หลังจากแยกย้ายกันไปแล้ว กลุ่มนายเอกสามคมนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาถามอาการของผมด้วยความเป็นห่วงกันใหญ่ ซึ่งผมก็เพียงตอบกลับไปอย่างสุภาพว่าไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วง แต่ดูเหมือนว่าทั้งสามไม่พอใจในคำตอบนัก เพราะพวกเขายังตามประกบผมราวกับกลัวว่าถ้าละสายตาไปเพียงเสี้ยววินาที ผมจะเป็นลมล้มพับไปเสียอย่างไรอย่างนั้น

และเพราะแบบนั้นเลยได้พบความจริงที่ไม่น่าจะตกตะลึงไหร่นักว่าทั้งนัทและมูนก็เรียนเซคเดียวกับผมทุกวิชาด้วย… มันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ กลุ่มนายเอกจะแยกกันเรียนไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นการเข้ามาจีบหรือการป้องกันตัวจากเหล่านางร้ายจะเป็นไปได้อย่างอย่างลำบาก

ระหว่างกำลังรอลิฟต์ มูนก็หันมาถามผมด้วยคำถามที่ชวนให้รู้จักแปลกใจมากถึงมากที่สุด “เออ นายรู้จักพี่ธีระด้วยเหรอ เขาดูสนิทกับนายมากเลยนะ”

“นั่นสิ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเพื่อนจะรู้จักบุคคลระดับนี้ด้วย ไม่ธรรมดาจริงๆ เลยนะเนี่ยวิชญ์” นัทกล่าวเสริม ส่วนผมยิ่งทึ่งกว่าเดิมเสียอีก บารมีของพี่ธีระช่างแผ่ขจรกว้างไกลยิ่งนัก ขนาดเด็กใหม่ยังรู้จักถึงปานนี้

“พวกนายรู้จักพี่เขาด้วยเหรอ เขาเป็นสายรหัสเราอะ เคยคุยกันไม่กี่ครั้งเอง” และก็ไม่อยากจะมีครั้งต่อไปด้วย ฮือ

ทั้งสามคนล้วนมีสีหน้าแปลกใจ และเดียร์เป็นฝ่ายตอบกลับมาก่อน “ใครจะไม่รู้จักพี่ธีระเดือน 3 สมัยซ้อน ประธานสโมฯ นักศึกษาตั้งแต่ปีหนึ่ง ประธานรุ่น แถมยังเป็นผู้นำสมาคมอีลิตแห่งมหา’ ลัย A เหรอ ใครไม่รู้จักสิแปลก”

เดือนสามปีซ้อน? ช้าก่อน ปกติเดือนมันได้แค่ปีหนึ่งหรือเปล่าเห้ย แต่สิ่งที่สะดุดหูผมมากที่สุดคงจะเป็น

“สมาคมอีลิต?”

“ช่าย ยิ่งใหญ่ใช่ไหมล่ะ วิชญ์นี่โชคดีจริงๆ เลยนะที่ได้เป็นสายรหัสของพี่ธีระน่ะ”

“ขนาดพี่คลาร์กยังเกรงใจพี่เขาเลยอะคิดดู พี่คลาร์กทายาทเพียงคนเดียวของ ‘มไหศวรรย์วรรณชัยอัณณพนพรัตน์มัฆวานหาญเอนเทอร์ไพรซ์’ เลยนะ!” มูนพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นสุดๆ “วิชญ์นี่ไม่เบาเลยนะเนี่ย อิจฉาจัง~”

ประเดี๋ยวก่อนนะพวกท่าน อะไรเอนเทอร์ไพรซ์นะ ผมชักตามไม่ทันแล้ว “ก่อนอื่น สมาคมอีลิตนี่คืออะไรเหรอ เราเพิ่งเคยได้ยินเมื่อกี้นี้เอง”

“หา!” ทั้งสามคนอุทานโดยพร้อมเพรียง “บ้าน่า นายไม่รู้จักอย่างนั้นเหรอ เป็นไปได้ไง” มูนมีสีหน้าตื่นตกใจกว่าเพื่อน แล้วก็รีบพูดต่อทันที

“ก็คือสมาคมที่รวบรวมนักศึกษาระดับท๊อปผู้เพียบพร้อมทุกด้านสิบคน จริงๆ แล้วจะเรียกว่าเป็นสมาคมก็ไม่เชิงหรอกนะ เพราะ… อ๊ะ! ลิฟท์มาแล้ว”

ระหว่างผมอยู่ในลิฟต์ก็รู้สึกว่ามีมือของใครบางคนสัมผัสกับแขน เลยหยิกกลับไปทีนึง แต่เมื่อหันกลับไปก็พบว่าทุกคนล้วนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ น่ากลัวชะมัด

หลังจากหาที่นั่งเรียนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งแน่นอนว่านั่งหลังห้องเพื่อป้องกันสายตาอันไม่น่าพิสมัยของเหล่าชายหนุ่มผู้คลุ้มคลั่ง ยิ่งเมื่อเหล่าร่างบางมารวมตัวกันถึงสี่คน รังสีนายเอกก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณ ดูไปแล้วก็คล้ายเป็นฮอร์โมนของเหล่าโอเมก้าที่ปล่อยออกมาเพื่อดึงดูดอัลฟ่าไม่มีผิด

ผมค่อยๆ ดึงโน้ตของพี่ธีระออกมาจากแฟ้มอย่างทะนุถนอมชนิดไม่ให้มีรอยยับแม้เพียงน้อยนิด บนนั้นยังคงเป็นลายมือเป็นระเบียบของรุ่นพี่เช่นเดิม ไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆ มาทำให้มันสูญสลายไปทั้งสิ้น เลยเก็บมันกลับเข้าไปในแฟ้มแล้วถามเรื่องที่ยังค้างคาต่อ

“อะ สรุปแล้วสมาคมอีลิตก็คือ?”

มูนรีบเสนอตัวเล่าอย่างออกรส “เป็นคำที่เราใช้เรียกพวกนักศึกษาระดับท๊อปสิบคนของมหา’ ลัย A ซึ่งเป็นพวกเพียบพร้อมทั้งการเรียน หน้าตา ฐานะ แถมเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของมหา’ ลัยด้วย ขนาดอธิการฯ ยังต้องเกรงใจ คนเลยเรียกกันเล่นๆ ว่าสมาคมอีลิตน่ะ”

หลังจากพักดื่มน้ำไปหลายอึกแล้วเขาก็เล่าต่อ “พี่ธีระเป็นเฮดของสมาคมเลยแหละ อีกเก้าคนจะทำอะไรก็ต้องดูสีหน้าพี่เขาก่อน แล้วในบรรดาสิบคนนั้นพี่เขาเรียกได้ว่าเป็นที่สุดในทุกด้านเลยก็ว่าได้ เอ้อ ยกเว้นเรื่องฐานะ เพราะพี่คลาร์กรวยที่สุด”

“โห ขนาดนั้นเชียว”

“อื้อ เราตามเพจคิวต์บอยมาก่อนอะ แล้วพี่ธีระนี่เรียกว่าตำนานของเพจ สมาคมอีลิตก็ด้วย” มูนว่า “และเพราะว่าสมาคมนี้เป็นที่นิยมมากกก จนถึงขั้นต้องตั้งเพจใหม่ขึ้นมาเพื่อพวกเขาเลย นี่ประวัติพี่เขาก็อยู่ในเพจสมาคมทั้งหมด”

เดียร์กล่าวเสริมต่อด้วยท่าทีเพ้อฝัน “พี่ธีระน่ะหล่อมากกก จนได้เป็นเดือนสามปีซ้อน ทั้งเดือนคณะและเดือนมหา’ ลัย เพราะผู้สมัครปีถัดมาไม่มีใครหน้าตาหล่อสู้พี่เขาได้สักคน แถมเป็นคนที่มีจำนวนไลก์เยอะสุดในเพจคิวต์บอยด้วย”

อื้อหือ สมแล้วที่ได้รับฉายาว่ามหาเทพบิดรธีระ พี่แกเหมาหมดทุกตำแหน่งจริงอะไรจริง

“แล้วพี่ธีระน่ะเคยได้รับรางวัลจากสหภาพยุโรปเรื่องการรณรงค์ปัญหาทางเชื้อชาติและสังคมด้วย เคยได้เครื่องราชฯ จากประเทศอังกฤษ นอร์เวย์ สวีเดน แล้วก็สเปน แถมเคยเดทกับ...” แล้วมูนก็ร่ายชื่อคนออกมาราวๆ ห้าหกชื่อได้ ซึ่งแต่ละชื่อนั้นยาวเสียจนสมควรเป็นชื่อวิทยาศาสตร์ของแบคทีเรียสักสายพันธุ์มากกว่าเป็นชื่อของมนุษย์

ผมแสร้งพยักหน้าเออออไปก่อนแม้จะจำอะไรไม่ได้เลยก็ตาม “พวกนายนี่รู้ดีจังเลยเนอะ รู้สึกเหมือนตัวเองตกยุคไปเลย”

จริงๆ ผมว่าตัวเองน่ะปกติ ส่วนมูนต่างหากที่เรียกว่าไม่ปกติ คนอะไรจะไปนั่งจำเรื่องของคนอื่นได้ปานนั้น

ดีที่คาบนี้เป็นคาบแรก อาจารย์จึงไม่ได้สอนอะไรมากนัก มีแค่แนะนำสโคปการเรียนกับบอกวิธีการเรียนรวมถึงการเข้าไปในทำการบ้านในบอร์ด ผมเลยถือโอกาสสอบถามเรื่องสมาชิกอีกเก้าคนเพิ่มเติม

พระเอกนอกจากจะต้องหล่อรวยแล้ว พวกนี้จะต้องจับกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ‘กลุ่มเพื่อนพระเอก’ จะเป็นคนหน้าตาแย่ๆ หรือจนกว่าไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นเขาจะต้องอยู่ในกลุ่มสมาคมอีลิตอะไรนี่แน่นอน ผมขอฟันธง

หลังจากคุยกันไปแล้ว ผมเลยถือวิสาสะตั้งฉายาให้มูนเสียเลยว่าเป็น ‘มหาเทพแห่งการเผือก’ เพราะเขารู้ไปเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าจะถามเรื่องใครล้วนตอบได้หมดราวกับสารานุกรมเคลื่อนที่ ทำให้ผมสามารถเก็บข้อมูลไปวางแผนได้เยอะเลยทีเดียว

“เออ เย็นนี้พวกนายว่างหรือเปล่า ว่าจะไปกินปิ้งย่างเปิดใหม่ในห้างเสียหน่อย” นัทถามขึ้นมาขณะกำลังเก็บของ ผมอยากจะตอบเหลือเกินว่าว่างจะได้หนีนัดหมายไปได้ แต่คิดอีกทีแล้วก็ไม่เอาดีกว่าเพื่อสวัสดิภาพของชีวิต

“เราว่างงงง” มูนรีบบอก แล้วก็โดนเขกหัวไปหนึ่งที

“ไอ้บ้า อันนี้รู้อยู่แล้วไหม ฉันถามเดียร์กับวิชญ์ต่างหากเล่า”

เดียร์ทำหน้าเสียดาย “ขอโทษนะ แต่บ้านเราอยู่ไกลคงไปไม่ได้ เข้าซอยดึกๆ แล้วมันเปลี่ยวอะ”

“ส่วนฉันมีนัดกับรุ่นพี่แล้ว คงไปไม่ได้เหมือนกัน ไว้วันหลังละกันนะ”

“กับพี่ธีระเปล่า” มูนร้องถามด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่มที่ทำเอาผมอยากจะร่ำไห้

“ก็… ใช่”

สามคนนั้นเลยทำท่าแซว… ช้าก่อนนะ พวกนายรู้เรื่องพี่ธีระดีขนาดนั้น ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือของพี่แกเลยเรอะ! คนอย่างพี่ธีระไม่มีทางนัดผมไปด้วยเจตนาแอบแฝงแบบนั้นหรอก

หลังจากแยกย้ายกับเพื่อนใหม่ทั้งสามแล้ว ผมก็เริ่มต้นสวดมนต์ต่อศาสดาและเทพเจ้าทุกศาสนา โปรดประทานพรอำนวยอวยชัยให้ลูกช้างตาดำๆ คนนี้ด้วยเถอะ เพี้ยง!

ทันทีที่เดินไปที่หลังลานบาส สิ่งแรกที่สะดุดตาคือพี่ธีระซึ่งนั่งอยู่ตรงชุดเก้าอี้หินอ่อนในซุ้ม รอบตัวพี่ท่านแผ่ออร่าดำทะมึนออกมาจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ในระยะสิบเมตร ขณะที่กำลังคิดว่าจะเผ่นหนีไปดีไหม เขาก็เงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารกวักมือเรียกเสียก่อน

“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่” ผมลองถามหยั่งเชิง พี่ธีระถอดแว่นกรอบบางออกด้วยท่วงท่าหล่อกระชากใจแล้วนวดหว่างคิ้วตัวเอง

“เธอไม่รีบใช่ไหมวันนี้”

“ไม่ครับ ผมกลับบ้านกี่โมงก็ได้อยู่แล้ว ไม่ซีเรียส” และถึงรีบจริงๆ ก็ไม่กล้าบอกหรอกครับ... ผมต่อท้ายในใจ

ใบหน้านิ่งเฉยของพี่ธีระมีร่องรอยความพอใจเล็กน้อย เขาหยิบขนมปังและน้ำผลไม้กล่องขึ้นมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้ผม

“เอาไปรองท้องก่อนละกัน พี่ไม่รู้ว่าเธอชอบกินรสนี้หรือเปล่า แต่พี่ชอบนะ”

งั้นผมก็ต้องชอบแล้วละครับ… ผมรับทั้งสองอย่างมากแล้วรีบฉีกกินด้วยความหิวโดยทันที ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอดังแว่วมาแต่ไม่ได้สนใจมากนัก ไม่น่าเชื่อเลยว่าเวลาสามชั่วโมงกว่าๆ จะทำให้หิวได้ขนาดนี้… สงสัยวันนี้ใช้พลังไปกับการจับใจความเสียเยอะละมั้ง

“เอ้อ เธอรู้จักคลาร์กไหม คลาร์กลูกเจ้าของมไหศวรรย์ฯ เอนเทอร์ไพรซ์น่ะ” หลังจากจัดการของว่างไปเรียบร้อยแล้ว พี่ธีระจึงค่อยเอ่ยถาม

ผมพยักหน้าหงึก ก็พึ่งรู้จักเมื่อชั่วโมงก่อนนี่เอง จะว่าไป ขนาดพี่ธีระยังจำชื่อเต็มของบริษัทหมอนี่ไม่ได้เลยนะเนี่ย ความสามารถในการจำของมูนชักจะน่ากลัวเกินไปแล้ว

“พี่จำได้ว่าเธอเคยลงทะเบียนสมัครงานพิเศษไว้ตอนปิดเทอม ยังคิดจะทำอยู่ใช่ไหม”

“ครับ คือผมอยากลองทำอะไรใหม่ๆ บ้าง อยู่เฉยๆ มันน่าเบื่อออก” แต่เอาจริง ตอนที่เห็นเมล์หลายสิบฉบับจากเว็บรับสมัครงานผมก็แปลกใจไม่น้อย และเมื่อเปิดเข้าไปดูบทสนทนาโต้ตอบก็ยิ่งประหลาดใจขึ้นไปอีก ฐานะทางบ้านของวิชญ์คนนั้นนับว่าอยู่ในระดับดีมาก ไม่น่าจะดูร้อนรนในการสมัครงานถึงขนาดนี้เลย

“คลาร์กกำลังรับสมัครเลขาฯ อยู่ ความจริงก็คือแม่ของเขานั่นแหละที่พยายามหาให้” พี่ธีระส่ายหัวคล้ายระอาใจ “เป็นทายาทคนเดียวของตระกูลใหญ่ก็ถูกคาดหวังมากเป็นธรรมดา ช่วงนี้คลาร์กค่อนข้างเกเร แม่เขาเลยอยากให้มีคนคอยช่วยคุมประพฤติ คอยรายงานการเคลื่อนไหวให้แกรู้หน่อย”

“อ่า… ครับ”

“พี่เลยเสนอชื่อเธอไป วันนี้เลยว่าจะนัดให้เจอกันก่อน”

“หา!” ผมเผลอร้องอุทานออกมาเสียงดัง “แต่ผมไม่มีความรู้อะไรจะไปเป็นเลขาฯ เลยนะครับ เพิ่งเข้ามหา’ ลัยเอง”

พี่ธีระมีท่าทีขบขัน “ไม่ใช่งานเลขาฯ แบบนั้นหรอก หน้าที่จริงๆ ก็คล้ายพี่เลี้ยงนั่นแหละ”

ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรต่อ เสียงทุ้มต่ำเจือแววหงุดหงิดก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

“ไอ้ธีระ มึงนัดกูมาทำไม ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญละก็… กูอุตส่าห์ยกเลิกการแข่งรถเพราะมึงเลยนะ”

ผมหันหน้าไปทางต้นเสียง คนพูดเป็นชายหนุ่มร่างหนาคนหนึ่งท่าทางดูคล้ายนักเลงโต เดาว่าน่าจะเป็นคลาร์ก เขามีผมสีน้ำตาลเข้มยาวเกือบถึงบ่าและมัดไว้ครึ่งหัว ผมด้านหน้าเสยขึ้นจนเรียบแปล้ ที่หูข้างหนึ่งประดับด้วยจิลสีดำแถมมีเจาะห่วงที่จมูกอีกต่างหาก บนผิวเนื้อบริเวณต้นคอมีรอยสักโผล่มาจากคอเสื้อเล็กน้อย

ส่วนด้านข้างคือชายหนุ่มอีกสองคน ทั้งคู่ล้วนเป็นร่างหนา คนหนึ่งหนาน้อยกว่า ส่วนอีกคนหนาน้อยที่สุด

แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาผมได้มากที่สุดคือตัวอักษร 4D สีม่วงเข้มขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่บนหัวคลาร์กที่เขียนไว้ว่า

‘พระเอก’

พระเอก? ก็คือคนที่คู่กับนายเอก… เดียร์สินะ

นั่นแปลว่าผมต้องจับคู่สองคนนี้หรือ

ผมลอบสำรวจร่างกายของ ‘พระเอก’ ตั้งแต่หัวจรดเท้า หน้าตาของคลาร์กถือว่าหล่อเหลาเกินมาตรฐานคนทั่วไปอยู่มาก เนื่องด้วยเป็นพันธุ์ผสม เอ๊ย! เป็นส่วนผสมจากหลายๆ ชาติอันได้แก่ ไทย จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อาหรับ เกาหลี ยิว อินเดียแดง สเปน และอีกหลายต่อหลายชาติที่จำไม่ได้แล้วและไม่คิดจะมานั่งจำด้วย เรือนร่างกำยำสูงใหญ่ของอีกฝ่ายถูกซ่อนอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตนักศึกษาแบบตัดพิเศษที่ทำจากผ้าไหมจักรพรรดิ อันเป็นฝีมือทอและตัดเย็บของทายาทของช่างตัดเสื้อสมัยราชวงศ์ชิง

เมื่อเห็นว่าผมกำลังจ้องมองเขาอยู่ ร่างหนาสุดก็เลื่อนดวงตาสีฟ้าอมเขียวดุจดั่งทะเลแคริเบียนมามองด้วยสายตาดุร้าย ก่อนจะตวาดกร้าวออกมาจนหูแทบหนวก

“มองกูทำไม!”

“มองให้หมามันถาม” ผมหลุดปากตอบกลับไปด้วยความเคยชิน และเห็นว่าสีหน้าของฝ่ายตรงข้ามบิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อยๆ

“มึง! มึงกล้าปากดีแบบนี้กับกูเหรอ!”

“กล้าไม่กล้าก็ทำไปแล้วละครับ” ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงเหม็นเบื่อแบบปิดไม่มิด ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เจอพระเอกรูปหล่อพ่อรวยแนวตลาดได้เร็วขนาดนี้ อยากจะบอกเขาไปเสียเหลือเกินว่า ฉันเคยเจอคนแบบนาย (ในนิยาย) มาไม่ต่ำกว่าร้อยเรื่องแล้วเพื่อนเอ๋ย พวกพระเอกมาเฟียแต่ทำตัวยิ่งกว่าจิ๊กโก๋ท้ายตลาดน่ะ

หลังจากทำปากผะงาบๆ คล้ายคนความดันขึ้นสักพัก ในที่สุดพ่อพระเอกก็เค้นหาเสียงของตัวเองเจอ “มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร”

“ถ้าขนาดพี่ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ผมก็จนปัญญาแล้วละครับ”

“ไอ้! —”

“ฮ่าๆๆๆ กูชักชอบเด็กคนนี้แล้วว่ะ” ชายปริศนาที่ขอเรียกว่า ‘ร่างหนาน้อยกว่า’ ไปก่อนหัวเราะขึ้นมา เรียกสายตาอาฆาตจากคลาร์กได้เป็นอย่างดี “เด็กนายเหรอธีระ ไปหามาจากไหนละเนี่ย”

“เป็นรุ่นน้องสายรหัส” พี่ธีระพูดขึ้นมาเนิบๆ “เห็นว่านายกำลังรับสมัครเลขาฯ อยู่ วิชญ์ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว วันนี้เลยนัดมาให้เจอกันก่อน”

“เจอกันก่อนอะไร! กูไม่เอามันหรอก และกูก็ไม่เอาเลขาฯ ด้วย!” คลาร์กรีบหันไปฉอดใส่พี่ธีระทันที “มึงจะมาวิสาสะยัดเยียดเด็กมึงให้กูแบบนี้ไม่ได้”

ทำไมรูปประโยคนี้มันชวนคิดไปไกลจังเลยวะครับ…

“แต่แม่ของนายตอบตกลงแล้ว”

“อะไรนะครับ” คราวนี้เป็นผมที่ร้องถามเสียงหลงขึ้นมา ช้าก่อน นี่พี่ธีระถึงขั้นไปติดต่อแม่ของคลาร์ก พระธิดาของท่านชีคที่ปกครองดินแดน 90% ของอาหรับและภริยาผู้นำตระกูลมไหศวรรย์ฯ ซึ่งเป็นตระกูลร่ำรวยอันดับหนึ่งของประเทศและของโลกเลยเหรอเนี่ย!

นี่มันมัดมือชกกันชัดๆ

และดูเหมือนว่าผมจะไม่ได้คิดเช่นนี้คนเดียว เพราะคลาร์กเองก็ทำหน้าตาแตกตื่นเช่นกัน “เดี๋ยวนะ มึ— นายไปคุยกับแม่ฉันเลยเหรอ”

ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเป็นพูดจาสุภาพทันทีเมื่อได้ยินว่าแม่ของตัวเองก็เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้

“แม่นายติดต่อมาขอให้ฉันช่วยหาคนดูแลนาย” พี่ธีระตอบด้วยสีหน้าไม่ยี่หระ “ฉันส่งข้อมูลของวิชญ์ไปให้ท่านหมดแล้ว และท่านก็ตอบตกลง เลยให้ฉันช่วยมาคุยกับนายต่อ”

คลาร์กทำหน้าตาเหมือนไม่อยากยอมรับ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกคล้ายกำลังรวบรวมสติ “แล้วถ้าฉันปฏิเสธ?”

พี่ธีระหยิบแว่นกลับมาสวมแล้วก้มหน้าลงไปจัดการเอกสารต่อ ก่อนจะเอ่ยตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง “นายไม่ทำแบบนั้นหรอก”

น้ำเสียงของรุ่นพี่เย็นเยือกชวนขนลุก ขนาดว่าเขาไม่ได้พูดกับผมเสียด้วยซ้ำยังอดรู้สึกกลัวไม่ได้ และเมื่อเหลือบไปมองคลาร์ก เห็นว่าชายหนุ่มจ้องมองพี่ธีระนิ่ง ทว่าในแววตาของเขาไม่ได้หยิ่งผยองเช่นเก่า แต่กลับกลายเป็นอะไรที่คล้ายกับความหวาดกลัว มือที่แนบอยู่ข้างลำตัวกำแน่นและสั่นระริก

“หึ ดีใจด้วยนะคลาร์ก ในที่สุดมึงก็มีคนคุมความประพฤติเสียที” ร่างหนาน้อยสุดเอ่ยขึ้นมาขัดสถานการณ์ที่กำลังคุกรุ่น… ไม่สิ ต้องเรียกว่ากำลังเย็นยะเยือกดุจขั้วโลกใต้ต่างหาก

คลาร์กตวัดสายตาไม่พอใจไปหาร่างหนาน้อยสุด แต่ไม่รุนแรงเท่าก่อนหน้านี้

“มึงหุบปากไปเลยไอ้พี่โน้ต ใครขอความเห็นของมึงวะ”

โน้ต… สมองของผมพยายามระลึกถึงเรื่องเล่าของมูนประกอบกับลักษณะหน้าตาที่เคยเห็นผ่านๆ ในเพจที่ชายหนุ่มเปิดให้ดูพร้อมถือวิสาสะไปกดไลก์ให้… โน้ตปีสี่เป็นทายาทตระกูลอสังหาริมทรัพย์ที่มีธุรกิจทั้งโรงแรมและห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ รวมไปถึงห้างหรูเปิดใหม่แถวมหา’ ลัยที่นัทเพิ่งชวนไปกินปิ้งย่าง แถมยังเป็นผู้ถือธงตอนงานกีฬาประจำปีและพรีเซนเตอร์ของมหา’ ลัยสี่ปีซ้อนอีกด้วย

จะว่าไป ผมก็จำได้เยอะเหมือนกันนะเนี่ย ไม่นะ นี่ผมกลายเป็นพวกใส่ใจเรื่องของชาวบ้านเกินควรตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!

“แหม ล้อแค่นี้ก็ต้องหัวร้อนเลยเหรอ” พี่โน้ตกลั้วหัวเราะ “เอาน่า มีเลขาฯ เป็นเด็กของธีระก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีนี่น่า”

“ใช่” ร่างหนาน้อยกว่าที่ยังไม่รู้ชื่อกล่าวเสริม “ได้ข่าวว่านายกำลังอยากขอความช่วยเหลือจากธีระเรื่องบริษัทในเครือที่พ่อมึงเพิ่งยกให้ไม่ใช่เรอะ”

พี่ธีระยอมเงยหน้าขึ้นมาในที่สุด “บริษัทเล็กๆ สำหรับผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งเปิดและกำลังจะปิดน่ะหรือ”

“ใช่” คลาร์กตอบเสียงลอดไรฟัน ส่วนผมยืนงงว่าสี่คนนี้เขาคุยกันเรื่องอะไรอยู่ บริษัทเล็กๆ ในเครือของพ่อคลาร์กกำลังจะเจ๊งแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่ธีระด้วย

“เอาเถอะ เดี๋ยวอีกไม่นานแม่นายคงเรียกตัววิชญ์ไปหาแล้วคุยเรื่องงาน ก็ขอให้สนุกกับชีวิตอิสระที่ยังเหลืออยู่อีกไม่กี่วันละกัน” รุ่นพี่ว่าแล้วโบกมือเป็นการตัดบทสนทนา คลาร์กมีสีหน้าไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ขัดอะไรอีก

“จะไปแข่งรถก็ไปเถอะ ฉันบอกเจ้าของสนามแข่งแล้วว่าให้เลื่อนเวลาไปก่อน รีบไปตอนนี้ก็คงจะทัน”

“เลื่อน?” คู่สนทนาทำเสียงประหลาดใจ “นายโทรไปขอเลื่อนเจ้าของสนามเนี่ยนะ เดี๋ยวก่อนสิ แล้วนายรู้ได้ไงว่าวันนี้ฉันมีแข่ง”

พี่ธีระไม่ตอบ แต่เป็นพี่โน้ตที่เป็นฝ่ายตอบขึ้นมาเบาๆ แทน “เพราะว่าเป็นธีระอย่างไรละ ไม่น่าถามเลย”

“นั่นสิ เพราะธีระก็คือธีระ สมแล้วที่เป็น…”

เป็นอะไรนะ ผมพยายามเงี่ยหูฟังเหล่าคนที่กล้านินทารุ่นพี่ต่อหน้า แต่ฝ่ายที่ถูกพูดถึงกลับกระแอมไอออกมาสียก่อน คนทั้งคู่จึงรีบหยุดพูดทันที

“งั้นฉันไปก่อนนะ ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม” พอพี่ธีระพยักหน้า คลาร์กจึงรีบวิ่งออกไปจากซุ้มอย่างรวดเร็ว เหลือแค่พี่โน้ตกับร่างหนาน้อยกว่าที่ยังยืนนิ่งเหมือนกำลังรออะไรอยู่

“ธีระ สรุปแล้วที่เรียกมาคือมีเรื่องอะไร ใช่เรื่อง—”

พี่ธีระยกมือขึ้นมาให้อีกฝ่ายหยุดพูด ฝ่ายตรงข้ามหยุดชะงักกึกทันที

เห็นดังนั้นแล้ว ก็นับว่าเรื่องที่มูนเล่าให้ฟังก็เรียกได้ว่ามีเค้าความจริงไม่ใช่น้อย ที่ว่ารุ่นพี่ถือเป็นเฮดของกลุ่มซึ่งทุกคนต้องเกรงใจ ถึงแม้ว่าเท่าที่เห็นมา มันน่าจะเป็นความหวาดกลัวเสียมากกว่า

ว่าแต่จะกลัวเรื่องอะไรล่ะ… ถึงอภินิหารต่างๆ ของพี่แกจะน่ากราบไหว้บูชามากก็ตามเถอะ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินขนาดนั้น

ผมจดความสงสัยนี้ไว้ในใจก่อน เพราะด้วยความสามารถแล้วไม่น่าจะไปสืบเรื่องของเขาได้ ขนาดมูนที่รู้ไปเสียทุกเรื่องเหมือนกินกูเกิ้ลเป็นอาหารหลักยังไม่รู้เลย

พี่ธีระหันมาโบกมือให้ผมหลบไปก่อน แต่ตอนที่กำลังจะโล่งใจว่าหลุดพ้นแล้วนั่นเอง รุ่นพี่กลับชิงพูดขึ้นมาทำลายความฝันเสียก่อน

“รอพี่ที่โรงอาหารแป็บนึง เดี๋ยวคุยธุระเสร็จแล้วจะตามไปหา”

ขาของผมที่เตรียมตัวจะวิ่งหยุดชะงัก จากความรู้สึกยินดีปรีดาราวกับกำลังจะขึ้นสวรรค์ ตอนนี้กลายเป็นถูกถีบร่วงหล่นลงสู่ขุมนรกทันที แต่ผมก็ทำอะไรไมได้นอกจากรับคำว่า “ได้ครับ”

ร่างหนาน้อยกว่าเดินตามออกมาด้วย คุยไปคุยมาผมเลยได้รู้เสียทีว่าพี่แกชื่อเซย์ ทายาทเจ้าของบริษัทเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และแน่นอนว่าเป็นหนึ่งในสิบสมาชิกของสมาคม

ตอนที่เดินออกมาห่างจากซุ้มสักพักแล้ว ผมแอบเอี้ยวคอกลับไปมอง ภาพที่เห็นชวนให้รู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก

พี่โน้ตที่เป็นถึงทายาทของตระกูลเก่าแก่ตั้งแต่ยุคต้นกรุงศรี สืบเชื้อสายมาจากพระองค์เจ้าทั้งทางพ่อและแม่ แถมมีนิสัยหยิ่งยโสไม่เห็นหัวใครจนเป็นที่เลื่องลือ ตอนนี้กลับยืนก้มหน้ากุมมือฟังพี่ธีระอย่างนอบน้อมคล้ายข้าราชบริพารกำลังรับฟังราชโองการ ไม่กล้าแม้กระทั่งจะนั่งเสมอกับองค์พระพ่อธีรวัตเสียด้วยซ้ำ

พี่ธีระเป็นใครกันแน่… ผมเหม่อมองใบหน้าหล่อเหลาดุจเทวดามาจุติของอีกฝ่ายจากระยะไกลอย่างเลื่อนลอย แล้วบุคคลระดับนี้ทำไมถึงได้มาเรียนมหา’ ลัยกันนะ

พอลองถามพี่เซย์ที่น่าจะรู้ดีกว่ามูน อีกฝ่ายก็ตอบว่าไม่รู้เช่นเดียวกัน เรื่องส่วนตัวของพี่ธีระถือได้ว่าเป็นความลับอันดับมืดยิ่งกว่าเรื่องการทดลองเอเลี่ยนในแอเรีย 51 อีก ไม่มีใครรู้ว่าพ่อแม่ของท่านเป็นใคร มาจากไหน บ้านอยู่ที่ไหน ทำมาหากินอะไร คล้ายกับว่าพี่ธีระผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า หรือมาจากนอกโลกอย่างไรอย่างนั้น

หรือว่าพี่แกจะเป็นเอเลี่ยนวะ?

ผมถอนหายใจ หลังจากแยกกับพี่เซย์ที่จะไปแข่งรถพร้อมคลาร์กแล้วก็เดินไปนั่งรออย่างสงบเสงี่ยมที่โรงอาหาร ไม่ว่าพี่เขาจะเป็นตัวอะไร ผมก็หนีไปไม่ได้อยู่ดี ช่างน่าเศร้าใจนัก

ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง พี่ธีระก็เดินมาหาในที่สุด ผมเงยหน้าขึ้นจากซีรีส์วายชื่อดังที่ถูกเดียร์ยัดเยียดมาให้ดูแล้วเอ่ยทักทายอย่างเหนื่อยล้า

“เสร็จธุระแล้วเหรอครับ”

“อืม กลับบ้านเถอะ”

เราสองคนเดินไปรอรถบัสของมหา’ ลัยที่จะผ่านบริเวณสถานีรถไฟฟ้า ระหว่างที่ยืนรอรถอยู่พี่ธีระเอาแต่ยืนนิ่งคล้ายตกอยู่ในภวังค์ ระหว่างเราจึงมีแต่ความเงียบอันน่าอึดอัด จนกระทั่งรถมาถึง พี่ธีระจึงหลุดออกจากญาณสมาธิและหันมาคุยด้วยในที่สุด

“คลาร์กที่วางท่านักเลงโตไปแบบนั้นก็เพราะมีเงินเท่านั้นแหละ” รุ่นพี่กล่าวขึ้นมาหลังจากหาที่นั่งกันเรียบร้อยแล้ว “ถ้าไม่มีเงิน ก็ไม่ต่างจากคนธรรมดา ไม่กล้าวางมาดหรอก”

“ครับ” ผมรับคำแบบงงๆ ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าพี่ธีระต้องการจะสื่อสารอะไรกันแน่

เหมือนจะอ่านใจผมออก เขาจึงพูดต่อ “ถ้าเธอหาทางควบคุมการเงินได้ ก็เท่ากับควบคุมเขาได้แล้ว ไม่ว่าจะบอกให้ทำอะไรคลาร์กก็จะต้องยอมฟังเธอทุกอย่าง… บอกไว้ให้เธอรู้วิธีจัดการคลาร์กตอนเริ่มงานน่ะ”

ผมฟังแล้วแทบสำลักพรวด ทำไมฟังแล้วเหมือนภรรยายึดเงินสามีจังเลย สยองชะมัด

“แต่ก็ยังไม่แน่ว่าแม่ของพี่คลาร์กจะรับผมเข้าทำงานนี่ครับ”

“พี่คุยทุกอย่างเรียบแล้วแล้ว เธอแค่ไปตกลงค่าจ้างกับสโคปงานเท่านั้น”

“ขอบคุณนะครับ” เอ่ยไปตามมารยาท แม้ว่าจะยังคงไม่เข้าใจว่าพี่เขาทำไปเพื่ออะไรและทำไปได้อย่างไร

หลังจากจินตนาการความเป็นไปได้ทั้งร้อยแปดพันเก้าประการแล้วก็ยังคิดไม่ออก ผมเลยตัดสินใจเลิกหาสาเหตุไปก่อน ไม่ว่าพี่เขาจะมีเจตนาอะไร แต่อย่างน้อยผมก็ได้งานทำ… และได้หลุดพ้นจากบรรยากาศอึมครึ้มไม่น่าพิสมัยที่บ้านเสียที

บางทีสาเหตุที่วิชญ์คนนั้นตัดสินใจสมัครงานคงเป็นเพราะแบบนี้ละมั้ง

ระหว่างทาง พี่ธีระก็เล่าเรื่องของคลาร์กและครอบครัวให้ฟัง ข้อมูลของรุ่นพี่เรียกว่าเป็นข้อมูลอินไซด์ของจริง ไม่ใช่มโนสาเร่ซุบซิบคนดังแบบที่มูนเล่า ละเอียดระดับที่ว่าสามารถเอาไปใช้ไปลอบฆ่าหรือวางแผนล้มตระกูลมไหศวรรย์ฯ เลยล่ะ

คราวนี้พี่ธีระไม่ได้ลงสถานีเดียวกับที่ผมพบเข้าเมื่อเช้า แต่เลยป้ายนั้นไปโดยอ้างว่ามีธุระ ผมก็ไม่ได้อยากจะรู้เรื่องของเขามากนักจึงเอ่ยลาแล้วรีบเดินออกจากขบวนรถทันที ระหว่างนั้นผมสัมผัสได้ว่าสายตาของพี่ธีระมองตามผมไปจนกระทั่งถึงบันได และนั่นทำให้ขนลุกวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ก็ได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้จะไม่เจอรุ่นพี่ที่สถานีอีกนะ