จะให้เชื่อคนที่เอาปืนจ่อหน้ากันแบบนี้เนี่ยนะว่าแกห่วงสิทธิเสรีภาพการเขียนของเด็ก เหอะ

มันยิงจริง

 

ไอ้

เธอต่อยหมอนข้าง

ลิปิกร

เธอบีบหมอนข้างเขย่า

โรคจิต

เธอโยนหมอนข้างใส่กำแพง แล้วเดินหอบแฮ่กไปเก็บกลับมาไว้บนเตียงนอนของโรงแรม นาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์บอกเวลาตีสอง ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว หรืออย่างน้อยก็แยกย้ายกันอยู่ในห้องนอนของห้องชุด ความโกรธวิ่งพล่านทั่วตัว พยายามข่มตานอนเท่าไรก็ไม่ได้หลับเสียทีหนึ่ง แคนอนเดินต่อยอากาศไปมา ติ๊ต่างว่ามีหน้าบัดซบของลิปิกรรายนั้นอยู่ ตอนจะแหกปากกู่ร้องก็ต้องทำอัดหมอน ทั้งยังต้องคุมให้มีแค่กรีดอากาศจากลำคอ เนื่องจากยามปิดประตู ก็ยังพอได้ยินเสียงเดินเหยียบพื้นพรม ถ้าทำอะไรวุ่นวาย ต้องปลุกคนทั้งบ้านแน่แท้

แคนอนทิ้งตัวกลับลงนอนบนพื้น ยกฝ่ามือขึ้นดู สัมผัสตอนถูกยิงชัดเจนไม่เท่าตอนกระสุนพิ่งทะลุผ่านมือไป โดยเฉพาะเมื่อกว่าตนจะกล้ายกฝ่ามือขึ้นดูบาดแผล รอยกระสุนกลับหายไปแล้ว เหลือเพียงเลือดเปรอะมือสองข้าง นึกผวาว่าตนถูกทำให้เห็นภาพหลอนไปเอง ทว่าอีกฝ่ายกลับยืนอธิบายเสียงเนิบ น้ำเสียงชืดเชิด ประหนึ่งเป็นพระคุณยิ่งที่มันมีน้ำใจทำเช่นนี้ เรายกให้

ยกห่าอะไร --“

แผลไม่มีแล้ว แต่ร่องรอยกระสุนจะอยู่ให้แล็บแพทย์ของภาคีนักประพันธ์พึงวรตรวจสอบได้สองวัน ถ้าคุณเอาไปยื่นเรื่องกับทางภาคีก่อนรอยกระสุนหายไป เราจะโดนลงโทษตามระเบียบฐานทำร้ายพลเมืองและใช้อุปกรณ์สงวนเฉพาะของภาคีอย่างมิชอบ เขาเก็บปืนเข้าซอง ท่าทางไม่สนใจแคนอนแม้จะยังพูดพล่ามให้ฟังไม่หยุด รายงานเรา รายงานเรื่องชิ้นส่วนงานที่เหลืออยู่ หรือเอาทุกอย่างที่หลานวาดมาให้เรา เก็บทุกอย่างนี้เป็นความลับ แล้วแต่คุณ ความแน่นอนมีแค่ว่าถ้าปล่อยไว้ ไม่ทำอะไรกับผลงานที่หลานของคุณวาดทิ้งไว้ ปิศาจอักษรนี่ก็จะโผล่ออกมาอีก

สิ่งแรกที่ทำตอนกลับมาถึงโรงแรมคือโยนถุงขนมที่เธอคว้ามั่วซั่วให้พี่ชาย แล้วพุ่งตัวเข้าห้องน้ำ นั่งค้นหาผ่านทางโทรศัพท์มือถือว่าโทษสำหรับลิปิกรที่ทำร้ายพลเมืองและใช้อุปกรณ์ของภาคีโดยมิชอบคืออะไร เมื่อเห็นบทความประเมินโทษคร่าวๆ คือไล่ออกจากภาคีนักประพันธ์พึงวร กับจำคุกขั้นต่ำห้าปี ก็อดคิดมิได้ว่า (“เบากว่าที่ไคริเอลโดนแฮะ”)

แคนอนข่มตานอน บอกตัวเองว่าจะสดชื่นขึ้นพรุ่งนี้ ตอนเอาร่องรอยแผลไปรายงานภาคี

พี่ ถ้าลิปิกรทำร้ายคนทั่วไป ยังไงลิปิกรก็ต้องโดนลงโทษใช่มะ

สองพี่น้องเดฟบลากันเดินคุยกันไปบนทางเท้าในตอนเช้า

นั่นก็แล้วแต่สถานการณ์เหมือนกรณีทั่วไปแหละ คิดว่านะ ถ้าพิสูจน์ได้ตามนั้นก็ตามนั้น พวกนี้ต่างกับตำรวจหน่อยตรงลิปิกรไม่มีความจำเป็นต้องมาจัดการอะไรกับตัวคน นอกจากตอนยึดของไปตรวจสอบต้นฉบับ ซึ่งถ้ามีคนไม่ยอมให้ยึด จะแย่งกำทำได้แหละ แต่มีอีกทางคือไปแจ้งให้ตำรวจมายึดของให้แทน ดังนั้นถ้ามีการยืดเยื้อหรือต้องต่อสู้กันจริง เขาจะหาทางตรวจสอบว่าเป็นสถานการณ์ที่ลิปิกรไม่สามารถให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาดำเนินการได้แทนจริงไหม จงใจทำให้ต้องเกิดการปะทะแล้วทำร้ายพลเมืองรึเปล่า ควาจริงจังก็จะว่าไปตามความเสียหาย

แล้วถ้าใช้อุปกรณ์ของลิปิกรทำร้ายคนล่ะ

อันนั้นคิดว่าง่ายหน่อยมั้ง เคยได้ยินใช่ไหมว่าลูกกระสุนมันตรวจสอบไปถึงปืนกันได้ พวกลิปิกรใช้อุปกรณ์กันหลากหลายกว่าตำรวจ อุปกรณ์ทั้งหมดลงรหัสลำนำตรวจสอบย้อนรอยเอาไว้ อย่างถ้าโดนพวกผู้ตรวจตรายิงหน้าไม้พลาดมาโดน จะตรวจสอบได้ว่าคนไหนยิง ที่เหลือก็ต้องไปพิจารณากันว่าเป็นอุบัติเหตุ เป็นเหตุสุดวิสัย หรือสะเพร่า จากนั้นก็จะว่าโทษไปตามนั้น

งั้นถ้าตรวจสอบได้ว่าเอามายิงนอกเวลางานล่ะ

อันนั้นคงโดนประเมินว่ามีเจตนาใช้ในทางที่ผิดมั้ง ไม่รู้แฮะ ไม่เคยได้ยินมาก่อน ถามทำไม

ก็สงสัยขึ้นมา? เผื่อเอาไปเขียน?”

มันจะมีลิปิกรอุตส่าห์แบกอุปกรณ์ไปฆาตกรรมต่อเนื่องเรอะ

แล้วทำไมมันโดดไปฆาตกรรมต่อเนื่องอันดับแรกเลยยะ

เอ๊ะ ไม่ใช่รึไง

ไม่ใช่น่ะสิ!”

แคนอนผลักประตูร้านเข้าไปข้างใน โบกมือทักพี่เขยหลังเครื่องคิดเงิน พี่ ขอแพนเค้ก! เอาลิ้นจี้ปั่นแบบเนื้อลิ้นจี่เยอะๆ ด้วย!” เธอบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเสมือนตนเป็นน้องน้อยอย่างคล่องปาก ทั้งที่เธอกับลอว์รีทอายุเท่ากันไปถึงระดับความบังเอิญว่าเกิดวันเดียวกัน ทางลอว์รีทเองปกติก็ตามใจน้องภรรยามาตลอด ยิ่งเห็นเจ้าตัวร่าเริงหลังหมกตัวร้องไห้ในห้องนอนที่โรงแรมมาสองวันเต็ม ตอนนี้ยินดีใส่ลิ้นจี่ลูกแล้วลูกเล่าลงเครื่องปั่น

ที่นั่งริมหน้าต่างหน้าร้าน ให้เธอดูคนสัญจรได้อย่างที่ชอบ

เครื่องแบบดำแดงสามชุดเดินผ่านข้างโต๊ะไปจากข้างนอกร้าน หมู่นี้เห็นลิปิกรเยอะจังหญิงสาวบ่นพึมพำกับพี่ชาย ไม่ทันคิดว่าตัวคนในเครื่องแบบที่ว่าจะเปิดประตูเข้ามาพอดีเสียนี่

เสียงเครื่องปั่นตรงหลังเคาน์เตอร์บาร์กลางร้านหยุดลง แวบแรกหลงคิดว่าอาหารกับเครื่องดื่มใกล้มาเสิร์ฟแล้ว ทว่าพี่เขยกลับเดินออกมาจากด้านหลังเคาน์เตอร์บาร์มือเปล่า ทั้งยังไปหาลูกค้าใหม่สามคนนั้นแทนด้วยสีหน้าไม่รับแขก ข้างหน้าร้านติดแจ้งไว้แล้วนะครับ ทางเราไม่ให้บริการบุคคลในเครื่องแบบของภาคีนักประพันธ์พึงวร

ลิปิกรสามคนนั้นตัวสูงใหญ่ดั่งว่าคัดมาแล้วสำหรับยืนเบ่ง โดยเฉพาะคนที่ตอบลอว์รีท อ้าวเหรอ ไม่ทันมอง แปลว่าไม่คิดเงินหรือเปล่าเขาเดินชนลอว์รีทเข้าไปหยิบซองคุกกี้ในตะกร้าเหล็กใกล้เครื่องคิดเงิน แล้วปัดทั้งตะกร้าให้หล่นลงบนพื้น โอ๊ะโอ โทษทีนะ ผู้จัดการ

ซุ่มซ่ามจังว้า

สงสัยทำงานหนักจนเบลอ

เสียงหัวเราะขบขันกันเอง แคนอนยืนขึ้น หมายจะเดินเข้าไป ทว่าโดนไรท์คว้าหลังเสื้อ

จะชดใช้ค่าคุกกี้ไหมครับ

ใช้อะไร ก็ยังกินได้นี่ แค่แตกหน่อยเอง ไหนบอกจะไม่บริการพวกเราไง แล้วจะมาเอาเงินได้ไง

ค่าเสียหายไงครับ

ไหนเหรอ ความเสียหาย แล้วถ้าไม่จ่ายจะทำอะไร เรียกตำรวจเหรอลิปิกรคนตรงเครื่องคิดเงินชี้ยังป้ายบนประตูทางเข้าร้าน ข้างใต้คำแจ้งว่าไม่บริการให้ผู้สวมเครื่องแบบลิปิกร คือคำแจ้งคล้ายกันที่ติดมานานกว่าว่าไม่บริการให้ผู้สวมเครื่องแบบสันติบาล ที่นี่ไม่ต้อนรับตำรวจเหมือนกันนี่ แต่จะร้องไห้ไปฟ้องพวกมันรึไง เขาได้หัวเราะเยาะเอาสิ

พนักงานสี่คนแยกย้ายกันไปดึงม่านลงปิดกระจกหน้าต่างร้านทุกบาน

คิดว่าพวกเราทำยังไงเวลาพวกตำรวจแสดงสันดานแบบนี้เหรอครับ

พนักงานทั้งสี่เดินมายืนขนาบข้างลอว์รีท ต่างคนต่างหยิบไม้เบสบอลเหล็กออกมาจากหลังข้างใต้เคาน์เตอร์คนละมุม

...เฮะ?”

 

ไรท์ชี้ลิปิกรสภาพอ่วมสามคนที่โดนโยนออกไปจากร้าน เห็นปะ พวกลิปิกรไม่พกอุปกรณ์นอกเวลางานกันสักคน ทั้งที่ถ้ามี ใช้สู้ได้สบายๆ เพราะไม่สะดวกไง ทำตัวอันธพาลแบบนั้น ถ้าใช้อุปกรณ์ของภาคี มันโดนตรวจสอบร่องรอยง่ายเพราะลำนำในอุปกรณ์พวกนั้นพิเศษ ถ้าจะเขียนเรื่องพวกนี้แล้วไม่อยากโดนวิจารณ์ว่าชุ่ย ไปคิดมาก่อนเลยว่าทำไมตัวละครของแกจะใช้อุปกรณ์ของภาคีทำผิดกฎ

... เป็นฝ่ายเริ่มประเด็นนี้ไว้เช่นนั้นเองแท้ๆ แต่กลับสานต่อไม่ออกเนื่องจากมัวสงสัยสิ่งที่เพิ่งประจักษ์มากกว่าว่าเป็นความจริง หรือต้นเพ้อพกหาฉากต่อสู้อันร้อนแรงถึงขั้นคิดทุกอย่างเอง ไม่เคยทราบมาก่อนว่าพนักงานของร้านนี้จะใช้ไม้เบสบอลได้ไม่ข้องเกี่ยวกับกีฬาอย่างคล่องแคล่วฉมังกันขนาดนี้

พนักงานเก็บไม้เบสบอล  เช็ดมือ แล้วเดินมาเปิดม่านขึ้นพร้อมยิ้มเป็นมิตร ทั้งยังนำลิ้นจี่ปั่นกับแพนเค้กสองชิ้นโตโปะไอศกรีมวานิลลา ราดด้วยน้ำผึ้งกับซอสช็อกโกแลตมาเสิร์ฟด้วยกิริยานุ่มนวล บริการไร้ที่ติ

พี่ไรท์ ร้านพวกเราน่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ

ออกจะสุภาพเป็นมิตร กล้าคิดกล้าทำกล้านำเสนอ

...เค ถ้าพวกพี่ว่างั้น

พี่กับแคนอนมาร้านได้ไงแต่เช้าน่ะลอว์รีทลากเก้าอี้โต๊ะข้างกันมานั่ง ปากถามไรท์ สายตามองแคนอนซึ่งยากจะตื่นก่อนสิบโมงกว่าใครในบ้าน

เดี๋ยวฉันต้องแวะไปที่ภาคี เจ้านี่เลยขอมากินมื้อเช้าที่นี่ด้วยคน

ก็มื้อเช้าที่โรงแรมไม่มีแพนเค้กนี่นา ไม่ชอบโยเกิร์ตที่ต้องใส่แยมด้วย เธอบ่นกระปอดกระแปด บุฟเฟ่ต์มื้อเช้าของทางโรงแรมช่างอุดมสมบูรณ์ จัดเรียงสวยงาม มีทั้งเบค่อนกับมันฝรั่งอบ ถั่วต้มมะเขือเทศ ไส้กรอกธรรมดากับไส้กรอกพริก สารพัดเมนูไข่ สลัดเห็ดกับไข่ขาว ปลาสองชนิดอบเนยราดน้ำซุป ขนมปัง เครปไข่ใส่แฮม ซุปหน่อไม้ใส่ข้าวกับเครื่องเทศ นึกอยากถ่ายรูปอวดลงโซเชียลที่ไม่ได้บ่นเรื่องงานเขียนของตัวเองมาหลายวัน แต่พอสังเกตว่าไม่มีแพนเค้กไม่ว่าจะสั่งหรือทอดแป้งไว้สำหรับตักบนถาด กลับมีโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่เกลียด รายล้อมด้วยชามแยมห้าชนิด หญิงสาววัยยี่สิบแปดพลันเหลือแปดขวบทันใด สุดท้ายเลยโดนพี่ชายบอกให้นั่งที่ล็อบบี้อยู่สี่สิบนาที แล้วเดินมาร้านของครอบครัวด้วยกัน

แพงขนาดนั้นแท้ๆ

ใช่มะ

ทั้งสองคนพยักหน้าเห็นด้วยให้กัน

ก็เพราะแพงไง แทนที่จะกินให้คุ้มทุกวันไรท์ค่อนขอด เขาสั่งเพียงเครื่องดื่มประเภทนมเพราะเข้าไปกินมื้อเช้าในห้องอาหารโรงแรมให้คุ้มตามหลักการใช้เงินสำหรับช่วงพักอาศัยในโรงแรมสองสัปดาห์

เสกแพนเค้กออกมาสิ

ไปร้องเรียนเองไป๊คนพี่กระดกเครื่องดื่มหมดแก้ว หยิบผ้าเช็ดปากพลางลุกขึ้น ฉันไปภาคีก่อนแล้วกัน ถ้าจะเดินกลับโรงแรมด้วยกันก็รออยู่นี่

ไม่ละ เดี๋ยวกินเสร็จจะไปเดินเล่น

พกคีย์การ์ดห้องไว้กับตัวด้วยสิว้อย ถ้าอย่างนั้น

ก็กลัวทำหายเลยไม่อยากพกไง! ยังไงก็ไม่มีทางกลับห้องไปก่อนพี่หรอกน่า

ตามใจ กวักมือยอมแบบคร้านจะบ่นเรื่องพรรค์นี้ ไรท์ เดฟบลากันหยิบซองเอกสารที่วางพิงพนักหลังของเก้าอี้ตอนลงนั่งขึ้นมา เดินออกจากร้านไปตามลำพัง

นั่นพี่ไรท์จะไปทำอะไรที่ภาคีน่ะ

เวลาผลงานได้ตีพิมพ์ใหม่ ถ้ามีจุดแก้ไขปรับปรุงเยอะเกินหนึ่งในสาม ต้องพิมพ์ต้นฉบับที่แก้แล้วไปให้ภาคีเก็บ ที่นั่นเก็บข้อมูลงานที่เสร็จทั้งรูปแบบกระดาษกับเป็นไฟล์

นักเขียนต้องไปยื่นกันเองเลยเหรอ

พวกที่ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ก็ให้คนของสำนักพิมพ์จัดการแทนกันเยอะแยะนะ ส่งเมล์มอบอำนาจตัวแทนเอางี้ แต่ถ้าทำงั้น คนของสำนักพิมพ์จะเข้าถึงไฟล์ประวัติข้อมูลส่วนตัวที่ภาคีเก็บไว้ได้ด้วย พี่เขาไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยไปยื่นเองตลอด แคนอนตัดแพนเค้กกินกับไอศกรีม เหม่อมองท้องถนน เมื่อไรฉันจะได้มีคลังข้อมูลงานเขียนอยู่ในนั้นบ้าง...

ก่อนอื่นคงต้องเขียนให้เสร็จเนอะ

“…ขอไอศกรีมอีกลูก

ลอว์รีทไปตักไอศกรีมอีกลูกมาเพิ่มให้จริงแม้แคนอนไม่ได้คาดหวัง

จะว่าไป เห็นไอ้นั่นบ้างไหม

ไอ้ไหนล่ะ

นิทานที่เลเกนด์ทำเองไง ที่เขาชอบเดินถือไปมาทุกที่

ความเย็นของไอศกรีมเล่นงานสมองเข้าอย่างจัง แค่ความเย็นของไอศกรีมเท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นให้แคนอนเกือบเผลอกัดลิ้นตัวเอง

“…อ๋อ เออเนอะ ไม่ได้ปลิวไปกับตัวห้างเหรอ

ไม่มีทางหรอก เลเกนด์พกไปโรงเรียน อวดหน้าใหม่ที่วาดให้เพื่อนดูทุกวัน มันก็อยู่กับเขาตลอด ลืมแล้วเหรอ แต่เมื่อเช้าเกือบไม่ยอมไปโรงเรียนแน่ะ บอกว่าหาไม่เจอ ฉันต้องแกล้งถามว่าลืมไว้ที่โรงเรียนหรือเปล่า แต่คิดว่าไม่ เขาเก็บของตัวเองดีขนาดนั้น ทำของหายน้อยกว่าฉันอีก

ไม่ใช่เช่นนั้นจริงๆ ด้วย เพราะปึกกระดาษเย็บแม็ก เต็มไปด้วยจินตนาการของหลานที่ช่วยแต่งเรื่องด้วยกันกับเธอ โดนลิปิกรเพื่อนข้างบ้านฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยยัดเข้าลูกปัดผีสิงไปแล้วต่างหาก แคนอนทำเป็นว่าอาหารเต็มปาก ตอบไม่ได้ ส่วนในหัวคิดสารพัดล้านคำแก้ตัวสำหรับหลานคนโต

พอต้องมาอยู่ที่อื่นชั่วคราว อาจจะวางลืมไว้ตรงไหนก็ได้นะ ยังไม่ชินกับที่ทางอะไรงี้

ก็คงงั้น นี่ว่าพอพักเที่ยงจะวิ่งกลับไปหาอีกรอบ ฉันกลัวมันไปตกอยู่ไหนแล้วแม่บ้านโรงแรมจะกวาดไปทิ้งตอนมาทำความสะอาด เลเกนด์ร้องไห้บ้านแตกแน่ เขารักไอ้เล่มนั้นขนาดนั้นเนอะ เย็บกระดาษเพิ่มแล้วเพิ่มอีก เผลอแผล็บเดียว เด็กคนนั้นเล่นกับเล่มนั้นมาเป็นปีๆ แล้วเสียงนุ่มนวลทุ้มใจของชายหนุ่มทิ่มคนฟังพรุน รอยยิ้มเป็นปลื้ม แม้จะบ่นแต่พอนึกก็ต้องปลื้มทุกวินาทีกับงานอดิเรกยาวนานของลูกเลี้ยงช่างเจิดจ้าแทบจะมีรัศมีศักดิ์สิทธิ์สะอาดสะอ้านแผ่พุ่ง แผดเผาแคนอนที่ตอนนี้รู้สึกไม่ต่างจากสัมภเวสีชนักท่วมหัว

(“ขอโทษจากใจเลยนะ ลอว์รีท เลเกนด์”)

แคนอน ไหว้อะไรน่ะ

“…ไอ้นั่นไง ขอบคุณสำหรับมื้ออาหาร

 

ร้านหนังสือโหลปลาทองมีสองชั้น ทั้งสองชั้นมีพนักงานดูแลชั้นละหนึ่งคน การ์ตูนอัดแน่นเต็มชั้นล่าง วางแสดงปกอวดหราท่วมหน้าร้าน ส่วนหนังสือนิยายอยู่ข้างบน เจ้าของร้านไม่รับหนังสือที่อยู่นอกเหนือประเภทเรื่องแต่งมาขายที่นี่ แต่ถ้าเป็นหนังสือประเภทโค้ชชีวิตก็ไม่ยอมให้วางขายในนี้เช่นกัน แคนอนหยิบเล่มตีพิมพ์ใหม่ของผลงานเก่าสองร้อยปีขึ้นไปมาเทียบกับพวกผลงานอายุไม่เกินสิบห้าปี ความหนาและจำนวนเล่มที่มีความหนาเทียบเท่ากันไหวต่างเสียลิบลับ ยุคร้อยแปดวันมีนักเขียนไม่กี่คนจะเข็นงานยาวเกินสี่ร้อยหน้าขึ้นไปออกมาทันเวลาเก้าสิบวัน พี่ชายของเธอเองมีผลงานมากมายต่อเนื่อง ปีหนึ่งออกผลงานใหม่อย่างต่ำสองเล่ม นิยายของเขามักมีความยาวอยู่ระหว่างร้อยยี่สิบถึงสองร้อยกว่า

ไรท์ เดฟบลากันชอบเขียนเรื่องมาตั้งแต่เด็ก คนอ่านขาประจำคือพ่อ แม่ และน้องสาวคนเล็ก ส่วนน้องสาวคนโตวาดรูปเก่ง จึงมักวาดรูปปกให้แลกกับขอของหวานวันนั้นเป็นค่าตอบแทน กับคำสัญญาว่าจะไม่บังคับให้เธออ่านงานเขาด้วยอีกคน แคนอน เดฟบลากันคิดว่าตนชอบเขียนนิยายก็เพราะพี่ชาย ส่วนไคริเอล เดฟบลากันโทษว่าพี่ชายทำให้เจ้าหล่อนขยาดการอ่านตัวหนังสือเยอะๆ

แคนอนเลือกการ์ตูนออกใหม่เป็นตั้ง จ่ายเงินกับพนักงานของชั้นแรกแล้วฝากทั้งตั้งไว้ก่อนจะไต่บันไดขึ้นชั้นบน ลิฟต์ของร้านเล็กชนิดว่าขึ้นได้ทีละหนึ่งคนถึงจะหายใจสะดวก โต๊ะพนักงานบนชั้นสองตั้งข้างบันได ทีแกน รี้ด หญิงแว่นแปดเหลี่ยมเห็นหัวย้อมสีม่วงปนชมพูก่อนแคนอนจะทันวิ่งขึ้นมาเหยียบพื้นบนสุด เอ๊า แคนอน ไหนว่าเมื่อคืนจะไปที่นั่นไง ไอ้เราก็รอตั้งนาน

ฝ่ายลูกค้ารีบดึงพนักงานไปคุยกันตรงมุมลึกของชั้น เธอคว้าหนังสือเล่มหนึ่งเอาไว้ถือกลบเกลื่อน ฉัน...สะดุดลิปิกรตอนกำลังทิ้งร่องรอยปลอม

ทีแกนเบ้หน้า เอิ้ว เขียนตรงอำพรางไม่ดีเหรอ แล้วบอกมันไปว่ายังไง

ก็ไม่ได้ต้องบอกอะไร แค่สะดุด ไม่มีใครเจ็บอะไรนี่ ทดลองลำนำเล่นก็ไม่ได้ผิดกฎหมายสักหน่อย เธอโม้ไปเรื่อย แล้วเมื่อคืนเป็นยังไง มีใครพูดอะไรถึงฉันไหม

ก็ถามฉันกันใหญ่น่ะสิ ว่าเธออยู่ไหน โดนภาคีจับไปหรือเปล่า

ภาคีจับกุมคนได้ด้วยเหรอ!?

คิดว่าถ้ามันทำมันจะเปิดเผยกับสาธารณะไหมล่ะ เขากลัวเรื่องพวกนั้นกันนั่นแหละ ทีแกนลดเสียงลง แล้วจะเอายังไง จะไปวันนี้แทนไหม

คงไม่ ฉันไม่ใช่พวกครบยี่สิบสี่ชั่วโมงปุ๊บ ใช้ลำนำแปดเหลี่ยมได้เลยปั๊บ

แล้วเรื่องปิศาจอักษรล่ะ บอกว่ามีเรื่องอยากปรึกษาที่นั่นไม่ใช่เหรอ

เรื่องนั้น...

สันนิบาตนักประพันธ์พึงทุบ (The Vibrant Authors’ Association)

กลุ่มไม่มีทางเป็นทางการ เชื่อกันว่ามีสมาชิกเกินห้าหมื่นคนทั่วโลก และป่าวประกาศอย่างสม่ำเสมอว่าการควบคุมระยะเวลาเขียนงานไม่ใช่ทางออกของปรากฏการณ์ปิศาจอักษร ในแถลงการณ์หรือการกระทำใดๆ อ้างว่าโดยสันนิบาตไม่มีเนื้อหาออกไปทางจงใจก่อให้เกิดปิศาจอักษร พวกเขาเชื่อมั่นว่าจะต้องมีทางยุติปรากฏการณ์ได้พร้อมกับคืนอิสรภาพในการเขียนงานให้จบหรือไม่จบแก่ผู้เขียนงานทุกคน ข่าวลือที่มาที่ไปกลุ่มมีสารพัดสารเพ บ้างก็ว่าเป็นนักวิจัยเก่าจากแล็บสังคายนาปกรณัมที่โดนด้อยค่า เพราะไม่สามารถทำให้วงการยอมเปลี่ยนกรอบการวิจัยเรื่องปรากฏการณ์ปิศาจอักษรได้ บ้างก็ลือว่าผู้ก่อตั้งเป็นอดีตลิปิกรที่ไปรู้มาว่าแท้จริง ภาคีนักประพันธ์พึงวรกับรัฐบาลรวมหัวกันทำเรื่องสกปรก สมาชิกของสันนิบาตไม่มีใครมั่นใจว่าตนเป็นคนที่รู้มูลจริงสักรายเดียว อย่างน้อยก็ไม่ใช่สมาชิกที่แคนอน เดฟบลากันรู้จักหน้าค่าตา เรื่องจริงเกี่ยวกับสันนิบาตที่เธอทราบมีแค่ว่า ที่นี่มีข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์ปิศาจอักษรมหาศาล คลังข้อมูลสาธารณะของภาคีนักประพันธ์พึงวรกับแล็บสังคายนามีไม่มากเท่านี้ เธอถึงได้ไล่ตามหาสันนิบาตเพื่อเข้าเป็นสมาชิกอยู่สองปีเต็ม แล้วเจอเข้ากับทีแกนเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน

ทั้งที่กิจกรรมส่วนใหญ่วนเวียนอยู่กับบทความตามอินเตอร์เน็ต แสดงผลวิจัย ลอบติดตั้งศิลปะประท้วงไร้ตัวคนแสดงตามพื้นที่สาธารณะ รัฐบาลส่วนใหญ่กลับหมายหัวพวกเขาเป็นกลุ่มประเภทเดียวกับพวกหัวรุนแรงอย่าง สัญญาวันพรุ่ง’ (Procrastynatyre) เดิมเป็นแค่คำเรียกพวกนักเขียนซึ่งดังด้านเขียนงานไม่จบมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่สิบห้า ทว่าหลังปรากฏการณ์ปิศาจอักษรก็ทำให้เกิดกลุ่มที่เห็นว่านี่คือหลักฐานบอกว่างานที่เขียนไม่จบมีอำนาจสร้างผลกระทบต่อโลกได้มากกว่าเป็นแค่ตัวอักษรบนหน้ากระดาษ เกิดเป็นลัทธิเชื่อมั่นว่างานเขียนไม่จบคืออิสรภาพของนักเขียน และบทลงโทษของมนุษย์ นักเขียนขึ้นทะเบียนของภาคีนักประพันธ์เอง แม้คนของสันนิบาตชอบยืนยันว่าตัวจริงตนเป็นนักเขียนขึ้นทะเบียนกันหมด แต่อันที่จริง ตอนยื่นชื่อขึ้นทะเบียนก็โดนตรวจสอบว่าต้องไม่เกี่ยวพันกับกลุ่มพวกนี้ มิฉะนั้นจะถูกถอดออกจากทะเบียน และไม่ได้รับอนุญาตให้ลงทะเบียนนักเขียนเป็นเวลาสิบปีขึ้นไป ตอนที่แคนอน เดฟบลากันยื่นสมัคเข้าภาคีนักประพันธ์ เธอโดนตรวจสอบอยู่ร่วมสองสัปดาห์กว่าจะได้เข้าทดสอบและขึ้นทะเบียนเป็นทางการ

วิธีเข้าจุดนัดพบสันนิบาตต้องใช้ลำนำแปดเหลี่ยมทิ้งร่องรอยไว้ทั่วเมืองอย่างน้อยสามสิบนาที แล้วย้อนกลับไปที่จุดออกตัวเพื่อเจอตัวแทนสันนิบาตที่มารอรับ เขาจะนำทางไปยังทางลับซึ่งเปลี่ยนตำแหน่งทุกครั้ง แคนอนไม่รู้กระทั่งตัวสถานที่จัดชุมนุมเป็นที่เดิมหรือเปลี่ยนใหม่เช่นเดียวกับทางเข้า เพราะทางเดิน รูปร่างหน้าตาห้องไม่เหมือนกันเลย มีแค่ความสูงของเพดานที่เท่าเดิมเสมอ เพราะจะไปสักกี่ครั้งก็ให้ความรู้สึกว่าเพดานค่อนข้างเตี้ยและหนา มีแสงส่องสว่างจ้าโดยไม่มีหลอดไฟสักดวงเดียวให้เห็น

ที่จริง ลิปิกรที่มาจัดการปิศาจอักษรพอเดาได้ว่าทำไมถึงเกิดปรากฏการณ์ขึ้น แล้ว...ฉันไม่อยากให้เขาพูดถูก

หมายความว่าไง

เขาคิดว่ามันเกิดขึ้นเพราะฉันคัดลอกบางส่วนจากฉบับร่างเก่าๆ มาใช้ซ้ำต่อเนื่องกัน เลยเท่ากับที่จริงเลยระยะเวลาเก้าสิบวันไปนานแล้ว ดังนั้น...ถ้าไม่มีความหวังว่าอาจจะเป็นสาเหตุอื่น ฉันไม่รู้จะส่งข้อมูลอะไรอื่นให้กับทางสันนิบาต เพราะเรื่องนี้ก็ต้องลงในบันทึกสาธารณะของภาคีอยู่แล้ว

นี่ สันนิบาตน่ะ ไม่ได้มีขั้นมียศให้ต้องแย่งกันทำความดีความชอบหรอกนะ มันก็แค่ที่ที่ทุกคนมาช่วยกันหย่อนข้อมูลเท่านั้นเอง เหมือนเว็บบอร์ดเฉพาะกลุ่ม อย่าคิดมากเลย ลองแจ้งพวกเขาไปก่อนเถอะ ที่พวกเขาอยากได้คือข้อมูลดิบ ให้พวกนักวิจัยในนั้นหาทางวิเคราะห์กันเองเถอะ เผื่อลิปิกรวินิจฉัยผิด มันก็เกี่ยวกับชื่อและประวัติของเธอนะ ภาคีอาจไม่ให้ความสำคัญก็จริง แต่คนทั่วไปก็เข้าอ่านทั้งคลังข้อมูลของภาคีกับของสันนิบาตกันทั้งนั้น

(“ถ้าสันนิบาตรู้เรื่องนี้ โลกก็รู้ ถ้าภาคีรู้เรื่องนี้ โลกก็รู้”)

คำพูดชืดชานั่นตามหลอกหลอนอย่างไร้ความเกรงใจ

สันนิบาตไม่เหมือนภาคี ต่อให้ไม่มีกระดาษวาดเขียนเล่นของหลาน แค่เพียงแจ้งข้อมูลว่าสงสัยถึงความเกี่ยวข้อง พวกเขาย่อมเอาตัวแปรนี้ไปวิเคราะห์ด้วยแน่นอน

และถ้าสงสัยว่าความเกี่ยวข้องแม้เพียงนิดเดียว ก็จะระบุข้อมูลดังกล่าวลงในคลังข้อมูล เปิดเผยสู่สาธารณะ

ตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีปิศาจอักษรเกิดจากผู้เขียนอายุต่ำกว่าสิบแปดปี พวกเด็กๆ จนถึงปลายวัยรุ่น รวมถึงตัวเธอเองถึงได้สนุกกับการเขียนแต่งเรื่องได้ตลอด เขียนลงสมุด พิมพ์ลงในไฟล์โน้ตแพด เปลี่ยนไปพิมพ์ลงเว็บไซต์ พิมพ์ลงไฟล์เวิร์ด เริ่มซื้อโปรแกรมเพื่อการเขียนเรื่องโดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงอยู่ไฮสคูล มีผลงานของเด็กรุ่นมัธยมวางขายตามร้านหนังสือ หรือไปไกลถึงขั้นได้รับรางวัลเช่นกัน ผลงานที่ใช้เวลาเขียนสามปี ยาวเก้าร้อยหน้า มหากาพย์แฟนตาซีกลายเป็นภาพยนตร์ มีเสียงขื่นขมของพวกผู้ใหญ่เหน็บแนมว่าเพราะไม่ต้องเจอจำกัดเวลาเก้าสิบวันแบบพวกเขาอย่างไรเล่า พออายุถึงจะเข้าใจความทรมานเอง แต่ทุกคนก็ชื่นชมอยู่ดี

ยุคร้อยแปดวันคือยุคที่ผู้คนล้มเลิกความพยายามจะเขียนไปมากอย่างที่นักเขียนรุ่นเก่าซึ่งโตมากับยุคผัดวันเมื่อร้อยกว่าปีก่อนล้วนบอกว่าไม่เคยคิดจะมีสภาพสังคมเช่นนี้มาก่อน เป็นการเขียนที่มากับความรู้สึกผิดโดยไม่มีอะไรให้เติบโตจากสิ่งนั้นเลย พวกเขากล่าว มีแค่ให้คิดว่าทันหรือไม่ทัน ทำได้หรือไม่ได้ ทั้งที่เคยมีมากกว่านั้น

เพราะพี่สาวไม่ชอบงานเขียนเอาเสียเลย ไม่ชอบอ่านนิยาย เขียนยิ่งไม่ขอแตะขอเริ่ม เธอนึกภาพว่าลูกๆ อาจจะมีความชอบคล้ายพี่ แต่หลานกลับชอบฟังเธอเล่าเรื่องที่กำลังเขียน แล้วช่วยต่อเติมนั่นนี่อย่างกระตือรือร้น ขยันเขียนลงกระดาษยิ่งกว่าสมัยเธอเป็นคนอ่านหลักของไรท์เสียอีก

ถ้าความเป็นไปได้ว่าเด็กเล็กๆ เองก็ต้องเขียนงานให้จบ หรืออย่าเขียนเลยเสียดีกว่า...

อืม...ไว้จะคิดดูนะ ขอไปเรียบเรียงรายละเอียดก่อน

แคนอนแบกการ์ตูนที่ซื้อไปฝากไว้กับลอว์รีท แล้วรีบวิ่งออกจากร้าน

ข่าวลงรายละเอียดว่าลิปิกรจากโรงรวมเหตุสาขาไหนจัดการปิศาจอักษรที่ทำชุมชนห้างสรรพสินค้าเสียหาย หาชื่อลิปิกรเพื่อนบ้านจากห้องสนทนาในโทรศัพท์มือถือ ข้อมูลสมาชิกชุมชนเป็นความลับจากคนนอกเพื่อความปลอดภัย และเปิดเผยสำหรับคนในชุมชนกันเองเพื่อความปลอดภัย เธอไม่เคยสนใจจำว่าเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามชื่อเต็มว่าอะไร เพราะเขากวาดพื้นทางลาดสม่ำเสมอ แต่กลับไม่พูดคุยเข้าหาใคร ตรงข้ามกับคู่สามีภรรยาที่ขายพื้นที่สามชั้นให้เขาต่ออีกทอดคนละขั้ว เคเรอดวินจำไว้เลี่ยง ยากจะมั่นใจด้วยซ้ำว่าตอนรื้อชื่อมาดู เธอไม่ได้เพิ่งอ่านเต็มๆ เป็นครั้งแรกว่าเขาชื่อว่าคาฟยา เคเรอดวิน

ลิปิกรเคเรอดวินอยู่ไหมคะขณะถามก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่สังเกต จำไม่ได้เลยสักนิดว่าลิปิกรที่ออกมาต้อนรับเธอเพราะเห็นว่ามีคนนอกเดินดุ่มๆ เข้ามาคือชายคนที่ก่อกวนร้านของครอบครัวเมื่อสายนี้ หน้าเขาบวมม่วงหลายจุด ทั้งหน้าส่งกลิ่นฆ่าเชื้อฉุน

ซากา ไอ้เคเรอดวินอยู่ไหนชายคนนั้นหันไปถามคนตัวสูง ผมเปียที่เดินผ่านมาพอดี ปากคาบขนมอบชิ้นเบ้อเริ่ม เคี้ยวตุ้ยๆ

ชายผมเปียหันไปมองข้างในเข้าไปอีกของโรงรวมเหตุ ก่อนจะหยิบก้อนขนมในปากออกแล้วปาใส่หลังหัวคนผมดำแรงจนขนมชิ้นนั้นเด้งกลับมาในมือ จากนั้นก็เอาใส่ปากต่อหน้าตาเฉย เศษขนมปังร่วงกราวตัดกับสีผมดำสนิท แววตาอำมหิตปราดมองพลางเดินมาทางประตู ความเร็วที่เขาเอาหนังสือเล่มหนาเตอะฟาดหน้าชายผมเปียไวเสียแทบไม่ทันเห็นมือขยับ แคนอนจำไว้ถึงความเป็นไปได้ว่าพวกลิปิกรอาจจะเป็นพวกชอบความเจ็บปวดที่ใช้ลำนำเสริมร่างกายตลอดเวลาจริงอย่างเขาว่ากัน

คาฟยา เคเรอดวินมายืนตรงหน้าเธอ เขาสวมเสื้อกล้ามตัวโคร่งกับกางเกงคาร์โก้ ไหล่กว้างโดย ตรงหัวไหล่ที่ดูแบนพลอยทำให้ดูกว้างกว่าที่เป็น รูปร่างเขาเต็มไปด้วยลักษณะหลอกตาเมื่อเห็นแวบแรก ว่าผมดูสั้นกว่าที่เป็น ผิวสีอ่อนกว่าที่เข้ม ใบหน้าเรียวบอบบางเพราะเงาเส้นผมล้อมที่จริงแล้วคางกว้าง กรามตอบแหลม ดวงตาเดี๋ยวดูเขียวเดี๋ยวดูเหลือง มือใหญ่ที่จริงผอม เขาดูเด็กลงเทียบกับที่ผ่านมา (เขาเด็กกว่าเธอสองปี แคนอนทราบภายหลัง) สวมนวมเปลือยนิ้วมือพอง นั่นต่างหากที่ทำให้กำปั้นเขาใหญ่โต เขายังคงสูงเท่าเดิม แคนอนก็คิดไม่ยอมรับออกมาดังๆ เป็นอันขาดว่าตอนได้สติฟื้นมาเจอเขา เธอรู้สึกตัวหดกระจิดริด ในเมื่อตอนนี้แม้จะเห็นได้ชัดว่าเธอสูงเพียงระดับลาดไหล่อีกฝ่าย ก็ไม่ได้รู้สึกว่าขนาดตัวต่างกันนักหนา พี่ชายกับพี่เขย รวมไปถึงพ่อแม่เวลาเอ็ดตะโรเธอเรื่องตารางการนอนหลับต่างตัวพองกันกว่านี้นัก

ท่าทางตอนเท้าสะเอวให้รู้สึกตัวใหญ่ขึ้นกับเขาบ้าง จะบอกว่าติดเดฟบลากันคนพี่มาย่อมไม่เกินจริงเท่าไรนัก

ลิปิกรอีกสองคนแยกย้ายไปทางอื่น ไม่มีใครสนใจพวกเธอเท่าไรนัก หรือออกไปทางจงใจไม่มองมา ดั่งว่าถ้าสนใจเธอหรือไม่ก็เขา จะแพ้เกมสักเกมเอา

ทำไมถึงบอกฉัน แล้วถ้าฉันเดินเข้าไปในนี้แล้วรายงานเรื่องนี่เธอชูฝ่ามือข้างที่โดนยิงขึ้น กับหัวหน้าของคุณจริงๆ ล่ะ

คาฟยา เคเรอดวินเหลียวไปมองด้านหลังข้างในโรงรวมเหตุ ก่อนจะยกมือขึ้นชี้ตรงทางบันไดปีกขวา คนนั้นคือกัปตันแอลกอรี

นี่! ตอบที่ฉันถามมาก่อน

เมื่อวันก่อนเป็นครั้งที่สามเขากล่าวต่อ เริ่มถอดนวมออก ปรากฏการณ์ปิศาจอักษรที่มีความเป็นไปได้ว่าเกิดจากคนอายุต่ำกว่าสิบแปดปี เมื่อวานเป็นครั้งที่สามที่เราเห็นความเป็นไปได้นี้

 ไม่เคยมีข่าวคราวเกี่ยวกับความเป็นไปได้นี้เลย มีแต่เราที่เจอ ทั้งสองครั้งก่อนหน้านี้ ไม่มีคนเขียนที่เกินสิบแปดเกี่ยวข้องด้วยซ้ำ มีแค่เมื่อวันก่อนเป็นครั้งแรก ตลอดมาตกลงกับลิปิกรอีกสี่คนให้อย่ามายุ่งได้ แต่ข้อตกลงนั้นก็จบไปแล้ว คนที่ต้องทำงานด้วยนับจากนี้ก็ไม่ใช่คนที่เปิดเผยเรื่องนี้ด้วยได้ ไม่รู้จะมีลิปิกรคนอื่นค้นพบเรื่องนี้แล้วนำไปรายงานเมื่อไร ดังนั้นถ้าทำอะไรไม่ได้แล้ว โดนลงโทษแล้วล้มเลิกซะตรงนี้ดีกว่า

อย่างนั้นก็ลาออกไปเองสิ อย่ามายิงมือคนอื่น

ไม่อยากตัดสินใจเองน่ะ ยากออก

โอ้โห ไอ้เวรกำปั้นเกร็งแน่น แต่ถ้าต่อยมันต้องหลบได้แน่แท้ เธอไม่ได้เก่งกีฬา แม้พี่ทั้งหลายจะบอกว่ามือหนักในทุกด้าน เจอกับลิปิกรที่ฟาดหน้าลิปิกรด้วยกันไวปานนั้น มือหนักคงไม่ช่วยอะไร แล้วถ้าปิดเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ เกิดมีอันตรายขึ้นมาล่ะ แกพูดเองไม่ใช่เหรอว่าครั้งนี้แค่บังเอิญที่อิทธิพลปรากฏการณ์ย้ายคนอื่นออกไปหมดก่อน

บังเอิญที่ย้ายไปได้หมด เพราะบังเอิญที่ปิศาจอักษรไร้ลักษณะพิเศษแต่ตัวใหญ่เท่าตึกจะมีอิทธิพลขนาดนั้น แต่ปิศาจอักษรก็เหมือนเรื่องราวในหน้ากระดาษ สิ่งแรกที่มันทำลายคือฉาก หรือของในโลกพวกเราก็คือสิ่งของ วัตถุ สิ่งก่อสร้าง

พูดพล่อยๆ เรื่องนั้นไม่เห็นเคยได้ยินเลย แล้วเคยมีข่าวว่ามีปิศาจอักษรแทงคนด้วย

ปิศาจอักษรของผู้ใหญ่ก็ใช่ แต่ปิศาจอักษรของเด็กทั้งสามครั้งเป็นแบบนั้น เพราะพอผู้เขียนเป็นเด็ก ความเข้าใจของวัตถุกับความเป็นจริงของวัตถุต่างกันเกินไป ปิศาจอักษรรู้สึกขัดแย้งกับสิ่งรอบด้านเป็นอันดับแรก กลับกัน เพราะเป็นคน โดยเฉพาะเป็นเด็ก มนุษย์คนอื่นกลมกลืนในจินตนากรอย่างที่ไม่อาจหยั่งได้ รองจากนั้นคือ ที่เลือกวิธีตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะแบบนั้น ปรากฏการณ์จากเด็กอาจจะเกี่ยวกับตัวเราก็ได้ ถึงได้มีแต่เราเจออยู่คนเดียว ดังนั้นถ้าเรายังเป็นลิปิกรก็ช่วยได้ แต่ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป อย่างไรเด็กๆ ก็ต้องโดนควบคุมการเขียนด้วย ถึงตอนนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องให้เราเป็นลิปิกรต่อไป

ดวงตาที่จริงเป็นสีเขียวอมเหลืองนี่เอง

ป่าเขียวขจีในแสงยามสายที่ซ่อนอำพันเอาไว้

อยู่ๆ ก็นึกถึงอะไรแบบนั้นขึ้นมา อาจเป็นเพราะถ้อยคำมักง่าย สายลมอ่อนๆ พัดผ่านลำต้นไม้ในยามสายไม่เร่งรีบของวันก็ให้ความรู้สึกง่ายดายเช่นเดียวกัน

เวรจริงโว้ย ฉันยังเหลือเวลาตัดสินใจอีกเท่าไรนะ

เช้าวันมะรืน ร่องรอยที่มือจะไม่เหลือให้ตรวจสอบแล้ว คาฟยา เคเรอดวินชี้ย้ำ ส่วนงานที่เหลือของปิศาจอักษรตัวนั้น ดูจากการขยับของลูกบาศก์ ถ้าไม่เก็บชิ้นงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมารวมกัน ไม่ถึงสัปดาห์ ปิศาจอักษรคงโผล่มาซ้ำ

ไม่ถึงสัปดาห์นี่ยังไง หนึ่งวันก็ไม่ถึงสัปดาห์ย่ะ

อย่างมากห้าวัน

อย่างน้อยล่ะ?!”

ไม่รู้เขานิ่งไปแวบหนึ่ง ฝากรีบตัดสินใจเข้านะ

ไอ้ตัวไร้ความรับผิดชอบ!”