4 ตอน ไม่ใช่เดินเล่นในสวน
โดย pynox
(ความรู้สึกหงุดหงิด)
เขาผลักประตูทางเข้าดาดฟ้าเปิด “ที่นี่ห้ามสูบบุหรี่”
บรรดาสมาชิกร่วมโรงรวมเหตุพากันหันมามอง เห็นว่าเป็นเขาก็ส่งเสียงบ่นระงม คนหนึ่งแกล้งขู่ทำท่าจะเอาบุหรี่จากระหว่างฟันจี้ดับกับหน้า แล้วค่อยเลยไปเอาบุหรี่ขยี้ใส่กำแพงข้างหัวคาฟยาแทน เขายืนนิ่งแทบไม่กะพริบตา มองคนกลุ่มใหญ่ที่แอบมาสูบบุหรี่ทยอยกันเดินออก ขยับเท้าหลบน้ำลายถ่มรดลงพื้น
“เมื่อไรบ้านมันจะซ่อมเสร็จเนี่ย เคเรอดวินสิงโรงแล้วทำให้ฉันประสาทเสีย”
“เห็นว่าใช้เวลาซ่อมสองอาทิตย์แน่ะ”
“สองอาทิตย์เชียว ซ่อมกันเนี้ยบน่าดูนะ สงสัยตามเก็บของใช้ทั้งหมดให้เลยมั้ง อย่างเจ๋ง หอพักฉันถูกก็จริง แต่เพราะงั้นเลยไม่มีช่องลงทะเบียนเครื่องเรือนของใช้อะไรให้เลย ต้องซื้อเอง จนป่านนี้ฉันยังไม่ได้ซื้อสักช่อง ถ้าโดนปิศาจอักษรถล่มขึ้นมาก็ได้คืนแค่ห้องแหละ ของใช้คงพังหมด”
“นี่ต้องเห็นมันแม้แต่ตอนไม่ได้อยู่กะเดียวกับมันไปสองอาทิตย์เลยเรอะ” เสียงแรกพยายามดึงทุกคนบนทางเดินลงกลับมาสนใจโทสะของตน
“เอาน่า พวกเราผิดเองนะที่แอบสูบบุหรี่บนดาดฟ้ากัน ก็รู้อยู่แล้วนี่”
“แต่ท่าทีของมันน่าโมโหนี่หว่า ฉันไม่มีทางกระทืบมันหรอกนะ แต่ก็ชักเข้าใจไอ้สามคนนั้นที่ห้ามตัวเองไม่อยู่วะ เห็นหน้ามันแล้วหงุดหงิด พูดจาดีๆ หน่อยไม่ได้รึไง”
“เหออ ถ้าเคเรอดวินเดินมาอ้อมแอ้ม ทุกคน ที่นี่ห้ามสูบบุหรี่นะ อย่าทำแบบนี้เลย งื้อ ฉันสิจะขวัญผวา”
“นี่แกกวนตีนกันอยู่ใช่ไหม’
เสียงหัวเราะครืกครื้นดังไปถึงด้านหลังประตูเหล็กชิ้นหนาที่ปิดไม่สนิท บนดาดฟ้า ลมพัดกลิ่นบุหรี่ไป เขาปีนขึ้นนั่งบนราวกั้น ดูมหานครดำเนินไปพลางหวังให้บ้านของตนซ่อมเสร็จโดยไว แม้จะได้รับแจ้งเป็นทางการว่ากลับเข้าพักอาศัยได้ในอีกสองสัปดาห์ ชายหนุ่มก็จินตนาการถึงปาฏิหิรย์สักอย่างที่ทำให้การซ่อมแซมเสร็จเร็วขึ้นสักวันจนถึงสักสัปดาห์
“ฉันก็ชวนให้ไปพักกับฉันแล้วแท้ๆ นะ”
กัปตันแอลกอรีกระโดดลงมายืนข้างหลัง คาฟยาแหงนคอมองเหนือหัว มีไม้กวาดลอยเท้งเต้ง
“ไปซิ่งมาเหรอ”
“ก็อาณาเขตโรงรวมเหตุเป็นที่ห้ามสูบบุหรี่นี่นา ในอาคารกับรัศมีพื้นดินน่ะนะ ไม่มีใครพูดถึงสูงกว่าดาดฟ้าสักหน่อย เหมาะกับคนขี้เกียจเดินถ่อข้ามถนนไปยืนสูบบุหรี่หน้าร้านสะดวกซื้อเลย”
“ถ้าจะลงทุนแต่ก็ขี้เกียจขนาดนั้น เลิกบุหรี่ไม่ง่ายกว่าเหรอ”
“สาระแนนักนะ ไอ้เด็กนี่”
กัปตันกวักมือ ไม้กวาดด้ามนั้นพุ่งมาหาแล้วบีบตัวคืนสภาพที่คั่นหนังสือทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ลวดลายฉวัดเฉวียนเหมือนลายเส้นปาดพู่กันไปมา เพ่งมองสักครู่จะเห็นรูปร่างไม้กวาดบนนั้น เธอหยิบสมุดเล่มเล็กเท่าฝ่ามือหนาเท่าก้อนอิฐออกมาจากเสื้อคลุมตัวนอก เสียบที่คั่นหนังสือชิ้นนั้นเข้าไปแล้วเอาเก็บคืนตามเดิม
“ถ้าพักที่นี่ทำให้อึดอัด ไปพักบ้านฉันก็ได้นี่”
“ไม่ละ”
“ทำไม”
“บ้านคุณมีแต่คนสูบบุหรี่จัด”
“ที่นี่ก็มี”
“ที่นี่เราไล่คนสูบไปสูบที่อื่นได้”
“บ้าอำนาจ”
“สิงห์รมควัน”
“อมควันย่ะ”
“น้าแอล” คาฟยาเรียกออกไปพร้อมหันมองเธอที่มายืนพิงระเบียงอยู่ข้างตน “ไม่ต้องให้ไปค้างหรอก แต่ให้ลงภาคสนามเดี่ยวแทนได้ไหม”
“เป็นคำขอคนละระดับเลยย่ะ แทนกันได้ที่ไหน” หล่อนลากมือแตะปากตัวเอง ประหนึ่งว่ามีบุหรี่อยู่ระหว่างนิ้วกลางกับนิ้วชี้ “ไม่ได้หรอก คิดว่าทำไมลิปิกรผู้ตรวจตราถึงจำเป็นแต่แรกล่ะ เข้ากับพวกซากา ซางาไม่ได้ขนาดนั้นเชียว เดิมพวกคุณควรจะอยู่ทีมเดียวกันแต่แรกมาตลอดตั้งแต่ก่อนแกกับซากาได้บรรจุเป็นลิปิกรอีก เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไร แค่พอได้ปฏิบัติงานจริง คิดว่าถนัดทำคนเดียวมากกว่า”
“อย่าเพ้อเจ้อน่ะ มีสาเหตุอื่นสิท่า บอกมาก่อนแล้วจะพิจารณาดู”
“...บอกไม่ได้”
“คาฟยา”
“บอกไม่ได้”
ดวงตาของเขาเป็นสีเขียวอมเหลือง สมัยเขายังเด็ก เธอคิดว่าเมื่อตาเขาสะท้อนภาพใคร ถ้าใกล้พอ จะค้นพบภาพเสมือนของตนยืนอยู่กลางป่าในแดดยามสายที่ซ่อนอำพันเอาไว้มองกลับมา เป็นภาพจินตนาการอันงดงามอย่างในนิทาน ตอนนี้เขาโตแล้ว เหลือเพียงดวงตาสีเขียวอมเหลืองที่ไม่ซื่อสัตย์
ลูกชายของคนรู้จัก เดิมเธอกับผู้ปกครองของเขาควรจะสนิทกัน ทว่าความเห็นต่อหลายสิ่งต่างขั้วจนทนมองหน้ากันไม่ได้มาหลายสิบปี
“งั้นฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้”
ทั้งสองเลิกคุยต่อเพราะได้ยินเสียงโหวกเหวกกระโชกโฮกฮากดังมาจากชั้นล่าง คาฟยายังนั่งอยู่กับที่ ทว่ากัปตันแบบแอลกอรีต้องรุดไปดูสถานการณ์ความเป็นไปภายในโรงรวมเหตุของตัวเอง เสียงดังมาจากข้างในโรงอาหารบนชั้นสอง เมื่อเห็นสภาพข้างในมีการยืนประจันหน้าแบ่งสามกลุ่ม คือสองกลุ่มประจันหน้ากัน กับผู้ชม กัปตันก็นึกอยากเดินกลับห้องทำงานแทน ทุกคนกำลังโต้กันเผ็ดร้อน พวกผู้ชมก็กำลังทำหน้าที่อีลูกช่างยุ ไม่มีใครทันเห็นคนเดินเข้ามาใหม่อยู่นอกวง
“...คิดว่าถ้าร้านทำแบบนั้นกับนักดับเพลิง ร้านจะรอดรึไง!?”
“นั่นคือประเด็นนะ ไอ้คุณงั่ง พวกเราใช่นักดับเพลิงที่ไหนเล่า” ซางา ไรทิม คนรูปร่างเล็กที่ทำให้ตัวเองดูใหญ่ขึ้นด้วยรองเท้าบู๊ตส้นหนา ทรงผมไถข้าง แต่งเรียวตาน่าเกรงขาม กับสารพัดต่างหูข้างเดียว “แล้วร้านกาแฟเต็มเมือง ฉันแค่เตือนพวกแกว่าถ้าไม่อยากโดนสาดน้ำไล่ อย่าไปร้านนั้นทั้งเครื่องแบบ มันจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรนักหนา”
“แล้วศักดิ์ศรีของพวกเราล่ะ!!!”
“อย่าถามเหมือนฉันทำของตัวเองหายไปกับของแกกับอีแค่เพราะเรื่องแค่นี้ได้มะ”
พวกข้างหลังซางาส่งเสียงเห็นด้วยพร้อมโยนถ้อยคำบ่นว่าน่ารำคาญ
รูโน่ เทลลิ่ง ลิปิกรผู้ตรวจตราอีกรา ฟาดมือกับโต๊ะที่คั่นกลางเขากับซางา “นี่มันหยามกันชัดๆ แล้วพวกแกสามคนก็ผงกหัวรับทราบ เดินออกมากันอย่างว่าง่ายเนี่ยนะ”
“แล้วจะให้พวกฉันทำอะไร พังร้านเขารึไง อุบาทว์น่า เทลลิ่ง”
“เถียงให้ได้สักครึ่งที่แกกำลังทำอยู่นี่เป็นไง”
“เพื่อ?”
“แล้วแกจะทำตัวว่าง่ายให้เขาคิดว่าทำแบบนี้กับลิปิกรได้ มันช่วยอะไรใคร ห้ะ ขายขี้หน้าชะมัด ป่านนี้คนเล่าไปทั่วเน็ตแล้วมั้งว่าพวกเรามันอาชีพกระจอกขนาดไหน พอเลย พรุ่งนี้ฉันจะไปร้านนั้นเอง ดูซิถ้าทำตัวไม่แหยมันจะกล้าไล่พวกฉันออกมาไหม ใครจะไปกับฉันบ้าง”
พวกที่ยืนข้างหลังเทลลิ่งโห่ร้องเชียร์ ขอร่วมด้วยกันอย่างคึกคะนอง
พริบตาต่อมา กับเสียงขาโต๊ะเสียดสีพื้น โต๊ะตัวยาวของโรงอาหารกระแทกขอบใส่ขาเทลลิ่ง ซางาเป็นคนถีบ “หยุดเลย นั่นน่ะขายขี้หน้าของแท้ แกจะไปหาเรื่องร้านเพราะแค่นี้ ลิปิกรจะได้โดนลดเหลือกุ๊ยน่ะสิ แกอยากโดนเหมาเป็นขยะแบบเดียวกับตำรวจรึไง ไอ้เต่าถุย”
“ซางา แก๊!”
“ก็เข้ามาสิวะ ไอ้มหาจำเริญ!”
กัปตันแอลกอรีกำลังถามตัวเองว่าเย็นนี้กินอะไรดีหนอ
“อ้าว จะไปไหนน่ะ” เดฟบลากันคนพี่ทักจากตรงโซฟาในห้องชุด ดูน้องสาวผู้อาบน้ำแล้วในที่สุดกลับแต่งกายเตรียมออกไปข้างนอกอย่างชัดเจน ทั้งยังเดินไปถึงประตูแล้ว
“หาขนมกิน ขี้เกียจพกคีย์การ์ดไป รอเปิดประตูให้ด้วยนะ” แคนอนไหว้วานพร้อมเปิดประตูออกไปไม่รอคำขานรับ มิวายได้ยินเสียงแว่วไล่หลังมาว่าฝากซื้อมื้อดึกติดมาด้วยที (“บ๊ะ แบบนี้ก็ต้องแวะร้านจริงทีหลังน่ะสิ” นึกโอดเงียบๆ)
เธอกดเรียกลิฟต์แล้วขึ้นไปชั้นบนสุดของโรงแรม สวนลอยฟ้าเปิดให้แขกเดินเข้าออกได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ยกเว้นกรณีมีใครจองพื้นที่เพื่อจัดงานปิดเฉพาะกลุ่ม คืนนี้ทั้งสวนเงียบสงบ ไฟติดเรืองรอยสวยงามเลียนแบบแสงหิ่งห้อย แคนอนรวบผมยาวไว้ข้างหลัง คุกเข่าลงกับพื้นพร้อมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดดูรูปภาพในแฟ้ม ท่ามกลางรูปหลายร้อย มีรูปที่เลื่อนดูจนนิ้วพอจำได้ว่าต้องขยับประมาณไหนถึงจะเจอ
บนจอโทรศัพท์แสดงรูปลายลักษณ์ลำนำเรียงตัวเป็นรูปทรงแปดเหลี่ยม แคนอนล้วงเอาแท่งสีเทียนห่อด้วยกระดาษออกมาขีดเขียนลอกลายตามลงไปบนพื้นสวน เธอปัดแก้เขียนใหม่อยู่หลายจุดกว่าจะได้รูปทรงแปดเหลี่ยมสมบูรณ์แบบ แต่ก็นึกชื่นชมตัวเองว่าใช้เวลาน้อยกว่าครั้งแรกๆ เยอะ ครั้งแรกที่ใช้แปดเหลี่ยมนี่ กว่าจะเขียนเสร็จ กินเวลาตั้งชั่วโมงครึ่ง ครึ่งชั่วโมงแรงเธอคิดจะตัดใจเสียด้วยซ้ำ นึกร่ำๆ อยากปาแท่งสีเทียนทิ้ง รึเขียนลงพื้นแทนว่า ‘ไม่เอาแล้วย่ะ’ ตอนนี้ใช้เวลานั่งเขียนยี่สิบนาที
แสงวิ่งตัดผ่านไปมาในแปดเหลี่ยม เป็นกลไกบอกว่าเขียนได้สมบูรณ์ดีแล้ว แคนอนรีบลุกขึ้นไปยืนตรงกลาง ตัวอักขระบนพื้นวิ่งขึ้นมาประทับบนเสื้อผ้า แต่ละเหลี่ยมแทนหนึ่งคุณสมบัติ เพิ่มความเร็ว เหยียบอากาศ เสริมความทนทาน ประสาทรับรู้ฉับไว เพิ่มความคล่องตัว เปลี่ยนความยืดหยุ่น อำพราง และ ‘อนุญาตให้ผ่าน’ ครั้งแรกที่ลองยังกลัวจะโดนหลอก เธอเลยไปทำบนพื้นราบ พอนานเข้าชักได้ใจ ยิ่งได้เห็นครั้งหนึ่งว่าคนอื่นทำเช่นไรก็นึกอยากลอกเลียนแบบ
(“ถ้ากล้ากว่านี้คงเลียนแบบสไปเดอร์แมนไปแล้วด้วยซ้ำ” นึกถึงฉากตัวละครไอ้แมงมุมทิ้งตัวลงจากยอดตึกอย่างไร้กังวลดั่งแรงโน้มถ่วงเป็นเพียงมนุษย์ป้าข้างบ้าน)
แคนอนยกเท้าขึ้นเหยียบขอบฐานพุ่มไม้ยาวที่ประดับรอบนอกสวน สายตาเล็งไปยังตึกสูงหลายสิบชั้นข้างหน้า หัวใจเต้นระรัว เพราะไม่เคยเริ่มจากความสูงระดับนี้มาก่อน หญิงสาวสูดลมหายใจ กำมือสองข้างแน่นให้หยุดสั่น แล้วถีบตัวพุ่งออกไป
พริบตาต่อมา ภาพตัวเธอทั้งตัวสะท้อนอยู่บนกระจกหน้าต่างตึก ทิ้งสวนลอยฟ้าของโรงแรมไว้ข้างหลัง เท้ารีบก้าวไปเหยียบบนพื้นผิวราบเรียบ วิ่งพาตัวเองขึ้นไปให้พ้นจากการท้าทายแรงโน้มถ่วง แล้วก็ทำซ้ำเช่นนั้นจากตึกหนึ่งสู่ตึกหนึ่ง ยอดเสาสู่ยอดเสา ลมปะทะทั้งร่างแล้วเลยสวนผ่านกันและกันไป เร็วจนไม่มีชมทิวทัศน์ ได้แต่ปล่อยความรู้สึกเหนือจริงกำซาบทั่วร่างขณะวิ่งทั่วมหานคร อากาศกลายเป็นพื้น ความต่างของสิ่งก่อสร้างใหญ่โตทั้งหลายกลายเป็นขั้นบันได เธอวิ่ง กระโดด พุ่งตัว ไต่ กระโดด ไม่มีใครสังเกตเห็น --
“ขอขัดจังหวะนะ”
(“เอ๊ะ”)
ชั่วขณะที่ความเร็วถูกขัดพลอยเหมือนโลกทั้งใบหยุดนิ่งชะงัก ไม่ทันหันหน้าไปแต่กลับรับรู้ได้
ใครคนหนึ่งซัดเธอตอนกำลังกระโดดตึกตรงสี่แยก
แคนอนไถลกลิ้ง ทั้งเนื้อทั้งตัวม้วนขูดถนนไปจนชนเข้ากับป้ายรอรถประจำทาง ลำนำเสริมความทนทานทำงานเป็นอย่างดี แต่ก็ทำได้แค่ช่วยไม่ให้กระดูกทั้งตัวแหลก หรือเครื่องในบอบช้ำ ความรู้สึกโดนกระแทกจุกยังเกิดกับเธออยู่ดี หญิงสาวตะแคงตัว เจ็บและจุกจึงสำลัก ทว่าพอไอโขลกเช่นนี้ก็ยิ่งจุก เธอกลิ้งตัวลงจากป้ายโฆษณาของจุดรอรถประจำทางที่ตนนอนทับอยู่ มือตะกายหาสิ่งค้ำพยุงตัวขึ้นนั่ง
หนังยางมัดผมหลุดไปไหนแล้วไม่รู้ แคนอนปัดผมเปรอะยุ่งออกไปให้พ้นหน้า แสงรอบตัวเป็นสีน้ำเงินปกคลุมวงกว้าง
เขามาหยุดตรงหน้าเธอ หนังสือเล่มหนาเทอะทะเต็มไปด้วยปลายที่คั่นโผล่ออกมา
“…อีกแล้วเหรอ” แคนอนครวญใส่เพื่อนบ้านจากชุมชนห้างสรรพสินค้า คราวนี้เขาไม่ได้สวมเครื่องแบบลิปิกร ไหล่สะพายสายคล้องหนังสือ ข้างเอวห้อยปืนในซองหนังสีดำ ในมือถือไม้พลองเหล็กยืดเก็บได้ โค้ทยาวถึงระดับเข่า “คราวนี้ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ทำร้ายพลเมืองแบบนี้จะดีเหรอ ไอ้ผู้บันทึก”
“กำลังจะไปใช่ไหม ถ้าแบบนั้นคงตามตัวยาก ขอคุยด้วยก่อน”
“กระโดดถีบมาเต็มเท้าเนี่ยนะ ขอคุย แล้วคิดว่าฉันกำลังจะไปไหน หา”
รอบตัวทั้งสองไม่มีใครอยู่ หรือก็คือไม่มีคนเดินถนนรึรถราวิ่งให้เห็น แคนอนได้ยินเสียงคล้ายแก้วร้าวแตกดังไม่หยุด
“สันนิบาตนักประพันธ์พึงทุบ”
เธอคงสีหน้าไว้
“สมาชิกกลุ่มอื่นไม่เสียเวลาวิ่งพล่านทั่วเมืองทิ้งร่องรอยหลอกขนาดนี้หรอก เพราะไม่มีที่อื่นไหนมีลำนำแบบที่คุณใช้อยู่แจกกันหรอก”
แสงสีเทาที่ปกคลุมพวกเธอแตกกระจาย สีสันกับเสียงจอแจบนทางเท้าในเมืองกลับคืนมา ผู้คนเดินกันหนาตา ป้ายรอรถประจำทางตั้งดีไม่มีรอยเสียหายมากไปกว่ารอยถูกเหรียญขูดหรือสีสเปรย์พ่นคำหยาบคาย กระดาษลายแบบรอยพับโอริกามิร่อนกลับเข้ามาอยู่ในมือลิปิกรตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นอะไร แคนอนถือว่านี่เป็นสัญญาณให้หนี
ลำนำแปดเหลี่ยมที่ใช้มีผลหกหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นจะใช้การไม่ได้อย่างต่ำยี่สิบสี่ชั่วโมง ตอนพุ่งตัวหนีออกมา นึกหวั่นถึงปืนกระบอกโตใต้เสื้อโค้ท (“คงไม่ยิงกันกลางเมืองหรอกมั้ง ไม่ใช่ตำรวจสักหน่อย”) เธอปลอบใจตัวเอง จากนั้นก็แทบหลุดกรี๊ดทะลุคอพอเห็นอีกฝ่ายตามมาแทบจะพุ่งตัวแหวกอากาศอยู่ข้างกัน
เขาเตะเธอตัวพุ่งทะลุกิ่งไม้ ไถพื้นสวนสาธารณะแถวนั้น “กรี๊ดดดด --” หนนี้ไม่แรงเกินจะหวีดร้อง หรืออาจเริ่มชินแล้วกระมัง แคนอนพยายามประคองตัวเองแม้จะยังกลิ้งไม่หยุดไปถึงเหนือผิวน้ำ เท้าเตะผิวน้ำพยายามหยุดตัวเอง พอหยุดก็เกือบจมลง ดีว่าถีบตัวเองขึ้นไปบนริมทะเลสาบทัน
“เตะอยู่นั่นแหละ ไอ้เวรนี่!” จากกลัวกลายเป็นเดือด จากคิดหนี หนนี้เธอพุ่งเข้าใส่เขาบ้าง ความแค้นปากพล่อยๆ ของมันจากวันก่อนเองยังไม่ได้สะสางด้วยซ้ำ --
เจอปากกระบอกปืนจ่อหน้า แคนอนกระทืบเท้าหยุดตัวเองแทบไม่ทัน สองมือยกขึ้นระดับศีรษะ “เคยเห็นแพนด้าแดงทำงี้ปะ น่ารักเนอะ เห็นแล้วใจสงบอย่างเอานิ้วออกห่างจากโกร่งไก”
“อีกความเป็นไปได้ของการที่ปิศาจอักษรไร้ลักษณะพิเศษจะตัวใหญ่ขนาดนั้น”
“หา...”
เธอมองเขาล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ท หยิบลูกบาศก์สีดำออกมาวางบนฝ่ามือ มันกลิ้งไปมาไม่หยุด
“อะไรน่ะ --”
“ปิศาจอักษรของคุณ ปฏิกิริยาแบบนี้แสดงว่ายังมีงานที่มันเป็นส่วนหนึ่งอยู่ข้างนอก”
“แต่พวกแกเอาคอมพิวเตอร์ฉันไปทั้งเครื่องแล้วนี่ ข้อมูล ต้นฉบับก็อยู่ในนั้น ไฟล์ในเว็บฝากก็โดนลบหมดแล้ว!” แคนอนลดมือลง โทสะก่อตัวเต็มข้างในหัว
“กำลังจะเอาอะไรไปให้สันนิบาตของคุณดูเหรอ”
มือเกร็งเกือบจับสิ่งที่หนีบไว้กับขอบกางเกงด้านหลัง ดีว่าหยุดตัวเองทัน ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าหลุดไปเยอะโข
“ไม่ยิงหรอก”
“ก็เอาปืนลงสิยะ!”
“ไม่ละ”
(“ไอ้ตัวตอแหล”) อยากด่าไปให้ก้องฟ้า แต่ก็ระแวงว่ามันจะยิงสวนมาหรือไม่ จึงได้แต่สบถให้กังวานในใจ แคนอนกัดฟันกรอด หัวใจเต้นระรัวยิ่งกว่าตอนก่อนกระโดดข้ามตึกสูงเสียดฟ้า
“อีกความเป็นไปได้ของการที่ปิศาจอักษรไร้ลักษณะพิเศษจะตัวใหญ่ขนาดนั้น” เขาพูดซ้ำ “คือมีการทิ้งค้างไว้ต่อเนื่องเป็นปีๆ”
“เกี่ยวอะไรกับกรณีนี้เล่า ฉันเป็นนักเขียนขึ้นทะเบียนนะ ถ้ามีงานไหนค้างแตะเก้าสิบวัน เที่ยงคืนปุ๊บ พวกแกก็มากวาดคอมพิวเตอร์ฉันไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เข้าใจพูดนะ รู้แก่ใจนี่ ว่ารอบตัวคุณไม่ได้มีแต่นักเขียนขึ้นทะเบียนกันหมด”
“อะไร จะหาว่าฉันเขียนงานกับป้าของพี่เขยเหรอ เหอะ ป้านอฟเอลน่ะ จนป่านนี้ยังไม่อยากมองแป้นพิมพ์เลย ทั้งที่เขาไม่ได้อยากเป็นนักเขียนนอกภาคีด้วยซ้ำ แต่พวกแกไม่ให้เขาสอบผ่า --”
“ผู้ใหญ่น่ะ ถ้าไม่ทำอะไรผิดพลาดจากระเบียบ ยังไงพอเกินเก้าสิบวัน อย่างดีได้สักร้อยวัน ปิศาจอักษรก็ปรากฏแล้ว” เขาลดปืนลง ยื่นลูกบาศก์ดำเข้ามาใกล้เธอยิ่งขึ้น “ทิ้งงานไว้ได้เป็นปีๆ โดยไม่เกิดอะไรขึ้น คนกลุ่มเดียวที่ทำแบบนั้นได้ คือเด็กต่างหาก”
ชายหนุ่มก้าวมายืนข้างหลัง แคนอนเบี่ยงตัวหลบ ทว่ากระดาษที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อนอกถูกดึงไปด้วยหมดแล้ว
ปึกกระดาษนับสิบแผ่นพับครึ่ง เย็บตรงกลางด้วยลูกแม็กตรงช่วงบนกับล่าง ลายมือตัวโตเขียนข้างบน ข้างล่างเป็นภาพ “มีหลานสองคนใช่ไหม คนโตแปดขวบ คนเล็กห้าขวบ คุยกับหลานเรื่องนิยายบ่อยหรือเปล่า เล่าให้ฟังขนาดไหน หลานชอบไหม ถึงขั้นเอาไปแต่งเองหรือใช้ตัวละครร่วมกันหรือเปล่า”
“แล้วไง!” แคนอนแผดเสียงถามกลับ “มันจะเป็นความผิดหลานฉันได้ยังไง! ก็เด็กต่ำกว่าสิบแปดจะเขียนจะทำอะไร ก็ไม่เคยมีปิศาจอักษรปรากฏไม่ใช่เหรอ แล้วนี่แค่ของวาดเล่นของเด็กไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ อย่ามาพูดบ้าๆ นะ --”
“แต่ก็จะเอาไปให้สันนิบาตนักประพันธ์ดูนี่ เพราะสงสัยเหมือนกันไม่ใช่รึ”
กำลังจะตอบ แต่หมอนั่นฉีกกระดาษทั้งหมดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำเอาแทบลืมว่าจะพูดอะไรนอกจากด่ากราด
เศษกระดาษทั้งหมดถูกดูดเข้าไปในลูกบาศก์ ทว่ามันก็ยังวิ่งวนไปมาไม่หยุดบนฝ่ามือเขา เหมือนกำลังมองหาชิ้นส่วนอื่น “คงจะมีที่หลานเขียนเล่นไว้อีกเต็มเลยสินะ เช่นซุกไว้ในเก๊ะรึตู้เก็บของที่โรงเรียน ไหนจะประกันกู้คืนสิ่งของอาจจะกู้กระดาษวาดเล่นกลับมาด้วยก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าทำประกันไว้ละเอียดขนาดไหน เราให้ทางเลือกไหม เอาส่วนที่เหลือไปให้สันนิบาตดู หรือเอาส่วนที่เหลือมาให้เรารวมเข้ากับสิ่งนี้”
“แล้วไง…”
“ถ้าสันนิบาตรู้เรื่องนี้ โลกก็รู้ ถ้าภาคีรู้เรื่องนี้ โลกก็รู้” เขาเอียงหัว “คิดว่าโลกที่เด็กๆ ไม่ได้รับอนุญาตให้เขียนอะไรเลย จะเป็นอย่างไรหรือ”
อยากให้บ้านซ่อมเสร็จโดยเร็ว ขณะเดียวกันก็ไม่อยากเดินกลับบ้านแล้วเจอชายคนนี้อาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยสักนิดเดียว
Comments (0)