3 ตอน 3
โดย pynox
หล่อนตะกายอากาศ ควานหาเชือกที่ไม่อยู่ตรงนั้น ภาพตรงหน้าหมุนเคว้งชั่ววูบหนึ่งแล้วหยุดลงพร้อมสัมผัสกระแทกกับพื้นผิวแข็งที่ห่างหายไปนาน โจเซวาล้มลุกคลุกคลาน มือจิกกำเขาไปในเส้นขนพรม หัวใจเต้นแรงแทบปวดระบมไปทั้งแผ่นอก หล่อนโงหัวขึ้นมองรอบด้าน ทันได้เห็นว่าตนอยู่ในห้องแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยเทียนจำนวนมากวางอยู่ทั่วตามชั้นและพื้นเป็นวงล้อมแท่นหินคลุมด้วยผ้าหลายผืนที่หล่อนตกลงมา ฐานเทียนทุกแท่งมีจานรอง สายควันลอยวนไปในทางเดียวกันเหมือนเส้นไหมที่ตีวงเอาไว้ จากนั้นบานประตูก็เหวี่ยงโผลงเปิดออก เวียน นิวอนเกาะขอบประตู ตาโตจ้องมองหล่อน “ท่านกลับมาแล้ว”
“ที่นี่ที่ -- เจ้า -- นี่ เดี๋ยวก่อน!” โจเซวาต้องการจะถามไถ่สารพักเรื่อง แต่เวียน นิวอนพุ่งไปจากประตูเสียก่อน เมื่อหญิงบนพื้นต้องการจะลุกตาม ตัวหล่อนก็ล้มหน้าทิ่ม มือที่เหยียดไปข้างหน้าหวิดปัดโดนเทียน สายควันรอบห้องค่อยๆ จางตัว โจเซวามองร่างกายตนด้วยความงงงัน ไม่รู้จักความรู้สึกอ่อนเปลี้ยทั่วตัวเช่นนี้มาก่อนนในชีวิต มันต่างจากความเหนื่อยล้าหลังฝึกซ้อมต่อสู้ฟาดฟันโรมรันฉุปการกับพวกทหารรับจ้างหรือในกองรบใต้ธงหางนกยูง โจเซวารู้จักความเหนื่อยจากการออกแรงผ่านเลยขีดจำกัด จากการทำงานตัวเป็นสาย
ตอนนี้ในตัวหล่อนคือความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง เหมือนมีแรงพลังงานอยู่เพียงในอกให้หัวใจเต้น ทว่าไม่มีแรงกระจายตัวอยู่ในแขนขาเลยสักหยดชีวิตเดียว เสียงฝีเท้าสองคู่ดังขึ้นจนคนสองคนพาตัวเข้ามาในระยะการมองเห็นตรงประตู แทนที่เวียน นิวอนคือมาริคกับดารัค ทั้งสองแต่งกายดี สะอาดสะอ้านและดูสบายตัวไม่นับสีหน้าตื่นตกใจ ดารัคโถมเข้ามากอดหล่อนเป็นคนแรก ตามด้วยอ้อมแขนของมาริคหุ้มทับทั้งสองลงมาอีกชั้นหนึ่ง แรงรัดแน่นกับน้ำหนักบนตัวโจเซวาเต็มไปด้วยเสียงสำลักก้อนสะอื้นด้วยความโล่งใจ กับคำพูดตะกุกตะกักข้ามไปข้ามมาระหว่าง ระหว่างความรู้สึกตอนหล่อนหายไป และความรู้สึกตอนนี้ที่หล่อนกลับมาแล้ว
“ข้า...ข้าหายตัวไป”
“เด็กคนนั้น -- เขาบอกว่าพี่เข้าไปใน -- เวิ้งผู้ถูกสังเวย” ดารัคเอาหลังมือเช็ดหน้า “แต่ไม่มีใครพูดออกมาชัดๆ เลยสักคน ว่าพี่เป็นยังไง หรือพี่จะออกมาได้จริงไหม ไม่มีใครรู้นอกจากเด็กคนนั้น”
“เด็กคนนั้น...”
“โทเร็ม”
“เขา...เขาอยู่ไหน”
“เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ พี่หายไปตั้งปี”
หนึ่งปีได้ผ่านไปแล้ว
ดารัคดึงหล่อนเข้ากอดแน่นอีกครั้ง โจเซวาเกยคางบนบ่าโค้งหนา ยกมือขึ้นตบลงตรงต้นแขนหญิงอายุน้อยกว่าเบาๆ “ข้าเจอนางของข้าในนั้นด้วย” หล่อนกระซิบบอกเสียงแหบพร่า
กำลังวังชาค่อยๆ คืนกลับมาหาโจเซวาระหว่างที่พวกดารัคเล่าทุกอย่างและหาอาหารกับน้ำมาให้หล่อนดื่มกิน เทียนในห้องนั่นสำหรับประคองชีพและนำทางหล่อนกลับมา พวกเขาไม่มีร่างเนื้อของโจเซวา จึงใช้ผ้าที่ทอเส้นผมกับส่วนแบ่งจากเงาของโทเร็ม ซาราไซปูเอาไว้แล้วควบคุมด้วยเทียน ทุกแท่งดับไปทันทีที่โจเซวากลับออกมา
ข้างนอกห้องนั้นเป็นส่วนต่างๆ ของบ้านหลังใหญ่สองชั้นเต็มไปด้วยห้องกับเครื่องเรือนและข้าวของเครื่องใช้ นี่คือบ้านที่ตกแต่งและมีคนอยู่อาศัยอย่างสุขสบายมาได้สักพัก พื้นไม้ปูด้วยพรมใหญ่ลายทอสวยงามไปเสียแทบทุกห้อง รอบนอกตัวบ้านมีชานเตี้ยๆ เป็นทางเดินยื่นออกไป กั้นด้วยผนังอิฐสลับกับบานกระจกเลื่อนเปิด และทางเดินปูหินกับทิวต้นไม้หนาสีส้มสลับเหลืองให้ร่มเงา โครงสร้างห้องชั้นล่างเหมือนสี่เหลี่ยมสามกรอบวางซ้อนกันแล้วแบ่งห้องกับเว้นช่องวางทำทางเข้าออกเชื่อมเอาจากข้างนอกไปยังข้างใน ทางเดินชั้นนอกสุด เข้ามาชั้นแรกเป็นห้องต่างๆ ผนังหนา ประตูบานเลื่อนทำจากไม้ทึบแต่งลายสารพัด ส่วนใหญ่คือห้องนอนกับห้องส้วมและห้องอาบน้ำ ซีกหนึ่งของบ้านเป็นห้องรับแขกขนาดใหญ่ ต้นไม้หน้าชานทางเดินนอกฝั่งนั้นเองก็ดูจงใจปลูกต้นไม้ไล่สีม่วงอ่อนกับชมพูไว้สำหรับแสดงตัวให้ชื่นชมมากกว่าด้านอื่นของสวน ซีกเหลี่ยมข้างนั้นนอกจากห้องรับแขกคือห้องที่โจเซวากลับออกมา ดารัคพยุงหล่อนผ่านเข้ายังทางเดินชั้นใน ห้องส่วนลึกคือห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร และห้องทำงานกระมัง โจเซวาเดาจากส่วนที่มีชั้นหนังสือใหญ่สี่ตู้วางเรียงเข้ามุม และมีโต๊ะกับเก้าอี้สองชุดจัดหันหน้าเข้าหากัน บนโต๊ะเต็มไปด้วยเล่มตำรากับกระดาษ และอุปกรณ์เขียนหนังสือ ชั้นนี้ไม่ค่อยมีกำแพงทึบกั้น แต่ใช้ตำแหน่งไม้โปร่ง มูลี่สีอ่อนไปจนถึงลายพรม กับโต๊ะสูงแบ่งพื้นที่เอา แสงแดดส่องเข้ามาจากทางเดินกับเพดานกระจกด้านบน หล่อนเห็นเสี้ยวห้องชั้นสองบ้างผ่านทางนี้ เหนือขึ้นไปก็มีเพดานกระจกเป็นทรงแปดเหลี่ยมปูเป็นหลังคา
กลิ่นต้นไม้ในสวนผ่านเข้ามาถึงข้างใน หล่อนไม่รู้จักต้นไม้พันธุ์พวกนั้น ใบไม้ของพวกมันชวนให้เข้าใจผิดว่าเป็นกลีบดอกไม้สะพรั่งท่วม ผนังตรงทางเดินซึ่งเป็นกำแพงของห้องชั้นนอกก็แต่งด้วยรูปวาดและรูปถ่ายของต้นไม้ เถาวัลย์ และเมือง
โจเซวาหาความอยากอาหารเจอตอนได้ลองตักน้ำแกงเข้าปาก หล่อนกินมูมมามอยู่ตรงหัวโต๊ะ สองน้องคนสนิทนั่งคะยั้นคะยอ เสนอแนะชื่ออาหารที่มีพร้อมอยู่แล้วในตู้แช่ “พี่ ดูนี่สิ” มาริคอวด จับชิ้นปลามาวางแล่ให้โจเซวาดู รอยตัดด้วยมีดฝีมือเขาติดไฟพรึ่บอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับศัตรูที่ถูกเขาฟันกลางสนามรบ แต่ไฟกลับเพียงเผาเนื้อปลาให้กรอบแล้วดับไป โจเซวาระเบิดหัวเราะจนเกือบสำลัก
“เจ้าเอาไฟมาทำอาหารอย่างนี้เนี่ยนะ”
“ข้าทำอาหารเก่งขึ้นมาก!” มาริคย้ำ ใบหน้าเบิกบานดีอกดีใจ สักพักความเริงร่าก็ผ่อนลง “พออยู่กับที่แล้ว ข้าเรียนรู้เรื่องอาหารไวขึ้นเยอะ มีเตา มีน้ำเป็นเรื่องเป็นราว มีของ มีเงิน”
“ใครสร้างที่นี่ แล้วใครดูแลพวกเจ้า”
“พวกเรารับเงินจากการประเมินทรัพย์สินของพวกเพียโรต์ ส่วนของพี่ในธนาคารกลาง อูว์มาถึงที่นี่หลังจากพี่หายตัวไปได้เกือบสัปดาห์ เขารับเงินไปเก็บไว้ที่นั่นเอง พวกเราสองคนใช้เงินซื้อกับสร้างบ้านหลังนี้แล้วชวนอูว์มาอยู่ด้วย แล้ว...พวกเราก็ดูแลกันเอง”
อูว์คือน้องชายของหล่อน “อูว์มาแล้วหรือ แล้วเขาอยู่ไหน น้าข้าอีกล่ะ”
มือของดารัคตะครุบหลังมือของโจเซวาไว้
“พี่ น้าของพี่ตายไปนานแล้ว โดนทหารของเพียโรต์ฆ่า อูว์บอกว่าส่งจดหมายมาแจ้งข่าวแล้วแต่พี่ไม่เคยตอบกลับไป เขาเลยเดาว่าจดหมายมาไม่ถึง”
“ว่าไงนะ”
ความเปรมชื่นมื่นเริ่มทึบทึมเทา ความอยากอาหารขดตัวแน่น โจเซวามองดารัคที มาริคที ทั้งสองมีสีหน้าสลดแบบเดียวกัน
“อูว์ไปทำงาน เขาได้งานที่หอสมุด” มาริคพยายามดันบทสนทนาไปต่อ
“น้าข้าตายไปตั้งแต่ตอนไหน”
“ห้าปีที่แล้ว”
แรงที่หล่อนเริ่มได้กลับคืนมาบีบขอบโต๊ะ “ข้าได้จดหมายจากอูว์จนถึงสามปีก่อน ไม่มีตรงไหนบอกว่าน้าตายไปแล้ว”
“พวกเรารู้” มาริคยอมรับ “อวา มาร์ซปลอมจดหมาย อย่างน้อยข้ากับดารัคก็คิดเช่นนั้น ไม่มีความเป็นไปได้อื่น”
“เขากลัวว่าพี่จะเสียใจจนพลาดท่าในสนามรบ”
“ชายคนนั้นหรือใครก็ไม่มีสิทธิ์มาตัดสินใจความเศร้าของข้า!”
ทั้งสองเงียบไป โจเซวากัดริมฝีปากควบคุมอารมณ์โกรธ หล่อนมองดารัคกับมาริคให้ชัดเจน ทั้งสองดูสุขภาพแข็งแรงดี ผมของมาริคยาวขึ้นกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย แต่เขาคงคอยตัดให้สั้น ร่างกายยังคงสูงใหญ่แต่ไม่ดูแข็งแกร่งกำยำเท่าในความทรงจำของหล่อน ผิวก็อ่อนลงผิดกับดารัคที่ผิวสีเข้มวาว ไม่ว่าหนึ่งปีมานี้หล่อนทำอะไรก็ยังคงตากแดดเต็มสำราญตามนิสัยชอบใช้เวลากลางแจ้งเช่นเก่า ผมของหล่อนเกล้ารวบไว้ด้านบนหัว พันเป็นทางด้วยผ้าสวยงามที่โจเซวาไม่เคยเห็นดารัคได้มีโอกาสครอบครองมาก่อน
“...อูว์ก็สบายดีเหมือนพวกเจ้าใช่ไหม ข้า -- ไว้ข้าจะคุยเรื่องน้ากับเขาเอง เขาจะกลับมาเมื่อไร”
“บ่ายๆ ก็จะกลับมาแล้ว ข้าเพิ่งส่งข้อความไปบอกเขา เขาบอกจะรีบจัดการงานที่นั่นแล้วตรงกลับบ้านเลย อูว์คิดถึงพี่มาก ข้า -- ข้าคิดว่าเขาร้องไห้ทุกวัน ตลอดทั้งปีมานี้”
“งั้นเหรอ...”
ดารัครินเครื่องดื่มใส่แก้วเคลือบสีไล่จากฟ้าตรงปากแก้วลงมาเป็นสีแดงอมม่วง น้ำข้างในเย็นจัด โจเซวากระดกดื่มให้หมดแล้ววางแก้วลง บังคับจิตใจตนให้ไปยังเรื่องอื่น ป่วยการจะก่นด่าอดีตผู้นำกองทัพที่ตายไปแล้วให้ลูกน้องอีกสองคนที่ไม่ได้รู้เห็นอันใดด้วย กองรบยุบไปหนึ่งปีแล้วสำหรับสองคนตรงหน้าหล่อน
“โทเร็ม...ซาราไซ” โจเซวาทวน “ข้าต้องไปเจอเด็กนั่น เขาอยู่ที่ไหน”
“พี่ เด็กคนนั้นไม่ใช่มนุษย์” ดารัคพูด “พี่หายตัวไปก่อนจะรู้เรื่องซาราไซ”
“เจ้าต้องตอบตามที่ข้าถามเสียที ดารัค เด็กนั่นอยู่ไหน”
“พี่เป็นวีรชนของอลัดไปแล้ว รู้ไหม” มาริคบอก “เพราะข้อตกลงเรื่องไม่ให้ตำแหน่งพิเศษใดๆ ไม่ให้มียศถาบรรดาศักดิ์จากระบบขุนนางเหลืออยู่ พวกเขาเลยตั้งพี่เป็นตัวแทนวีรชน ‘กาลอเพียโรต์’ นั่นชื่อรูปปั้นของพวกเรา นั่นชื่อของเกียรติยศของพวกเราเท่านั้น พวกเราคือกาลอเพียโรต์ มีหน้าของพี่เป็นตัวแทน เพราะพี่เป็นคนนำกองรบต่อจากอวา พี่รวมกองรบที่ถูกแยกไป พี่ -- พี่ควรได้รับการยกย่องแล้วอยู่ตรงนั้นตอนกลุ่มสหชาติตั้งสิบแปดก่อตัวอย่างเป็นทางการ พี่คือหน้าของการสละอำนาจเพื่อความเท่าเทียม ทุกคนรู้...พวกเราทำให้ทุกคนรู้ ว่าต้นคิดไม่ให้ใครก็ตามที่ร่วมรบได้รับตำแหน่งบริหารสหอาณาจักรคือพี่ จุดยืนนั่นทำให้ประชาชนอลัดวางใจในยุคสมัยใหม่มากขึ้น แต่พี่ไม่อยู่ แล้วเหยื่อสังเวย ซึ่งถึงจะเป็นเหยื่อ แต่เขาก็รับใช้เพียโรต์มาเป็นร้อยปี เขาทำให้พี่หายไป”
“มาริค นี่จะพูดอะไรกันแน่น่ะ”
มาริคเริ่มลุกขึ้นยืน ขยับมือไม้ใหญ่โต แค่น้ำเสียงไม่อาจเน้นย้ำได้พอ “ไม่มีใครรู้ว่าเขาพูดจริงไหม ว่าพี่จะกลับมาภายในหนึ่งปี ว่าพี่สบายดี ว่าพี่ -- ว่าเขาไม่ได้ล้างแค้นพวกเราเพื่อพวกเพียโรต์”
“ข้าไม่สน เด็กคนนั้นอยู่ไหน เขารู้เรื่องเอเรส เขา -- เขาอยู่ไหน!”
ดารัคดึงแขนโจเซวา “พี่ต้องจำไว้ก่อนเรื่องหนึ่ง ว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ เขาอาจจะดูเหมือนเด็ก แต่เขาไม่ใช่มนุษย์”
“เขา” ตาหล่อนวาวกร้าวเด็ดขาด “อยู่ที่ไหน”
ตำนาน ความเชื่อนเลือนรางยิ่งกว่าชื่อจริงของทวยเทพทั้งหมด
‘ซาราไซ’ (ภาพสะท้อนอิสระ)
ว่ากันว่าเป็นตัวตนที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่ไม่อาจเป็นอื่นใดได้นอกจากมนุษย์ ข้อมูลเกี่ยวกับซาราไซมีน้อยนิด บันทึกอยู่ในตำราเก่าแก่ไม่กี่เล่ม เก็บอยู่กับคลังความรู้เฉพาะกลุ่มของอารามรายะอิไกยาในเมืองเพียซเพล เมืองที่มีประชากรนับถือรายะอิไกยามากที่สุดในอลัด ดูแลโดยสมาคมนักวิจัยคำอนุญาตของทวยเทพ
คำอนุญาตกับฝันกึ่งตื่นของเทพไหลเวียนอยู่ในทุกอย่าง ทั้งสองสิ่งปะทะกันและอยู่ร่วมกันตลอดเวลา ตรงกลางของความรักที่ดึงสองอย่างนี้เข้าหากันและความเกลียดที่แยกทั้งสองสิ่งออกเป็นคนละอย่างคือซาราไซ แต่ตัวตนของซาราไซมาจากตรงกลางระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า ทำให้ความรักและความเกลียดระหว่างคำอนุญาตกับฝันกึ่งตื่นกอปรบุคลิก ตัวตน อุปนิสัย รวมไปถึงจิตสำนึกและกายเนื้อขึ้นมา และมีลักษณะภายนอกรวมถึงการเรียนรู้คล้ายมนุษย์ ซาราไซทั่วไปเป็นดั่งอากาศ พื้นที่ และเวลา ทว่าซาราไซที่มีตัวตนจะมีชื่อ
โทเร็ม ซาราไซ ตัวตนหนึ่งในลูกของมนุษย์กับทวยเทพ ไม่มีใครรู้ว่ามีซาราไซติดนามเท่าไรทั่วโลก แต่ก่อนมีรายะอิไกยา นักบวชเพียงออกล่าแล้วไล่ทำลายซาราไซซึ่งมีตัวตน ไม่ปล่อยให้ได้เรียนรู้มากพอจะสื่อสารกับมนุษย์ ตัวตนที่ถูกทำลายใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าจะรวมขึ้นใหม่ ในตำราของรายะอิไกยาบันทึกลักษณะของตัวตนเอาไว้ได้หนึ่งร้อยสามชื่อ รวมถึงจำนวนครั้งที่มีคนของศาสนาใดทำลายตัวตนแต่ละรายไปกี่ครั้ง ชื่อของโทเร็ม ซาราไซสะกดด้วยตัวอักษรโบราณ นานเก่ายิ่งกว่าอายุของเพียโรต์อยู่ล่างสุดของหน้าสุดท้าย มีรอยขีดนับเอาไว้ยี่สิบห้าครั้ง จากนั้นรายะอิไกยาค้นพบหนทางใหม่ในการใช้งานซาราไซที่มีนามของตัวเอง
“ศาสนาเคยกลัวซาราไซที่มีชื่อ เล่าลือกันว่าก่อนจะรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งนี้ พวกซาราไซแรกสุดดูดซับ ลอกเลียนฉายาลักษณ์ผสมระหว่างคนกับเทพเจ้า แล้วออกเดินทางไปทั่วโลก ช่วยเหลือบ้าง ลงโทษบ้าง พวกเขากลัวว่าซาราไซคือเจตนาของเทพเจ้า เลยทำลายและขวางไม่ให้มีซาราไซเติบโตอีก แต่รายะอิไกยาค้นพบหนทางอื่นในการอยู่ร่วมกับซาราไซ พวกนั้นตามหาแล้วเอาตัวเขามาเลี้ยงแทน สอนอ่าน สอนเขียน สอนพูด สอนเรื่องราวให้เติบโต แล้วเอาเขาเข้าโลง” ดารัคเล่า “พลังทุกอย่างไหลเวียนผ่านซาราไซ พวกเขาคือดาบ คืออาวุธอย่างที่พวกเราใช้ แต่ไม่ใช่แค่ไฟ เขาคือไม้กายสิทธิ์อเนกประสงค์ที่ทำให้ผู้ถือใช้พลังทุกอย่างได้ แต่บันทึกบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนควบคุมพลังของการมีอยู่ได้สมบุรณ์แบบ พวกรายะอิไกยาจึงสร้างโลงขังและอุปกรณ์สำหรับทรมานเพื่อให้ตัวเด็กนั่นใช้พลังทั้งหมดเอง เมื่อเขาเจ็บและโดนทำร้าย พลังจะถูกแปรเป็นการรักษา การป้องกัน”
“เหยื่อสังเวยทั้งสี่ ตัวหลักคือซาราไซของรายะอิไกยา ตำแหน่งนี้คือวงจร คือตัวควบคุมพลัง พวกมันเชื่อมเหยื่อสังเวยทั้งสี่วิหารเข้าด้วยกัน เหยื่ออีกสามมีหน้าที่คอยเป็นตัวกลางให้ซาราไซปกป้องและรู้ว่าต้องดึงพลังมาจากอะไร เครื่องสังเวยของฮูนกับยูยาถึงได้แค่โดนผนึกเอาไว้เพื่อไม่ให้ร่างกายรับความเจ็บปวดไปด้วย มีแค่จิตวิญญาณที่รับรู้ความทรมานซึ่งซาราไซส่งเข้าไปหาก่อนตัวเด็กนั่นจะเยียวยาและรักษาพวกเขาเองผ่านการเชื่อมโยงเข้าหากัน ฮูนกับยูยาเดิมมีคำอนุญาตสำหรับสังเวยและรักษาเครื่องสังเวยไว้ให้ภักดีต่อเทพเจ้า แต่ไรรายะไม่มี”
“พวกนั้นเลยฆ่าเหยื่อสังเวยแล้วโยนให้เชื่อมโยงกับซาราไรจนกว่าจะโดนสูบทุกอย่างไปจนหมด จากนั้นก็หาเหยื่อมาใหม่”
“แต่เรื่องซาราไซนี่อาจจะไม่จริงก็ได้อย่างนั้นหรือ”
“ทุกคนโดยเฉพาะคนของสหชาติที่ตรวจสอบคลังของศาสนาเชื่อว่าจริงไม่น้อยกว่าที่พวกนักวินิจฉัยของรายะอิไกยาเชื่อกันมา อีกอย่าง...เด็กคนนั้น สื่อกลางของเขาคือเงา มีมนุษย์ที่ไหนใช้เงาได้บ้าง เงาเป็นสื่อกลางของอมนุษย์มาตลอดไม่ใช่หรือไง ตำราของพวกเพียโรต์ก็ว่าไว้”
มาริคกับดารัคกำลังพาโจเซวาผ่านเข้าประตูทางเข้ามโหฬาร ระฆังแขวนห้อยอยู่เหนือประตูเป็นสีขาว ตึกข้างหน้านั้นดูกระเดียดไปทางป้อมปราการเก่าที่ถูกแต่งเติมให้ดูใหม่ด้วยดวงไฟด้านนอก กระนั้นอายุโบร่ำคร่ำครึของมันก็ยังชัดเจนอยู่ในสีของอิฐกับปูนและสนิมตามขอบหน้าต่างแต่ละบาน คนจำนวนมากต่างเครื่องแบบยืนเรียงรายเป็นระเบียบบนทางเดินตรงสู่ประตู โจเซวาหรี่ตาสำรวจดูตั้งแต่ตราสัญลักษณ์ไปถึงสีหน้า พวกเขากำลังทำงาน ทว่าตากลอกมองตามตัวหล่อน สนอกสนใจอย่างยิ่งยวด “พวกนั้นเขามากันแล้วรึ” ดารัคพึมพำ ถามมาริค ไม่ได้ถามหล่อน สองรุ่นน้องเดินพยุงโจเซวาที่ยังแข็งแรงไม่สมบูรณ์เข้าไปข้างใน เพียงมุดเข้าไปในส่วนมืดของภายในอาคาร เสียงตวาดก็ระเบิดมาถึงตัวเธอ
“แค่ปลดโซ่ให้เขามันจะอะไรนักหนา!” เสียงนั้นเดือดดาล กังวานก้องทางเดินซึ่งมีเสาอิฐทรงเหลี่ยมเว้นระยะเท่ากันบนทางเดินทอดยาว สองข้างทางเป็นห้องขังว่างเปล่า
เวียน นิวอนอยู่ตรงสุดทางเดิน ข้างหน้าลูกกรงใหญ่ซึ่งมีกำแพงกระจกทับไว้อีกชั้นหนึ่ง แวบแรกที่ห้องนั้น โจเซวาจำหล่อนได้อย่างไม่มั่นใจ เพราะเคยเห็นอีกฝ่ายเพียงไม่กี่ครั้งในชุดพยาบาล สวมผ้าคาดเก็บผมเรี่ยมเร้ นิวอนในชุดลำลอง ผมเกล้ามวยหลวมปล่อยปอยกระเซิงท่วม ท่าทางหล่อนขยี้ยีผมตัวเองระบายความอัดอั้นมาพักใหญ่แล้วเพราะคนที่หล่อนตวาดใส่เอาแต่ทำหน้าอับจน
“พยาบาล” โจเซวาเรียกออกไป อะไรที่นิวอนจะตวาดเค้นคำตอบจากชายหนุ่มตัวลีบหดค้างไป หล่อนตวัดมองโจเซวา ยกนิ้วชี้ตรงมา
“นั่นไง มองซะสิ! หล่อนกลับมาแล้วนี่ไง! รู้จักหน้าหล่อนใช่ไหม ไม่อย่างนั้นก็วิ่งไปดูรูปปั้นเสียสิ!”
“นิวอน ไม่มีประโยชน์หรอก คณะทูตยังไม่มาใช่ไหม แต่พวกเขากำลังจะมาแล้ว พวกคนติดตามจัดแถวรออยู่ข้างหน้าแล้ว --” มาริคขัดหล่อน โจเซวานิ่วหน้า หล่อนพอเติมในช่องว่างเองได้ว่าหนึ่งปีมานี้ คนสนิททั้งสองปรับชีวิตกลายเป็นพลเรือนธรรมดาไปมาก แต่หล่อนไม่อาจเดาได้ว่าพยาบาลคนนี้มากลายเป็นคนรู้จักของทั้งสองไปด้วยอย่างไรบ้าง
เมื่อมาคิดดู เวียน นิวอนอยู่ในบ้านหลังนั้น พอได้ฟังว่าหล่อนหายตัวไปสำหรับคนอื่น โจเซวาอนุมานว่าพยาบาลถูกส่งมาประจำในบ้านสำหรับเมื่อหล่อนกลับมา แต่ทันทีที่โจเซวาปรากฏตัวอีกครั้ง นิวอนวิ่งหายไปทันที เห็นได้ชัดว่ารีบร้อนมาที่นี่ตั้งแต่ชั่วโมงก่อน
“เอาโซ่ออกให้เขา!” หญิงพยาบาลผู้นั้นเหวี่ยงกำปั้นทุบกำแพงกระจกโปร่งใสข้างๆ โจเซวามองผ่านกระจกกับซี่ลูกกรงเข้าไปในนั้น ห้องขังใหญ่เพดานสูง มีกำแพงอีกด้านเป็นอิฐหินก้อนมหึมาเรียงรายเคลือบด้วยสีเขียวขี้ม้า หล่อนเดาว่าคงเป็นสารเสริมความแข็งแกร่ง แสงไฟริบหรี่ข้างบนจากหน้าลูกกรงกับฝ้าหนาบนกระจกส่องลงบนร่างที่คุกเข่าอยู่กับพื้น หันหน้าเข้าหาผนังทึบ ตัวนิวอนบังไปเกือบหมด กางเกงมอมแมมสีเข้มก็กลืนกับผนังในห้องขังนั้น
แขนของเขาถูกตรึงกางออกด้วยกุญแจมือกับโซหนา มีเส้นเชือกดำกับเทาพันแทรกอยู่แต่ละข้อโซ่ไปจนถึงฐานยึดกับผนังสองด้าน แผ่นหลังผอมบางเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยรอยกรีดถึงเลือดเป็นอักขระที่โจเซวาไม่รู้จัก แต่ลักษณะวงกลมกับลวดลายซับซ้อนบอกว่าตรงกลางเริ่มจากระหว่างสะบักสองข้าง และสลักแผ่ผ่านจากหัวไหล่ไปถึงต้นแขน ขึ้นยาวจากหลังถึงท้ายทอย กับไล่ลงต่ำไปจนถึงบั้นเอว หลังศีรษะนั้นปกคลุมด้วยผมขาวแซมดำ
“นั่น...เด็กคนนั้นงั้นเหรอ”
“ตรานั่นเป็นการย้อนกลับจากตราที่พวกรายะอิไกยาใช้กับโลง จากส่งและเชื่อมโยงพลังกลายเป็นกักพลังใดๆ ก็ตามที่เขาใช้ได้ให้อยู่แต่ข้างใน ซาราไซถ้าไม่โดนควักหัวใจแล้วทำลายร่างกายที่มี ณ ขณะนั้นให้เป็นผุยผง บาดแผลจะเล็กจะใหญ่จะหายไปในวันที่เจ็ด พวกผู้คุมเลยต้องกรีดอักขระใหม่ทุกเจ็ดวัน”
แขนสองข้างที่ถูกขึงกางออกกระตุก โจเซวาผละตัวออกไปยืนใกล้พอจะวางมือลงบนผิวกระจกเย็นเฉียบ
ปากรอยกรีดอักขระบนผิวซีดเซียวไร้สีเลือดนั่นขรุขระ และมีเยื่อเลือดขยับระริกเบาๆ ดั่งเสียงฮัมของเครื่องจักรที่เงียบที่สุด แต่พวกมันยังขยับ และทุกการเคลื่อนไหว ลาดไหล่นั่นเกร็ง
“เขาเจ็บ...”
“แน่นอนสิว่าเขาเจ็บ! ต่อให้เรื่องซาราไซจริงทั้งหมด เขาก็ยังมีเลือดมีเนื้อนะ!” นิวอนแผดเสียง “ตรงนี้มีใครสักคนอ่านตำราน่ารังเกียจของรายะอิไกยาบ้างไหม ซาราไซกอปรร่างสร้างมาจากสรรพสิ่งในโลกเหมือนอย่างที่เด็กทารกดูดสารอาหารจากมารดา แล้วพวกท่านเจ็บกันไหมเวลาโดนมีดบาด นานขนาดไหนเวลาพวกท่านได้รับบาดแผลแล้วกว่ามันจะหายปวด แล้วนึกถึงร่างกายที่มีการทำงานตายตัว ว่าอย่างไรต้องรักษาฟื้นสภาพบาดแผลภายในเวลาเท่าเดิมตลอด มันจะหนักหนา ความเจ็บปวดจะชัดเจนขนาดไหนสำหรับเขา ไม่รวมว่าเขาอาจจะเป็นเพียงเด็กธรรมดาที่โดนนักบวชเล่นตลกกับร่างกายเขาให้กลายเป็นแบบนี้ก็ได้ ปล่อยเขาเสียที!”
“นั่นมันการทรมานไม่ใช่รึ”
“ขอบคุณ! อัศวิน ขอบคุณ!” นิวอนแดกดัน หันกลับไปหาผู้คุม “แล้วพวกเจ้าจะทรมานเด็กไม่มีความผิดไปอีกนานสักเท่าไร หล่อนกลับมาตามสัญญาแล้ว ไหนสัญญาต่อเขาว่าจะปล่อยเขาเป็นอิสระ!”
น้ำเสียงของหล่อนบอกโจเซวาว่าตลอดหนึ่งปีมานี้ หล่อนเป็นเพียงผู้เดียวที่พูดทั้งหมดนี่ เวียน นิวอนยืนตัวสั่น แววตาดุร้ายคาดโทษทุกคนรวมถึงดารัค มาริค และตัวโจเซวาเอง “แล้วมันเลยเถิดแบบนี้ได้ยังไง ต่อให้ไม่ใช่มนุษย์แล้วไง นอกจากสภาพเขาดูเหมือนเด็กไม่พอ พวกเราเคยสนด้วยรึว่าถ้ามีความเจ็บปวดอยู่ นั่นจะเป็นคนหรือเป็นตัวอะไร เราสาปเพียโรต์เพราะพวกมันไม่แยแสไม่ใช่รึไง”
“เขาทำให้พี่หายไป!” มาริคโต้ น้ำเสียงร้อนด้วยความโกรธ “เขาหายไปจากห้องพักฟื้น พวกเราตามหาให้ควั่ก พยายามติดต่อพี่ แล้วเด็กนั่นก็เดินกลับเข้ามา บอกว่าส่งพี่เข้าไปในเงา พี่หายตัวไป ไม่มีใครหาตัวพี่เจอ สำหรับทุกคน เด็กนั่นเหมือนฆ่าพี่ไปแล้ว ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเขาพูดจริง”
“แล้วตอนนี้พิสูจน์ได้หรือยัง ทำไมต้องรอตัวแทนสหชาติอีก คำสัญญาคือปล่อยเขาเมื่อโจเซวา กลินน์กลับมาตามเขารับปาก”
“ปล่อยเขาออกมา ไม่ได้ยินที่พยาบาลนิวอนพูดรึไง” โจเซวาหันไปหาผู้คุม
“แต่มีคำสั่งให้รอตัวแทน -- และข้ามีแค่กุญแจสำหรับที่ข้อมือของเขา กุญแจเปิดห้องขังอยู่กับผู้คุมที่รับผิดชอบอาหาร --”
“สั่งใคร”
โจเซวากางมือทาบ สัมผัสถึงผิวกระจกให้ชัดเจน หล่อนกดนิ้วแนบเข้าไปจนรู้สึกถึงส่วนที่พื้นผิวไม่เรียบอยู่จางๆ
แล้วคำราม
แขนอีกข้างคว้าตัวเวียน นิวอน ดึงหล่อนเข้ามาอยู่ข้างหน้าตนตอนที่กำแพงกระจกแตกทลายลงมา ผู้คุมกับพวกดารัครีบถอยหลบเศษกระจก โจเซวาปล่อยหญิงนางพยาบาลแล้วเอาสองมือจับลูกกรง คลำถึงร่องรอยสลักบางเบาที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จากนั้น ครั้งนี้หล่อนกรีดเสียงร้องแหลมแล้วออกแรงกระชาก หักซี่ลูกกรงออกมาเพื่อลอดตัวปีนเข้าไปข้างใน รองเท้ารัดส้นพันด้วยเชือกรอบข้อเท้าของหล่อนกระทืบลงไปบนเศษกระจก โจเซวาเหลียวกลับไปมองผู้คุมคนนั้น แบมือขอกุญแจที่เขาพูดเองกับปากว่ามี
ผู้คุมหน้าซีดตัวสั่น โจเซวาหรี่ตาเขม่น เขารีบโยนกุญแจดอกใหญ่ใส่ฝ่ามือที่รออยู่ หญิงผมกระเซิงมองซ้ายแลขวาจนเห็นแท่นบันไดเหล็ก หล่อนเอาเท้าเกี่ยวมาถึงตำแหน่งข้างใต้ข้อมือทางซ้ายของเด็กหนุ่ม โจเซวาปีนขึ้นไปไข ปลดตรวนเหล็กออกจากข้อมือแล้วเอาแขนเกี่ยวร่างเขาไว้ไม่ให้เหวี่ยงร่วงลงพื้น
เวียน นิวอนลอดช่องกรงที่หักตามเข้ามา ฉวยลูกกุญแจกับแท่นบันไดไปเมื่อโจเซวากระโดดลงมาโดยยังประคองร่างโชกเลือดอาบหลังนั้นไว้ หล่อนไต่บันไดขึ้นไขตรวนอีกข้างทิ้ง ปลดผ้าพันรุ่มร่ามตรงเอวลงห่มหลัง
เปลือกตาซึ่งปิดสนิทในตอนแรกขยับ ปรือลืมขึ้น ใบหน้าที่หล่อนเห็นก่อนจมลงไปในเงาพลิกขึ้น ดวงตาสำรวจมองโจเซวา
“ท่าน...หานางเจอแล้วหรือ”
“ข้าไม่รู้ ถึงได้ต้องการให้เจ้าอธิบาย”
แววตาเขาเหม่อลอยพ้นกำแพงห้องขังไป
“เอเรส...ไอน์”
โจเซวาห้ามตัวเองมิให้เขย่าร่างของเด็กหนุ่มหรือจิกกรีดนิ้วเข้าไปในแผลเมื่อเขาหลับตาลง หล่อนอดกลั้นทุกอย่างเอาไว้ให้นิ่งงัน ยกเว้นเสียงขุ่นเคืองอึดอัดที่เอ่ยถาม “เจ้าต้องการอะไรจากพวกข้า”
มีคนมากึ่งพยุงกึ่งแย่งตัวเขาไปขณะที่โทเร็มปรือตาขึ้นมาเพียงเล็กน้อย
“…ให้อภัยทุกอย่างแก่ข้าที”