2 ตอน วันๆ ของลิปิกรก็แบบนี้แหละ
โดย pynox
(ความรู้สึกคุ้นเคย)
เขาลากมือไปบนเครื่องแบบบนหน้าประตูตู้เหล็ก
“ทำอะไรอยู่น่ะ”
เจ้าของตู้ถัดไปเพิ่งมาถึง
“จำได้ว่าทำขาดแถวนี้เมื่อวาน”
“อ๋อ แผนกอุปกรณ์ซ่อมเนี้ยบชะมัดเลยเนอะ ของฉันเอง อาทิตย์ที่แล้ว ทำขาดไปตรงนี้เหมือนกัน” ทางนั้นสอดแขนเข้าไปในเครื่องแบบแล้วยกให้ดูตรงสีข้าง ผิวผ้าดำพาดด้วยแถบแดงเรียบ มีแค่เส้นตะเข็บที่เย็บอย่างดีให้เห็น
เครื่องแบบลิปิกรภาคสนามเป็นสีดำพิมพ์ลายตราหน่วยงานสีแดงกับขาวตามแขนเสื้อกับด้านหลัง ชุดเสื้อฮู้ดแขนยาวเรียบง่าย ทอจากเส้นใยยืดหยุ่นทนทาน อาบด้วยน้ำยาทนไฟกับแรงกระแทกระหว่างผ่านกระบวนการผลิต (ปัจจุบันมีน้ำยาทำความสะอาดชุดเสริมคุณสมบัติหลายเจ้าแย่งกันเสนอตัวให้แก่ภาครัฐ) กางเกงคาร์โกแดงเลือดหมูทอจากผ้าแบบเดียวกัน กับเสื้อแขนยาวเข้ารูปที่มีซิปติดตามตำแหน่งแล้วแต่ความถนัดผู้สวมใส่
เขาเลิกพยายามมองหาร่องรอยที่ขาดบนเครื่องแบบ แล้วพลิกดูฝ่ามือซ้ายของตัวเองซึ่งไม่มีร่องรอยอะไรนอกจากเส้นฝ่ามือเช่นกัน
“คอ หายดีแล้วเหรอ”
“คอเรา?” ลำคอเขาผอมยาวจนทรงผมดูสั้นกว่าความเป็นจริง แต่ก็ไม่มีทางยาวถึงขั้นจะเปิดช่วงคอได้ ผู้ถามย่อมต้องเห็นว่ารอบคอไม่มีร่องรอยผิดปกติ ตัวเขาเองก็ไม่เคยแจ้งใครว่าเพิ่งมีอาการผิดปกติข้างในลำคอมา
น้ำเสียงกระอักกระอ่วนกระแอมออกมากับคำพูดที่ฟังดูเสียใจว่าไม่น่าทักไป “วันนั้น ฉันก็อยู่ในกะ เลยเห็น...หมอนั่นกระทืบลงไปตรงคอนายเลยนี่”
“อ๋อ นั่นไม่โดนน่ะ เราขยับออกไปก่อน”
“งั้นเหรอ! ดีแล้วๆ!”
เจ้าของตู้ข้างกันเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขายังเสร็จเพียงหนึ่งในสามเท่าตอนอีกฝ่ายเพิ่งมาถึง ขอบกางเกงคาร์โก้รัดทับชายเสื้อกล้ามดำ
“เคเรอดวิน หัวหน้าเรียก”
ดึงเสื้อแขนยาวกับเสื้อฮู้ดมาสวมในที่สุด เขาลากซิปตรงข้างหน้าคอเสื้อขึ้น สะพายหนังสือออกไปจากห้องแต่งตัว
ลิปิกรภาคสนามคล้ายคลึงกับนักดับเพลิง มีบ้านสองแห่ง บ้านพักอาศัยทั่วไปตัวใครตัวผู้นั้นมัน กับสถานที่ทำงานที่มีกะข้ามคืนทุกสัปดาห์ พวกเขาไม่เรียกกันว่าสถานีแบบสถานีดับเพลิง สำนักงานพวกนี้มีชื่อเป็นทางการว่าสำนักงานภาคีนักประพันธ์พึงวรณ์ ส่วนชื่อที่ใช้กันในบทสนทนาทั่วไปไม่ว่าจะระหว่างคนนอกหรือคนใน มักเรียกกันว่า ‘โรงรวมเหตุ’ เพราะถ้าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี พวกเขาควรจะออกไปทำงานแล้วเก็บเหตุความวุ่นวายกลับมา
โรงรวมเหตุแต่ละจุดในเมืองหนึ่งมีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน แต่ทุกจุดก่อสร้างภายใต้ระเบียบบังคับว่าต้องมีส่วนสำหรับสำนักงานภาคเอกสาร พื้นที่ดูแลความพร้อมสำหรับเจ้าหน้าที่ภาคสนาม และพื้นที่เก็บรักษา-เข้าถึงระเบียนเหตุ
โรงรวมเหตุที่เคเรอดวินสังกัดมีขนาดกลาง หมายเลข 1106 หนึ่งในสาขาของเขตสหรัฐที่ 3 อดีตอาณานิคมนิวยอร์ก สหอณานิคมเก่าแห่งอเมริกาเหนือ
1106 มีเจ้าหน้าที่นั่งโต๊ะเจ็ดคน มีพื้นที่ให้ทั้งเจ็ดซึ่งเป็นผู้ดูแลเรื่องเอกสารและการติดต่อภายในกับระหว่างสาขาเพียงสองชั้นบนตึกหน้าตาโบราณหลังคาจั่ว อยู่แยกจากตึกรูปร่างสมัยนิยมอันประกอบด้วยความเป็นสี่เหลี่ยม หน้าตาทึบมั่นคง ชดเชยแสงกับพื้นที่ด้วยกระจกบานใหญ่ รองรับลิปิกรภาคสนามสามสิบแปดคน สิบหกคน กับหนึ่งกัปตันต่อหนึ่งกะ ทั้งสองตึกเชื่อมด้วยทางเชื่อมช่วงล่างทึบ ช่วงบนปูวัสดุใสเป็นทรงโค้ง เปิดเผยถึงสารพัดใบไม้เปียก คราบสกปรกจากมูลสัตว์ปีกและน้ำสีขุ่นที่คั่งค้างตามร่องด้านบน ไม่มีใครคิดเรื่องอื่นนอกจากไขว้นิ้วภาวนาให้ไม่ใช่เวรตนต้องทำความสะอาด
มีเวทมนตร์ แต่เวทมนตร์หรือลำนำก็เหมือนส่วนหนึ่งของตัวตน เปรียบได้เท่ามือที่ใส่ถุงมือ ถึงจะป้องกันได้ถูกหลักอนามัย ถ้าควบคุมมือเซ่อซ่า ก็อาจพลาดทำตัวเองเลอะเทอะอยู่ดี อีกทั้งเมื่อวิทยาศาสตร์ผสมกับเวทมนตร์มาจนป่านนี้ มนุษย์ไม่ค่อยมีวิสัยใช้ลำนำไว้ก่อนเท่าไรนักในเรื่องชีวิตประจำวัน เพราะเครื่องมืออุปกรณ์ที่ไม่ต้องใช้สมาธิควบคุมให้บังเกิดผลสะดวกกว่าเป็นไหน ๆ ลำนำจำพวกการสื่อสารเกือบจะถูกถอดออกจากหลักสูตรไปแล้วด้วยซ้ำ วิทยาการยังเมตตา ค้นพบว่าใช้เวทมนตร์ควบคู่กันกับสัญญาณติดต่อสื่อสาร เสริมสร้างเรื่องความปลอดภัยด้านข้อมูลและการจัดเก็บได้ดีกว่า พลอยให้วิจัยด้านเวทมนตร์เครือข่ายได้รับเงินทุนเพิ่มในหลายประเทศ
ชั้นหนึ่งของตึกหลักสำหรับเจ้าหน้าที่ภาคสนามมีโถงตรงกลางเปิดกว้าง เพดานยกสูงเลยชั้นสองไปปิดเอาตรงระดับชั้นสามแทน มีทั้งโรงยิม ห้องอาบน้ำแต่งตัว ตู้เก็บของส่วนตัว คลังอุปกรณ์ คลังของใช้อื่น บริเวณฉุกเฉินต่อกับลิฟต์ขนส่งแยก ส่งดิ่งขึ้นปีกพยาบาลบนชั้นสอง ตรงข้ามคนละปีกของชั้นสองคือห้องพักสำหรับเวรยี่สิบสี่ชั่วโมงหรือสี่สิบแปดชั่วโมง ตรงกลางระหว่างสองปีกเป็นโรงอาหาร ชั้นสามเป็นห้องประชุมของภาคสนามโดยเฉพาะ ห้องทำงานหัวหน้าโรง โถงรวมพักผ่อน ชั้นสี่สำหรับห้องปฏิบัติการ ห้องแท่นพิมพ์ สถานที่ซ่อมแซมอุปกรณ์และวิจัยข้อมูลด่วน ทุกชั้นมีประตูเชื่อมต่อไปยังโรงพาหนะสี่ชั้นด้านหลัง ไม่มีพาหนะปฏิบัติหน้าที่ส่วนตัว เหรียญจุดเครื่องของทุกคนใช้ได้กับทุกเครื่อง ยกเว้นรถพยาบาลที่ต้องใช้เหรียญของเจ้าหน้าที่แพทย์ประจำโรง
เขาเคาะประตูบนชั้นสาม
“เข้ามา”
เปิดเข้าไป...
...แล้วก็ถอยออกมาพร้อมดึงประตูปิด เตรียมลงบันได
กัปตันแอลกอรีกระชากประตูเปิดก่อนจะทันได้เหยียบลงขั้นบันได
“กลับมานี่เลยนะ!”
ชายหนุ่มค่อยๆ หันไปมองทางประตูห้องทำงานกัปตันด้วยแววตาโหลหลอน หญิงผมสีม่วงอมเทาเกล้ามวยตึงสะดุ้ง แต่ก็ยังเสียงแข็งย้ำให้เข้ามาพบข้างใน ดวงตาเรียวหรี่เขม็งยิ่งขับเน้นร่องลึกราวกับโครงปีกตรงหางตาทั้งสองข้าง
สิ่งที่ทำให้อยากเดินหนีกลับลงไปข้างล่างคือลิปิกรอีกสี่คนข้างใน
“วันนี้ไปกับสี่คนนี้นะ สองคนทางนี้อยู่ในช่วงเก็บหน่วยกิต” กัปตันวางมือบนบ่าสองคนอายุน้อยทางขวามือของเขา จึงจำไว้ในฐานะหน่วยกิตหนึ่งกับหน่วยกิตสอง
“จำเป็นด้วยเหรอครับ”
“มีมารยาทไว้เปิดหาในพจนานุกรมจริงๆ นะ หมอนี่” อีกสองคนทางซ้ายมือของเขาคือลิปิกรเต็มตัวด้วยกันที่มีชื่อคล้ายกันอีกว่าซากากับซางา รายแรกเป็นชายผมยาวถักเป็นเปีย ตัวสูงเพรียว มักโดนเพ้อเทียบเป็นร่างมนุษย์จำแลงของดาบยาวประดับกั่นสีน้ำเงินที่เสียบอยู่ข้างเอว อีกรายเป็นคนรูปร่างกะทัดรัดไปทุกส่วน ลำตัวเหลี่ยมตัน เครื่องหน้าเข้มคมคาย และใบหูข้างหนึ่งท่วมด้วยต่างหูเล็กใหญ่ “นี่ จะบอกว่าพวกฉันแย่กว่าพวกนั้นหรือไง อย่างน้อยก็ไม่เคยทำแกกระดูกหักแล้วกัน”
“แต่ชอบทำเราเสียสมาธิ”
“สมาธิกับกระดูก แกเลือกดีๆ นะ”
เข้ามาใกล้อย่างไม่จำเป็น เปียที่ไพล่ไหล่ชวนให้นึกถึงงู
“เสียสมาธิก็เสียกระดูกได้เหมือนกัน”
เขาถอยเพิ่มระยะห่างให้
“นั่นมันเพราะแกอ่อนเองหรือเปล่า”
ก็ยังตามมาอีก
“ก็ระดับมาตรฐาน วัดผลแล้ว”
ถอยเพิ่มอีกก้าว
“มาตรฐานมันต่ำซะจนคนที่ปล่อยให้ตัวเองโดนไอ้งั่งสามตัวกระทืบเล่นยังผ่านไงเล่า”
จะชนผนังแล้ว
กัปตันแอลกอรีกระแอม
“ก็อย่างที่รู้กันว่าสามคนนั้นโดนไล่ออกไปแล้ว”
“สามคนหรอกเหรอ...” เขาพึมพำ พยักหน้ารับทราบไว้ตรงนั้น
“หมอนั่นเป็นคนเดียวที่ไม่มีหลักฐานมัดตัวว่าทำร้ายร่างกายคุณ ทางพวกฉันพยายามยื่นคำสั่งไล่ออกแล้ว แต่ทางภาคีตัดสินให้แค่พักงานสามเดือนเท่านั้น”
“เราก็ไม่ได้มีความเห็นเป็นพิเศษหรอก”
ซางาขยับตัว วาดแขนเท้าเอว “ถ้าหัดเดินหนีได้อย่างตะกี้ คงไม่โดนเล่นอ่วมอยู่เป็นเดือนหรอก กระดูกสันหลังมันงอกช้ารึไง”
“พอได้แล้ว” กัปตันตะเบ็งเสียงลุ่มลึกต่างจากตรงประตูเมื่อครู่ลิบลับ “ซากา ซางา หุบปาก กะจะเริ่มในอีกสิบห้านาที ฉันแค่เรียกให้ทุกฝ่ายมารับรู้เรื่องนี้เท่านั้น พวกคุณออกไปได้แล้ว ฉันจะคุยกับเคเรอดวินเรื่องอื่นต่อ”
“จ้าๆ” ซางาขานรับอย่างเอื่อยเฉื่อย แล้วลากหลังเสื้อดึงซากาออกไปด้วยกัน หน่วยกิตหนึ่งกับสองรีบซอยเท้า เดินห่อไหล่ ก้มหน้าตามสองรายนั้นพร้อมดึงประตูปิด
“คาฟยา เคเรอดวิน”
เขาเลิกคิ้ว
“ขอถามเลยนะ อยากย้ายสาขาหรือเปล่า”
“ไม่ละ สาขานี้ใกล้บ้านของเราดี” เขาประนมมือมาข้างหน้าริมฝีปาก หมายจะสื่อว่านี่เป็นข้อสรุป
กัปตันแอลกอรีกำหมัดทุบโต๊ะทำงาน ยืนหลังโก่งกอดช่วงกลางลำตัว นึกสงสัยว่าปวดท้องกระมัง แต่เขาไม่มีความรู้สึกสนิทสนมหรือห่วงหาพอจะถามไถ่ จากนั้นหล่อนก็ถอนหายใจคล้ายโล่งอก
“ไม่อยากโล่งใจเลย พับผ่าสิ แต่เป็นกัปตันมาแปดปี ฉันเสียลิปิกรผู้เขียนไปห้าคนแล้วนี่นะ รู้ใช่ไหม”
“พอทราบอยู่บ้าง”
“แถมคุณยังเป็นลูกของคนรู้จักอีก”
“ถึงไม่เอาเรื่องนั้นมาเกี่ยวข้อง คุณพ่อคุณแม่ของเราก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
หล่อนเหยียดกายยืนหลังตรง วางมือหนึ่งบนผิวโต๊ะทำงาน อีกมือเท้าสะเอว กลายเป็นภาพวาดโบราณของพวกขุนนางยืนเท้าสะเอวให้ผ้าคลุมยาวเผยชุดสวยหรูข้างใต้
“จับกลุ่มกับพวกซากาและซางาแล้วกลับมาอย่างปลอดภัยได้หรือเปล่า”
“ปรากฏการณ์ปิศาจอักษรเป็นสถานการณ์อันตราย...”
“ปลอดภัยให้เท่าๆ กับคนอื่นได้หรือเปล่า”
“อะไรต่อมิอะไรอยู่ในระดับมาตรฐานอยู่แล้ว ขนาดส่วนสูงยังตามค่าเฉลี่ยเลย คิดว่าได้แหละ” อันที่จริงเขาสูงเกินค่าเฉลี่ยความสูงประชาชนเพศชายในสหรัฐที่ 3 เล็กน้อย ทว่าไม่ชอบยอมรับว่าไม่พอใจในตัวเองหลายด้าน จึงพึงใจใช้คำว่าตรงตามมาตรฐาน เป็นไปตามค่าเฉลี่ย
โดนบิดหู ทั้งยังถูกก่นเสียงเรียก ‘เจ้าเด็กนี่!’
(ความรู้สึกรำคาญ)
“เอ๊ะ เคเรอดวิน กะเมื่อวานไม่ได้หยุดเหรอ”
เขาส่ายหัว สมาชิกโรงที่ไม่ได้เข้ากะเมื่อวานก็รีบร้อนหันไปคุยกันเองต่อ ถึงอย่างไรก็ได้ยินชื่อตัวเองแว่วมา
สัญญาณแจ้งภัยดัง ตามด้วยเสียงสั่นสะเทือน
เขาออกเคลื่อนไหวไปพร้อมกับลิปิกรคนอื่นโดยออกตรงทางเชื่อมจากโรงรวมเหตุไปทางโรงเก็บพาหนะ ยานยนต์ลอยฟ้าสำหรับหนึ่งที่นั่ง เจ้าหน้าที่ดูแลโรงยานยนต์โยนอุปกรณ์คู่ตัวลิปิกรแต่ละรายอย่างคล่องแคล่วว่องไว
พื้นที่สัญจรแบ่งให้ยานพาหนะทั่วไปเดินทางบนภาคพื้นดิน และสงวนสิทธิยานยนต์ลอยฟ้าไว้สำหรับการปฏิบัติงานฉุกเฉินของหน่วยงานกู้ภัยต่างๆ พวกเขาเดินทางด้วยเส้นทางตรงกลาง เหนือรถรา ข้างใต้ยานบิน (“แหงะ...”) เขาพึมพำเสียงสบถหลังจากในใจห่อเหี่ยวพอเห็นปิศาจอักษร
การที่เห็นตัวมันได้ก็ทำเหล่าลิปิกรขยาดแล้ว ปิศาจอักษรมีรูปร่างหน้าตาล้านหลาย หลากจะนับ แต่ส่วนใหญ่มักมีขนาดเท่ากับมนุษย์หรือใหญ่กว่าไม่มาก ขนาดมหึมาสูงพ้นยอดตึกในเมือง เบียดคับทางถนน (“หวา...บ้านเรา”) นับว่าหาได้ยาก คาฟยามองยังที่อยู่ใกล้โรงรวมเหตุของตน เขาเริ่มอาศัยที่นั่นได้ห้าเดือน จากตรงนี้เห็นส่วนบ้านพักของตนเหลือสภาพเกาะอยู่กับตัวอาคารใหญ่เป็นเสี้ยวเล็กๆ แบบเดียวกับเศษกระดาษจากหน้าที่โดนฉีกออก
เมืองทั่วโลกมีเวทมนตร์คุ้มกันภัยปกคลุมรักษาสภาพอาคารจากปิศาจอักษรระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าจะทนแรงปะทะได้ทุกรูปแบบหรือป้องกันความเสียหายได้เสมอ ปิศาจอักษรสูงเกินร้อยฟุต ทั้งตัวบวมใหญ่ เนื้อหนังมังสาออกมาหน้าตาแบบเส้นปากกาขีดฆ่าไปมาทับกันเต็มไปหมดจนดำสนิท รูปร่างเกาะอยู่ด้วยกันพอให้เห็นว่าจุดใดเป็นหัว ตรงไหนอื่นเป็นแขนขา มันกระแทกตัวใส่ตึกรามรอบตัวซึ่งกำลังปล่อยม่านคุ้มกันปะทะกลับ เสียงดังก้องฟ้า แรงปะทะแผ่ไปทั่ว ยานยนต์บนฟ้าอ่อนไหวต่อแรงกระเทือน ต่างต้องหักเลี้ยวหรือเปลี่ยนแปลงระดับการบินกันถ้วนหน้า
คาฟยาหยุดยานพาหานะของตนไว้ก่อนไปถึงรัศมีที่ปิศาจอักษรเหวี่ยงแขน มือหนึ่งล้วงเอาขวดยาออกมาจากช่องเก็บด้านข้างรถเพื่อกระดก นั่งรอขณะที่ซากากระโดดลงจากยานยนต์ลงไปยังยอดตึกใกล้สุด เพียงพริบตาเดียวก็ไปโผล่บนส่วนคล้ายแขนของปิศาจ เขาชักดาบวิ่งเอาปลายกรีดจากปลายไปถึงส่วนคล้ยไหล่ แล้วกระโดดข้ามไปข้างหลัง ลากปลายดาบตัดตามไปได้ร่วมหลายสิบฟุตก่อนจะต้องถีบตัวหนีตอนมันบิดตัวเอาแขนอีกข้างมาปัด รอยขาดด้วยดาบมีการเคลื่อนไหวแบบของเหลวเหนียวหนืดพุ่งออกมาไล่ตามไปรุมผูกเข้ากับตัวดาบ ชายผมเปียหนีไปตั้งหลักบนยอดตึกอีกจุด แล้วปักดาบลงกับพื้นคอนกรีต ของเหลวนั่นเหยียดตัวตึง ตรึงปิศาจอักษรไว้ เหมือนเชือก เหมือนผ้าโดนขึง ลิปิกรผู้ตรวจตราใช้อุปกรณ์สื่อกลางต่างไปตามความถนัดสำหรับหยุดการเคลื่อนไหวของปิศาจอักษร อุปกรณ์พื้นฐานเป็นหน้าไม้กับลูกดอกที่มีคุณสมบัติสร้างน้ำหมึกต่างเชือก หลายรายใช้หน้าไม้เรื่อยมา
บางรายเลือกสื่อกลางเป็นอาวุธระยะประชิดเพราะทักษะการยิงต่ำ สู้ใช้ลำนำเสริมร่างกายบุกไปทิ่มเองกับมือดีกว่า ซากาเป็นแบบหลัง ซางา คู่หูกันเป็นแบบแรก ขับยานยนต์ลอยฟ้าบินวนรอบปิศาจอักษรด้วยความเร็วสูง ยิงลูกดอกโดนเป้าหมายไม่ใช่เพียงแค่เข้าเป้าเพราะตัวปิศาจอักษรเบ้อเริ่มเทิ่ม แต่เลือกเจาะจงได้ให้เข้าส่วนที่ใช้งานแบบข้อต่อ แล้วลากตรึงไปทิศทางตรงข้ามกับจุดที่ซากาอยู่ หน่วยกิตหนึ่งกับหน่วยกิตสองกำลังทำเช่นเดียวกันอยู่ตรงฐานตัวมัน
รสชาติซึ่งทุกเสียงของผู้ต้องดื่มเห็นห้องต้องกันว่าสังเคราะห์มาเพื่ออยู่คู่ความน่าขยะแขยงกระจายแผ่ไปถึงกระทั่งส่วนของร่างกายที่ไม่มีต่อมรับสม คำกล่าวว่าขณะลิปิกรประเภทอื่นฝึกลำนำ ลิปิกรผู้เขียนฝึกเอากระบวนการอาเจียนออกไปจากตัวไม่ได้เกินจริงสักเท่าไร
สารในขวดมีคุณสมบัติช่วยให้พวกเขามองเห็นแก่นของปิศาจอักษร พวกมันเป็นปรากฏการณ์ดื้อด้าน ฆ่าไม่ตายจนกว่าจะทำลายแก่นนั้น ซึ่งกระทั่งตัวที่มีดีแค่ใหญ่โตมโหฬาร อาละวาดอย่างไร้ความคิดสะระตะก็ยังมีสัญชาตญาณจะซ่อนแก่นนั้นไว้เพื่อป้องกันตัวเอง
“แก่นอยู่ไหน!” เสียงของซากาดังจากวิทยุติดปกเสื้อฮู้ด
คาฟยากำลังหนักใจกับตำแหน่งแสงริบหรี่ที่เห็น ลองขับวนดูเช่นไรก็ไม่มีจุดไหนช่วยให้เห็นชัดขึ้น
“เฮ้! แก่นอยู่ไหน! ไอ้ตัวไร้ประโยชน์! ใช่เวลานอนทอดหุ่ยรึไง!”
“หุบปาก” เขาซ้ำคำพูดที่แอลกอรีเพิ่งตะเบ็งไปเมื่อเช้า แล้วบิดยานยนต์ของตนพุ่งเข้าใส่ตรงกลางตัวปิศาจอักษร คาฟยาถีบตัวลงจากเบาะนั่งก่อน มือขยับเข้าหาหนังสือเล่มใหญ่เทอะทะ ปกหนังเปื่อยยวบ ไส้กระดาษนับร้อยหน้าไม่เรียบเสมอกันและมีปลายที่คั่นสารพัดหน้าตายื่นออกมาเต็มไปหมด เขาใช้สัมผัสตรงปลายนิ้วกับความคุ้นเคย เลือกดึงแผ่นที่คั่นลงลวดลายพรมโบราณออกมาฟาดลงอากาศ
ตัวเขาหล่นลงบนพรมผืนใหญ่ ลวดลายเลขาคณิตไขว้สลับแต่งสีเหลืองมอมอมส้ม มันร่อนพาเขาตีโค้งเว้นระยะห่างก่อนพุ่งกลับเข้าไปหาตัวปิศาจอักษรส่วนที่ฉีกขาด แสงแดงในการรับรู้สว่างจ้าขึ้นทันตาเห็น “ตรงนั้น!” เขาชักปืนกระสุนสีออกมาแล้วยิงไปยังแก่นส่องประกายทับทิมวาววับ ซากากับซางากระหน่ำอาวุธตัวเองตามไปยังที่เดียวกันจนก้อนแก่นแตกกระจาย คาฟยาพุ่งไปข้างหน้าสุดตัว แทบตกจากพรมเหาะ เพื่อคว้าสักเศษชิ้นส่วนเอาไว้ในมือ
ปลายพรมตีให้ตัวเขากลิ้งกลับไปกลางพรม คาฟยาเอาปืนหงายหลัง หันปืนจ่อฝ่ามือตัวเองแล้วลั่นไกยิง หัวกระสุนสีทำจากวัสดุสมานตัวพิเศษ เมื่อยิงสารอินทรีย์ที่บอบบางพอในระยะประชิดพอ จะทำให้เกิดความเสียหายได้ แต่วัสดุกระสุนจะสมานร่องรอยความเสียหายที่ตัวมันสัมผัสไปด้วย ออกแบบเพื่อลิปิกรผู้เขียนที่ต้องใช้เลือดซึ่งมีสารตัดสินปิศาจอักษรในตัวโดยเฉพาะ ส่วนเรื่องสีเป็นการแต่งเติมเพิ่มประโยชน์เข้ามาภายหลังเมื่อหลายสิบปีก่อน ด้วยความประสงค์ดีของบริษัทผู้ผลิตอาวุธปืนว่า ‘ช่วยลดภาระให้ลิปิกรผู้เขียนไม่ต้องพกอุปกรณ์เยอะเกินไป’
เลือดไหลอาบลงบนชิ้นส่วนแก่นพร้อมกับรูโหว่บนฝ่ามือสมานตัวอย่างรวดเร็วเสียจนถ้าไม่ใช่มือตัวเอง อาจจะรู้สึกพิลึกยิ่งกว่านี้ แต่เพราะเป็นมือตัวเองจึงนึกขอบคุณ เจ็บกว่าใช้มีดกรีด แต่หายเร็วกว่าแผลจากสิ่งอื่นร้อยเท่าพันเท่า
ชิ้นส่วนแก่นที่แตกกระจายพุ่งเข้ามาหาฝ่ามือเขา เลือดแดงเข้มเกือบดำขยับ ตวัดดึงชิ้นส่วนทั้งหมดเข้ามาประกอบรวมกันแล้วแผ่ตัวหุ้มชิ้นส่วนไว้ทั้งหมดก่อนจะเริ่มบีบอัดจนกลายเป็นก้อนทรงลูกบาศก์ คาฟยาหย่อนลูกบาศก์ลงกระเป๋ากางเกง พรมก็เอื่อยเฉื่อย ทำท่าจะร่วงทุกวินาที เขาบังคับให้มันร่อนลงตรงพื้นที่ยังเหลืออยู่ของตึกซึ่งโดนทำลายไปเกือบหนึ่งในสาม แม้จะเป็นตึกเดียวในละแวกที่เสียหาย ก็ไม่ทำให้เป็นเรื่องดีขึ้นมาเลยสักนิดเดียว
ร่างกายมหึมาสลายตัวอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นสภาพความเป็นไปด้านล่าง เจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังดูแลคนเจ็บ ตรวจสอบว่าใครติดอยู่ในซากตึกถล่ม ตึกแห่งนี้เป็นสถานพักอาศัยซึ่งเรียกกันว่า ‘ชุมชนห้างสรรพสินค้า’ เดิมสถานที่พักอาศัยประเภทนี้หมายถึงว่าต้องดัดแปลงมาจากห้างสรรพสินค้าให้กลายเป็นตึกขายหรือเช่าที่พักเท่านั้น ภายหลังกลายเป็นลักษณะการออกแบบหน้าตาอพาร์ตเมนต์หรือหมู่บ้านแบบหนึ่งไป เพราะมีตึกใหม่สร้างเลียนแบบผุดเต็มไปหมด แต่ตึกแห่งนี้เป็นหนึ่งในชุมชนห้างสรรพสินค้าดั้งเดิม ห้างสรรพสินค้าเจ็ดชั้น ความกว้างต่อชั้นกินพื้นที่บล็อคใหญ่ไปครึ่งหนึ่ง ถูกแปลงเป็นตึกพักอาศัย มีให้คนทั้งเช่าหรือซื้อขาดพื้นที่ร้านขายของข้างใน ได้รับทุนจากรัฐมาดัดแปลงเป็นพื้นที่อยู่อาศัยครบครัน โดยคงสภาพการจัดวางห้อง พื้นที่ทางเดินเอาไว้ตามสมัยเป็นห้างสรรพสินค้าชั้นนำตามเดิม
คาฟยายืนอยู่บนเสี้ยวพื้นชั้นเจ็ด ทางข้างหน้าขาดสะบั้น เห็นไส้โครงสร้างเหล็กยื่นออกมา จากพื้นทางเดินกว้างขวางกลายเป็นพื้นที่แคบสภาพไม่ต่างจากเนื้อผ้าขาดรุ่ย ฝุ่นตลบอวล มองลงไปก็เห็นว่าสภาพล่างนั้นพังพินาศเป็นแถบลึกถึงชั้นล่างสุด รวมถึงบ้านของตนด้วยเช่นกัน
พรมบีบตัวกลับเป็นที่คั่นหนังสือ ร่อนเก็บตัวเองเข้าไประหว่างหน้ากระดาษตามเดิม คาฟยาก้าวเท้าออกไป ปล่อยตัวเองดิ่งลงจนถึงพื้นชั้นสาม บ้านของเขาในนี้เป็นห้องสามชั้น อดีตร้านขนมอบซึ่งข้างในทำบันไดวนเชื่อมจากชั้นล่างขึ้นมาสองชั้น และด้านข้างตัวร้านมีทางลาดไม่ชันเชื่อมทั้งเจ็ดชั้นเอาไว้สำหรับเดินชมทิวทัศน์ด้านหลังห้างสรรพสินค้า ตั้งแต่ย้ายมา เขากวาดพื้นทางลาดสามชั้นแรกอยู่เสมอ ส่วนสภาพมันตอนนี้ แม้จะยังเหลือความเป็นทางลาดอยู่ แต่เศษซากเกลื่อนกระเด็นมากองต้องทำความสะอาดมากกว่ากวาด ส่วนทางเดินข้างหน้าบ้านโดนทำลายเหี้ยน ประตูทางเข้าของชั้นสามก็ยุบเข้าไปในตัวบ้าน
ส่วนพื้นที่ฝั่งตรงข้ามหายไปเหมือนโดนควักออก ทางเดินที่แผ่ตัวเป็นลานปูหินเทากับน้ำพุกลายเป็นแค่ช่องโหว่ ตรงข้ามบ้านของเขาเคยเป็นครอบครัวใหญ่ สมาชิกแปดคน ผู้ใหญ่หก เด็กเล็กสอง ซื้อขาดบ้านที่อดีตเป็นร้านเสื้อผ้าแบรนด์ใหญ่ เห็นว่าสมาชิกครอบครัวคนหนึ่งชอบดูคนเดินไปมา หน้าต่างแสดงสินค้าขนาบทางเข้าประสาร้านเสื้อผ้าจึงโดนปิดเป็นกำแพงทึบเพียงด้านเดียว อีกด้านติดมู่ลี่ใหญ่เอาไว้ให้สมาชิกครอบครัวคนนั้นเปิดม่านดูทางเดินตามใจชอบ เวลาที่มู่ลี่เปิด เขาเห็นด้านหลังโต๊ะทำงานรกรุงรัง ด้านหลังคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ กับยอดหัวปกคลุมด้วยผมย้อมชมพูอมม่วง
เรื่องประหลาดคือโต๊ะทำงานตัวที่ว่ากลับยังอยู่ ตระหง่านไร้รอยขีดข่วนท่ามกลางซากชั้นสามบนส่วนที่ยังเหลือพื้นทางเดิน ทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหน้าจอ แป้นพิมพ์ เม้าส์ ซีพียู ทุกอย่างยังมีไฟติด ฟ้องว่ายังทำงานอยู่ ยังใช้การได้ เก้าอี้ก็วางข้างหน้าโต๊ะ
มีการเคลื่อนไหวด้านหลัง เสียงฝีเท้าหนักกับเสียงปลอกดาบขยับ “นักเขียนอยู่ไหน”
คาฟยาชี้ไปยังโต๊ะคอมพิวเตอร์นั่น ทั้งสองกระโดดข้ามช่องว่างไปตรงพื้นส่วนนั้น คาฟยาเตะเก้าอี้ออกไปให้พ้นโต๊ะ ก็ปรากฏว่าข้างใต้โต๊ะมีร่างหนึ่งนอนขดอยู่ หญิงผมยาวย้อมสีม่วงอมชมพู โคนผมจากกลางศีรษะดำสนิทไปจนถึงระดับหู หน้าตามือและเท้าล้วนมอมแมม
เขาหยิบลูกบาศก์เมื่อครู่ออกมา คอมพิวเตอร์ทำปฏิกิริยา ลูกบาศก็ก็ส่งแรงดึงอยากจะเข้าไปรวมตัวกับคอมพิวเตอร์ ชายหนุ่มกำลูกบาศก์แน่น ยัดมันกลับลงในช่องเก็บ ซากาพิมพ์ข้อมูลด้วยนิ้วโป้งลงในโทรศัพท์หน้าจอสัมผัส “เจอแล้ว” เขายกจอเทียบกับหน้าหลับใหลไม่ได้สติ “แคนอน เดฟบลากัน ขึ้นทะเบียนกับภาคีนักประพันธ์ฯ ไปเมื่อปี 2017”
ไม่เคยหาทางตรวจสอบมาก่อนว่าในตึกนี้มีผู้อาศัยเป็นนักเขียนขึ้นทะเบียนกี่คน
“อาศัยอยู่กับพ่อ แม่ พี่ชาย พี่เขย หลานสองคน และป้าของพี่เขย ประวัติความเกี่ยวข้องอาชญากรรมระบุว่าพี่สาวอยู่ในคุกข้อหาฟอกเงินกับสร้างลำนำผลิตทองคำ ส่วนป้าของพี่เขยชื่อนอฟเอล เคียฟบลากัน คนนี้มีประวัติทำให้เกิดปิศาจอักษรด้วย แต่ไม่มีข้อมูลในฐานของภาคี เป็นนักเขียนไม่ขึ้นทะเบียน สงสัยเลยโดนฟ้องค่าเสียหายจนหมดตัว ต้องย้ายมาอยู่กับหลานชาย”
“แคนอน เดฟบลากันอายุเท่าไร” คาฟยาคุกเข่าลง ยกมือถ่างนิ้วดูการเคลื่อนไหวของดวงตาหญิงใต้โต๊ะ “ไม่ได้หมดสติเพราะได้รับบาดเจ็บ คงโดนอิทธิพลจากปรากฏการณ์ทำให้หมดสติ ตัวปิศาจอักษรก็คุ้มครองคนเขียนเอาไว้ตามปกติ”
“อายุยี่สิบแปด ถามทำไม”
สูดจมูกฟุดฟิด
“ไม่มีกลิ่นเลือดเลยนะ เพราะตัวใหญ่ อิทธิพลจากปรากฏการณ์เลยย้ายคนอื่นนอกจากนักเขียนไปด้วยรึ”
“กู้ภัยข้างล่างรายงานว่าคนในตึกนี้โดนย้ายออกไปข้างนอกตึกกันหมด ทุกคนกำลังสับสน ไอ้ตัวตะกี้ก็โผล่มาเลย มีคนเจ็บจากเศษหินแรงสั่นสะเทือน ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสาหัส”
“ปิศาจอักษรใหญ่ขนาดนั้น แสดงถึงว่าต้นฉบับมีปริมาณอะไรสักอย่างมหาศาลอยู่ อย่างเช่นจำนวนหน้า หรือจำนวนปีที่เขียนงานต่อเนื่องกันมา”
“ก็ไม่แปลกนี่หว่า กำหนดเก้าสิบวันไม่ใช่ว่าพอเขียนมาเกินเก้าสิบวันแล้วยังไม่จบ จะเป็นปิศาจอักษรทันทีทุกคนสักหน่อย”
คาฟยาปีนขึ้นเกาะโต๊ะ ขยับเม้าส์ ดูจำนวนหน้าไฟล์นิยายในจอ “มีหน้าไม่ถึงห้าสิบหน้า แสดงว่าต้องเป็นระยะเวลาที่พัฒนางานนี้ก็จริง อาจจะเกินห้าปี ถึงได้ปิศาจอักษรใหญ่ขนาดนั้น แต่ก็ห้าสิบหน้าเชียวนะ ตัวปิศาจใหญ่อย่างเดียว ไม่มีลักษณะปรากฏซ้ำแสดงพลังพิเศษเฉพาะตัวอะไรเลย คิดว่าเป็นไปได้สำหรับงานที่คิดวนเวียนไปมาหลายปีเหรอ” กลับลงมานั่งย่อตัวมองร่างใต้โต๊ะ
ซากาทำหน้ายุ่ง “งั้นมันต้องมีความหมายว่าอะไรล่ะ”
“ก็...อาจจะเป็นประเภทที่แก้ใหม่ทีก็กลายเป็นเรื่องใหม่ มีจุดเชื่อมอยู่แค่ชื่อตัวละครเอก”
เห็นนิ้วกระตุก เขาพูดต่อ
“หรือไม่ก็ต้องมีความสามารถในการเขียนไม่มีมุกซ้ำอะไรกับใครเลยสักอย่างเดียว ซึ่งคุณสมบัติแบบนั้นก็คาบเส้นระหว่างเอกลักษณ์กับสื่อสารไม่ได้เลยแม้แต่น้อย”
เห็นหนังตากระตุก เขาพูดต่อ
“หรืออาจจะเพราะลักษณะปรากฏซ้ำจะไม่มีความหมายถ้าไม่มีบริบท ดังนั้นเป็นไปได้ว่าเขาเขียนงานได้ไร้เอกลักษณ์ ไร้แก่นเรื่องซะจนไม่มีอะไรให้องค์ประกอบยึดเหนี่ยวเป็นบริบทได้เลยตลอดเกือบห้าสิบหน้า”
“ต่อยกันเลยไหม ห้ะ ไอ้ห่านี่!”
เขาคว้าหน้าซากาไปรับเล็บข่วนแทนตัวเอง
พอหยามงานกับเจ้าตัวหนักเข้า อิทธิพลปิศาจอักษรเปลี่ยนจากกดให้หลับเป็นกระตุ้นให้ตื่นมารับรู้แทน ส่วนซากาทุรนทุรายกุมหน้าตัวเองอยู่กับพื้น คาฟยาถือเป็นกำไร เขามองหญิงพลเมืองธรรมดานั่งหอบแฮ่ก ทุ่มสุดแรงไปกับการระเบิดอารมณ์โกรธโต้กลับตะกี้นี้
“หรือไม่ก็ความเป็นไปได้อย่าง ไม่มีเนื้อเรื่องชัดเจน แต่มีข้อมูลที่กะใช้อ้างอิงสำหรับงานอยู่มหาศาล ก็อาจทำให้ปิศาจอักษรใหญ่เบ้อเริ่มแต่ไม่มีลักษณะปรากฏซ้ำเลยเหมือนกัน” เขาเจื้อยแจ้วต่อแม้พอบอกได้ว่าสองคนตรงนี้ไม่สนใจจะฟังแล้ว ซากากุมหน้าตัวเอง คาฟยาลุกขึ้น “จะเหตุผลข้อไหน ทางภาคีนักประพันธ์พึงวรก็ขอดำเนินการยึดอุปกรณ์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับงานของคุณเดฟบลากัน เพื่อลบตัวผลงาน จากนั้นจะทำการส่งคืนอุปกรณ์ในสภาพที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ ตามบทบัญญัติควบคุมปรากฏการณ์ปิศาจอักษรแห่งสหรัฐที่ 3” เขาถือโอกาสแจ้งสิทธิและอำนาจทางกฎหมายตามระเบียบ
“เดี๋ยวสิ! นี่มีปิศาจอักษร --”
“มองไปรอบๆ สิ”
เขาดันซากาให้หลบ ปล่อยเดฟบลากันลุกขึ้นกวาดมองรอบด้าน จับตาดูความเข้าใจเลือนหายไปจากตัวหญิงสาว
“...แต่ งานนี้เพิ่งเริ่มเขียนแค่สองเดือนเอง”
“งานหรือฉบับร่างที่สิบแปด”
“แต่มันก็ช่วยได้มาตลอดนี่! อบรมของภาคีก็อธิบายไว้เอง ขอแค่ทำลายตัวงานที่ไม่เสร็จก็พอ ฉันก็ทำทุกครั้งแล้วเริ่มเขียนใหม่ไง!”
“มองสภาพที่นี่แล้วยังกล้าพูดอีกเหรอว่าทำลายทั้งหมดจริง ไม่ได้ทำสำเนาย่อหน้าไหนเก็บไว้ใช้ซ้ำทุกดราฟต์เลย”
ซากาประเมินว่าเปล่าประโยชน์จะฟังบทสนทนานี้ เขาเริ่มขยับตัว เก็บกวาดทุกอย่างคณิตกรณ์ขึ้นมา
“เขียนเรื่องนี้มานานเท่าไรแล้ว”
แคนอน เดฟบลากันไม่ยอมตอบ
“โชคดีนะที่งานเขียนไม่สมบูรณ์ของคุณเทอะทะเสียจนอิทธิพลของปรากฏการณ์ดีดคนในตึกออกไปจากรัศมีอันตรายกันหมด”
คราวนี้มาเป็นหมัด เขาเอาหน้าซากาไปรับแทนอีกครั้ง
Comments (0)