน่อยก็อดไม่ได้เลยนะ” พี่มอลลี่หันไปตวาดใส่เสียงเขียว “ฉันเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจกรรม ทำไมจะสั่งไม่ได้ ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงสักหน่อย”

ระหว่างที่สองคนนั้นทุ่มเถียงกันอยู่นั้น ผมก็เหลือบไปมองสถานกรณ์รอบด้าน และพบว่าทุกคนล้วนจ้องมองมาที่พวกเราด้วยสายตาใคร่รู้

จนสุดท้าย พี่คนหนึ่งที่หน้าตาคุ้นๆ ก็รีบเดินเข้ามากลางวง ผมจ้องหน้าเขาอยู่นาน ในที่สุดก็จำได้ว่าเป็นรุ่นพี่ที่อยู่ซุ้มขายหนังสือเรียนวันนั้นนั่นเอง คนที่โดนพี่ธีระเอ็ดเข้าน่ะ

เออ พี่ธีระ… ผมพยายามสอดส่ายสายตามองหาชายหนุ่ม แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

อ้าวเฮ้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า

“มึงเป็นอะไรอีกวะ ปล่อยน้องเขาไปเหอะ คนมองใหญ่แล้วเนี่ย”

“เพราะว่าคนมองอยู่น่ะสิยะเลยต้องจัดการ ไม่งั้นวันหลังรุ่นน้องก็ไม่ฟังเราพอดี”

ผมยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ตายล่ะ ระบบโซตัสมันลุกลามมาถึงคณะบริหารฯ แล้วเหรอเนี่ย ทั้งที่ผมตัดสินใจเลือกเรียนคณะนี้เพราะมั่นใจว่าจะไม่มีรับน้องสายเถื่อนเลยนะ

สองสามคนนั้นทุ่มเถียงกันหน้าดำคล้ำเครียดไปได้สักพัก ผมเลยคิดจะฉวยโอกาสนี้ชิ่งหนีไป แต่ตอนที่ก้าวขาสไลด์ไปด้านหลังอยู่นั้น จมูกพลันได้กลิ่นหอมที่เข้มจนชวนอาเจียนโชยมาเสียก่อน

กลิ่นนี้นี่มัน…

รุ่นพี่คนหนึ่งหรี่ตามองมาที่ผม ไม่สิ เขามองเลยไปที่ด้านหลังผม “มอลลี่ กูว่ามึงปล่อยน้องคนนี้ไปก่อนเหอะว่ะ”

“ทำไมยะ!”

“เพราะว่าเธอเคยบอกไว้ตอนประชุมนะสิว่าจะไม่มีการบังคับใจน้อง แต่ทำไมถึงทำ” เสียงเย็นเยือกดังขึ้นมาจากด้านหลัง รุ่นพี่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นทุกคนล้วนมีสีหน้าซีดเผือด โดยเฉพาะพี่มอลลี่

“พะ พะ พี่ธีระ”

สีหน้าพี่แกยังคงเรียบเฉย ไม่มีวี่แววโกรธอะไรเลยแม้แต่น้อย “ถ้ามีเด็กไปแจ้งว่าพวกเธอบังคับฝืนใจรุ่นน้องแล้วพี่จะทำอย่างไร ในเมื่อพี่เองในฐานะประธานสโมฯ เป็นคนรับรองกิจกรรมนี้ให้พวกเธอ หืม?”

“หนูขอโทษค่ะพี่” หลังจากหายอึ้งแล้ว พี่มอลลี่รีบยกมือไหว้ระดับหว่างคิ้วขณะละลักละล่ำพูด “หนูทำไม่คิดเอง คราวหน้าจะไม่ทำแบบนี้แล้วค่ะ”

พอพี่ธีระมารับรองให้ ก็ไม่มีรุ่นพี่คนไหนกล้ารั้งผมไว้อีกต่อไป เลยรีบวิ่งกลับมานั่งที่อย่างรวดเร็ว และพอดีว่าตอนนั้นเป็นช่วงหมดพักเที่ยงพอดี กิจกรรมเลยต้องจบลงไปโดยปริยาย

ผมเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ขอบคุณพี่ธีระเลยที่เข้ามาช่วย เลยพยายามมองตามหารุ่นพี่ผู้ลึกลับคนนั้น แต่เขากลับหายไปเสียแล้ว… เหลือแต่กระดาษโน้ตสีเหลืองสะท้อนแสงที่ตกอยู่บนพื้นข้างตัวผม

ผมก้มลงไปหยิบกระดาษใบนั้นขึ้นมาอ่านด้วยฝ่ามือเย็นเยียบ บนนั้นคือลายมือของพี่ธีระผิดแน่

‘เจอกันที่หลังลานบาส 16.30’

ฉิบหายล่ะ