กลิ่นน้ำมันตีฉุนในจมูกทุกผู้ทุกนาม ทุกเสียงของเหลวสาดปะทะพื้นผิวสิ่งก่อสร้างชิ้นโตเบื้องหน้าพาให้ปวดขดแถวขมับ แต่พวกเขาล้วนยืนหลังตรง กุมมือประสานไว้บนหัวด้ามจับดาบที่ทิ่มปลายลงกับพื้น ทั้งเพื่อสำรวมและเพื่อประคองร่างกายอ่อนล้าของตนให้ยังยืนต่อไปได้อีกสักระยะหนึ่ง แทนทั้งผองเพื่อน ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ตายตกหรือบาดเจ็บขยับไม่ได้อีกมาก กองทัพอัศวินกอปรจากพลเมืองกับทหารรับจ้างรวมกันสองแสนชีวิต หากถามทอดกันไปบัดนี้เหลือเท่าไรแล้ว เกรงว่าจำนวนที่คาดเดามาเป็นคำตอบจะน้อยไปตามปากต่อปาก

มหานครหลวงไอน์เคยอยู่โพ้นหน้า ตอนนี้กลายเป็นเมืองผีรายล้อมตัวให้หลอน ว่าความสงบเงียบที่ได้ยินเป็นครั้งแรกในเจ็ดปีจะเป็นเพียงหูตนดับกันไปเอง เสียงหัวเกือกเกราะสักคนเตะเศษหินเข้าเป็นทำทั้งแถบเบิ่งตาผวาหาว่าใครทำอะไร

จนเมื่อหยดน้ำมันสุดท้ายหล่นรวมกับพื้นนองสารนำไฟ แล้วอัศวินอาวุโสที่สุดตรงนั้นชักดาบออกจากปลอกอีกครั้ง หล่อนลากปลายนิ้วจากกลางใบดาบไปจนปลาย เปลวไฟติดไล้ตามอย่างว่าง่าย ดวงตาทุกคู่มองแสงเปลวไฟนั้นส่องสว่างอย่างเงียบงัน ปลายเปลวนิ่งชวนให้นึกถึงดวงไฟในหลอดแก้วหรือกระทั่งแสงหลอดไฟฟ้าดีๆ ที่ไม่เคยถูกปะทะแตกมาก่อน หรือจะเปรียบกับยอดเปลวเทียนเค้กเฉลิมฉลองก็ดี หล่อนแหงนมองดาบที่ตนชูขึ้นสูงไว้เหนือศีรษะก่อนจะปล่อยสายตาเลยผ่านไปยังท้องฟ้าพร่างดาว คืนนี้จันทร์ดับสนิท หล่อนคิด คิดถึงครั้งสุดท้ายที่ได้นอนชมจันทร์กับญาติสนิทมิตรสหาย คิดถึงครั้งต่อไปที่เทศกาลชมจันทร์กลางปีจะได้จัดอีกเสียทีหนึ่ง แล้วลากปลายดาบลงแตะกับน้ำมัน

เปลวไฟแผ่วิ่งไล่กินน้ำมัน เลื้อยจากปลายเท้าตัดข้ามที่ดินกว้างไปยังปราสาทมโหฬารที่ไม่มีใครอยู่

 

เมื่อไฟแตะถึงยอดปราสาท หลอดไฟเริ่มทยอยติดทีละดวงสองดวง จนพอคนหนึ่งล้าสายตาจากกองเพลิง หันไปมองข้างหลังก็ยั้งตัวเองไม่ให้สะกิดคนข้างกายไม่ได้ หัวพากันหันสลับมองไปมา หน้ากับหลัง ข้างหน้าเป็นปราสาทราชวงศ์ที่จบสิ้นคืนนี้มอดไหม้ในเปลวไฟ ข้างหลังรวมถึงรอบด้านเป็นมหานครที่ไฟฟ้ากลับมาทำงาน หรือผู้อาศัยหลบซ่อนอยู่ก็ยอมเปิดเผยตัวออกมาในที่สุด แล้วรับทราบร่วมกัน ว่าไม่มีราชวงศ์เพียโรต์และบริวารในอาณาจักรแห่งนี้อีกต่อไป

พอกันทีกับเพียโรต์หล่อนบอกตัวเองและใครก็ตามที่ได้ยินเสียงหล่อนมากกว่าเสียงสิ่งก่อสร้างแปดร้อยปีถล่มครืนลงมา

นามเดิมแรกเกิดคือโจเซวา เกือบสามสิบปีก่อนเคยเป็นทาสอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ จากนี้ก็จะกลับไปใช้ชื่อนี้ โจเซวาเสียบดาบเก็บกลับเข้าปลอก ร่างกายอ่อนล้าจวนถึงขีดสุด ไม่มีแรงจะยกดาบอีกครั้งทันที จึงชักมีดพกที่อยู่อีกข้างออกมาแทน มืออีกข้างแกะมวยผมทิ้งเปียยาว หล่อนใช้มีดพกตัดทั้งเปีย เหลือไว้เพียงระดับเหนือบ่า แล้วโยนเปียของตนเข้าไปในกองเพลิง ชั่วพริบตาหนึ่ง กองเพลิงยักษ์ซึ่งดึงสายตาชาวเมืองทั้งเมืองวาบแสงกลายเป็นขาวโพลน

จากนี้จะทำอะไรต่อ มาริค อัศวินตัวสูงใหญ่ หนุ่มแน่นอายุน้อยกว่าหล่อนเป็นสิบปีเอ่ยถามอย่างคาดหวังให้หล่อนตอบเขาได้

โจเซวาใช้สายตานำไปก่อน ตามด้วยนิ้วในถุงมือเกราะยกขึ้นชี้ยังหอคอยสี่ด้านที่ไม่ถูกราดน้ำมันเผาไปกับตัวปราสาท

นั่น

ทั้งตัวข้างในชุดเกราะแข็งตึง แต่หล่อนก็ยังเดินเคียงไอร้อนระอุจากกองเพลิงและแสงสาดทับด้านข้างตน ตัดผ่านสวนหย่อมไร้ความงามหลงเหลือไปยังหอคอยที่มีสัญลักษณ์ดาวแปดแฉกประดับอยู่ข้างหน้า โจเซวาผลักบานประตูสูงใหญ่ บานพับติดขัดเล็กน้อยก็ใช้ไฟพังบานประตูทันที แล้วก้าวอาดๆ ต่อ ฝ่าเท้าระบม ข้างในอกแน่น หนังตาหนักอึ้ง แข้งขาสั่นไปหมด เกราะหนาช่วยซ่อนเอาไว้ เศษเส้นผมจากที่ตัดเมื่อครู่เกาะติดกับเหงื่อทั่วต้นคอ ทิ่มแทงผิวหนังให้คันยิบ แต่กลับรู้สึกว่าถ้าเหวี่ยงแขนจับคอตัวเองจะหมดแรงจนล้มลงก่อนถึงประตูวิหารข้างใน

อดีตราชอาณาจักรอลัดมีสี่ศาสนาใหญ่คู่บารมีเพียโรต์ หล่อนคำรามให้ไฟจากกองเพลิงข้างหลังพุ่งยิ่งทำลายสัญลักษณ์ดาวแปดแฉกไปตลอดทาง จนมาถึงบานประตูเหล็กสลักลวดลายของป่าไว้อย่างประณีต คราวนี้เสียงคำรามต่ำกลายเป็นเสียงกรีดร้องแหลมสุดลำคอ ลูกไฟพุ่งข้ามหล่อนไปหลอมประตูเหล็กให้ละลายเหลวตัวลงในพริบตาเดียว เผยให้เห็นห้องข้างใน

ห้องสี่เหลี่ยมซึ่งตรงกลางเป็นสระน้ำแข็งทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสล้อมด้วยทางเดินแคบกับขั้นบันไดเตี้ยสามขั้น ไอน้ำแข็งแผ่จากตรงกลางไปถึงเพดานข้างบน ถึงตรงนี้โจเซวาเค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดไปที่ขา หล่อนปล่อยดาบทิ้งล้มกับพื้นเ หาแรงจะก้าวต่อไปอีกก้าว อีกก้าว และอีกก้าว จนไปถึงตรงกลางสระ

เสียงเกราะตรงเข่ากระแทกผิวน้ำแข็งดังก้องเสียดแทรกไอเย็น แขนเสื้อตรงที่เป็นผ้าบริเวณข้อศอกเช็ดพื้นผิว กระนั้นก็ไม่ช่วยอะไร โจเซวากรีดเสียงจนรู้สึกเหมือนมีเลือดหลั่งบาดข้างในลำคอ ลูกไฟพุ่งเข้ามาในห้องเข้าใส่เพดานแล้วแผ่ตัวเผาปกคลุมทั้งเพดานในพริบตาเดียว แสงเปลวเพลิงสาดลงมา ผิวน้ำแข็งเต็มไปด้วยไอขาวจับในตอนแรกพลันเลือนหาย น้ำเย็นละลายตัวใส หล่อนปาดแขนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเห็น...

เด็กหนุ่ม

อา...อา...หญิงวัยกลางคนส่ายหัวไปมา งงงันจนร่างกายไม่เข้าใจความเหนื่อยล้า กำปั้นยกขึ้นทุบผิวน้ำแข็ง

เสียงผิวเกราะแตกดังไปกับเสียงน้ำแข็งแตก

อา!!!”

โจเซวาส่งเสียงดั่งเป็นอมนุษย์ ทุบต่อยด้วยมือจนเลือดแดงไหลปนกับน้ำที่ละลาย หล่อนฟาดลงไปอีก อา!!!

ร่างของอัศวินหล่นลงไปในสระน้ำพร้อมกับพื้นผิวที่แตกเป็นเสี่ยงๆ น้ำเย็นถึงระดับอก แต่หล่อนแทบยืนเหยียดขาตรงไม่อยู่จนกระทั่งคว้าโดนร่างอีกร่างขึ้นมา

แกเป็นใคร

 

ศาสนาทั้งสี่แห่งอดีตราชอาณาจักรอลัดประกอบด้วยศาสนายูยา (หมู่เทพบนดาวแปดแฉก แปดสิบแปดดวง) ศาสนาฮูน (พระผู้เป็นเจ้าแห่งป่าชำระบาป) ศาสนารายะอิไกยา (บิดาแห่งรายะผู้ละทิ้งพิธีและประสาทความรู้วิทยาการ) กับศาสนาไรรายะ (ปาฏิหาริย์ของการเสียสละตน) เทพเจ้าต่างกัน ค่านิยมต่างกัน บทคำสอนต่างกัน คุณค่าขัดแย้งกัน ทว่าจุดร่วมหนึ่งของทั้งสี่ศาสนาที่ทำให้เพียโรต์คอยค้ำจุ้นดูแลทำนุบำรุงศาสนาเป็นอย่างดีมาตลอดหลายร้อยปี คือมหรสพยัญยะบูชา ความเชื่อเล่าขานกันว่าทั้งสี่ศาสนามีจุดกำเนิดร่วมกันมาจากการทำพิธีบูชายัญมนุษย์ให้เทพเจ้า แล้วได้รับผลตอบแทนที่จับต้องได้ ทว่ากลุ่มแตกกลายเป็นต่างศาสนาเพราะพิธีกรรมจะทำได้สะดวก โบราณกาลล้วนเปลี่ยนไปตามพื้นที่ภูมิภาค รวมถึงค่านิยมของเหยื่อสังเวยที่เหมาะสม

เบื้องหน้ามาริค ข้างในหอคอย วิหารหลวงแห่งศาสนาฮูน คือต้นไม้ใหญ่แผ่รากไปทั่วห้องและหายไปในพื้นดินที่วิหารส่วนนี้ไม่ได้ปูหินทับอย่างบริเวณอื่น ตรงลำต้นใหญ่มีร่างของหญิงผมยาวถูกเถาวัลย์มัดตรึงเอาไว้ ผิวหนังหลายส่วนโดนเปลือกไม้เกาะกิน ดวงตาสีอำพันเปิดโพลงไม่ฉายแววรับรู้ถึงสิ่งรอบตัว ทว่าปากของหล่อนขยับตลอดเวลา พึมพำบางอย่างไม่หยุด อัศวินที่ยังสภาพดีกว่ามาริคต่างยืนแข็งทื่อไม่กล้าขยับ ไม่มีใครทราบว่าควรทำเช่นไร

ทำลายต้นไม้ทิ้งเลยไหม พี่มาริค

เขากวาดมองเหล่าเพื่อนร่วมความลังเล แม้จะมีคนนับถือศาสนาฮูนอยู่ในนี้ แต่ทุกรายล้วนเป็นศาสนิกชนทั่วไป สมัยก่อนเข้าร่วมรบ เคยเข้าอารามเฉพาะตามวาระพิเศษ เรียนศาสนาจากสถานศึกษาหรือครูพักลักจำ ทว่าหอคอยอารามศาสนาทั้งสี่ของราชวงศ์เพียโรต์เป็นอาณาเขตของเชื้อพระวงศ์ ผู้รับใช้ศาสนาระดับสูง ไม่มีใครตรงนี้ย่อมมีความรู้เบื้องลึกว่าพิธีกรรมเหล่านี้มีที่มาที่ไป ผลลัพธ์และหนทางยุติเช่นไร ผู้คนในสหราชอาณาจักรอลัดทราบกันเพียงมีตำนานว่า สี่ศาสนากับเพียโรต์ใช้การสังเวยมนุษย์สร้างม่านคุ้มกันเขตแดนประเทศและควบคุมอาณานิคมมายาวนานสี่ร้อยปี

อย่างไรพวกเราก็ต้องทำลายวิหารทั้งสี่ทิ้งเพื่อพังม่านคุ้มกันเขตแดน ไม่อย่างนั้นพวกเราไม่มีทางยึดที่นี่ได้เลย อีกสิบเจ็ดประเทศที่ทำสัญญาฟื้นฟูกับธงของพวกเราต้องฉีกสัญญาทิ้งภายในพรุ่งนี้แน่

แต่ถ้าหล่อนตายไปกับต้นไม้เล่า

ถ้าไม่มีอีกสิบเจ็ดประเทศช่วยพวกเราตั้งสหอาณาจักรอลัดพรุ่งนี้ไป พวกเราจะตายเพิ่มกันอีกเป็นพันเป็นหมื่น

พวกเรายังเหลือถึงหมื่นหรือ ยังเหลือถึงหมื่นใช่ไหม

เจ้างั่งเอ๊ย ตั้งสติไว้สิวะ พวกเราชนะแล้วนะ! พวกเราชนะแล้ว!”

แล้วเมียข้าชนะด้วยหรือเปล่า ลูกชายข้าอีกสองคนชนะไหม ตายไปตั้งแต่ศึกทางใต้สองปีที่แล้ว

จะลัดทางไปเจอหน้าพวกเขาคืนนี้เลยไหมเล่า!”

พวกแก หยุด!” มาริคตวาด มองสภาพคนในห้องเริ่มลืมการมีอยู่ของต้นไม้พิศดารแล้วหันไปทะเลาะกันเอง เขาดึงดาบออกมาฟันลงพื้น รากไม้ที่ยื่นพ้นออกมาเล็กน้อยขาดสะบั้น หลุดจากใต้พื้นรองเท้าแต่ละราย ออกไป ออกไปจากห้องให้หมด ต้นไม้นี่อันตราย ไม่มีนักบวชมันก็ปกป้องตัวมันเอง ออกไปให้หมด

ชายหนุ่มยกมือปาดซับเหงื่อผุดท่วมหน้าผากกว้างของตน รอจนเหลือแค่เขาตามลำพังกับร่องรอยการสังเวยมนุษย์ ศาสนาฮูนยึดมั่นค่านิยมความบริสุทธิ์ผุดผ่อง สะอาดหมดจดพ้นมลทิน มาริคเข้าไปใกล้จนเห็นภาพตัวเองสะท้อนในดวงตาสีเหลืองทองคู่โต

พรุ่งนี้เช้าเป็นต้นไป ข้าจะไม่จับดาบอีกแล้ว จะไม่จับอาวุธ ไม่อยากฆ่าใครอีกต่อไป ต่อให้สักวันอยากขึ้นมาก็จะไม่ทำเขาบอกหล่อนหรือบอกต้นไม้ หรือทวยเทพที่เงี่ยหูฟังอย่างเกียจคร้าน มาริคไม่ทราบตัวเองเช่นกัน ไม่อาจรู้ได้เลยเจ้าเป็นใคร เจ้าต่างกับศัตรูที่ข้าฆ่ามาตลอดเจ็ดปีหรือไม่ แต่ถ้าศัตรูวิ่งเข้าใส่ข้าพรุ่งนี้แล้วข้าหลบไม่ได้ ข้าก็จะไม่จับอาวุธอีกแล้ว ดังนั้น ถ้าเจ้าได้ยินแล้วจะต้องตายเมื่อข้าปลดปล่อยเจ้า ก็เอาข้าไปด้วยเถอะ อย่าลงโทษคนอื่นอีกเลย ทวยเทพมีเยอะเหลือเกิน ให้พวกเราเป็นอิสระจากสักองค์นับแต่นี้ไปเถอะ

มาริคเดินอ้อมไปยังอีกด้านของต้นไม้ใหญ่ท้นล้นห้องเฝ้ารักษาของมัน แล้วเหวี่ยงดาบฟันลำต้นขาดในคราวเดียว เขาต่างจากโจเซวา ต้องฟันก่อน ตามรอยฟันจากดาบจึงจะมีไฟติดลุกท่วมขึ้นมา ไฟของเขาวิ่งไปตามรอยดาบ ไม่ใช่สารนำไฟ

ลำต้นไม้ที่ล้มลงแยกออกจากตัวหญิงสาว มาริครีบเข้าไปดึงตัวหล่อนออกมาแล้วมองต้นไม้ค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นละออง ไม่เหลือเศษซากของต้นไม้หรือรากไม้ให้เห็น

หอคอยศาสนอารามที่เหลือไม่ได้ราบรื่นไปกว่ากันมากนัก เขาแบกหญิงนิรนามแห่งศาสนาฮูนออกไปข้างนอก สั่งหาผ้าอาภรณ์มาห่มกายเปลือยเปล่าของหล่อน จากนั้นก็ลากสังขารไปยังอีกหอคอยหนึ่ง

รายะอิไกยา ศาสนาแห่งวิทยาการผสานคำอนุญาตของทวยเทพ (เวทมนตร์) ร่วมกับการค้นพบดัดแปลงฝันกึ่งตื่นของเทพเจ้า (วิทยาศาสตร์) นับถือเทพเจ้าองค์เดียวคือพระบิดาไร้นามแห่งการสรรสร้าง ไม่ใช่ว่ามีคำสอนว่ามีพระเป็นเจ้าองค์เดียวปกครองและชำระบาปให้สรรพสิ่งอย่างศาสนาฮูน แต่เป็นเทพเจ้าแห่งอดีต ปัจจุบัน อนาคตที่อยู่เหนือเทพเจ้าเก่าทั้งปวง เดิมถูกเรียกเป็นลัทธินอกรีตเมื่อสมัยอลัดมีฮูนเป็นศาสนาประจำสหราชอาณาจักร จนกระทั่งมีผู้นับถือรายะอิไกยาในอาณาจักรส่วนอาณานิคมพัฒนาระบบไฟฟ้าได้สำเร็จ ราชวงศ์ของอาณานิคมให้เงินสนับสนุน คิดใช้เป็นอำนาจต่อรองกับเพียโรต์ กษัตริย์แห่งเพียโรต์ในตอนนั้นจึงชิงแต่งตั้งรายะอิไกยาเป็นศาสนาของราชววงศ์ขึ้นมาอีกศาสนาหนึ่ง มอบอารามและพื้นที่ รวมไปถึงจัดตั้งสมาคมวิทยาการพร้อมเงินเดือนชั่วชีวิตให้แก่สมาชิก เหล่าคนนอกรีตจึงอพยพเข้าเพียโรต์พร้อมกับวิทยาการ มาริคใช้ไหล่ดันประตูหอคอยที่อัศวินก่อนหน้าแง้มทิ้งไว้ คาดหวังว่าด้วยความเป็นมาเช่นนี้ ตนจะเดินเข้าไปเจอว่ารายะอิไกยามีเครื่องจักรกลสักอย่างผลิตม่านคุ้มกัน

ข้างในส่วนลึกสุดของหอคอยวิหารแห่งรายะอิไกยา เขาเข้ามาพบสหายร่วมรบมะงุมมะงาหราหาทางหยุดเครื่องจักรกล หน้าตาพวกมันซับซ้อนเกินจะให้สายตาไม่รู้ศาสตร์บอกได้ว่าส่วนไหนทำหน้าที่อะไรอยู่ ทุกชิ้นส่วนเต็มไปด้วยหน้าปัดกับแผงควบคุมติดอยู่อีกชั้นหนึ่ง พื้นผิวเรียบทุกจุดก็ลงอักขระสลักเอาไว้ส่งแสงประกายม่วงเรืองรองไม่หยุด สายระโยงระยางจากทุกจุดพาดทับไปมาจนแทบไม่เห็นพื้นห้อง ปลายทุกสายแทงฝังอยู่ในร่างของเด็กหนุ่มในโลงแก้ว ข้างลำคอ แขนตั้งแต่หัวไหล่จนถึงหลังมือ สีข้างสองด้าน กลางอก ขา ในปากกับจมูกมีท่อใหญ่กว่าส่วนอื่นสอดไว้ เหนือดวงตามีของชวนให้นึกถึงตรวนเหล็กชิ้นหนาพาดทับ ตรึงกดหัวเขาไว้กับที่ เส้นผมขาวยาวปูทั่วพื้นโลง

พวกเรา...ต้องทำอย่างไร

มาริคสั่นศีรษะเบาๆ เอี้ยวคอมองหญิงสาวที่ตนแบกไว้บนหลัง เมื่อหลุดจากต้นไม้ ดวงตาหล่อนก็ปิด ปากไม่ขยับ ทว่าชีพจรเต้นอยู่ชัดเจน ลมหายใจสม่ำเสมอเหมือนคนนอนหลับ แต่ผิวบนตัวหล่อนส่วนที่เขาเห็นว่าโดนเปลือกไม้ยึดเกาะก็เป็นแผลมีเลือดซึมบางราวกับแผ่นใสเจือสีแดง

มัวชักช้าอะไรกันอยู่

เขาหันไปข้างหลัง หวังว่าจะเป็นโจเซวา ทว่าในกองรบมีคนหนึ่งโดดเด่นไม่แพ้เจ้าหล่อนและมีเสียงคล้ายกัน ดารัค สตรีผู้สวมเกราะเบาและใช้ปืนยาว หล่อนอายุไล่เลี่ยกับมาริค ตัวหนาขายาว กล้ามเนื้อโดยเฉพาะตรงต้นแขนโค้งกลมโตราวกับตะบองเหล็กกล้า ปอยเปียยาวหลายเส้นแซมไหมทองเครื่องรางคุ้มครองภัย หล่อนกวาดมองสภาพในห้อง จากนั้นก็ปลดปืนบนหลังออกมายกขึ้น หลบปากว่าเช่นนั้นแต่ยิงผ่านด้านข้างอัศวินในห้องโดยไม่รอให้ใครได้ทันขยับ กระสุนพุ่งแล้วระเบิดเครื่องจักรติดกันระรัวดั่งปฏิกิริยาลูกโซ่ แต่ที่จริงเป็นฝีมือการรัวยิงของเจ้าหล่อนวนทวนเข็มนาฬิกา คนในห้องกรูกันหลบออกไปอยู่ข้างหลัง

ดารัคทิ้งปืนหลังยิงครบรอบห้อง ย่างสามขุมไปที่โลงแก้ว ดึงกระชากสายทั้งหลายออกจากตัวเด็กหนุ่มดั่งแร้งทึ้งไส้ศพ หมุนตัวเหวี่ยงแขนฟาดฝาโลงแก้วหลุดกระเด็นไปกระแทกผนัง หยิบชิ้นคาดปิดตาขึ้นแล้วโยนใส่ผนัง เสียงปะทะตอกย้ำว่าของชิ้นนั้นหนักเพียงใด

เด็กหนุ่มที่มีคราบเลือดพอกเกรอะเกาะทั่วช่วงหน้าส่วนบน และมีก้อนเลือดเก่ากับใหม่ปนกันอยู่ตรงใบหูสองข้าง ติ่งหูใส่ต่างหูเส้นยาวมีพู่ขาวห้อยอยู่กับสายสร้อยยาวเท่านิ้วชี้ผู้ใหญ่ ตรงปลายมีเศษแก้วแตกกองรอบตุ้มรูปทรงจันทร์เสี้ยว ตรวนทับหัวบี้ส่วนจี้ของต่างหูแตกละเอียดแล้วไม่เคยยกขึ้นมาเลยจนบัดนี้ เปลือกตาปิดสนิท เมื่อถูกช้อนตัวขึ้น แขนขากับหัวก็ตกเปลี้ยไม่มีวี่แววรู้สึกตัว

พวกเขาไปดูที่หอคอยสุดท้ายจากทั้งสี่ มาริคลอบแวะมองยังหอคอยแรกที่ถูกบุกเข้าไป นึกสงสัยว่าโจเซวาทำอะไรอยู่ ข้างในมีอะไรยุ่งยากเช่นนี้หรือไม่จึงยังไม่ออกมา แต่ไฟของหล่อนย่อมพังได้ทุกสิ่งอย่างที่ไม่มีนักบวชมาเฝ้าคุ้มกัน อัศวินคนอื่นมาอาสารับตัวหญิงสาวบนหลัง กับเด็กหนุ่มในอ้อมแขนของดารัคไป มาริคปิดตาครู่หนึ่ง ปล่อยความรู้สึกหนักตรงหนังตาได้กดลงบนหน้าสักครู่ค่อยเดินต่อ

กลิ่นหอมนุ่มนวล จากทางหอคอยของวิหารไรรายะแทบจะช่วยดึงหาแรงให้ยังเดินไปได้ต่อ แต่ไม่ทันถึงประตูทางเข้าเขตหอคอยของไรรายะ เพื่อนร่วมทัพสี่คนเดินหน้าซีดเซียว บ้างกุมปากพิพักพิพ่วน เกาะกลุ่มกันออกมา ไรรายะ” (ปาฏิหาริย์ของการเสียสละตน) พวกเขาเรียกด้วยน้ำเสียงผะอืดผะอม เผาทิ้งไปให้หมด

แล้วเหยื่อสังเวยเล่า

ก็สังเวยน่ะสิพวกเขาตอบ ไม่รู้กี่ร้อยกี่พัน เก็บศพไว้หมดในห้องนั้นหมดเลย ไม่รู้ตลอดกี่สิบกี่ร้อยปี

แต่ไม่มีกลิ่นศพเลย ดารัคถาม หรี่ตามองหาที่มากลิ่นหอมอวลบุพผา

ไม่มี พวกมันทำเป็นบ่อ วางศพไว้ แล้วมีแมลงประหลาดไชตอมยั้วเยี้ย จีย์เหยียบตัวหนึ่งเข้าแล้วมีกลิ่นหอมกระจายฟุ้ง รวมกับภาพตรงหน้าแล้วยิ่งอยากอาเจียนที่ได้กลิ่นหอม

อย่าเพิ่งเผา ข้าจะไปตามโจเซวา พาเหยื่อสังเวยที่รอดสามคนไปให้หน่วยพยาบาล จากนั้น...

พอเช้ามาถึง พวกเราจะไม่ทำอะไรทั้งนั้นดารัคเอ่ยขัด มือยกแกะปมเปีย คลายเอาไหมทองออกมาทีละเส้นทิ้งลงกับพื้น พวกเราพาธงหางนกยูงมาถึงหัวใจของอลัด ราชวงศ์ตายกับหนีหายไปจากอลัด ทำลายม่านคุ้มอาณาเขตตามสัญญาต่อสิบเจ็ดประเทศ ฆ่าคนไปนับร้อยนับพัน จากนี้ไปทุกอย่างที่ทำ ข้าวที่กิน งานที่ฉลองของพวกเราก็เปื้อนเลือดทั้งนั้น ยังคิดจะกอบกู้อะไรให้สกปรกตามกันอีกรึ ข้าจะพัก ขอทรัพย์พอเพียงเปิดร้านขายของอย่างที่พ่อกับแม่ฝัน ถ้าเพาะแมลงระยำนั่นแล้วกลบกลิ่นคาวทุกอย่างรอบตัวพวกเราได้ ก็คงเพาะมันขาย

ไหมทองเส้นแล้วเส้นเล่าตกลงดิน

ให้พวกขี่ช้างนั่นตกลงกันเองจากนี้จะเป็นเช่นไร สหราชอาณาจักรอลัดเป็นอดีตวันนี้ พรุ่งนี้จะเป็นอะไร มีที่กินที่นอนให้พวกเราไหม พวกเราอลัดเอลเปียไม่ต้องเป็นทาสแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกบนหลังช้างตกลงกันเอาเองที่เหลือ พวกเราทำตามคำสัญญาแล้ว

แต่ในบรรดาที่นั่งบนหลังช้าง มีพวกนั้นอยู่นี่

พวกไหน

ไอ้งั่งนี่กลัวเรื่องที่ว่าพวกนั้นจะเอาพวกเราขึ้นตัดสินโทษ แล้วประหารหรือเนรเทศไปลงคุกทะเล

โธ่ถัง แกรบไปกลัวเรื่องนี้ไป จะว่าขี้กลัวหรือบ้าระห่ำดีดารัคเอื้อมมือไปยีหัวอัศวินอายุน้อยกว่าตน น้ำหนักของมือหล่อนโยกหัวอีกฝ่ายไปมาอย่างง่ายดาย ไอ้พวกนั้นอำนาจน้อยนิด แถมยังมือถือสากปากถือศีลด้วยถ้าจะทวงโทษพวกเราหลังมันขึ้นนั่งบนอำนาจที่พวกเรารบไปให้

แล้วถ้ามันไม่ยอมปล่อยสากคายศีลเล่า

ก็เรื่องของมัน ยกเว้นว่าพวกบนหลังช้างจะเออออตามมันกันหมด อย่างนั้นพวกเราก็มีทางเลือกระหว่างรับโทษหรือหนี ตอนฆ่าทหารอีกฝ่าย แกหวังให้ใครล้างเลือดตามเช็ดตามปาดให้หรือไง ในกองรบที่เหลือรอดมาก็คงมีพวกรู้สึกผิดจนขยับไม่ออกเต็มไปหมด ถ้าใครอยากได้โทษก็เรื่องของเขา แต่ถ้ามาจริง จะตัดสินโทษข้า ข้าก็จะหนี ตลอดเจ็ดปีข้าไม่แตะต้องทำร้ายใครนอกจากทหารของอลัด เท่านี้ก็เมตตาสูงสุดสำหรับจากอดีตทาสอลัดเอลเปีย ที่ไอ้พวกหน้าซื่อตาดำๆ ทำตัวเป็นพลเมืองควรได้รับแล้ว ตอนเหยียบย่ำข้ากับครอบครัวข้า พวกมันก็สรวลเส ละเลงคำหยามกับความทารุณอยู่กับขี้ข้าของเพียโรต์เยอะแยะ พอจะรบมาให้ข้านึกถึงเด็กน้อยตากลมที่ข้าไม่เคยเห็น ก็เอาเท่านี้ไป โจเซวาให้พวกเราสาบานเพียงจะไม่มีใครรับตำแหน่งอะไรจากพวกหลังช้าง ที่เหลือมันเรื่องของใครของมัน หล่อนถ่มน้ำลายรดลงบนไหมทองเปรอะเปื้อน ยิ่งพูด ดารัคยิ่งดูฟื้นกำลังวังชาได้มากขึ้น ขณะที่มาริคกลับยิ่งอยากล้มตัวลงนอน

หล่อนคว้าหลังคออัศวินอายุน้อยกว่า แต่ถ้าตัดสินโทษ แล้วใครมันไปหาระเริงสุขอุบาทว์ๆ ระหว่างสงคราม อย่าให้ต้องถึงมือลัทธิพิพากษาเลย ข้าจะเหยียบกะโหลกมันให้แตกเอง แล้วค่อยหนีไปตะวันตก หลุมศพทาสอลัดเอลเปียเยอะแยะอยู่ที่นั่น ถือเสียว่าไปแจ้งข่าวสารให้บรรพบุรุษได้ฉลอง

มาริคเดินลากเท้า มือวางบนบ่าดารัค กลับไปยังค่ายพักข้างนอกอาณาเขตอดีตราชวัง ให้ไกลจากควันไฟและเถ้าถ่าน เศษธุลีดำกระจายตามลมพัด ชายหนุ่มเพ่งมองผ่านกลุ่มผู้คนที่เดินกันสะเปะสะปะ ไม่รู้เหนือรู้ใต้ โจเซวาอยู่ไหน

ดั่งได้ยินคนเรียกหา โจเซวาโซซัดโซเซออกมาจากช่องโหว่กำแพงหินที่ถล่มไปตั้งแต่เมื่อวาน บนบ่าหล่อนแบกร่างเปลือยตัวซีดเอาไว้ จากนั้นก็โยนลงกับพื้นที่มีผ้าปูและหญิงจากต้นไม้กับเด็กหนุ่มตัวเต็มไปด้วยรอยเสียบเจาะนอนเรียงกันอยู่ คราวนี้เป็นเด็กหนุ่มผมหยักศกยาวสีดำอมแดง โตกว่าคนที่ดารัคอุ้มออกมาไม่มากนัก

โจเซวาหายใจหอบหนัก ตาหลอนลึกโหล เหงื่อกาฬไหลอาบท่วม หล่อนทิ้งตัวพิงผนังกำแพงส่วนที่ยังตั้งอยู่ไหว ดั่งว่ามิเช่นนั้นก็ไม่มีแรงจะยืนตรง เหยื่อสังเวยอีกคนอยู่ไหน เป็นใคร ใช่ผู้หญิงรุ่นราวเท่าข้าหรือเปล่า

บอกไม่ได้ พวกวิลิเมียเป็นคนเข้าไปดูแล้วบอกว่าข้างในห้องเก็บเหยื่อสังเวยของพวกไรรายะมีแต่ศพกองไว้กับแมลงส่งกลิ่นหอมเอาไว้กลบกลิ่นศพเน่าเต็มไปหมด ไรรายะคงมีรอบให้ฆ่าเหยื่อสังเวยม่านคุ้มอาณาเขตของพวกมัน แต่นั่นแล โจเซวา มันฆ่าเหยื่อสังเวยของมันหมด ไม่ได้เก็บไว้แบบอีกสามหอคอย

โจเซวา พี่เป็นอะไรหรือเปล่า

หล่อนเป็นแน่ มาริคได้ยินเสียงฟันหล่อนขบกัดกรอดกับเสียงลมหายใจแหลมลอดมาดังขึ้นทุกพยางค์ที่ตนตอบไป มือของโจเซวายันผนังไว้และเกร็งจิกเข้าไป รอยปริร้าวเริ่มกรีดตัวบนผิวผนัง โจเซวา เดี๋ยวมือเจ้าก็ --”

เสียงกรีดร้องดังถึงฟ้าพร้อมผนังส่วนที่เหลือระเบิดเป็นเสี่ยงๆ เกราะบนท่อนแขนซ้ายของหล่อนแตกและทิ่มแทงทั้งแขนกลายเป็นสภาพอาบเลือดเยินยับไปจนถึงปลายเล็บที่โผล่ออกมา แต่มืออีกข้างหล่อนกุมบริเวณอกว่าตรงนั้นเจ็บทรมานยิ่งกว่าขณะที่ตัวหล่อนทรุดลงเข่าจุมพิตพื้น

กองเพลิงเผาราชวังโหมลุกแรงขึ้น แสงเปลวเปลี่ยนจากส้มแดงร้อนกลายเป็นขาว

โจเซวา! สงบสติอารมณ์พี่หน่อย ไฟมัน --”

นางอยู่ไหน

โจเซวา ได้ยินหรือเปล่า --”

ถ้าไม่ได้ดารัคคว้าคอให้หลบ มาริคเห็นภาพตัวเองถูกหยดเปลวร้อนหล่นจากฟ้าราวกับเม็ดฝนย้อยลงมายังกลางกบาลตนแล้วหลอมทะลุจากยอดหัวลงไปยังพื้น

ดับไฟ -- ดับไฟกองนั้นซะ!ดารัคหันไปสั่งคนที่ยังอยู่ข้างในกำแพง

ข้ากำจัดเพียโรต์ก็เพื่อข้า แต่ข้าเก็บอลัดไว้ก็เพื่อนาง

หยดไฟหยดแล้วหยดเล่าตามลงมาจากข้างบน

โจเซวา ได้ยินพวกเราไหม!

แล้วนางอยู่ไหน

หนึ่งหยดน้ำตาไหลจากดวงตาคู่เขียวมรกตของโจเซวา กลินน์ อัศวินกองรบธงหางนกยูง ผู้พิชิต ผู้โค่นล้มราชวงศ์เพียโรต์ และผู้มีชีวิตรอดจากสงครามกากบาท

 

ที่นี่โหดร้ายขนาดนี้ เจ้ายังรักอะไรลงอีก

ถ้าข้าบอกว่าข้ารักเจ้า เจ้าจะตีข้าไหม

ข้าจะรักเจ้าที่อื่น

ข้าไปที่อื่นไม่ได้หรอก เจ้าไปได้ก็ไปเถอะ ไปรักข้าที่อื่น แล้วกลับมารักข้าที่นี่สักวัน

 

หรือคอยคิดถึงข้าไว้ใต้อุทุมก็พอ

 

หล่อนกึ่งยกมือบังแสงแดดกับพยายามคว้าแสงยามเช้าเอาไว้ ไม่มีทางใดสำเร็จ โจเซวาพลิกหน้ามองไปมา ผ้าสีนวลไข่บังรอบเตียง หัวกระเซิงยกขึ้นจากหมอน มือซ้ายพันด้วยผ้าอาบยาจากต้นแขนถึงปลายนิ้วดึงเปิดม่านออกไปด้านข้าง

คุ้มพยาบาลชั่วคราวอันแสนคุ้นตาวุ่นวายไม่สร่างซาง เสียงจอแจของเจ้าหน้าที่การรักษาประดังเข้ามาก่อน ตามด้วยกลิ่นของยาและบาดแผล เมื่อก้มมองตัวเอง สำรวจเสื้อผ้าชุดลำลองเบาตัวกับดมกลิ่นจากผิว ก็พอบอกได้ว่าตนโดนจับแช่บ่อสมุนไพรเย็นมาตอนยังไม่ได้สติ ความรู้สึกร้อนผ่าวข้างในก่อนหน้านี้หายไปเกือบหมด เหลือความทรงจำไว้ว่าก่อนทุกอย่างดับดำมืด ข้างในกำลังทรมานขนาดไหน

ชุดเจ้าหน้าที่พยาบาลอาสา คละสีกับตราของหลายหน่วยจากหลายประเทศที่ให้พันธมิตรสัมพันธ์ไว้กับกองรบธงหางนกยูง พวกหล่อนเป็นเพียงเศษจากหลายกลุ่ม คนเร่ร่อน ทาส คนเคยหลบลี้ ชนเผ่าถูกไล่ที่ ชาวเมืองจนตรอก และทหารรับจ้างมารวมตัวกันอย่างไร้เครื่องแบบหรือเสื้อผ้าประทับตราอย่างเป็นทางการ หางนกยูงที่ว่าก็แค่สีกระป๋องป้ายลงบนผ้าหยาบผืนแล้วผืนเล่า ผูกกับทวนกับหอก นำโบกข้ามทวีปไปจนได้เผาบัลลังก์เพียโรต์ทิ้งเป็นจุณ แต่หน่วยสนับสนุนเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่มืออาชีพจากต่างแดน เครื่องยาวิทยาการและมนตร์ฟื้นฟู บ้างทำได้กระทั่งดัดแปลงไสยศาสตร์การสาปทิ้งมาใช้รักษาพิษกับทุเลาอาการโดยเอาเชลยศึกจากทัพอลัดเข้าแลก เงื่อนไขว่าถ้าธงหางนกยูงแพ้ จะถือว่าสมาชิกฝ่ายหางนกยูงเป็นผู้ลงมือกระทำมิชอบมิควรกับเชลยศึกทั้งหมด

ไม่มีใครสนใจหล่อน โจเซวาอนุมานว่าตนไม่มีบาดแผลต้องพักฟื้นนานไปกว่านี้ จึงลุกขึ้น เดินออกจากกระโจมหึ่งยากับสารฆ่าเชื้อ ข้างนอกกลับสงบเซาจนหล่อนรับรู้ตามแทบไม่ทัน  หมอกหนากว่าที่ข้างบนคุ้มรับแสงส่องลงบนเตียงหล่อนเมื่อครู่ อัศวินถอดเกราะกันไปเกือบหมดแล้ว มีบ้างยังสวมถุงมือหรือใส่เกราะตรงอกด้วยความระแวงว่าจะมีคนมาโจมตี แต่เกราะสวมหัวพังๆ ล้วนกองรวมกันอย่างไม่มีใครหวังจะต้องหยิบมาใส่ใหม่เร็วๆ นี้หรือต้องหาทางซ่อมมันอีก พวกเขาคงอยากให้นำไปหลอมทำสิ่งอื่น มีหย่อมโต๊ะกับกองไฟ และถังแก๊สที่ไม่เคยเห็นมาก่อนกระจายอยู่ทั่วลาน คนนั่งบนพื้นบ้างบนท่อนไม้ หรือเสาสลักลายหักกลาง ซดอาหารจากชามจากจาน ใช้มือจ้วงตักเนื้อสัตว์ปรุงรสด้วยเกลือกับรอยเผาจนไหม้ โจเซวากุมท้อง อาการแน่นอึดอัดแปลบรังควานหล่อนครั้งเห็นอาหาร จังหวะเดียวกันนั้น สหายร่วมรบหลายคนก็สังเกตเห็น กวักมือเรียกให้เข้าร่วมวงล้อมสักวง โจเซวาได้แต่สั่นหน้าเบาๆ แล้วทำเป็นว่าต้องเดินหาตัวใครสักคน

โจเซวา

มาริคอยู่กับดารัค ทั้งสองสวมเสื้อไร้ปกแขนยาว กับกางเกงดำและรองเท้าบู๊ตหนังเขรอะดินที่ดูใหญ่เกินไป โดยเฉพาะของมาริค เชือกผูกเหลือระเกะระกะรอบข้อเท้า หญิงอัศวินก้มลงมองเท้าตัวเอง หล่อนลุกจากเตียงแล้วสวมรองเท้าแตะไม้ที่มีคนวางทิ้งไว้โดยไม่ทันคิด แวบหนึ่งเหมือนเคยชินว่าตนกลับไปอยู่เรือนพักแรมทางใต้ จะว่าไปเมื่อคืนก็หวนนึกถึงเทศกาลชมจันทร์ทั้งที่เป็นคืนเดือนดับ

มาริคเป็นชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ ผมสั้นเตียนเสยไปข้างหลัง ใบหน้ากว้าง เครื่องหน้าคมคาย ดวงตาเรียว ส่วนดารัคเป็นหญิงเครื่องหน้านุ่มนวล แก้มโคง ปากอิ่ม ดวงตากลมโปน คิ้วหนา นอกจากส่วนสูงไล่เลี่ยกันแล้ว สองคนนี้ดูตรงกันข้ามไปเสียหมด กลับชอบไปไหนมาไหนด้วยกัน โจเซวาขมวดคิ้ว มองทั้งสองเทียบกับความทรงจำล่าสุด รู้สึกดั่งตนเป็นญาติผู้ใหญ่ไม่ดี ปล่อยเด็กน้อยหลงทางร้องไห้จ้ากันอยู่สองคน แก้มของดารัคมีแผ่นผ้าอาบยาประคม ติดด้วยกาวยางจากใบไม้ และกลิ่นยาเดียวกันโชยมาจากแถวช่วงตัวของหล่อน ส่วนมาริคก็ดูขวัญเสียชอบกล

เป็นอะไร

พี่โจเซวา พี่จำได้รึเปล่า เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น

โจเซวาหันมองไปทางอดีตพระราชวังของเพียโรต์ ยอดหอคอยทั้งสี่ด้านพังทลายหายไปสาม หอคอยเดียวตระหง่านอยู่ มีคนเดินเข้าออกตรงประตูทางเข้าบ้าง ปีนกระโดดข้ามส่วนกำแพงพังเป็นกองเละเทะบ้าง สุดลูกหูลูกตาไปอีกถึงค่อยเห็นกลุ่มคนซึ่งดูทีท่าการขยับแล้วเป็นพลเมืองทั่วไป

หล่อนเป็นคนลงมือเผาราชวัง หล่อนบุกเข้าหอคอยศาสนอารามของยูยา หล่อนพังคุกน้ำแข็งแห่งดาวแปดแฉก ดึงเอาเครื่องสังเวยออกมาจากน้ำเย็นยะเยียบ

เครื่องสังเวยซึ่งเป็นเด็กหนุ่ม

ข้างนอกหอคอยมีผู้ถูกสังเวยอีกสอง หล่อนนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เห็นใต้แสงส่องจากกองเพลิงสูงท่วมสวรรค์ ราวกับหุบเขากำลังกรีดร้องทรมาน บนพื้นมีหญิงสาวที่หล่อนไม่เคยเห็น และเด็กหนุ่มอีกคนที่ไม่มีทางเป็นคนรู้จักของหล่อน

ไม่มีใครเลยเป็นหญิงผู้มีกระขาวบนหน้ากับเนินไหล่และหลัง ตัดกับผิวสีสัมฤทธิ์นวลประกาย หญิงคนเดียวตรงนั้น แม้ผมเผ้าจะยาวบังหน้าซึ่งตะแคงหันไปอีกทางจากโจเซวา แต่หล่อนเด่นกว่าใครทั้งหมดรวมถึงอัศวินในบริเวณ เพราะทั้งตัวขาวโพลนราวกับรูปปั้นหินอ่อน ผ่องเด่นยิ่งกว่าเนื้อเกราะเงินชิ้นที่สะอาดที่สุด

และเหยื่อสังเวยของไรรายะถูกฆ่าหมด

ข้า -- ขอโทษพวกเจ้าด้วย

ภาพสุดท้ายก่อนหล่อนหมดสติไป คือดารัคฝ่าฝนเพลิงเข้ามาจัดการหล่อน

โจเซวาขยับเท้าถอย เว้นระยะห่างจากมาริคกับดารัค ไรรายะ -- หอคอยของไรรายะหล่อนหมายจะวิ่งย้อนกลับเข้าไปในอดีตเขตพระราชวัง ยังกองซากปรักหักฟังกับเถ้าถ่านที่ไม่ส่องสว่างอย่างคืนก่อน ลมเย็นของยามเช้าบาดลำคอเช่นเดียวกับการกรีดร้อง โจเซวา --” “กลินน์ เกิดอะไร --” “โจเซวา!” ปล่อยเสียงเรียกผ่านไปกับเสียงหัวใจเต้นจนศีรษะปวดหนึบระบม ภาพตรงหน้าหล่อนแคบลงราวกับประตูปิดจากสองข้างเกือบจะสนิทตอนหล่อนเอื้อมมือไปถึงประตูเหล็ก

สัมผัสลายแกะเย็นและเขรอะอยู่ใต้ฝ่ามือ อากาศเย็นกลายเป็นม่านหมอกเหนอะหนะพันแขนขา กลิ่นคล้ายทุ่งดอกไม้โชยหวนอย่างในอดีต วันที่ลมแรง กลิ่นพวกนี้กระจายไปทั่วบริเวณกว่าวันฝนตกหรืออากาศหนาว วันที่แดดร้อนอบอ้าว หล่อนหลังขดหลังแข็งปลูกหญ้าทีละต้นตามคำสั่งของราชนิกุลแห่งเพียโรต์ หรือต้องวิ่งหนีลูกดอกจากหน้าไม้ล่าสัตว์ครึ่งค่อนวัน กลิ่นนี้มักรบกวนความคิด กลิ่นเหมือนทุ่งดอกไม้บานสะพรั่งมากเกินกว่าดอกไม้ทั้งหมดในสวนพระราชวังจะมีได้

กลิ่นของดอกไม้หลังประตูที่เต็มไปด้วยเนื้อเน่า รอยแผลจากของมีคมนับไม่ถ้วนบนทุกร่าง แมลงเปลือกแข็งไต่ยั้วเยี้ย ทุกร่างในบ่อก้นลึกแน่นิ่ง เนื้อหนังร่างข้างใต้สีต่างกับร่างข้างบนและหลุดเน่าจากส่วนกระดูกในขณะที่ศพข้างบนส่วนใหญ่ยังเหลือชั้นผิวหนังกับกล้ามเนื้อปกคลุมกระดูกจากสายตา เสียงแมลงไต่ตอดกล้ามเนื้อสลับกับกัดกิน แต่กลิ่นหอมกลับยังฟุ้งอวลทุกหนทุกแห่งไม่ว่าหล่อนจะกำลังมองยังเศษก้อนเนื้อเน่า หรือแขนขาที่บวมเป็นสีเทาหม่น

ไม่มีชีวิตอยู่ในบ่อตมมิคสัญญีนี้

“…เอเรส

(เรียกออกไป)

ขอบตาของหล่อนร้อนผ่าว ดั่งหยดน้ำตาของเปลวเพลิงกำลังจะแผดเผาหน้าของหล่อนไปหมดสิ้น

เอเรส

(เรียกหานาง)

หล่อนอายุสิบหก นางอายุสิบเจ็ด เส้นผมเป็นคลื่นหยักสลวย รอยยิ้มหยั่งรู้ถึงความสุขและความทุกข์ทั้งปวง สัมผัสมือแม้แต่ผิวหยาบกร้านก็มิอาจกลบซ่อนความนุ่มนวลอ่อนหวานที่นางมี

เอเรส

(เรียกชื่อของนาง)

สองเด็กสาวอลัดเอลเปีย ทาสในพระราชวังหลวง นางเดินบนปลายเท้าก็เหมือนพวกขุนนางสวมส้นสูงพันด้วยเชือกทองกับทับทิม รูปลักษณ์สวยงามทำให้นางกลายเป็นรูปสัมฤทธิ์มีชีวิตที่พวกชนชั้นสูงชอบนำไปใช้แสดงอวดอัญมณี รอยกระขาวโพลนบนหลังถูกเปรียบกับปีกทูตสวรรค์ หล่อนเป็นข้าราชบริพารตากแดดอาบเหงื่อกรำ สัตว์ตัวโปรดที่ชอบให้กระโดดหนีจากปืนผาหน้าไม้ จำลองกิจกรรมล่าสัตว์ในเขตอภัยทานของพระราชวัง ตัวละครถอดแบบจากวรรณกรรมโปรดของวงน้ำชา

เอเรส!

 

กลับมารักข้าที่นี่สักวัน

 

เจ้าอยู่ไหน...

โฉมงามบอบบางกับอัศวินกักขฬะ หรือเจ้าชายชั้นสูงกับหญิงข้าทาสจากแดนลี้ลับ หล่อนสาบานจะเป็นทุกอย่างและมากกว่านั้นในคืนที่หลบออกจากที่นี่ไปกับกลุ่มทหารรับจ้าง

 

กลับมารักข้าที่นี่สักวัน

 

ข้ากลับมาแล้วหล่อนบอกออกไป เจ้าอยู่ที่ไหน

ไม่ได้รอหล่อนอยู่ในบ่อเหมันต์ใต้แหลมดาวแปดแฉกของยูยาหรือ รายล้อมด้วยนักบวช บังคับให้หลับใหลใช้ชีวิตสังเวยรับใช้เพียโรต์ รอคอยให้หล่อนมาปลดปล่อย เกล็ดหิมะประดับขนตาและแช่แข็งผิวที่ทำให้อัญมณีงดงามในสายตาทุกคน หมองมัวในสายตาของหล่อน หลับใหล ถูกสังเวย แต่ไม่ต้องทรมาน จะหลับจนกว่าได้รับการปลุกตื่นจากหล่อนตามสัญญา

อลัดเอลเปียล้วนถูกกำหนดให้นับถือศาสนายูยา ส่วนไรรายะสังเวยใครก็ตามที่ไม่ได้นับถือศาสนาไรยายะ

 

หรือคอยคิดถึงข้าไว้ใต้อุทุมก็พอ

 

โจเซวา! ออกมา!” เสียงเพรียกดังก้องพร้อมเสียงฝีเท้า มาริคกับดารัคโถมเข้ามากระชากดึงตัวหล่อนผ่านวงกบประตูเหล็กกลับออกไปข้างนอก แมลงปีกแข็งทั่วชายเสื้อผ้ากับรองเท้าแดดิ้นใต้แสงแดดแม้จะบางอ่อนแรง กลิ่นดอกไม้ฉุนกึกระเบิดอวลรอบตัวหล่อน

ในสายหมอกที่ยังไม่ยอมเลือนหาย เงาสูงใหญ่ขยับเคลื่อนอย่างเชื่องช้าเข้ามาในเมือง ผ่านมาถึงบริเวณค่ายพักชั่วคราว เงาร่างมหึมาแต่น้ำหนักก้าวกลับไร้ซุ่มเสียง ขบวนนักเดินทางซึ่งมากับฝูงไอยราดำกับเผือก ผู้คนตัวสะอาดสะอ้าน แต่งกายสวยงามประดับด้วยตรายศและสัญลักษณ์ของกลุ่มมากมายจากทั่วสิบเจ็ดประเทศ ทูต นายพล สังฆราช และกองทัพใต้ธงของแต่ละประเทศเหล่านั้น

คนสวมเครื่องแบบกรูไปทุกหนทุกแห่งเป็นแนวแถวราวมดงานไต่ขอบใบไม้ หล่อนมองพวกเขาเข้าไปในวิหารของไรรายะ มาริคกับดารัคพานางกลับไปยังบริเวณค่าย โจเซวาได้แต่มอง คนพวกนั้นลำเลียงศพออกมาในห่อผ้า เสียงพูดคุยเกี่ยวกับเผาศพกับทำลายศาสนอารามที่เหลืออยู่เริ่มแพร่กระจายไปทั่วค่าย คำถามถึงที่มาของเหยื่อสังเวยของไรรายะ ชาวเมืองหายไปเหมือนตอนพวกหล่อนยังไม่ได้ปักธงหางนกยูงลงตรงจัตุรัสของไอน์

จากนั้น ทุกอย่างเบื้องหน้าหล่อนเหมือนเลือนเบลอ คำพูดเต็มไปหมด ผู้คนแนะนำตัว ผู้คนอธิบาย อัศวินใต้ธงนกยูงถูกพาไปพักที่อื่น ค่ายกับคุ้มผ้ากลายเป็นสิ่งก่อสร้างกันลมกันฝน อาหารหั่นด้วยมีดบนเขียง ย่างบนกระทะ และมีช้อนส้อมรวมไปถึงตะเกียบวางข้างจานสำหรับทุกคน ห้องอาบน้ำที่มีกำแพงครบทุกด้านรวมถึงกระจกกับอ่างล้างมือ และรูระบายน้ำใต้ฝักบัว หลอดไฟกับระบบประปา การเดินไปจุดที่มีก๊อกน้ำแทนการพกกระบอกน้ำดิบติดตัวไปมา

ทุกอย่างเคลื่อนไหว แต่ก็นิ่งงันในที โจเซวาพบตัวเองเดินวนเวียนไปมาระหว่างหอนอนรวม ห้องอาบน้ำ โรงอาหาร ฟังคำพูดแล้วคำพูดเล่าไหลชโลมผ่านโสตประสาทกับมือ จะไม่มีการแต่งตั้งยศหรือลงโทษใดๆ อัศวินกองรบธงหางนกยูงในฐานะผู้พิชิตอลัดพวกเขาว่าเช่นนั้น สหราชอาณาจักรอลัดจะกลายเป็นสหอาณาจักรอลัด ยกเลิกระบบขุนนางและสภาขุนนาง ผู้ที่มีชื่อในทะเบียนทัพหางนกยูงจะกลายเป็นประชากรของสหอาณาจักรอลัด หากมีสัญชาติและทะเบียนถิ่นที่อยู่อื่น สภาสิบแปดประเทศจะให้การยอมรับสองสัญชาติและสิทธิพลเมืองของทั้งสองเขตแดนยกเว้นว่ามีความขัดแย้งกันเอง จะต้องยื่นเรื่องต่อชั้นศาล ขณะนี้สหอาณาจักรอลัดไม่มีผู้พิพากษา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และศาลสูงเป็นของตัวเอง ตัวแทนของสิบเจ็ดประเทศยินดีให้ความดูแลด้านบุคลากรและออกตรารองรับอำนาจกฎหมายชั่วคราว รวมไปถึงการร่วมจัดตั้งการเลือกตัวแทนผู้แทนราษฎรระดับการปกครองส่วนย่อยต่างๆ และตัวแทนอาณาจักรในสหอาณาจักร เพื่อการปกครองบริหารต่อจากนี้สืบไป

นอกหน้าต่างห้องพักรวม หล่อนมองเห็นการเคลื่อนไหวบนท้องถนน ส่วนใหญ่เป็นตัวแทนกองทัพของสิบเจ็ดประเทศมากกว่าพลเมือง คนพวกนั้นผลัดเวรกันปรากฏตัวตามสถานที่ราชการ ธงนานาประเทศสะบัดว่อน เป็นครั้งแรกที่หล่อนได้เห็นธงเหล่านี้โดยปราศจากธงของเพียโรต์ พลทหาร อัศวินต่างแดนถือหมายประทับตรากลุ่มกำเนิดใหม่ซึ่งมีสหอาณาจักรอลัดอยู่ด้วย บุกเข้าตามบ้านเรือน นำเอาตัวทาสอลัดเอลเปียออกมา

ตามสัญญาระหว่างสิบเจ็ดประเทศกับกองธงหางนกยูง ทั้งสิบเจ็ดประเทศให้ความสนับสนุนด้านทรัพยากรการรบกับการแพทย์ รวมถึงกองกำลังดูแลความสงบ ทางกองรบจะไม่ก่อตั้งกองทัพสหอาณาจักรอลัดเป็นของตัวเอง อัศวินทั้งหมดจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการบริหารประเทศมากไปกว่าในฐานะพลเมืองทั่วไปที่มีสิทธิในการเลือกตั้ง ภายสหอาณาจักรอลัดจะต้องไม่มีระบบบรรณาการ ระบบทาส และการปกครองระบอบอาณานิคมอีกต่อไป สิบสองอาณาจักรในกลุ่มอลัดจะยังคงถือรวมเป็นสหอาณาจักรอลัด ประเทศเดียว จนกว่าจะมีประชามติของแต่ละประเทศขอแยกตัวออกอย่างเป็นทางการ หากไม่ อาณาจักรในกลุ่มอลัดจะมีตัวแทนแต่ละประเทศรับใช้ประชาชนทั้งในเขตแดนของตนและอีกสิบเอ็ดเขตแดนร่วมกัน

เมื่อก่อน ตำแหน่งสูงสุดของคนที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์จะมาบริหารประเทศเรียกกันว่าประธานคณะบัลลังก์ โจเซวาไม่รู้ว่าพวกเขาจะตั้งชื่อใหม่ว่าอะไร พวกเขาไม่ได้คิดไว้เพราะพวกเขาไม่มั่นใจว่าจะได้ใช้ หลายครั้งหล่อนคิดว่าธงหางนกยูงจะมาไม่ถึงหัวใจของอลัด คิดว่าเป็นตนต้องคลานไปเอาปลายแหลมมาเสียบอกตัวเองแทนบนทุ่งคาวเลือดไกลจากที่นี่ไป

กองรบธงหางนกยูงกระทำตามสัญญารักษาชีพพลเมืองดั้งเดิมของสหราชอาณาจักรอลัด ตามข้อตกลงในสัญญารองรับโดยสิบเจ็ดประเทศ ประชาชนของสหราชอาณาจักรอลัดจะกลายเป็นประชาชนของสหอาณาจักรอลัดอย่างเท่าเทียม และอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่หัวหน้ากองรบธงนกยูง อวา มาร์ซ ผู้เสียชีวิตไปในการรบ ได้ยื่นไว้ตอนการเสนอข้อผูกมัดรักษาชีวิตพลเมือง และได้รับความเห็นชอบโดยปราศจากตัวแทนราษฎรแห่งราชอาณาจักรอลัด ทว่ารับไว้ด้วยผลลงคะแนนที่รองรับโดยตัวแทนคณะทูตจากสิบเจ็ดประเทศ สองปี สิบเดือนก่อนการจบสิ้นของราชวงศ์เพียโรต์

ชื่ออวา มาร์ซหายเงียบไปจากกองรบนานหลายเดือน ชื่อเขาแว่วถึงหูหล่อนบนระเบียงทางเดิน ในแสงแดดตอนบ่ายคล้อย เขาตายต่อหน้าหล่อนเองที่สนามรบทางใต้เมื่อสามปีก่อน ศึกนั้นทำให้ประชากรทั่วอลัดลงมติตกลงสนธิสัญญาคุ้มครองพลเมือง ผู้คนถอนตัวออกจากกองทัพของสหอาณาจักรอลัด เหลือเพียงกองทัพส่วนพระองค์ อวา มาร์ซคือต้นคิดสัญญานี้ แรกเริ่ม กองรบส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ทุกคนต่างคาดเดาได้ว่าถ้ากองรบต้องละเว้นความเสียหายแก่พลเมืองของอลัด ฝั่งเพียโรต์จะใช้พลเมืองเป็นตัวประกัน ทว่าเพราะมาร์ซตายเพื่อสัญญานั้น กองรบจึงตกลงยื่นสัญญาต่อจากเขา และชาวอลัดตอบรับกลับมา หล่อนนับนิ้วแตกปูดโปน อวา มาร์ซ, พิริปปี้ ฟลอดาน, ไธรุต จาวาซิน, อาชินดา แบลง, โชญ ทีแรมิน ใครอีกบ้างหนอ คนอื่นที่ตายไปก่อนหน้า ตายไปกับ และตายหลังจากอวา มาร์ซ ไหนจะมี มายัค เซ, เพเทีย ไพรูน, แอนเดอรีย์ ไซ, กอกอน ไฮเวนมา, ยาโจน ไมเรียม, ซิซิ กลินน์

คนในกองรบล้วนคิดว่าทั้งสองเป็นเครือญาติกัน แต่โจเซวาไม่รู้จักหญิงผู้นั้น ซิซิ กลินน์ก็ไม่เคยรู้จักโจเซวามาก่อน พวกหล่อนมีสีผิวเข้มแบบทาสอลัดเอลเปียทั่วไป แต่ซิซิ กลินน์โครงหน้ากระเดียดไปทางคนท้องถิ่นในอาณาจักรเครือตะวันออกที่เบ้าลึก จมูกโด่ง และตัวสูงใหญ่ของอลัดเอลเปียคือรูปร่างทั่วไปของคนแถบนั้น ทั้งยังไม่ถูกกับไฟไม่ว่าจะไฟที่ทวยเทพอนุญาต หรือไฟที่ทวยเทพหวงได้ไม่หมด ทำให้เจ้าหล่อนต่างจากกลินน์ทั้งหมดในชีวิตของโจเซวา ซึ่งซิซิ กลินน์สัญญาว่าจะพาวงศาคณาญาติกลินน์ของตัวเองมาอยู่ที่อลัด ปลูกบ้านข้างที่ใดก็ตามที่โจเซวาจะลงหลักปักฐาน

เจ้าหล่อนก็ถูกฆ่าไปแล้ว เอาตัวเข้าแลกกับกองทหารอมนุษย์ของเพียโรต์

การดำเนินคดีสำหรับอาชญากรรมสงครามจะดำเนินต่อปัจเจกบุคคล ตามรายงานที่มีการส่งไปยังคณะผู้ตัดสินจากสิบเจ็ดประเทศที่พำนักอยู่ในไอน์ เมืองหลวงแห่งอลัด ของสหอาณาจักรอลัด โดยไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับคำสัญญาระหว่างกองรบธงหางนกยูงกับสิบเจ็ดประเทศ หรือต่อสหอาณาจักรอลัดแต่นี้ไป ผู้กระทำผิดจะถูกตัดขาดจากสถานะการเป็นสมาชิกของกองรบธงหางนกยูง

หล่อนได้ยินเสียงวุ่นวายข้างล่างตอนกำลังเดินขึ้นบันได เสียงดารัคคำรามเกรี้ยวกราดและใครสักคนพยายามจะหนีออกไปข้างนอก ถึงจุดหนึ่ง โจเซวานั่งลงบนขั้นบันได เอนตัวพิงราวเหล็ก หล่อนเหยียดขาพาดบนขั้นบันไดจนพื้นรองเท้ายันกับผนังหินสีน้ำทะเล เงี่ยฟังเสียงปะทะและข้าวของแตกกระจาย ความเป็นจริงว่าไม่มีเสียงดาบหรือปืนทำให้โจเซวาหายใจสะดวกขึ้นบ้าง แม้จะเล็กน้อยสักเพียงใด ก็ถือว่าดีขึ้นบ้างจนปิดเปลือกตาพักได้ลงอยู่ตรงนั้น ไม่ถึงกับผล็อยหลับ แต่หล่อนก็ฝันถึงภาพที่สวยงามทีเดียว

สมาชิกกองรบธงหางนกยูงทั้งหมดจะได้รับที่อยู่อาศัยและเงินก้อนจากทรัพย์สินส่วนตัวที่เหลืออยู่ของราชวงศ์เพียโรต์ ประเมินและแปลงเป็นมูลค่าเงินโดยกองเงินกลางของสิบเจ็ดประเทศ

ช่วงหัวค่ำ เริ่มมีคนกล่าวว่านี่ถือเป็นการเกิดใหม่ ส่วนใหญ่ไม่พ้นเป็นทาสอลัดเอลเปียอายุยังน้อย หรือพวกที่มีความสัมพันธ์ เพิ่งมีลูกรออยู่ในเขตแดนอื่น โจเซวาตักข้าวแกงใส่ปากพลางทบทวนความรู้สึกขาดตอนของตนต่อคำพวกนั้น หล่อนไม่ได้เกิดใหม่หรือเริ่มต้นใหม่ ยังก่อน จะให้เริ่มต้นใหม่ได้อย่างไร ในเมื่อตนกลับมายังมหานครเดิม บริเวณเดิม ตามลำพัง บุพการีหล่อนถูกฆ่าตอนหล่อนอายุสิบห้า น้องชายหนีไปกับน้า โจเซวาสละตัวเอง ตอนแรกคิดว่าต้องถูกเฆี่ยนตายแขวนประดับสุสานท้ายราชวัง แต่พ่อของหล่อนสร้างความเสียหายให้แก่องครักษ์ส่วนพระองค์ระหว่างพยายามหลบหนี บุตรสาวที่เหลืออยู่จึงต้องทำงานชดใช้ ตอนนี้หล่อนก็นั่งอยู่ท่ามกลางอลัดเอลเปียปะปนกับชนชาติอื่น น้องชายกับน้าอยู่แดนไกล ไม่รู้จะตามมาเมื่อไร

อลัดเอลเปียเป็นชื่อเรียกผู้ถูกจดทะเบียนว่ามีสายเลือดเอลเปีย ชนพื้นเมืองดั้งเดิมของอลัด แต่มีสถานะเป็นทาสเพราะบรรพบุรุษเป็นกบฎ ไม่ยอมรับตอนเพียโรต์รุ่นแรก แล้วพ่ายแพ้ถูกจับ ระบบทาสของเพียโรต์สร้างกลุ่มทาสไว้หลากหลาย ทว่าพอย้ายศูนย์กลางการปกครองมาที่อลัด แต่งตั้งเป็นสหาชอาณาจักรอลัดของเพียโรต์อย่างเป็นทางการ การปกครองในอาณาจักรอื่นมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง กลุ่มทาสที่เข้มข้นที่สุดก็เหลือแต่อลัดเอลเปียที่ราชวงศ์เพียโรต์คอยบงการให้มีการเพิ่มจำนวนเองกับมือ ทาสอลัดเอลเปียสร้างสิ่งก่อสร้างมากมายทั่วอลัด ยิ่งอาณาเขตของราชวงศ์ ถึงขั้นโดนสังเวยชีวิตกัน กลุ่มสิบแปดประเทศที่จะถือกำเนิดขึ้นไม่ต้องการมีภาพลักษณ์แปดเปื้อนกับมรดของเพียโรต์ จึงยึดเงินส่วนคลังหลวงกลับไปกระจายในการบริหารประเทศตามสัญญากับประชาชนอลัด และประเมินสิ่งก่อสร้าง ที่ดิน ทรัพย์สินของเพียโรต์เป็นเงินมาแบ่งให้ลูกหลานทาสอลัดเปียทั้งหมด เพื่อถือเป็นการตัดขาดสหอาณาจักรอลัดใหม่จากบาประบบทาส ปลดปล่อยที่ดินซึ่งไม่มีใครมาเอาไปได้ เช่นนั้นสู้ล้างมลทินให้มันแล้วก่อสร้างใหม่เสียดีกว่า

โจเซวาโล่งใจว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นในแถลงการณ์ และเกิดขึ้นจริง ดังนั้นย่อมหมายความว่าอัศวินกองรบใต้ธงหางนกยูงรอดชีวิตมากกว่าที่หล่อนคิด ยังไม่มีการนับหัวประกาศจำนวนคนที่เหลือทั่วเขตแดน แต่มากกว่าที่หล่อนคิด หล่อนทราบเท่านี้ และนั่นก็มากพอให้ข่มตาหลับไวขึ้นสักนาทีสองนาที สักสามรอบแก้วนาฬิกาทรายเล็กๆ ในหมู่ดาว

ผู้คนในกองรบคุยกันเรื่องบ้านหลังใหม่ ส่วนน้อยพูดเรื่องจัดคณะเดินทางกลับบ้านเกิดในเร็ววัน โจเซวาไม่รู้ว่าตนต้องทำอะไรนอกจากรอเครือญาติกับสหายเก่าที่สัญญากันไว้เดินทางมาถึงไอน์ หนทางคมนาคมภายในอาณาจักรอย่างรถไฟและเรือบินพาณิชย์ถูกทำลายไปหมดตั้งแต่สองปีก่อน วิธีเดินทางข้ามเขาลำเนาไพรหลายร้อยหลายพันกิโลเมตรตอนนี้มีแค่คณะเดินทางไอยราขาวดำ ช้างพวกนั้นมีอำนาจในการลบระยะทาง ทำให้ผู้เดินทางกับพวกมันข้ามทะเลข้ามเขาได้แต่กลับเหมือนเดินบนทางเท้าเรียบภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งพวกมันมีจำกัดและต้องอาศัยควาญหลายคน ค่าใช้จ่ายสูงลิ่วนัก ถ้าคณะตัวแทนสิบเจ็ดประเทศไม่มีแผนหยิบยื่นน้ำใจพาอัศวินกลับบ้าน หล่อนไม่คิดว่าจะมีใครในนี้ได้กลับบ้านทางนั้น

โจเซวาได้รับเอกสารแจ้งยืนยันว่าไม่อยู่ในรายชื่อเข้ารับพิจารณาโทษสำหรับข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม มาริคกับดารัคก็ไม่มีข้อหาใด

พี่ ไปแต่งผมไหม ดารัคถามตอนเห็นหล่อนยกมือลูบปลายผมสั้นระดกไปทุกทิศ ได้ลองออกไปเดินในเมืองบ้างก็ดี วิธีพูดอ้อมแอ้มอ้อมค้อม โจเซวาฟังแล้วจั๊กจี้หูอยู่ไม่สุข

แผลเป็นอย่างไรบ้าง

ระบม แต่ข้าก็ซัดพี่ไปเต็มแรง คิดว่าข้าเตะได้สวยด้วย ดังนั้นหายกันหญิงอายุน้อยกว่ากอดอก คนที่พี่ตามหา เขาเป็นใครเหรอ

ประโยคแรกที่เอเรสกล่าวกับโจเซวาคือคำถามว่า เจ้ากำลังโกรธหรือ โกรธใคร แล้วมองหล่อนด้วยแววตาพรึงเพริดตะเลิดตะลึง ดูเป็นสาวน้อยแรกแย้มเพิ่งเคยเห็นแสงเหนือ เห็นความโกรธเกรี้ยวกราดลับหลังเชื้อพระวงศ์เป็นของสุดบรรเจิด

คิดไปว่าหล่อนคงอายุน้อยกว่า แต่เอเรสแก่กว่าหล่อนหนึ่งปี และหลังจากนั้นก็ไม่เคยมีสีหน้าตกใจอะไรให้เห็นอีกเลย เอาแต่ยิ้มเล็กยิ้มน้อยแม้แต่ตอนร้องไห้ โจเซวาแทบไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ ไม่เคยได้พูดกับใครเขาเต็มปากเต็มคำว่า ข้ารู้

แต่เอเรสชอบพูดเช่นนั้น พอบอกว่าหล่อนชอบกินเนื้อสัตว์กับผลไม้ ก็บอกว่า ข้ารู้

พอหล่อนบอกนางว่าดาวที่มองกันไม่ใช่ดาวนำทาง แต่เป็นดาวลางร้าย นางก็บอกว่า ข้ารู้ แต่มันก็สวย

ถึงบอกสิ่งที่มั่นใจว่านางไม่มีทางรู้อยู่ก่อน เพราะตัวหล่อนเองก็เพิ่งทราบ ณ วินาทีนั้น นางก็กลับกุมมือสั่นระริกของหล่อนขึ้นไปจูบตรงข้อนิ้ว แล้วบอกว่า ข้ารู้

ความใฝ่ฝัน

ข้าเสียใจด้วย แฝงอยู่ในแรงบีบจากฝ่ามือของดารัคบนหัวไหล่ของหล่อน โจเซวาเอนศีรษะลง เอาแก้มแนบหลังมืออุ่นจัดของอีกฝ่ายแล้วหลับตาลง

เจ้าจะทำอะไรต่อไป

ข้าอยากขายของ พี่ว่าข้าขายอะไรดี

ดอกไม้กับหนังสือ

ตอบเร็วจริง

เจ้าชอบทั้งสองอย่างนี่ รึเจ้าชอบมีมากกว่าชอบขาย

ดารัคเอามือลงจากบ่าไปประกบตรงปากเพื่อครุ่นคิดให้ถี่ถ้วน ถ้าข้าขาย อย่างไรข้าก็ต้องมีสิ

ดารัค

อะไร ข้ากำลังคิดอยู่

หล่อนสูดจมูก

ข้าไม่อยากเดินทางไกลแล้ว

ดารัคมองมา

ข้าด้วยคน

หล่อนยังไม่อยากไปเดินในเมืองหลวง ไอน์ในอดีตของหล่อนทุลักทุเรศน่าดู สองวันมานี้ก็ได้ยินข่าวคราวว่าตัวแทนกองทัพของสิบเจ็ดประเทศต้องไล่จับชาวอลัดที่พยายามจะซ่อนทาสอลัดเอลเปีย

โจเซวา ดารัคมาริคกระหืดกระหอบวิ่งขึ้นบันไดเข้ามาในห้องนอนรวม มาเร็ว โรงหมอเรียกพวกเรา

ทั้งสองมองหน้ากันเองแล้วไล่ตามมาริคที่รีบร้อนย้อนกลับลงบันไดไป น้ำเสียงของเขาทำให้โจเซวาเหวี่ยงตัวข้ามราวบันไดลงไปยังพื้นชั้นล่างสุด

สิ่งที่รอเธออยู่ข้างในห้องของส่วนโรงหมอไม่ใช่สมาชิกจากกองรบธงหางนกยูงที่ยังไม่ได้สติหรือได้รับอนุญาตให้ออกจากปีกแพทย์ของอาคาร แต่เป็นเด็กหนุ่มคนนั้น ผิวของเขาไม่ซีดอย่างแรกเห็น ดวงตาของเขาเบิกโพลงและปกคลุมด้วยสีขาว ร่างกายของเขาเกร็งกระตุก นิ้วมือจิกลงในผิวเตียง ข้อเท้าสองข้างของเขาถูกมัดล่ามลงกับขาเตียง บางอย่างบอกหล่อนว่าที่ข้อมือของเขาไม่ถูกล่ามไว้กับที่ด้วยเพราะรอยแสงสีแดงที่วิ่งอยู่บนหลังมือของเขา

นางพยาบาลเข้ามาประกบโจเซวา พวกเขาบอกว่าท่านเป็นคนที่เอาเขาออกมาโดยไม่เกริ่นถามอื่นใด โจเซวาปล่อยให้มือขวาของตนถูกรั้งไปวางทาบลงบนหลังมือที่มีเส้นประกายแดงวิ่งอยู่ราวกับกำลังไต่คลานเส้นเลือด พลันหล่อนรู้สึกถูกรัดพันมือของตนเข้าไว้กับเขา มีแรงดึงให้หล่อนต้องก้าวเท้าเข้าประชิดเตียง

แสงแดงเริ่มเลือนหายไป เท้าเปล่าตรงปลายเตียงเริ่มแผ่วการเคลื่อนไหวลงจนเสียงโซ่ขยับหยุดลงในที่สุด เด็กหนุ่มคนนั้นสงบลง ก่อนจะกระชากตัวทั้งร่างสุดแรง เขาสะบัดมือโจเซวาออกขึ้นกุมผ้าห่มตรงผ้าอก ใบหน้าพลิกไปด้านข้างแล้วอาเจียนของเหลวสีดำปนแดงออกมา นางพยาบาลปราดเข้าไปยกหัวเขาขึ้น ขยับร่างเขาให้พ้นขอบเตียงเพื่อปล่อยของที่เขาสำรอกไหลลงยังอ่างใบเล็ก

เยื่อขาวมัวที่ปกคลุมตาเขาหายไป แววตาของเขามองมายังหล่อนอย่างคนที่ได้สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดี แต่เหนื่อยล้าดั่งถูกดูดพลังชีวิตไปเกือบหมด และเขาเลือกใช้แรงที่เหลืออยู่คว้าชายเสื้อของโจเซวาเอาไว้เป็นเส้นกู้ชีพ ดวงตาที่ฝืนเปิดไว้ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด อ้อนวอนขอความช่วยเหลืออย่างหวาดกลัว หล่อนยกมือขึ้นจับแก้มเย็นเฉียบเกินจะเชื่อได้ลงว่าสีเลือดฝาดใต้ผิวมีอยู่จริง เขาขยับเข้าหามือของหล่อน ดวงตาปิดแน่นปล่อยน้ำตารื้นรินไหลลงบนฝ่ามือ ริมฝีปากของเขาเผยอคล้ายอยากส่งเสียงร้องแม้จะไม่อาจเค้นอะไรออกมาไหว

พวกนักบวชไม่มีใครยอมเปิดปาก ไม่มีใครเคยรักษาเหยื่อสังเวยมาก่อน

โจเซว่าส่ายหัวกับตัวเอง พวกเจ้าเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีเหยื่อสังเวยอยู่ในนั้น...

นางพยาบาลเม้มปากแน่น แต่หล่อนมองเห็นความรู้สึกรังเกียจแสดงออกมาชัดเจน

เมื่อครู่ อัศวินคนนั้นเข้าไปในห้องที่ไอรีดาเนพักอยู่ หล่อนเพ้อไม่ได้สติ อาละวาดทำร้ายตัวเองไม่หยุดจนกระทั่งเขาแตะตัวหล่อน

ไอรีดาเน หญิงเหยื่อสังเวยของวิหารฮูนน่ะรึ พวกเจ้ารู้ว่านางเป็นใครได้ยังไง

ข้าเป็นคนศาสนาฮูนนางพยาบาลตอบ เช็ดผ้าซับลงบนลำคอของเด็กหนุ่มคนนั้น พระคัมภีร์ขานชื่อของไอรีดาเน หญิงสีขาวทั้งตัว ยกเว้นดวงตาสีเหลืองอำพัน ผู้ถูกเลือกโดยให้เดินไปบนน้ำโดยไม่มีไอยราพิสุทธิ์และทมิฬเคียงข้าง แล้วกลับมาพร้อมกับอัญมณีสีทองแทนที่หัวใจ ต้นไม้ชีวิตแห่งฮูนเติบโตออกมาจากร่างของหล่อน แผ่รากยึดรักษาแผ่นดินแผ่กิ่งก้านคุ้มครองดินของผู้ศรัทธา

เจ้าจะเรียกชื่อตาม --”

หญิงคนนั้นคือไอรีดาเน อัศวิน จากแปดสิบปีก่อน เหยื่อสังเวยที่หล่อเลี้ยงต้นไม้ชีวิตแห่งฮูนมาได้ยาวนานที่สุด

สายตาของนางพยาบาลไม่เปิดให้แย้งค้าน นั่นไม่ใช่ศรัทธาหรือแรงปรารถนาจะได้หายใจอากาศร่วมกับตัวตนในตำนานบนหน้าพระคัมภีร์ ไม่ โจเซวาเห็นเพียงโทสะกับความนึกคิดเดียดฉันท์ จมูกที่ย่น ปากที่เชิดสะอิดสะเอียนบทเรียนทางธรรมในวิหารมาค่อนชีวิต หล่อนจึงข้ามเรื่องนี้ไป

ถ้าหล่อนมีชีวิตมาตั้งแต่แปดสิบปีก่อน แล้วเด็กคนนี้กับเด็กอีกคนนั่นด้วยล่ะ

พวกเราคิดว่าเด็กคนนี้อายุไม่เกินสิบหกหรือสิบเจ็ดหรอกนางพยาบาลพลิกข้อมือขวาเขาขึ้น นิ้วโป้งกดลงตรงใต้บริเวณรอยสักรูปดวงตะวัน รัศมีของดวงตะวันเป็นแฉกแหลม ตรงกลางดวงตะวันมีกากบาทดำ รอยสักนี้เพิ่งแพร่หลายเมื่อห้าปีก่อน เป็นสัญลักษณ์กลุ่มสนับสนุนเสรีภาพแห่งอลัดเอลเปียที่ใช้กันในหลายเมือง แต่ตอนนี้เลือดในกายเขาปนเปือนจนตรวจสอบตัวตนไม่ได้ ต้องรออีกสักพักหนึ่ง ส่วนเด็กอีกคน...ข้าไม่แน่ใจ

ถ้าอย่างนั้น เหยื่อสังเวยก่อนหน้าเด็กคนนี้คือใคร

ไม่มีใครรู้หรอก นอกจากนักบวชของยูยาในหอคอยนั้น หรือถ้าเด็กคนนี้ได้สติ เขาอาจจะบอกได้

พวกหล่อนลากคอนักบวชที่คิดหนีหรือสู้กองรบธงหางนกยูงเอง จำต้องสังหารไปเป็นหมู่ แต่ก็ยังมีพวกเหลือรอดไม่น้อยถูกคุมตัวเอาไว้กับขุนนางที่หนีออกจากอลัดไม่ทัน คนพวกนั้นอยู่ในการควบคุมและรอการตัดสินเมื่อกลุ่มสิบแปดประเทศเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ พวกมันควรจะอยู่ในสถานคุมขังสักแห่งไม่ไกล

เมื่อโจเซวาคิดจะไป แรงรั้งดึงหล่อนไว้กับจุดเดิม

เด็กหนุ่มยังคงกำเสื้อหล่อนไว้ไม่ยอมปล่อย ทั้งที่หลับสนิทไปแล้ว คราบน้ำตาเปื้อนนองหน้า หล่อนลากหลังนิ้วชี้เช็ดคราบน้ำตานั่นเบาๆ คล้ายทดสอบการสัมผัสตัวคนแปลกหน้าว่ายังให้ความรู้สึกผิดที่ผิดทางเช่นเดิมไหม ไฉนเขากลับจับหล่อนมั่นนักหนา ผมสีดำหยักศกของเขาออกแดงในแสงแดด ผิวน้ำตาลแสงอ่อนบางราวกับมีธุลีเทาเจืออยู่ในเนื้อหนัง ใต้ผืนน้ำแข็งหนากับเปลวไฟ หล่อนกลับพบเด็กหนุ่มที่เหมือนสลักมาจากหินในกองเพลิง

แกเป็นใคร…” หล่อนเอ่ยถามซ้ำ นึกภาพว่าพวกนักบวชทำเช่นไรกับเหยื่อสังเวย มันโยนเขาลงไปในบ่อแล้วปิดผนึกปากบ่อ ปล่อยเขาตะกายใต้น้ำแข็งจนร่างกายขยับไม่ได้ น้ำเย็นท่วมเข้าปอดหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วพวกมันทำเช่นไรกับเครื่องบูชายัญคนก่อน คนที่ถูกนำออกมาสภาพเป็นเช่นนี้กันหมดหรือ ใครช่วยนางคนนั้นของหล่อน ตอนนี้ยังนอนทรมานอยู่บนดินที่ไหนหรือไม่ เดินเหินได้หรือยัง

หรือจดหมายที่หล่อนได้รับเป็นของปลอม

อวา มาร์ซ คนมอบจดหมายก็ตายไปแล้ว เด็กคนนี้ไม่มีวี่แววจะได้สติขึ้นมาถามตอบใครเขาทั้งนั้น สิบเจ็ดกลุ่มประเทศกำลังก่อตั้งตัวให้เป็นสิบแปดอย่างเป็นทางการ ดำเนินโทษตัดสินคดีของเชื้อพระวงศ์กับขุนนางที่จับตัวได้ พิจารณาขับไล่หรือลงทัณฑ์นักบวชที่ขึ้นตรงกับเพียโรต์ เศษซากปรักหักพังกำลังถูกเคลื่อนย้าย พวกมันอาจถูกย้ายไปคุกกลางทะเลหรือแดนวงกตในหุบเขา เช่นนั้นใครในทั้งหมดนี้จะตอบคำถามหล่อน

แล้วใครจะทำอะไรกับพวกเขาต่อ

 

โจเซวาไม่ได้รับคำตอบ นางพยาบาลคนนั้นบอกให้หล่อนออกไปได้หลังจากนั้นราวชั่วโมง เด็กหนุ่มบนเตียงคลายมือ ปล่อยแล้ว หล่อนเดินออกมา มองเงาสะท้อนสารรูปกระเซอะกระเซิงของตัวเอง ก่อนจะมองผ่านภาพสะท้อนเลยเข้าไปข้างใน ดารัคนั่งอยู่บนพื้น แวบหนึ่งหล่อนคิดว่ามีผ้าสีขาวห่มตักหญิงอายุน้อยกว่าอยู่ แสงจากหน้าต่างอีกฟากไม่ช่วยเท่าไรนัก โจเซวาเพ่งมองให้ชัดถึงเห็นว่าเด็กหนุ่มอีกคนนอนขดอยู่บนพื้นข้างตัวดารัค ส่วนตัวอัศวินพลปืนกำลังเล่นกับผมของเขา ครั้งเปิดประตูเข้าไปค่อยได้ยินว่านางกำลังร้องเพลงอยู่ด้วย ถ้อยคำเนิบชากังวาน เล่าถึงคำสาบานของสัจจะไม่ปฏิญาณ เพลงที่พวกใต้ธงหางนกยูงร้องกันระหว่างเดินทาง ร้องในวันที่แสงแดดเปรี้ยงจ้าสงบสุข

หล่อนเดินเข้าไปหยุดตรงก่อนจะเหยียบเส้นผมขาวโพลนบนพื้นเข้า ชะเง้อมองเจ้าของแผ่นหลัง แต่ก็ไม่เห็นว่าสีหน้าเด็กหนุ่มเป็นเช่นไร ดารัคแผ่วเสียงร้องเพลงลง เขานอนไม่ได้

เกิดอะไรขึ้น เด็กพวกนี้ -- เหมือนสัตว์เห็นอะไรก็รับเป็นแม่แบบนั้นรึ

ไม่น่าเป็นแบบนั้นไปได้หรอก พวกนักบวชคงมีวิธีเปลี่ยนเหยื่อสังเวยโดยไม่ทำให้คนเก่ากลายสภาพเป็นแบบนี้กัน แต่พวกเราไปกระชากออกมา คงมีอะไรที่ส่งผลทิ้งไว้ พวกเขาโดนใช้งานผลิตม่านคุ้มกันทั้งประเทศมาเป็นปีๆ นี่นะ

เจ้าจะเฝ้าเขาตลอดเลยรึเปล่า

พวกพยาบาลบอกว่าไม่ควรทำแบบนั้นดารัคตอบทันที มีอะไร

ทำเรื่องหนึ่งให้ข้าหน่อย

 

ในห้องที่มีไอรีดาเนอยู่ มาริคนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง หญิงคนนั้นนอนหลับ ใต้คอลงไปห่มผ้าห่ม แขนข้างหนึ่งวางข้างบนม้า ข้อมือผอมบางอยู่ในกำมือใหญ่ของชายหนุ่ม เขานั่งพลิกเปิดหนังสืออ่านด้วยมือเดียว จับข้อมือหญิงเครื่องสังเวยไว้ดั่งเป็นที่วางพักมือ เงยหน้าขึ้นเมื่อโจเซวาเข้าไปถึงอีกข้างเตียง

เจ้าก็ด้วยหรือ

คิดว่าจะตายไปกับต้นไม้นั้นเสียอีก ดีแล้วละ

เจ้าน่ะ จะไม่จับอาวุธอีกแล้วใช่ไหม มาริค จะไม่ทำร้ายใครอีกแล้ว จะไม่สู้อีกแล้ว

มาริคปิดหนังสือ วางลงบนตัก เขากดน้ำหนักฝ่ามือลงบนปกหนังสีน้ำเงินสวยสด ท่าทางที่นี่มีหอสมุดด้วยกระมัง ที่นี่มีหลายอย่าง มันสร้างหลังขึ้นหลังหล่อนหนีออกจากอลัด ความทรงจำว่าเดิมตรงนี้เป็นอะไรก็เลือนรางนัก แต่ก่อนเป็นที่พักรวมถึงที่เก็บตัวของกองรบธงหางนกยูง ผนวกกับค่ายแพทย์ และที่ประชุมของตัวแทนสิบเจ็ดประเทศ หล่อนฟังมาว่าที่นี่เป็นศาลาสาธารณะ ตึกสถาปัตยกรรมหรูหราประดับด้วยลวดลายสวยหยาดเยิ้มละเอียดละออ ข้างในมีทั้งหอสมุด ห้องอาหารสำหรับคนจำนวนมาก ห้องจัดงานเต้นรำซึ่งพวกชาวเมืองที่มีเงินหน่อย แต่ไม่มีที่ทางในบ้านพอจะจัดงานเต้นรำอย่างพวกชนชั้นสูงจะมาเช่าที่นี่จัดงานเฉลิมฉลอง หรืองานเปิดตัวเข้าสังคมของพวกเขากันเอง

หล่อนไม่ได้พึงใจรักอะไรชาวอลัดทั่วไปนักหนา แต่มิได้เกลียดชังถ้าเตียงในห้องนอนรวมจะโดนย้ายไปวางที่อื่น และแสงส่องผ่านกระจกทรงกลมลวดลายซับซ้อนใหญ่บนผนังชั้นล่าง ฉายทับลงบนพวกเด็กวิ่งเจี๊ยวจ๊าวในวันหยุด ความเงียบที่มีแต่เสียงของคนกองรบเดียวกันดังก้องผนังเช่นนี้ทำให้บางอย่างในตัวโจเซวาหนาวชา หล่อนรู้สึกเหมือนจะมีอะไรพุ่งเข้ามาทำลายอาคารถ้าเผลอไผล ชุดเครื่องแบบกองทัพต่างแดนไม่ได้มอบความสบายใจสักเท่าไร พวกเขาเบียดที่เต็มไปหมดทุกหัวมุมเสียมากกว่า

ใช่

มาริคตอบออกมาในที่สุด และโจเซวาก็สูดลมหายใจ

ดาบของเจ้าอยู่ไหน

โจเซวาทำดาบของตัวเองหายไปแล้ว คงจะตกอยู่ในอาณาเขตอดีตราชวัง คนของพวกบนหลังช้างอาจจะเก็บไป หล่อนไม่คิดตามหา ไม่มีความปรารถนาจะเอาคืนกลับมา

ดาบของมาริคเป็นกึ่งดาบสั้นกริชยาว  ด้ามจับสั้น ตัวใบมีดตรงฐานกว้างแบนประทับลายแกะสลักหรูหรามีรูโหว่ซึ่งเคยติดอัญมณีประดับเต็มไปหมด เขายึดมันมาจากขุนนางปกครองเขตตรงเมืองท่าของอลัด เพราะคุยกันว่าหน้าตาหรูหราดูไร้ประโยชน์ ทว่าวัสดุใช้ทำใบมีดบางและแหลมคมทั้งด้านข้างไปถึงปลายเรียวเล็ก ทนทานเหลือเชื่อ เพื่อนฝูงจึงช่วยแย่งกันทุบอัญมณีประดับให้แตก ลดน้ำหนักถ่วงไม่จำเป็น ต่อให้นับเป็นกริชแทนก็เป็นกริชยาวเกินขนาดทั่วไป

ตกเย็นวันนั้น ดารัคเรียกรวมพลกองรบใต้ธงหางนกยูง แล้วประกาศสลายกองรบ ไม่มีการกระทำอันใดในนามธงหางนกยูงอีกต่อไป ดาบทั้งหมดที่หลอมมาด้วยกันก่อนเริ่มสงครามแล้วยังอยู่กับผู้ถือตอนนั้นปักลงพื้น เล่มแล้วเล่มเล่า ดารักนึกถึงก้านธูปหอมหน้าหลุมศพ

ธงหางนกยูงถูกโยนลงทับบนพงดาบ ดารัคจุดไฟเผา มองธงสลายในเปลวเพลิงเป็นสิ่งแรก

สะเก็ดไฟลอยสูงขึ้นไปไกลสุดไกล

โจเซวาก็ทำเช่นนั้น ลอบหาคุกขังนักบวชของยูยา แสร้งปลอมเป็นข้ารับใช้ของพวกขุนนางที่บำรุงศาสนายูยาออกนอกหน้ามาตลอดส่งคนมาช่วยพาพวกมันหลบหนี หลอกพาไปยังที่ลับตาให้เชื่อว่ากำลังมีคนมารับพาหนีออกนอกอลัด แล้วก็ฆ่าทั้งหมดให้เหลือเพียงคนเดียวที่ดูตำแหน่งสูงสุดในกลุ่มดู ก่อนจะเหยียบมันลงกับพื้น กดเท้าไว้บนลำคอ จรดปลายดาบจ่อลูกตามัน ทั้งหมดหล่อนทำในนามตัวเองเงียบๆ

เหยื่อสังเวยคนก่อนหน้านี้เป็นใคร

ข้าไม่รู้! ข้าไม่รู้

แกจะไม่รู้ได้ยังไง ให้ข้าควักลูกตาออกมาสักข้างก่อนดีกว่าไหม

อย่านะ อย่า -- ข้า  -- พวกเรานักบวชจะจับกลุ่มกันเป็นคณะย่อย แปดสิบแปดกลุ่ม คอยเฟ้นหาเครื่องสังเวยมาให้ กลุ่มที่เครื่องสังเวยได้รับเลือกก็จะเป็นกลุ่มที่ได้ดูแลห้องนั้นและตัวเครื่องสังเวยไปจนกว่าวันใดที่เทพเจ้าต้องการเปลี่ยนตัว น้ำแข็งจะละลายและเครื่องสังเวยจะถูกปล่อยออกมา กลุ่มที่ดูแลก็ต้องพาออกไป -- พวกข้าไม่เคยเห็นเครื่องสังเวยก่อนหน้าด้วยตาตัวเอง! อยู่มาวันหนึ่งประตูห้องก็เปิด น้ำแข็งจากดาวแปดแฉกละลาย คณะดูแลแบกร่างในห่อผ้าออกไปไม่ให้ใครเห็นหน้าตาเหยื่อสังเวย พวกข้าก็สนใจเพียงต้องเร่งหาเครื่องสังเวยคนใหม่!

แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นใคร พวกแกเอามาจากไหน

เด็กนั่น --

ตอนพาพวกมันออกมา หล่อนคิดจะปล่อยนักบวชคนสุดท้ายไปถ้ามันตอบอะไรมีประโยชน์สักคำตอบบ้าง ทว่าคำตอบจากปากประดับฟันทองคำนั่นทำให้หล่อนกระทืบเท้าลงบนกระดูกคอมันสิ้น