2 ตอน 2
โดย pynox
เขามักจะไขว่คว้าอะไรสักอย่าง ใครสักคน ในตอนที่ทรมาน ทว่ามีแต่หล่อนเท่านั้นที่เด็กคนนั้นจับต้องแล้วจะอาการทุเลาลง สีหน้าทุรนทุรายน่าสงสาร น่าเห็นอกเห็นใจ ซึ่งโจเซวาได้แต่ยืนมอง ปล่อยให้มือหรือแขนเสื้อยาวถูกเกี่ยวกุมด้วยมืออันอ่อนแรง เสียงของเขาชัดเจนขึ้นแต่ละวัน ทว่าฝันร้ายหรือสิ่งใดก็ตามที่รุมเร้าเกินสายตาหล่อนจะมองเข้าใจก็ดูรุนแรงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
ข้างนอกวุ่นวายยิ่งขึ้นเพราะนักบวชของยูยาหกคนหลบหนีออกจากห้องคุมขัง แล้วพบถูกฆ่าเป็นศพอยู่ตรงชานเมืองไอน์ อาวุธอันเห็นได้ชัดว่าเป็นของขุนนางปักทิ้งไว้บนศพหนึ่ง ไม่มีใครเคยเห็นดาบเล่มนั้นมาก่อน ไม่ใช่ใครสักคนเดียวในหมู่อดีตสมาชิกกองรบใต้ธงหางนกยูง
“…มาที”
วันที่ห้า หล่อนฟังออกในที่สุดว่าเขาเพ้อไข้ว่าอะไร
เรียกหาใครสักคน
“ใคร ครอบครัวที่ขายเจ้าให้วิหารเพราะเจ้าต่อต้านพวกเขาหรือ” หล่อนพึมพำถาม “หรือเจ้ามีคนที่ควรมาช่วยเจ้าเช่นกัน มิราค ล็อตต์”
หล่อนมองเขาพลางจินตนาการถึงชีวิตของเด็กน้อยก่อนถูกครอบครัวตัดขาดทอดทิ้ง ล็อตต์ เขาเป็นบุตรชายตระกูลขุนนางที่ใกล้ชิดเชื้อพระวงศ์ เขาจะเคยเห็นนางบ้างไหม ความคิดว่าเขาอาจอยู่ในหมู่ชนชั้นสูงที่รายล้อมเอเรส ชื่นชมเรือนร่างหน้าตานางดั่งชมสิ่งของสะสมมีชีวิต แตะต้องนางตามใจอยาก มือซ้ายที่เริ่มขยับได้เท่าเก่าแม้จะยังพันผ้าพันแผลเต็มไปหมดกระตุก อยากจะขยับเข้าบีบคอเขา
แต่เขาก็ยังคงเป็นเด็ก อายุน้อยยิ่งกว่าเหยื่ออายุน้อยสุดของหล่อนในศึกเจ็ดปีมานี้ รอยสักข้างในข้อมือเขาเองก็ช่างให้ความหวังเกินควบคุมจินตนาการตัวเองได้ ถ้าขุนนางแบบเขาเปลี่ยนไปจากสมัยเธอยังเล็ก ถ้ามีเขาหรือใครที่มีอำนาจ เงิน เส้นสายช่วยเหลือเอเรสออกไปจากตำแหน่งเหยื่อสังเวย เช่นนั้นเอเรสก็ไม่ได้อยู่ในกองศพจากอารามของไรรายะ ไม่ได้หายไปกับคนของอารามยูยาที่เหลือ หรือโดนขุนนาง รึเชื้อพระวงศ์ใช้เป็นของเล่นจนตาย นางอาจจะอยู่อาณาจักรอื่น ประเทศอื่น เดินเท้าเปล่าย่ำพื้นหญ้าอ่อนนุ่ม ทัดเส้นผมไว้หลังหูกลางลมพัดกลิ่นดอกไม้ของจริงให้โชยฟุ้งรอบตัว
เป็นเช่นนั้นหรือเปล่า
ข่าวคราวอาณาจักรอลัดใหม่กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลก ไปถึงนางเฉกเดียวกับสายลมและแสงดาราไปถึงนาง แล้วบอกนางหรือเปล่า ว่าหล่อนมาถึงแล้ว
“ท่านนั่งบ้างเถอะ อัศวิน”
นางพยาบาลคนเดิมเปิดประตูเข้ามาพร้อมประคองถาดทองเหลืองเอาไว้ โจเซวาเหลียวมองเก้าอี้ตัวใหญ่ทำจากไม้สัก บุเบาะผ้ากำมะหยี่ “ไม่เป็นไร และข้าไม่ใช่อัศวินแล้ว”
“อัศวิน” หล่อนเรียกโจเซวาอย่างไม่สนใจ
บนถาดเต็มไปด้วยหลอดแก้วกับแท่นเสียบเข็มฉีดยาโลหะ โจเซวายืนดูของเหลวหลายสีสันถูกฉีดเข้าตัวเด็กหนุ่ม พยาบาลอธิบายว่าเป็นสารเวทแทนสารอาหาร บำรุงกล้ามเนื้อ รวมถึงกำจัดพิษในเลือด
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้”
“อะไร”
“วันที่ปาฏิหาริย์แห่งเทพโดนเรียกว่าพิษ” นางพยาบาลเปลี่ยนหลอดแก้วตรงปลายกระบอกฉีดยา ดันสารสีแดงข้นฉีดเข้าไปจนหมดหลอด “แม้จะต่างศาสนา แต่เทพเจ้าก็คือเทพเจ้า แล้วพวกเขาควรจะ...มีเมตตา”
“ข้าไม่เคยเห็นผู้ทรงอำนาจมีเมตตา”
“ทวยเทพก็ไม่ได้ทรงอำนาจอะไรนักหนา จะรู้ได้อย่างไรว่าเทพรับเพียงเหยื่อสังเวยเท่านั้น พวกเขาเคยลองดอกไม้หรือยัง เคยแลกเปลี่ยนเพียงความรักกับการคุ้มครองโดยหมู่เทพบ้างหรือเปล่า จะรู้ได้อย่างไรว่ามหาเทพเบื้องบนไม่ได้เรียกค่าภักดีราคาแพงขึ้นเพราะมนุษย์ไม่ได้ขอเพียงการปกปักรักษา แต่เพราะขอชัยชนะเหนือชีวิตอื่น”
หลอดแก้วเปล่าใสกระจ่างเรียงติดกันบนถาด เข็มฉีดยาถอนออก แผ่นชุบยาปิดทับลงตรงท้องแขน ปลายนิ้วของหล่อนดูนุ่มนวล ตรงข้ามกับการเคลื่อนไหวและข้อนิ้วทะมัดทะแมงแข็งขัน โจเซวาตามอง หูฟัง และรู้สึกจมจ่อม ดิ่งลงในแสงตะวันอันผิดที่ผิดทาง แต่มันก็อบอุ่นเสมอกันมาตลอดเจ็ดปี แสงยามเช้าเป็นดั่งสัญญาณบอกให้อย่าลืมหายใจหลังหยดน้ำแข็งแหลมช่วงกลางคืนอันยาวนานบาดไปหมดทั้งสรรพางค์
“เจ้าชื่ออะไร”
นางพยาบาลหยุดตรงประตู มือแตะลูกบิด
ผ้าคลุมเก็บผมของหล่อนไว้หมด ปอยผมสั้นที่หลุดออกมาเป็นสีดำแบบหมึกตวัดจากปลายปากกา เจ้าหน้าที่แพทย์ทุกคนเรียกคนนอกไม่ว่า ‘ท่าน’ กันหมด แต่น้ำเสียงของหล่อนชัดเจนว่าใครรู้ดีที่สุดในห้อง โจเซวาผงกศีรษะรับ
“ท่านคิดว่าใครฆ่านักบวชพวกนั้น”
“อา มิได้ตายด้วยอุบัติเหตุระหว่างหลบหนีกันหรอกรึ”
“นั่นสินะ”
เวียนปรายมองโจเซวาจากหางตาอีกครั้งหนึ่ง
สมาชิกคณะนักบวชแต่ละศาสนาประกาศตัดขาดกับกลุ่มนักบวชในหอคอยของอดีตพระราชวัง ยืนกรานว่าพวกเขาดำเนินการสังเวยมนุษย์กันเองแลกกับเงินจากเชื้อพระวงศ์และขุนนาง ศาสนาทั้งสี่แพร่หลายในประเทศอื่นด้วยเช่นกัน กลุ่มสิบเจ็ดประเทศจึงไม่ดำเนินการกับนักบวชที่ประจำวิหาร อารามอยู่ที่อื่นทั่วประเทศ ตราบเท่าที่ไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรว่าเคยรับเงินหรือช่วยเหลือทำคุณเป็นการส่วนตัวเหนือกิจนักบวชโดยระเบียบศาสนา
ไรรายะถูกถอดออกจากการเป็นศาสนาประจำชาติสหอาณาจักรอลัด แต่นั่นก็เป็นเพียงเพื่อยับยั้งห้ามกระทำพิธีกรรมร่วมระหว่างสี่ศาสนาในการสร้างม่านคุ้มกันอาณาเขตขึ้นอีก และไรรายะถูกเลือกตัดทิ้ง เพราะมีผู้นับถือทั่วโลกน้อยที่สุดในสี่ศาสนา โจเซวานึกขอบคุณกระบวนการสังคายนาศาสนาทั้งสี่นี้ เพราะข่าวหนังสือพิมพ์ช่วยบอกว่าตกกลางคืน หล่อนต้องไปเค้นคอถามวิหารไหน นักบวชคนใดบ้าง ถึงเหยื่อสังเวยและกลุ่มที่พาเหยื่อสังเวยคนก่อนหน้ามิราค ล็อตต์เข้าไป
ไม่มีใครมอบคำตอบเป็นประโยชน์กันสักราย คืนแล้วคืนเล่า โจเซวาได้ยินก็เพียงเสียงสำลักเลือดกับคำปฏิเสธ ยืนกรานว่าการรับรู้ของพวกเขาทั้งหลายปราศจากมลทินการสังเวยมนุษย์ “ถ้าข้าอยากฟังเรื่องตอแหลตอซาก ข้าเข้าประชุมก่อตั้งสิบแปดกลุ่มประเทศก็ได้” ถึงจุดหนึ่ง หล่อนแดกดันประชดประชันกลับค่อยฆ่าอีกฝ่ายด้วยอาวุธที่ตบสอยมาจากใต้เตียงห้องนอนรวม ไม่มีใครถามหาของหาย ไม่มีใครหยิบยื่นอาสาว่าพี่โจเซวาที่เคารพ มาหยิบของพวกเขาไปใช้ด้วยได้เลย ไม่ต้องการอาวุธที่หลอมกันมาเป็นชุดเดียวกันของกองรบใต้ธงหางนกยูงที่แยกตัวสลายไปแล้ว รวมถึงไม่คิดเก็บของจากสงครามไประลึกไว้ที่อื่นไหน หล่อนต้องทำแค่มาลอบหยิบไปขณะพวกเขามองทางอื่น ทุกคนปิดปากซ่อนเรื่องจากตัวแทนสิบเจ็ดประเทศ เงียบเชียบจนสายตาสอดส่องนั่นเริ่มจับเดาทางได้ แต่ทำอะไรไม่ได้ตราบที่ไม่มีหลักฐานเอาผิดโจเซวา อาวุธที่หล่อนทิ้งไว้สร้างความสับสน เพราะคนพวกนั้นไม่ได้ร่วมสงคราม ไม่มีใครรู้ว่าพวกหล่อน ถ้าอาวุธพังทลายสูญหายก็นำเอาอาวุธขุนนางตามท้องที่ต่างๆ มาดัดแปลง คนในกองรบก็ประโคมคุยว่าใช้เพียงอาวุธหลอมตอนเริ่มต้นสงครามสู้มาตลอด ไม่มีใครพูดถึงการเก็บตกสมบัติมาใช้สอย ไม่มีใครให้ปากคำเรื่องนั้น คนนอกที่ไม่ร่วมสงคราม รอเพียงปรากฏตัวเมื่อทุกอย่างการันตีแล้ว จะมาตั้งสันนิษฐานก็น่าเกลียดน่าชังเกินไปนัก
โจเซวาถูกเรียกตัวไปสอบถามความเห็นถึงห้าครั้ง ทุกห้าครั้งหล่อนเมินเฉยสายตาส่อนัยจากทางนั้น แต่แยบย้อนกลับว่านี่คือหนึ่งในราคาค่าตอบแทนที่หล่อนเรียกร้องสำหรับการมอบสหอาณาจักรอลัดให้แก่โลก ในกองรบที่กลายเป็นอดีตมีคนแบบมาริค จรดหน้าผากแตะลูกประคำศักดิ์สิทธิ์ สาบัดสาบานไปจนถึงอ้อนวอนขอว่าอย่าให้ต้องฆ่าใครอีกเลย กับคนแบบหล่อนที่มองว่าเสียงหลายร้อยล้านจากทั่วโลก เห็นชอบให้หล่อนมือเปื้อนเลือด พวกเขาอนุญาตซ้ำแล้วซ้ำอีกทุกวันตลอดเจ็ดปี จะมายุติช่วงเวลาเห็นชอบนั้นเอาตามอำเภอใจพวกเขาก่อนการบรรลุเป้าหมายของหล่อนไม่ได้ และหล่อนยังไปไม่ถึงจุดนั้นเสียหน่อยหนึ่ง
หญิงไร้เกราะอัศวินสวมเพียงชิ้นเครื่องหนังทับเสื้อผ้าเพียงสองชั้น เสื้อคลุมตัวโครงย้วยแทบจะพันคล้องมากกว่าสวมใส่ ทับด้วยสายหนังของซองยาวสะพายกลางอก กางเกงผ้ารัดเข้ารูปขาถึงเพียงใต้เข่า ส่วนปลายกลับทิ้งตัวไหวปลิวตามแรงลมอยู่เหนือขอบรองเท้าบู๊ตปิดแข้ง หล่อนยืนเหยียบขอบยอดวิหารสูงเสียดฟ้า ผมปลายกระเซิงไม่เท่ากันขยับตามแรงลม ยกตัวลอยปล่อยอากาศเย็นลูบทาบลำคอชื้นเหงื่อ โจเซวาวางปืนยาวอีกสามกระบอกลงข้างเท้า ดึงกระบอกจากในซองมาลองใช้ก่อน
ปืนทั้งหมดมาจากข้างในวิหาร พวกไรรายะรีบเร่งเก็บของกุลีกุจอหลบลี้หนีกันจนไม่มีเวลาขนคลังแสงตัวเองไป จะมีก็พวกส่วนน้อยทำลับๆ ล่อๆ ตามซอกมุมตึก หาทางลอบกลับเข้ามาเอาของที่เหลือ หล่อนจึงเข้ามาโกยอาวุธหน้าตาเหมือนเครื่องประดับผนังมากกว่าไว้ใช้การติดหลัง แล้วคว้าปืนยาวทั่วไปตามชั้นวางติดมาด้วย
หล่อนก็ยิงไปก่อนสามนัด ให้พวกมันรีบรี่เข้ามาข้างในวิหาร ถ้าเป็นดารัคคงจัดการพวกมันได้หมดในทีเดียว แต่โจเซวาประเมินไว้แล้วว่าตนไม่มีฝีมือถึงครึ่งของพลแม่นปืน หล่อนเสียเปรียบตั้งแต่ตั้งท่ายิงได้จำกัดเพราะการเคลื่อนไหวของหลังกับสะโพกไม่อาจยืดหยุ่นได้เท่ารายนั้น อาการบาดเจ็บตกค้างจากตั้งแต่สมัยวัยรุ่นเป็นภาระเกาะร่างหล่อนหนึบมาจนถึงทุกวันนี้ แต่หล่อนไม่มีปัญหาเรื่องความเร็วของขากับการใช้งานของเข่า รวมถึงความทนทานของร่างกาย ปฏิกิริยาตอบสนองของโจเซวาว่องไวฉับพลัน หล่อนเตะปืนสามกระบอกกลับขึ้นมาหอบแนบข้างตัว พุ่งกลับเข้าข้างในแล้วยิงล่าเหยื่อของหล่อนไล่จากชั้นบนลงชั้นล่าง พวกมันส่งเสียงสับสน ได้ยินเสียงปืนยิงหลายกระบอกพร้อมกันก็จ้าละหวั่นหาว่าศัตรูมีกี่คน
ปืนยาวถูกทิ้งลงตามรายทางไปจนหญิงหัวกระเซิงเดินพ้นจากวิหารร้าง “ฉิบหายเอ๊ย” หล่อนสบถ “ข้าลืมถามพวกมันเสียอย่างนั้น”
โจเซวาย้อนกลับมายังศพใกล้สุด นักบวชไรรายะยังสวมเครื่องแบบของคณะตัวเองคลุมทับด้วยเสื้อคลุมตัวใหญ่มีกระเป๋ามากมายเย็บไว้ข้างในเพื่อโกยใส่ของ หล่อนมองใบหน้าซึ่งเสี้ยวบนแหว่งหายไปเพราะกระสุน “นี่ เจ้ารู้จักเอเรสไหม นางอยู่ไหนน่ะ” เสียงเย็นเอ่ยถามผิดคำถาม หล่อนตั้งใจจะถามหาเอเรสถ้าเหยื่อที่ตนออกล่าเป็นนักบวชของยูยา และถามถึงเงื่อนไขการสังเวยเหยื่อ รอบการฆ่า ลักษณะเหยื่อสังเวยถ้าฝ่ายตรงข้ามเป็นไรรายะ บัดนี้กลับถามผิดมั่วไปหมด หัวรองเท้ายกเขี่ยกะโหลกที่ยังเหลืออยู่ “ตอบข้ามาสิ ตอบข้า” โจเซวากระทืบเท้าลงไป “ตอบข้า” หล่อนกระทืบลงไปอีก “ตอบมา” เสียงพื้นรองเท้าย้ำลงบนของแข็งกับของอ่อนนุ่มดังก้องความเงียบกับพื้นที่อับแสง
หล่อนเหยียบจนส้นรองเท้ากระแทกโดนแต่พื้นวิหาร
“…นางอยู่ไหน”
ปาดรองเท้าเช็ดกับบนเสื้อคลุม จำต้องเดินต่อไป
แต่ตัวหล่อนถูกรั้งไว้กับที่ เงารูปร่างเหมือนเถาวัลย์ตรึงพันขา “หา!” โจเซวาตะปบต้นขาที่มีรอยเงารัดรอบ แรงรัดกรีดลงมายังเนื้อต้นขาดั่งว่าเงาเถามีตัวตน รอยยับผ้าของหล่อนกรีดเกิดตามรูปร่างเงาที่พันอยู่ ทว่ามือหล่อนกลับไม่รู้สึกถึงอะไรนอกจากเนื้อเสื้อผ้ากางเกงของตน
เบื้องหน้าโจเซวา ณ ตรงที่เงาของกำแพงปรักหักพังทอดทับ ร่างมนุษย์ปีนขึ้นมา ผมยาวขาวโพลนสยาย ทิ้งตัวจากด้านหลังข้ามไหล่มาข้างใบหน้าอิดโรยเต็มไปด้วยรอยถลอกแดงรอบดวงตา เขาลุกขึ้นจากท่าคุกเข่าข้างหนึ่งเป็นยืนบนเท้าเปล่า
“เอเรส ไอน์”
ชื่อนั้นดึงความสนใจต่อสิ่งอื่นทิ้งไปจากโจเซวา “แกรู้อะไร!”
เขาคือเด็กหนุ่มจากสามเหยื่อสังเวย คนที่ดารัคเข้าไปช่วยดูแล ผมขาวของเขาดูสะอาดหมดจดผิดจากสองครั้งก่อนที่หล่อนได้เห็น ดวงตาของเขาเป็นสีม่วงวาวในแสงสลัว สว่างชัดยิ่งพื้นที่อับแสงรอบตัว ชั่วเสี้ยวความคิดหนึ่ง โจเซวาปรารถนาเพียงจะเอื้อมมือไปให้ถึงแล้วควักอัญมณีคู่นั้นออกมา จนกว่ามันจะเลิกส่องสว่างในสีดำของยามราตรี
แสงจันทร์สว่างขึ้น ผมของเขายาวทิ้งตัวเกือบถึงพื้นถ้าเขาตัวเล็กเตี้ยกว่านี้สักหน่อย รูปร่างของเขาซ่อนอยู่ในเสื้อยาวตัวโคร่งใหญ่ถึงเข่า ขาของเขาผอมแกร็นพันด้วยผ้าอาบยาจนเห็นส่วนเนื้อเฉพาะตรงหัวเข่า หลังเท้าสองข้างของเขาเองก็มีรอยแผลแผ่ตัวอยู่ เด็กหนุ่มเดินเข้ามาหาหล่อน เงาเถาวัลย์ตวัดเข้ารัดข้อมือ ดึงโจเซวาให้ขาพับ คุกเข่าสองข้างลงกับพื้น แรงมหาศาลรั้งตรงไหล่จนมือหล่อนแตะพื้น ยันท่อนบนตัวเองไว้ แต่หล่อนก็ยังฝืนเงยเอาไว้
เด็กหนุ่มมายืนประชิดตรงหน้าหล่อน เขาย่อกายลงนั่งบนส้นเท้าเปล่า ปลายผมยาวจมลงในเงาข้างใต้ชายเสื้อ
“อย่าปล่อยหญิงผู้นั้นไป”
สัมผัสของรอยแผลทั่วนิ้วและฝ่ามือของเขาแนบลงบนแก้มของโจเซวา
“อย่าปล่อยมือท่านจากนาง อย่าปล่อยหัวใจท่านจากนาง”
“แกเป็นใคร…”
“ข้าเคยพบเขา หญิงคนที่ท่านตามหา”
เขารู้ว่าต้องพูดอะไรให้หล่อนหยุดถาม และโจเซวานึกชังเด็กคนนี้ขึ้นมาหลังจากไม่มีความเห็นใดๆ ต่อเขากับหญิงอีกรายมาตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นพวกเขา
“แก --”
“ในห้วงผนึกของเหยื่อสังเวย พวกเราพบกัน มีเพียงกันและกัน แบ่งปันความเจ็บปวดให้กัน ปฏิเสธความเจ็บปวดของกันและกัน สูบกินพลังจากกันและกัน ชิงชังกัน ต้องการกัน เข้าใจและไม่เข้าใจ ข้าเชื่อมโยงพวกเราเข้าด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือเขา เอเรส ไอน์ สว่าง สว่างไสวในยามมืดมิด ไม่เหมือนดาวนำทางหรือคบเพลิน แต่เป็นแสงแรกของวันที่เข้ามาใกล้และทิ้งขอบฟ้าไว้ข้างหลัง ข้าอยู่ที่นั่นมาก่อนเขาจะมาและอยู่ในนั้นกระทั่งเขาออกไป ข้ามีเวลาให้ท่านหนึ่งปี เข้าไปในห้วงที่ยังเหลืออยู่ที่พวกเราเคยถูกขังอยู่ ตามหาหญิงผู้นั้นในนั้น แล้วเรียกชื่อข้า ชื่อของข้า คือโทเร็ม”
“เจ้าเป็นใคร”
“เมื่อครบหนึ่งปี ถ้าท่านหาเขาไม่เจอ เรียกชื่อข้าอยู่ดี อย่าติดอยู่ในนั้น เขาจะหลุดลอยไปถ้าท่านไม่ออกมา ท่านต้องหาเขาให้เจอ และให้เขารู้ ว่าท่านหาเขาอยู่”
“เจ้าเป็นใคร”
“เขาบอกว่าจะให้ข้าเป็นลูกของท่านกับเขา หญิงผู้นั้น เขาสัญญาไว้แบบนั้น”
ตัวหล่อนที่สะท้อนในดวงตาสีม่วงคู่นั้นบิดเบี้ยว
“หนึ่งปี แล้วเรียกชื่อข้า เรียกโทเร็ม”
แรงดึงตัวหล่อนลงรุนแรงขึ้นอีก โจเซวาก้มมอง แล้วพบว่าตนกำลังจมลง
จมลงในเงาดำเหมือนแอ่งตมไร้ก้นบึ้ง
“ถ้าเจ้าหลอกข้า ข้าจะตะกายกลับขึ้นมา แล้วฆ่าเจ้า!”
แรงโทสะไร้รูปร่างกลายเป็นแรงเฮือกใหญ่ หล่อนสลัดแขนหลุดจากเถาเงาเลื้อยพัน และทั้งบาดแผลใหม่ที่ตนไม่ทันได้เจ็บปวดหรือดมกลิ่นคาวเลือด นิ้วมือจิกเกร็งคว้าทึ้งเส้นผมขาวสุดแรง
อันธการทอสานตัวเองเป็นโลกทั้งใบต่อหน้าโจเซวา ตัวหล่อนดิ่งต่ำลงไป ไม่สัมผัสพื้นผิว ทว่าผัสสะที่รับรู้ถึงการร่วงหล่นเริ่มชาไปเอง หล่อนปิดตาลงอย่างมิอาจฝืนต่อไปได้
‘ลุกขึ้น! อีกลากั๊ก’
โจเซวาลืมตาขึ้น มือเหวี่ยงคลำหาอาวุธตรงข้างเอวแต่กลับไม่มีอะไรให้ชักออกมา หล่อนนั่งพับเพียบอยู่บนลานปูอิฐเป็นลายไขว้ เว้นช่วงสม่ำเสมอเพื่อปลูกพุ่มไม้หลากเฉดของสีฟ้ากับน้ำเงิน คั่นพื้นที่ระหว่างทางเดินเรียบกับบริเวณพื้นหญ้าก่อนจะไปถึงป่าละเมาะอีกฟากสนาม ชายผู้ใหญ่ยืนเบื้องหน้าแถวเรียงหน้ากระดานซึ่งมีคนทุกวัยตั้งแต่เด็กไม่ถึงสิบขวบดี ยันคนแก่
หล่อนจำน้ำเสียงเช่นนั้นได้มากกว่าจำเสียง เพราะพอได้ยินมันกรีดร้องขอชีวิตก็ลืมไปแล้วชายคนนั้นเสียงเดิมเป็นเช่นไร นึกออกแต่ความรู้สึกเคียดแค้นสุมในอกจากทุกยามที่มันด่าและทุบตี
‘ครูฝึกสัตว์’
ข้ารับใช้ในราชวังมีสองประเภท หนึ่งคือพวกข้าราชการ คัดมาจากประชาชนทั่วไปที่มีผลงานหรือเส้นสายกับพวกสมาชิกสกุลขุนนางสักยศสักถา อีกกลุ่มคือทาสอลัดเอลเปีย ตำแหน่งประเภทหัวหน้าของอะไรสักอย่าง ผู้ฝึกอะไรสักอย่างเป็นตำแหน่งข้าราชการ อลัดเอลเปียไม่ได้รับอนุญาตให้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นตำแหน่งนั้น โจเซวาเดินไป จดจำภาพในอดีตได้ทีละนิดแต่ก็ชัดพอจะไม่ระแวงว่ามีใครมองเห็นตนไหม เพราะตัวหล่อนเองอยู่ในแถวเช่นกัน เป็นเด็กตัวสูงแกร็นไม่สมส่วน ท่อนบนผอมราบไปหมด แต่สะโพกอิ่มผายกว้าง ต้นขาอวบเต็ม ช่วงขายาว เท้าใหญ่ หล่อนจำได้ดี ไม่เพียงนึกชังที่มันด่าสารพัดสารเพ ทั้งยังตอกย้ำซ้ำเติมหน้าที่อัปรีย์ แต่หล่อนกับคนในแถว และคนอื่นอีกไม่น้อยที่เข้าแถวเช่นนี้ในวันอื่นร่วมกับหล่อน ล้วนต้องมาฟังมัน มาโดนมันทุบตีในนาม ‘การฝึก’ เพราะพวกหล่อนต้องรับบทบาทเป็นสัตว์ วิ่งหนีไปในป่าละเมาะกับเชื้อพระวงศ์กับแขกเหรื่อล่าด้วยหน้าไม้กับธนู บางหนก็เป็นปืนดินประสิว แต่กลับโดนฝึกโดยคนที่ไม่เคยต้องทำอะไรเช่นนั้นสักครั้งชั่วชีวิต
เพราะเขตพระราชวังห้ามล่าสัตว์ อาวุธที่ใช้จึงดัดแปลงให้ไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ลูกดอกลูกธนูรวมไปถึงกระสุนก็ยังมีอานุภาพทำให้บาดเจ็บ “เพื่อความสมจริง” พวกมันอธิบายอย่างง่ายดาย หากพลั้งมือทำใครตายขึ้นมา เช่นยิงกระสุนโดนอลัดเอลเปียเด็กในระยะใกล้เกินไป ทั้งยังเข้าจุดตายพอดี
ผู้ลงมือจะถูกปรับแพ้
ปรับแพ้
แค่ปรับแพ้
ปรับแพ้เพราะทำผิดกติกาว่าพระราชวังเป็นเขตอภัยทาน
จึงโดนปรับแพ้
แพ้ในเกมล่าสัตว์จำลอง
ปรับแพ้ก็เท่านั้นเอง
(ข้าจะล่าพวกเจ้าให้หมดวัง หมดวงศา หมดเชื้อไข สิ้นสูญไปไม่มีกระทั่งชื่อจารึกในประวัติศาสตร์)
ตัวหล่อนในวัยเยาว์เคยสาบานไว้ในใจเช่นนั้น ดูสีหน้าตนตอนนี้ก็นึกออกแล้วว่าคิดอะไรอยู่ โจเซวาเดินผ่านด้านข้างครูฝึกสัตว์ไปยืนมองตัวเองวัยราวสิบห้ารึสิบหก หล่อนนึกรายละเอียดไม่ออกว่านี่ครั้งไหน หล่อนกลายเป็นสัตว์ตัวโปรดตั้งแต่ครั้งแรกที่ถูกดึงมาเข้าร่วมตอนอายุสิบสี่ จากนั้นก็ถูกเรียกใช้ทุกโอกาสที่มีการจัดเกมนี้ขึ้น บ้างกล่าวว่าจัดถี่ขึ้นเพราะหล่อนด้วยซ้ำไป
แสงแดดแสบตา แต่โจเซวาไม่รู้สึกร้อน ไม่รู้สึกเจ็บ เมื่อมองลงบนแขนตนก็ไม่มีบาดแผลใดๆ แต่เสื้อผ้าของหล่อนกลายเป็นชุดเดียวกับที่ตัวหล่อนในอดีตสวมอยู่ ชุดกระโปรงไร้แขนสีขาว กับกางเกงผ้าขาสั้น รองเท้าไร้ส้นรัดพันด้วยเชือกถักสีทอง ผิวของหล่อนตอนวัยรุ่นคล้ำขับสีน้ำตาลเข้มกว่าตัวหล่อนผู้ยืนมอง รอยกระก็เด่นกระจายกว่า เปรียบกับรอยด่างเปียกน้ำฝนบนเนื้อผ้า หยดความร้อนของแดดกระจายไปทั่วตัวไม่ต่างสักเท่าไร
เส้นผมยาวถักเป็นเปีย มีปอยหลุดลุ่ยเต็มหน้าผาก โจเซวาเอื้อมมือจะลองปัด ทว่ากำปั้นใหญ่พุ่งผ่านด้านข้าง ต่อยเข้าที่ขมับตัวเด็กสาว ครูฝึกพยายามทำให้หล่อนบาดเจ็บเพื่อต่อให้แก่ฝั่งเจ้านาย โจเซวาถลึงตามองมัน ลองยกมือแตะมันแทนก็พบว่าตนจับต้องได้ แต่อีกฝ่ายไม่แสดงออกว่ารู้สึกถึงหล่อนสักนิดเดียว เสื้อผ้าไม่ขยับเพิ่มรอยยับตาม หล่อนลองฟาดตบฝ่ามือใส่หน้าเท่าไร หน้ามันก็ไม่หัน ฝ่ามือของหล่อนก็ไม่แสบไม่คัน รังแต่ทำให้ยิ่งคับอกคับใจ
แต่แล้วสนามก็กลายเป็นป่า ตัวหล่อนที่ยืนอยู่กลับเป็นล้มคลุกดิน ข้อเท้ามีรอยบาดยาว โจเซวานึกออกทันที ว่านี่คือครั้งที่มีขุนนางลอบเอาลูกดอกหัวเหล็กแหลมมาใช้ ตัวหล่อนซึ่งชินกับการหลบวิถีลูกดอกหัวอีกแบบขยับพลาดไปเล็กน้อย จึงหลบได้ไม่หมดอย่างที่เคย หล่นลงจากกิ่งไม้ กลิ้งกลุกลงทางลาด หล่อนจำได้
เมื่อตัวหล่อนกำลังสำรวจว่าควรทำอย่างไรกับบาดแผลนี้ดี ‘นาง’ ก็ปรากฏตัว
‘เป็นอะไรไป’
ดั่งนางไม้ในไพร ดั่งเทพพรายในนิทาน
เด็กสาวผมยาวสลวยผู้มีกระขาวแต้มบนหัวไหล่มน ข้อเท้าเล็กบางสวมกำไลเงินประดับดอกไม้ประดิดประดอยจากแก้วเจียระไนและกระดิ่งไร้เสียง ข้อมือสวมกำไลเกี่ยวผ้าแพรลายวิจิตรยาวรุ่มร่าม มีดอกไม้ดอกน้อยมากมายติดประดับบนผ้าเช่นกัน ใครก็ตามที่สั่งแต่งตัวให้นางในวันนั้นต้องการภาพเสมือนจริงของภูตต้นไม้กระมัง
‘ไม่เห็นเจ้าโลดกระโจนในป่าอย่างทุกที ข้าเลยมาดู’
‘เจ้าเป็นใคร’
นางนั่งกอดเข่า ปล่อยชายกระโปรงยาวซ้อนสลับชั้นไปมาคลุมดอกไม้ใบหญ้ารอบตัว นิ้วมือยกขึ้นแตะจมูกของโจเซวาผู้ยังเป็นเด็กสาวอยู่ในขณะนั้น
‘อะไรกัน ไม่รู้จักข้าหรือ ข้าเอเรสไง เรียกข้าว่าพี่เอเรสก็ได้นะ เห็นไหม ข้ายังรู้จักเจ้าเลย รู้ด้วยว่าเจ้าเด็กกว่าข้า’
‘เจ้ารู้จักข้าได้อย่างไรกัน นั่งจำชื่ออลัดเอลเปียในนี้ทีละคนรึไง’
‘แน่นอน’
หล่อนได้เห็นสีหน้าอึ้งไปของตัวเองในวันนั้น
เอเรสเอาหลังมือเช็ดเลือดตรงข้อเท้า หลิ่วตาให้โจเซวาแล้ววิ่งออกไปจากป่า ส่งเสียงร้องโอดโอย โจเซวาในวัยสี่สิบสามตามหลังปกคลุมด้วยผมยาวจนแทบไม่เห็นกระขาววงใหญ่บนสะบักหลังสองข้าง เอเรสเข้าไปออเซาะออดอ้อนขุนนางแต่งกายหรูหรา ลูกไม้ปักกระโปรงงามยิ่งกว่างาม กระทั่งคนไม่มีความรู้อย่างหล่อนยังบอกได้ว่ามันย่อมสวยเด่นเตะตา คงเป็นผลงานของร้านตัดเย็บสักร้านที่ฝากฝังให้ขุนนางคนนี้แต่งมาอวดต่อหน้าเชื้อพระวงศ์ที่รู้จักมักจี่กัน เสียงกรีดเป็นโทสะร้อนดังกังวานสนามหญ้า ขุนนางผู้นั้นประคองมือของเอเรสที่เปื้อนเลือดเอาไว้ด้วยมือสวมถุงมือลูกไม้ชมพูอ่อน คนเริ่มเข้ามารุมออ เป็นไปได้ว่าหญิงรายนี้มีศักดิ์ค่อนข้างสูงในปวงขุนนางด้วยกัน โจเซวาไม่เคยสนใจจำ มักจะเลือกเพียงดูท่าทีเอาว่าเห็นใครอ่อนน้อมมือไหม้อ่อนเอาใจใครก็แยกไว้คนไหนยศสูงกว่าต่ำกว่า อย่างไรพวกหล่อนก็อยู่ขั้นต่ำสุดในอลัด
แต่เอเรสเองก็ควรจะอยู่ขั้นต่ำสุดในราชอาณาจักรอลัดเช่นกัน เจ้าหล่อนกลับไม่วางตัวดูเป็นตามนั้นแม้แต่น้อย รอบด้านหล่อนดูจะลืมเลือนเรื่องนั้นกันหมดใจ ขุนนางจำนวนมากไปจนถึงราชนิกุลเอ็นดู รักใคร่ชมชอบ โจเซวามาเข้าใจภยหลังว่านั่นเพราะทุกคนต่างเชื่อมั่นว่าเอเรส ไอน์เป็นคนโปรดของใครสักคนที่มีอำนาจเหนือตน ถึงไม่กล้าแตะหล่อน ถึงได้แย่งกันเอ็นดูหล่อน ตั้งแต่หล่อนถูกเรียกเข้ามาในพระราชวัง การเอาอกเอาใจ แสดงออกว่าเอ็นดูเอเรส ไอน์กลายเป็นหนทางหนึ่งของการแสดงออกว่าตนสนิทกับเชื้อพระวงศ์และมีรสนิยมดี วันนั้นเกมจำลองการล่าจึงหยุด พวกโจเซวาถูกส่งตัวกลับโรงนอน พวกขุนนางวุ่นวายตามหาว่าใครทำผิดกติกา เพื่อลงโทษที่ล่าสัตว์จนเลือดตกยางออกแล้วเลือดกระเด็นมาโดนเอเรส ไอน์ซึ่งวิ่งเล่นหาดอกไม้ไปทำมงกุฎเอาใจองค์หญิงอยู่พอดี
โจเซวายกมือขึ้นเพื่อสัมผัสเส้นผม ตอนนั้นเองหล่อนเพิ่งสังเกตว่าในมือตนมีกระจุกเส้นผมยาวพันนิ้วอยู่ แต่หล่อนรีบกลับไปสนใจภาพตรงหน้า ในความทรงจำ ตนเดินกะเผลกไปรวมกับอลัดเอลเปียคนอื่นเพราะได้ยินเสียงระฆังจบเกมเร็วกว่ากำหนด หล่อนไม่เคยเห็นว่าเอเรส ไอน์ทำอะไรเองกับตาหลังจากทิ้งหล่อนไว้ในป่าละเมาะ คิดว่านางเอาไปฟ้องใครสักคนที่รับไม่ได้ถ้าผิวนางเปื้อนเลือด
อย่างนั้นแล้ว ทำไมหล่อนมองเห็นเหตุการณ์วุ่นวายในหมู่ขุนนางร่วมเกมตรงนี้ -- โจเซวาผลักมือตัวเองออกไป
เอเรสตรงหน้าหล่อนขยับไปข้างหน้า พ้นจากระยะมือ “เดี๋ยว!” โจเซวาก้าวตาม เหยียดไปสุดแขน เสียงปลอมประโลมเอเรสเรื่องเลือดดังเซ็งแซ่ ดั่งผู้ใหญ่ใจดีโขยงใหญ่รุมกันปลอบขวัญเด็กน้อยดังก้องอื้ออึง
ชั่วพริบตาที่ท้องฟ้าและสนามกว้างใหญ่ของพระราชวังเลือนหายไป โจเซวานึกถึงว่าไม่มีใครถามว่านั่นเลือดของใครมากกว่าสนใจว่าหล่อนคว้าสักเสี้ยวของเอเรสมาสัมผัสไม่ทัน ความมืดกางตัวคลุมเหนือหล่อน โรงนอนที่ไม่ได้เห็นมายี่สิบเจ็ดปีโผล่มา เตียงสองชั้นเรียงกันอย่างไม่เป็นระเบียบ กลิ่นเหม็นคล้ายกำมะถันอวลในช่วงเย็นโชยมาจากท่อด้านนอกโชยเข้ามาทางหน้าต่างติดกรงเหล็ก หล่อนไม่ได้กลิ่นนั้นตอนนี้ แต่นึกออก
เอเรสยิ้มละไมในตอนหัวค่ำ ขณะที่โจเซวานอนพลางเหวี่ยงกำปั้นทุบหมอนใบแบนใต้หัวเพื่อระบายความเจ็บแค้น หล่อนเดินเข้ามานั่งบนเตียงถัดไป
‘ข้าไม่เคยเห็นเจ้าในนี้มาก่อน’
‘ข้าไม่ได้นอนในนี้มาสามปีแล้ว สาวน้อย’
‘ก็ได้ แม่เฒ่า’
เอเรสหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมากดลงบนแผลตรงข้อเท้า เด็กสาวอายุน้อยกว่าสะดุ้งโหยง นิ่วหน้ามองรอยยิ้มที่กลายเป็นมั่นใจและยียวน ทว่าแรงกดตรงข้อเท้าหล่อนอ่อนโยนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ผ้าเช็ดหน้านั้นจุ่มยาสมานแผลมาชุ่ม ความปวดแสบก็หายเป็นปลิดทิ้ง
“ข้าเคยภาคภูมิใจที่อลัดเอลเปียด้วยกันเกลียดข้า”
โจเซวาหันจากภาพอดีตไปอีกทาง ตามเสียงคุ้นหูที่ดังมาจากอีกทาง พ้นความทรงจำเก่าแก่ หญิงงามคนเดิมทว่าอายุมากขึ้นหน่อยจากวัยแรกรุ่น กลายเป็นหญิงสาวผู้ใหญ่เต็มตัวนั่งขัดสมาธิอยู่บน -- สีฟ้าคราม กับเด็กผมขาวคนนั้นคนเดิม เขานอนขดตัวแน่น มือของเอเรสลูบหัวเขาไปมา
“เพราะนั่นหมายความว่าข้ามีชีวิตที่ดีกว่าพวกเขา ไม่เคยแยแสเลยว่าพวกเขาดูถูกที่ข้าเป็นนกน้อย แมวน้อย กระต่ายน้อย กวางน้อย เป็นสัตว์เลี้ยงของพวกเพียโรต์ สัตว์เลี้ยงของพวกราชนิกุลชีวิตดีกว่าพระสังฆราชเสียอีก ข้าจะสนใจทำไม”
“เอเรส...”
หล่อนกับนางจากกันตอนโจเซวาอายุสิบหก นางอายุสิบเจ็ด หล่อนไม่เคยเห็นเอเรสตอนนี้มาก่อน เช่นเดียวกับที่เด็กผมขาวยาวคนนั้นก็เด็กกว่าที่หล่อนประจักษ์มาเล็กน้อย
“เคยคิดว่าข้าจะไม่มีวันเจ็บปวดอีกแล้ว แต่ข้าก็เล่นสนุกเกินไป คะนองจนไปเข้าหาคนที่ทำให้ข้าไม่พอใจในตัวเอง คนที่มองข้าว่าอ่อนแอจนอภัยและเห็นชอบไปหมดที่ข้าเอาตัวรอดแบบนี้”
“เอเรส! ได้ยินข้าไหม!”
หล่อนพยายามจะคว้าหญิงผู้นั้น
แต่เอเรสเลือนหายไปในสายหมอกพร้อมกับเด็กหนุ่ม -- เด็กชาย -- เด็กน้อยคนนั้น
“ข้าไม่เข้าใจ!” โจเซวาตะโกนใส่สีฟ้าที่กลายเป็นสีขาวโพลน “นางอยู่ไหน! เอเรส! เจ้าอยู่ที่ไหน ทำไมเด็กคนนั้นให้ข้ามาตามหาเจ้าในนี้! เจ้ายังติดอยู่ในนี้งั้นหรือ! เอเรส ได้ยินข้าไหม!”
เสียงกู่ร้องดังเขย่าทั้งสรรพางค์ เปลวไฟเจิดจ้าแหวกผ่านสีขาว ย้อมทุกอย่างกลายเป็นเงามืดใต้แสงโชติช่วง โจเซวาพบตัวหล่อน อายุใกล้กับตนเองในปัจจุบันมากขึ้น บนตัวหล่อนกลายเป็นชุดเกราะเดิมที่หล่อนเพิ่งสลัดทิ้งไปเมื่อสัปดาห์กว่าก่อน ดาบเล่มเดิมกับเปลวไฟรอบด้านขยับเริงระบำขย้ำศัตรูตามเสียงคำรามบัญชาของหล่อน
เชื้อสายอลัดเอลเปียมีพิธีกรรมเงื่อนไขควบคุมไฟต่างไปตามแต่ละราย บ้างจุดไฟได้เองจากความว่างเปล่า ทว่าไม่อาจทำอะไรไฟที่ตนไม่ได้เสกสรรขึ้นมาได้ หล่อนก้ำกึ่งระหว่างสองอย่าง จุดไฟได้ด้วยตัวเองทว่าเป็นเพียงกองน้อย ทว่าเมื่อปล่อยไฟลุกไปตามเชื้อเพลิง กลับควบคุมกองไฟใหญ่ให้ขยับได้ตามประสงค์ มาริค คนสนิทของหล่อนควบคุมไฟได้เฉพาะเมื่อสร้างรอยด้วยอะไรสักอย่าง จะจิกด้วยเล็บหรือกรีดด้วยของมีคม เขาเรียกไฟออกมาจากรอยพวกนั้นได้ สนามรบที่พวกหล่อนเคลื่อนผ่านเต็มไปด้วยรอยไหม้กับควันดำหนา ทุกครั้งที่เปลวไฟลุกโชน สักคนนึกถาม นี่หรือที่พวกเพียโรต์ซ่อนงำไว้จากอลัดเอลเปีย กระทั่งความร้อนแทบลนผิวหนังตัวเองลอกออกไปด้วยก็ไม่รุนแรงเท่าความอยากจะรีบฝ่าตีไปจนได้เผากษัตริย์เพียโรต์ลงเองกับมือ
หล่อนจึงยืนอยู่กลางเปลวเพลิงเกินคณานับครั้งในเจ็ดปี เปลวไฟเคลื่อนไหวสารพันรูปแบบรอบด้าน ไฟของศัตรู ไฟของพวกเดียวกัน ไฟของหล่อนเอง เสียงระเบิด เสียงฆ่าฟันโรมรันไปมา อาวุธปะทะอาวุธ อาวุธกรีดลงเนื้อหนัง ตัดกระดูก เจาะกะโหลก เสียงปืน เสียงคำราม เสียงคำสั่งรวมพลหรือถอยกลับ เสียงโห่ร้องบุกดาหน้าไล่บดขยี้
ภาพสนามรบหมุนวิสัยทัศน์หล่อนคว้างให้สับสนว่าตนยืนอยู่ตรงไหน โจเซวายกมือซ้ายกุมครึ่งซีกหน้าเพื่อตั้งสติ ตอนนั้นเองที่หล่อนรู้สึกว่ามีคนมายืนประชิดหลังชนหลัง เสียงอ่อนหวานนุ่มนวลอย่างที่เปล่าประโยชน์จะใช้ในสถานที่เช่นนี้ดังชัดเจนเสียอย่างนั้น ดังว่า “ข้าเห็นโจเซวาของข้าแล้ว”
เอเรสยืนอยู่ บนหลังหล่อนมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะแวววาวออกจากหลัง เรียงตัวดูคล้ายคู่ปีกนกทิ้งตัวลู่แตะพื้น
“ครั้งแรกเลยหรือ”
คู่สนทนาของหล่อนไม่ใช่เด็กคนนั้น แต่กลับเป็นหญิงผู้เป็นสีขาวทั้งตัว หล่อนกับต้นไม้ ผมสยายเกี่ยวพันไปตามกิ่ง หลังแนบชิดติดลำต้น และเปลือกไม้เกาะกินผิวบางส่วน
“รากไม้ของต้นไม้แห่งฮูนเผื่อแผ่ความฝันให้ข้า วันนี้ร่างกายจะเป็นอย่างไรก็ช่างเถอะ ข้า -- ข้าอิ่มใจก็พอ”
“ความเจ็บปวดนี้มาจากไหนกันนะ”
“เด็กคนนั้นหรือเปล่า” เอเรสชี้ไปยังทางหนึ่งที่โจเซวามองตามแต่กลับไม่เห็นอะไรเลย ทั้งที่สนามรบยังดำเนินต่อไปอีกด้าน ฝั่งนั้นกลับเงียบสนิท
หญิงทั้งสองมองทางเดียวกัน เห็นมากกว่าที่หล่อนเห็น
“ข้ากลัวเขา” ไอรีดาเน โจเซวาจำชื่อหญิงรายนี้ได้ “ตลอดกาลของข้าไม่เคยทรมานเช่นนี้มาก่อนจนกระทั่งเขามา นี่คือความเจ็บปวดรึ ก่อนข้าถูกขังไว้ในนี้ข้ายังไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อนเลย เขาเป็นใครกันแน่”
“เด็กน้อยน่าสงสาร ข้าคิดว่าอย่างนั้น นิรันดกาลของเขาใหญ่กว่าท่านและข้านัก ข้าคิดว่าอย่างนั้นด้วยเช่นกัน แต่ความเจ็บปวดของเขาทำให้ข้าเห็นสีสันที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อเขามา ข้าสัมผัสได้ว่าเวลาเริ่มเดิน เห็นทิศทางของอำนาจ เห็นโครงสร้างของที่นี่ เขาพิเศษ และเขา -- สักวันเขาจะแข็งแกร่งพอจนไม่ทำให้ท่านเจ็บปวดเอง อดทนกับเขาหน่อยเถิด”
“ท่านพูดราวกับว่านี่ไม่ใช่เรื่องของท่าน”
“เอเรส ได้ยินข้าหรือเปล่า” โจเซวาเอ่ยถาม
หญิงทั้งสองสนทนากันต่อไปโดยไม่รับรู้ถึงหล่อน
“ความเจ็บปวดจากเขาไม่ได้มากเกินไปสำหรับข้าเท่าไร”
“ตอนถูกสังเวย พวกเจ้าเชื่อมถึงกันหรือ นี่ความทรงจำของเจ้าตอนอยู่ในนั้นหรือ”
“ความเจ็บปวดทั้งหมดมากเกินไปสำหรับข้า ตอนนี้ก็ด้วย ข้าทำอะไรผิด” เมื่อไอรีดาเนหลั่งน้ำตา ต้นไม้ยิ่งเติบใหญ่ เนื้อหนังยิ่งโดนเปลือกไม้เกาะกินมากขึ้น
“แล้วตอนนี้เจ้าอยู่ไหน”
“ท่านคิดว่าเทพเจ้ารักเด็กคนนั้นไหม แล้วเทพเจ้ารักท่านหรือเปล่า”
“ข้าเจ็บ ข้าเจ็บไปหมดอีกแล้ว ทำไมเขาถึงเจ็บปวดตลอดเวลา ทำไมถึงเจ็บนักหนา ที่นี่ไม่ควรจะมีความเจ็บปวด หยุดเด็กคนนั้นทีเทอญ ทวยเทพ ท่าน ใครก็ได้ ข้าเจ็บ”
ภายนอกหล่อนควรจะอยู่ในช่วงวัยยี่สิบต้น แต่น้ำเสียงหล่อนละม้ายคล้ายสาวน้อยตัวกระจิดไปทุกที คร่ำครวญหวนไห้โดยไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วย กระทั่งสตรีร่วมชะตากรรมก็เพียงนั่งลงเพื่อให้ไอรีดาเนมองเห็นสีหน้าจริงใจ
“ข้าคิดว่าเทพเจ้ารักข้านะ ไอรีดาเน”
โจเซวายกมือวางบนปีกน้ำแข็ง มันแตกกราวแหลกสลาย เอเรสหันเสี้ยวหน้ามาหาหล่อน “ใคร”
คำถามนั้นบาดตัดขาดบางอย่างในทรวง ทุกอย่างถล่มทลายลงมา สีขาว สีฟ้ารอบตัวหล่อนเกิดรอยร้าว และในรอยทั้งหมดปรากฏภาพเหตุการณ์ทั้งที่เคยประสบผ่านมา และไม่เคยเห็นมาก่อน
ตัวหล่อนสมัยเป็นเด็กสาว แอบรอดักพบเอเรสที่กลับมาจากไปเป็นที่วางเครื่องประดับให้ขุนนาง หรือยืนส่งนางในชุดหรูหราออกไปกับขบวนผู้ติดตาม
เอเรสนั่งหัวเราะในวงจัดเลี้ยง ข้างในพระราชวัง ห้องที่โจเซวาไม่เคยเข้าไปมาก่อน
ตัวหล่อนเอง เด็กลงไปอีก ผลักให้น้องชายกับน้ากระโจนลงจากเรือไปพร้อมสัมภาระกับชูชีพ ปล่อยให้ตนโดนแสงไฟของยามชายฝั่งเจอตัวขณะที่สองคนนั้นว่ายน้ำหนีไปยังเรืออพยพที่ซ่อนอยู่หลังโขดหิน
ต้นไม้ใบหญ้าโชกเลือด ย้อมอาบสีแดงชาด
รัตติกาลไม่มีดาวใดเลย คืนนั้นแสงจันทร์ส่องสว่าง ทว่าหล่อนหลับตาลงเพื่อรับรู้ถึงจูบบนริมฝีปาก
เสียงของใบไม้บาดผิว ร่างของหล่อนพุ่งข้ามจากกิ่งไม้สู่กิ่งไม้ เหยียบไต่ไปตามลำต้นสูงชะลูด ลมพัดเส้นผมปลิวไปข้างหลัง ตัวหล่อนดั่งเป็นเสรีจากแรงโน้มถ่วงโดยไม่ต้องพึ่งอำนวยพรของเทพองค์ใด ไม่มีอาวุธใดทำอันตรายตัวหล่อนได้ ชั่วพริบตาที่หล่อนอยู่เหนือเจ้าชีวิตของแผ่นดิน หล่อนเหยียดมือออกไป ปรารถนาจะบีบหัวพวกมันแตกคานิ้วทีละลมหายใจ
เอเรสจับกรีดกระโปรงผายออกพร้อมย่อตัวถวายความเคารพ นิ้วมือกรีดกรายให้เครื่องเพชรประกาย อาบชื่นมื่นสายตาชื่นชมความงาม แต่นางกลับมองผ่านทุกผู้ทุกนาม มองมายังหล่อน แล้วยกยิ้มอวดรู้ รู้ดีว่าเด็กสาวอายุน้อยกว่าคิดอะไร
ทหารรับจ้างยกกลุ่มเข้ามาในพระราชวัง ตัวสูงหนาใหญ่ทั้งด้วยรูปลักษณ์กับเครื่องแต่งกายเสริมกันไปมา อาวุธธแปลกตาพะรุงพะรัง
วิหารของสี่ศาสนาในสี่หอคอย เอเรสเดินเข้าไปโดยมีนักบวชประกบทุกด้าน
เด็กสาวผมยาวถูกตบเข้าที่แก้ม ร่างกายผอมบางล้มลงกับพรมสีมรกต ต่อหน้าธารกำนัล ลึกเข้าไปในห้องท้องพระโรง กษัตริย์แห่งเพียโรต์เท้าคางมองมหรสพฉาวอย่างเบื่อหน่าย
เด็กน้อยผมขาวกับดวงตาสีม่วงกลมโต ทุรนทุรายไปมา ตะกายขูดแขนตัวเอกรากเป็นรอยข่วนลึก แต่กลับไม่มีเลือดออกมา
มือเรียวป้ายยาทาลงบนหลังเต็มไปด้วยรอยเฆี่ยนใต้ต้นอุทุม ไกลออกจากอาณาเขตพระราชวัง ฟ้าครึ้ม ฝนพรำอยู่อีกฟากเมืองหลวงกำลังไล่มา เด็กสาวอายุมากกว่าประคองหน้าเด็กสาวอายุน้อยกว่า
‘เจ้าเชื่อไหมว่าข้ารักเจ้า’
แตกสลาย
ภาพทั้งหมดแตกสลาย
รอบตัวโจเซวา
ทุกอย่างแตกสลาย
กองทหารรับจ้างพวกนั้น
คำสัญญาพวกนั้น
“ที่นี่โหดร้ายขนาดนี้ เจ้ายังจะรักอะไรลงอีก”
หล่อนตอบไปพร้อมกับตัวเองในอดีต
เอเรสหัวเราะ
“งั้น ถ้าข้าบอกว่าข้ารักเจ้า เจ้าจะตีข้าไหม”
ภาพนั้นก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ไปด้วย
ท้องฟ้าแตกสลาย ทุกอย่างกลายเป็นแอ่งน้ำที่ตัวโจเซวานอนอยู่ หล่อนไม่เห็นจุดสิ้นสุดแหล่งธาร แต่กลับอดรู้สึกมิได้ว่าตนอยู่ตรงใจกลาง
รากไม้มโหฬารยกตัวสูงเหนือผิวน้ำ เด็กสาวสองคนนั่งอยู่ด้วยกัน กระทั่งปลายเท้าก็ไม่แตะโดนน้ำ ผิดกับตัวหล่อนที่โชกไปถึงกระดูกและก้อนหัวใจในอก
“ข้าจะรักเจ้าที่อื่น”
“ข้าจะรักเจ้าที่อื่น”
หล่อนคลานขึ้น ยกมือมีเส้นผมขาวพันยุ่งขึ้นเกาะชายเสื้อของเด็กสาวผู้งดงาม
ผ้าในมือหล่อนเกิดรอยยับ เอเรสหันมา
เผยใบหน้าของหญิงสาวผู้ใหญ่ เรียวคิ้วเลิกขึ้น
“โจเซวา?”
หล่อนกระชากตัวเอเรสนั้นลงมาสู่อ้อมกอดตัวเอง น้ำเย็นสูบทั้งสองลงไป โจเซวารีบกรีดร้องก่อนน้ำจะทะลักเข้ามาในปาก
(เรียกชื่อ)
เวียน
มิราค
ดารัค
มาริค
ไอรีดาเน
(โทเร็ม)
Comments (0)