(ความรู้สึกหวาดระแวง)

คู่สามีภรรยาอายุมากที่เคยเจอกันเพียงครั้งเดียวตอนอายุสิบห้า ติดต่อมาหาเขาในวันจบหลักสูตรอบรมลิปิกรอย่างเป็นทางการเมื่อตอนอายุยี่สิบสี่ บอกว่าต้องการจะยกบ้านให้ เพราะทั้งสองจะย้ายไปอยู่กับครอบครัวของลูกชายเพื่อช่วยดูแลเด็ก ทั้งสองบอกว่านึกถึงเขามาตลอด ตอนนั้นพวกเราใช้เวลาด้วยกันเพียงวันเดียว แต่เราสองคนก็เอ็นดูเธอเหมือนลูกเหมือนหลาน แล้วบ้านตรงนี้เป็นความรั้นกับขัดแย้งระหว่างพวกเรากับลูกๆ เอง อยากจะรีบยกให้คนอื่น อธิบายไว้แบบนั้น ต้องการให้เขาได้ไปแม้คาฟยาจะตอบตามตรงว่า ตนไม่ขัดข้องจะรับน้ำใจไว้ ทว่าเขาไม่ใช่ตัวเลือกที่สะดวกสำหรับทั้งสองนัก เพราะเขาติดสัญญาเช่าอพาร์ตเมนต์อีกปีครึ่ง กระนั้นสองสามีภรรยาก็บอกว่าจะไม่ย้ายออกจนกว่าเขาจะย้ายเข้ามาได้

บ้านสามชั้นดัดแปลงจากร้านเบเกอรี่ชื่อดังประจำห้างสรรพสินค้า ทุกชั้นมีประตูทางออก ข้างหน้าตกแต่งให้เป็นกำแพงทึบ ด้านนอกแต่งหลอกตาเป็นอิฐกับปลูกไม้เลื้อยจริงปกคลุม ตำแหน่งอยู่ริมนอกสุด กระจกหน้าต่างบานกว้างติดแทนที่กำแพงฝั่งด้านหลังของตัวห้างสรรพสินค้า เผยทิวทัศน์ของตึก ลานน้ำแข็ง และสะพานข้ามแม่น้ำที่เต็มไปด้วยโคมไฟในยามค่ำ สามีภรรยาคู่นั้นทิ้งเครืองเรือนไว้ให้ด้วยมากมาย รวมถึงหนังสือเก่าเก็บ ทุกมุมทุกห้องแม้แต่ในห้องน้ำมีตั้งหนังสือวางตรงจุดที่แห้งที่สุด ฝุ่นกับเส้นผม กลิ่นกระดาษเก่า เนื้อหาข้างในเก่ายิ่งกว่า

เป็นบ้านที่อบอุ่นและสะดวกสบาย เพราะเดิมเป็นร้านขนบอบ ส่วนห้องครัวครบครันเกินขอ ผู้อาศัยคนก่อนอายุมาก ห้องอาบน้ำใช้แบบฝักบัว แต่งให้มีพื้นต่างระดับน้อยที่สุด ราวบันไดทุกชั้นมีราวแข็งแรงและกว้างพอให้วางของ เขาชอบปูหมอนกับผ้าห่มบนจุดพักกลางบันไดเพื่ออ่านหนังสือในบ้าน จากตรงนั้นมีพื้นที่พอให้พิงหลัง พาดเท้า และชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง

ช่วงเวลาในบ้านสามชั้น ตอนกลางวันช่างอบอุ่น สงบ สบายใจ ในยามที่เหงาขึ้นมา พอมองไปรอบด้านแล้วนึกถึงว่ามีคนแปลกหน้ารักมากพอจะมอบทั้งหมดนี้ให้ ก็เหมือนได้ยินเสียงสามีภรรยาคู่นั้นถามไถ่ว่าสุขภาพเป็นอย่างไร สุขสบายดีหรือไม่ นึกถึงอยู่เสมอมาและเสมอไป

แต่ช่วงเวลากลางคืนกลับไม่มีคืนไหนนอนเตียงสบาย มักจะต้องตื่นกลางดึก มึนงงว่าฝันร้ายหรือถูกอะไรปลุกตื่น แต่เดินสำรวจชั้นแรก แล้วย่องไปดูชั้นสองกับสามสักกี่ครั้งก็ไม่เคยเจอวี่แววสาเหตุเลยสักคืน

จนตอนนี้ กระทั่งที่นอนที่เคยหลับสนิทเวลาค้างคืนช่วงเข้ากะสี่สิบแปดชั่วโมงก็หายไป เขาสะดุ้งตื่นกลางดึกในห้องนอนของโรงรวมเหตุ รอบตัวข้างหนึ่งเป็นเตียงว่าง อีกข้างเป็นเตียงของสมาชิกร่วมสาขากำลังนอนส่งเสียงกรนผ่อนลมหายใจแผ่วเบา บรรยากาศเงียบสงบและเย็นฉ่ำตามประสาสภาพโรงรวมเหตุยามดึก

สัญญาณดังเหรอ คนในกะที่มางีบบนเตียงฝั่งตรงข้ามงัวเงียลุกขึ้นนั่ง

เปล่า

แล้วไปลงไปนอนต่อ ฟังเสียงหายใจ หลับลึกแทบทันทีที่หัวถึงหมอนอีกต่างหาก

ถ้าปฏิกิริยาต่อสัญญาณภัยเท่านี้จริง คงโดนส่งไปอบรมใหม่นานแล้ว

คาฟยาลงเดิน เปิดประตูออกไปยังทางเดินชั้นสอง เฮ้ เคเรอดวิน ดิไวน่า แมส ลิปิกรตัวเล็กยกมือเรียกเขาไว้  จุดโดดเด่นเตะตาแรกถึงกับเป็นเรื่องที่ว่าเธอรูปร่างเล็กกว่าคนอื่นในโรงรวมเหตุสาขานี้ ฝั่งสำนักงานฝากมาถามแน่ะ ลืมส่งข้อมูล ที่คั่น หรือเปล่า สามวันแล้วนะ เขาจำได้ว่าเธอมีเพื่อนสนิทในกลุ่มเจ้าหน้าที่นั่งโต๊ะ

อ๋อขานรับไว้ก่อน ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรกับมันดี คงจะผัดไปอีกสักวันหรือสองวัน

อ่าฮะเธอขานรับเนือยๆ มือหยิบโทรศัพท์ออกมากดพิมพ์ส่งข้อความ นี่ แล้วคนที่มาหานายเมื่อบ่ายน่ะ

ทำไม

ไปทำเขาท้องเหรอ

เอ่อ เปล่า?”

นั่นถามฉันกลับเหรอ

ตอบพร้อมถามมากกว่าถามทำไมแต่แรก

ชายหญิงตะโกนใส่หน้ากันว่าไม่มีความรับผิดชอบมันก็คิดได้ไม่กี่เรื่องน่ะนะ

คิดได้เป็นพัน

ก็ใช่ แต่คนชอบแบบนี้มากกว่า

ความชอบของคนอื่นไม่ได้เป็นภาระอะไรของเรานี่?”

ฮืม มาคิดดู นายชอบผู้หญิงด้วยซ้ำหรือเปล่าน่ะ

ยังไม่แน่ใจ แต่สำคัญตรงไหน ถ้าเราทำให้เขาท้องจริง บอกว่าเราไม่สนใจมีเซ็กส์กับผู้หญิงจะเปลี่ยนเรื่องนั้นเหรอ

แล้วนายทำเขาท้องจริงเหรอ

เปล่า

แมสไหวไหล่ เดินผ่านเขาไปในที่สุดเพราะการสนทนานี้หมดความน่าสนใจแล้ว คาฟยาคิดว่าไม่มีความน่าสนใจอันใดลงมาจุติแถวนี้แต่แรกด้วยซ้ำ

ลิปิกรผู้เขียนเก็บปิศาจอักษรที่ตนจับได้เป็นที่คั่นหนังสือเสียบเก็บในอนุทินน้ำหมึกที่พกติดตัวคนละเล่ม เริ่มจากทำลายข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับผลงานต้นกำเนิดปิศาจอักษรทางใดสักทาง ไม่ว่าจะลบดิจิตอลไฟล์ หรือทำลายกระดาษจดบันทึก ทุกอย่างจะรวมเข้าไปอยู่ในลูกบาศก์ จากนั้นพวกเขาต้องตัดแบ่งลูกบาศก์ออกเป็นสอง ส่วนหนึ่งส่งให้สำนักงานของภาคีนักประพันธ์พึงวรเก็บเข้าคลัง อีกส่วนนำมาแปลงเป็นที่คั่นโดยใช้อุปกรณ์ในห้องแท่นพิมพ์ คุณสมบัติของที่คั่นแต่ละชิ้นมาจากคุณสมบัติปรากฏซ้ำของตัวปิศาจอักษรผสานกับทักษะการสลักลำนำควบคุมเงื่อนไขการใช้ลักษณะปรากฏซ้ำของตัวลิปิกรผู้เขียนเอง ข้ออ้างทำนองว่า ยังนึกไม่ออกจะทำเช่นไรกับตัวนี้ดี จึงใช้อ้างได้มากพอสมควร ปิศาจอักษรที่มีลักษณะปรากฏซ้ำเป็นคุณสมบัติพิเศษนั้นง่าย แต่ตัวนี้โด่งดังข้ามสาขาโรงรวมเหตุไปแล้วเรื่องไม่มีลักษณะปรากฏซ้ำอะไรเลย แค่มีรูปร่างของตัวเองใหญ่โตมโหฬาร ปกคลุมด้วยเส้นยุ่งเหยิงเหมือนรอยขีดทับข้อความไม่เอา

ต่อให้แคนอน เดฟบลากันเลือกทางที่ทำให้คาฟยาเป็นลิปิกรต่อไป ชายหนุ่มยังนึกไม่ออกว่าตนจะทำเช่นไรกับปิศาจอักษรตัวนี้ดี

รวมถึงไม่ทราบว่าตนหวังให้เธอเลือกทางไหนแน่ การได้ยกให้คนแปลกหน้าตัดสินใจอย่างไร้ลังเลจึงเป็นสิ่งเดียวให้รู้สึกโล่งใจ

 

เธอมักนอนดึกเพราะมัวเล่นอินเตอร์เน็ต ทำสารพัดสารเพอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตั้งแต่หลังมื้อเย็น ขณะที่คนอื่นในครอบครัวยังนั่งใช้เวลาช่วงหัวค่ำกันในส่วนกลางของห้องชุด แคนอนเปิดประตูห้องนอนทิ้งไว้ฟังความเป็นไปจนกว่าทุกคนจะแยกย้ายเข้าห้องนอน ซึ่งกว่าเธอจะสังเกตว่าพ่อแม่เข้านอนแล้ว พี่ชายย้ายไปทำงานในห้องนอนของเขา พี่เขยกับป้าของพี่เขยพาหลานไปเข้านอนและไม่ย้อนกลับมานั่งดูโทรทัศน์ตรงโซฟา ส่วนใหญ่มักช้าไปจนกระทั่งคนพาเด็กเข้านอนก็หลับกันเรียบร้อย ไม่ทันได้ยินว่าข้างนอกเงียบสนิท ปกติเวลาอยู่ที่บ้านก็เป็นเช่นนี้มาตลอด ยกเว้นคืนใดที่เธอเป็นฝ่ายเข้านอนก่อนไรท์หรือนอฟเอล

ทว่าคืนนี้สมาธิของแคนอนแทบไม่อยู่กับอะไรก็ตามบนหน้าจอ นิ้วคลิกเม้าส์อย่างไร้จุดหมาย หูตั้งใจฟังว่าจะมีโอกาสให้ตนเด้งตัวคว้าข้ออ้างตามครอบครัวพี่เขยเข้าไปในห้องฝั่งของพวกเขาเมื่อใด เคียฟบลากันสี่คนพักบริเวณห้องที่แบ่งได้เป็นพื้นที่เล็กย่อยของห้องชุด ต้องผ่านประตูเชื่อมซึ่งเป็นประตูสองชั้นไปอีกทีในขณะที่เดฟบลากันอยู่กันตรงบริเวณพื้นที่ใหญ่ติดกับส่วนห้องนั่งเล่น โต๊ะอาหาร และครัว รูปแบบการใช้ชีวิตในบ้านที่ชุมชนห้างสรรพสินค้าเอง ต่างคนต่างไม่เดินเข้าห้องคนต่างนามสกุลโดยไม่มีเจ้าตัวอยู่ด้วยหรือได้รับไหว้วานให้ไปหยิบของขณะที่เจ้าของห้องไม่อยู่บ้าน เธอเดินปราดเข้าออกได้ตามใจชอบเฉพาะห้องของพี่ชายกับบุพการีเท่านั้น พอมาอยู่โรงแรมชั่วคราว พื้นที่จำเป็นสำหรับแคนอนเองอยู่ในบริเวณห้องใหญ่ทั้งหมด นึกไม่ออกจะเดินเข้าห้องส่วนของเคียฟบลากันอย่างไรดีโดยไม่ให้ดูผิดวิสัย

หลานสองคน เลเกนด์กับแอ็ดดา วิ่งผ่านหน้าประตูหนที่สาม พี่กำลังเล่นดึงรถที่มีน้องนั่งอยู่ ส่งเสียงเอิ๊กอ๊ากสดใสร่าเริง แวบแรกแคนอนคิดว่าหลานคนโตลืมเรื่องกระดาษผลงานไปแล้ว แต่นึกได้ก่อนว่าเพิ่งเคยเห็นรถลากนี่เป็นครั้งแรก พอลองมองพี่เขยก็สรุปได้ว่าต้องซื้อของเล่นให้ลูกเลี้ยงทั้งสองหยุดช่วยกันร้องไห้ที่นิทานชิ้นโปรดหายสาบสูญ รถของเล่นใหญ่พอสำหรับเด็กแปดถึงสิบขวบนั่งได้ คนน้องก็นั่งให้พี่ใช้หัวเกี่ยวติดเชือกข้างหน้าลากไปมาภายในห้องไปมา ตัวรถมีระบบไฟฟ้าให้เด็กโตขึ้นมาหน่อยอย่างคนพี่เอาไปขับเล่นข้างนอก ต้องแพงน่าดู

ปลุกใจตัวเองว่า เอ็งเป็นนักเขียนนะ แต่งเหตุผลมาสักเรื่องสิวะ แต่ก็นึกข้ออ้างเหมาะสมไม่ออก อันที่จริงการเลือกทำเป็นถามถึงนิทานที่หายไป เช่นชวนคุยว่าไม่ได้หายไปหมดใช่ไหม มีหน้าที่วาดเขียนเล่นไว้ยังไม่ได้เย็บรวมเพิ่มเข้าไปหรือเปล่าก็เป็นทางเลือกหนึ่ง ทว่า เมื่อนึกได้ว่าต่อให้เลือกทำอะไรต่อจากนั้น เธอก็ต้องทำลายหน้ากระดาษที่เหลืออยู่ดี จึงไม่อยากแสดงความสนใจของที่หลานจะร้องไห้ตามหาเพิ่มอีกพรุ่งนี้ กับผู้ใหญ่ด้วยกันอาจอธิบายได้ถ้าถูกเปิดโปง กับหลานนี่นึกออกเพียงตนจะโดนมองเป็นนางมารร้ายใจทรามไปอีกหลายวัน

ว่าไป ไม่ตกแต่งรถกันหน่อยเหรอลองตัวเลือกแรกพลางตกลงกับตัวเองว่าถ้าไม่ได้ หาจังหวะย่องเข้าไปตอนลอว์รีทจับเด็กๆ แปรงฟัน

เลเกนด์ หลานคนโตพักหยุด หันมองรถพลาสติกชิ้นหนาอย่างดี ส่วนคนน้องเพียงเตะเท้ารอให้พี่รีบลากรถต่อ

รถมันยังใหม่...

ก็ใหม่น่ะสิ

กลัวติดไม่ดี เดี๋ยวไม่สวยเลเกนด์ทำหน้ามุ่ย แคนอนซึ่งนั่งฟังอยู่ในห้องลอบกำหมัดแห่งชัยชนะซ่อนไว้ข้างต้นขา

ให้ติดให้มะ มีสติ๊กเกอร์ที่อยากติดสิ แบบนี้ ไหน ขอดูหน่อย อยู่ในห้องเปล่า เธอทำเป็นเอื่อยเฉื่อยลุกขึ้นทั้งที่อยากวิ่งเข้าห้องนอนของอีกฝ่ายใจจะขาด เลเกนด์ลากรถนำเข้าไปในห้องนอนซึ่งมีของของลอว์รีทไม่กี่อย่าง แต่ของเล่นของเด็กทั้งสองเต็มไปหมด ตรงโต๊ะกระจกมีตั้งกระดาษราวหกถึงเจ็ดแผ่นวางอยู่ใต้กล่องสติ๊กเกอร์สารพัดตัวการ์ตูน

แน่นอนว่าลูกไม้นี้แลกกับต้องนั่งเกร็งหลังกรอบ บรรจงติดสติ๊กเกอร์ทีละแผ่นให้ตามเลเกนด์กับแอ็ดดาชี้ประสงค์อยู่เป็นชั่วโมงกว่าทั้งสองจะพอใจ หญิงวัยยี่สิบแปดผู้นั่งหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์เป็นหลักนั่งพับเพียบ อ้อมมือไปกุมหลังตัวเอง ปล่อยหลานส่งเสียงเริงร่าเอารถออกไปอวดโฉมใหม่ให้ผู้ใหญ่ข้างนอกดู น้าหญิงฉวยจังหวะนี้ดึงปึกกระดาษเต็มไปด้วยลายมือตัวใหญ่ แต่งเรื่องไว้เหนือภาพวาดสีเทียนผสมสีไม้มาพับ ยัดเข้าใต้เสื้อ หนีบไว้กับขอบกางเกงวอร์มแล้วทำเป็นเดินยืดเส้นยืดสายตามออกมา

ตกดึก ประตูห้องปิด แคนอนหยิบกระดาษวาดเขียนของหลานออกมาดู น้ำลายในคอเหนียวแห้งขึ้นมาทันใดครั้งเห็นตัวละครหน้าตาเดิมๆ ยังอยู่บนกระดาษ อันที่จริงหลานคนโตวาดรูปเก่งขึ้นเยอะ ไม่มีมนุษย์ก้างปลาที่จุดเด่นให้จำว่าคือตัวละครเดียวกันอยู่ที่ผ้าคลุมแล้ว ตอนนี้มีหน้าตา เครื่องหน้า ลำตัวกับมือชัดเจน แม้มือจะเละ เท้าอยู่ท่าเดียวกันหมด แต่ก็มองออกหมดว่าอะไรเป็นอะไร หรือตัวละครกำลังถืออะไร ลายมือบนหัวกระดาษก็ตัวเล็กลง แถมมีสีเทียนเขียนอักษรตัวเบ้อเริ่มฝีมือหลานคนเล็กคอยเติมนั่นเติมนี่

เธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเอง ลองเล่าพล็อตนิยายให้หลานฟังเป็นนิทาน กลายเป็นว่านอกจากไม่ช่วยกล่อมนอน เลเกนด์ยังมีความคิดมาแต่งเติมเต็มไปหมด เธอไม่ได้เขียนเรื่องนี้ตลอดเวลา มีพักไปนานหลายเดือน ที่ยังหยิบมาเขียนบ้างก็เพราะเลเกนด์กับแอ็ดดา บางวันก็จะโพล่งขึ้นมาเองว่าตัวละครนักเดินทางสวมผ้าคลุมน่าจะต้องไปทำนั่นทำนี่ บางทีเธอฟังผ่านๆ บางทีเธอนึกฮึด เริ่มต้นเขียนต่อ ก่อนจะตัดสินใจลบทิ้ง มีเก็บส่วนถูกใจไว้เพียงไม่กี่จุด ใช้เวลานานพอดูกว่าจะเขียนได้สักย่อหน้าที่รู้สึกใช่จนต้องเอามาใช้ซ้ำๆ พอขึ้นร่างใหม่

ดังนั้นอย่างไร ปิศาจอักษรนั่นก็ควรเป็นความผิดของแคนอน เดฟบลากันคนเดียว ของเธอเท่านั้น...

แต่ปิศาจอักษรก็อาจจะเกิดขึ้นอีก ถ้าเกิดขึ้นตรงนี้ ขณะส่วนหนึ่งของต้นฉบับอยู่ในมือจะเป็นอย่างไร คนในโรงแรมรวมถึงครอบครัวจะโดนอิทธิพลเคลื่อนย้ายไปยังที่ปลอดภัยตามเดิมหรือเปล่า ลิปิกรคนนั้น คาฟยา เคเรอดวินเชื่อถือได้สักขนาดไหนเชียว เขาดูมั่นใจว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่รู้ถึงความเป็นไปได้นี้ เพ้อเจ้อ คือคำแรกในหัว จนกระทั่งแคนอนค้นอินเตอร์เน็ต ค้นคลังข้อมูลทั้งสองกลุ่มแล้วพบว่าไม่มีใครอื่นพูดถึงเรื่องนี้เลยสักคนเดียว นอกจากความเชื่อผิดๆ ว่าอายุขั้นต่ำของคนที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ปิศาจอักษรเคยเป็นยี่สิบห้าปีบ้าง สามสิบปีบ้าง ก่อนจะลดลงเหลือสิบแปดปี ไม่มีใครพูดถึงว่ามีเด็กเล็กทำให้เกิดปิศาจอักษรได้ นอกจากพวกคำพูดหยอกเล่นตามกระทู้ ประมาณว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี คงวุ่นวายแน่ ต้องเลิกผลิตอุปกรณ์เขียนได้ให้เด็กใช้เลยกระมัง

แคนอนยืนถือปึกกระดาษนั้นไว้ มือสั่นฉีกไม่ลง แต่ให้ถือไว้เช่นนี้ก็รู้สึกระแวงว่าจะมีอะไรพุ่งออกมาได้ทุกเมื่อ ถ้าฉีกไว้ก่อน อย่างไรก็คงมีปิศาจอักษรปรากฏขึ้นมาได้ แต่ถ้าฉีกแล้วลิปิกรคนนั้นพูดไม่จริง เธอก็ทำลายงานชิ้นโปรดของหลานไปอย่างไร้ประโยชน์

งานที่เริ่มมาจากเธอเอง งานที่ไม่เสร็จ ไม่เคยให้ใครอื่นได้อ่าน

คนติดตามงานนี้ของเธอมีเพียงสองคน และพวกเขาชอบมันมาก

ถ้าฉีกไป ไม่เพียงเด็กสองคนจะร้องไห้โฮอีก แต่จะเลิกเขียนถึงไปเลยหรือเปล่า จะเลิกสนใจพล็อตเรื่องนี้ ตัวละครนี้แล้ว สักพักพวกเขาก็คงลืม หรือถ้าเลเกนด์ชอบเขียนจริงๆ ต่อไปก็คงจะไปหานิทานหรือนิยายอื่นเป็นเรื่องเป็นราวมาอ่าน งานที่เขียนเสร็จ รวมเล่ม มีปก มีชื่อผู้แต่งอยู่บนปก มีตัวละคร มีต้น กลาง จบ

จะไม่มีใครมารักงานไม่เป็นชิ้นเป็นอันของเธออีกแล้ว

แคนอนเม้มปากแน่นพร้อมฉีกกระดาษทั้งหมดในทีเดียว

ใครสักคนเคาะประตูห้อง ดั่งว่ารออยู่ แคนอนสะดุ้งโหยง รีบเอากระดาษทั้งหมดซ่อนใต้ผ้าห่ม แคนอน ตื่นอยู่ไหมเสียงลอว์รีท เธอรีบกวาดมองให้แน่ใจไม่มีเศษกระดาษเหลืออยู่ค่อยไปเปิดประตู

พี่เขยหน้านิ่วคิ้วขมวด พูดถามเสียงเบา เมื่อกี้ตอนเข้าไปติดสติ๊กเกอร์ เห็นพวกกระดาษวาดนิทานของเลเกนด์ไหม

อ้าว ก็หายไปไม่ใช่เหรอ

ไม่ พี่หมายถึงส่วนใหม่ที่เขาเขียนเพิ่มน่ะ มันวางอยู่ในห้อง พี่ซ้อนไว้ใต้กล่องสติ๊กเกอร์เอง แต่ตะกี้ตอนเก็บกวาดของ มันหายไปแล้ว

เอ...ฉันก็ไม่ทันสังเกตด้วยสิ พวกเลเกนด์ทิ้งไปแล้วรึเปล่า ก็ส่วนแรกหายนี่นา

ไม่นะ เขาพูดเองจะวาดทั้งหมดใหม่ จะได้เอาที่เหลือเย็บเข้าไปทีหลัง

ทุกอย่างช่างลงตัวเสียจนอดคิดไม่ได้ว่าเธอโดนลิปิกรสารเลวแถวนี้จัดฉากให้ต้องปวดใจ

แต่ที่จริง มีอีกอย่างที่พี่อยากถาม ลอว์รีทลดเสียงเบาลงอีก ไม่น่าเชื่อว่าคนเรากระซิบเบาได้เท่านี้แล้วยังฟังกันรู้เรื่อง แคนอนนึกทึ่งจนกระทั่งได้ยินเขาถามสิ่งที่ว่า เธอก็ลืมเรื่องอะไรน่าทึ่งไปเลย มีเพียงน่าตื่นตกใจ แคนอน ไปทำอะไรที่โรงรวมเหตุน่ะ

แคนอนตาเหลือกเงยหน้าขึ้นมองผู้ถาม พี่รู้ได้ไง

พี่ตามไปน่ะสิ อยู่ๆ ก็มาทิ้งการ์ตูนไว้ในร้านแล้ววิ่งออกไปแบบนั้น พนักงานในร้านยังตกใจเลย มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า รึว่าลิปิกรพวกนั้นทำอะไรกับคอมพิวเตอร์ที่ยึดไป บอกพี่ไรท์หรือยัง

เปล่า ไม่ใช่ คือ --”

หรือโดนพวกนั้นหาเรื่องอะไร พวกมันอ้างอะไรไม่ต้องไปฟังนะ บอกพี่ไรท์เท่านั้น พวกมันหาเรื่องไปงั้นแหละเพราะไม่พอใจ ที่จริง มีลิปิกรมาพูดจาไม่ดีถึงแคนอนที่ร้าน พี่เลยหลุดปากบอกไปว่าแคนอนเป็นน้องของเมียพี่เอง แล้วไล่ไม่ให้ลิปิกรมากินที่ร้านพวกเรา

เฮะ ลิปิกรคนไหน ที่ไปหาเรื่องที่ร้านตอนเช้าน่ะเหรอ

เปล่า คนที่ว่าสูงประมาณนี้เขาวัดด้วยมือเทียบว่าเป็นคนตัวสูงกว่าแคนอนไม่มาก เจาะหู แล้วก็ไถผมข้างเดียว

ไม่ใช่คาฟยา เคเรอดวิน ไม่ใช่คนผมเปียที่อยู่กับหมอนั่นตอนนั้นด้วย ความรู้สึกตื่นตัวว่าตนอาจจะเดาเจตนาชั่วร้ายถูกฟีบลง

ไม่มีอะไร ไม่เคยเจอคนนั้นเลย วันนี้คือ แบบ เพื่อนน่ะ เพื่อสนิทสมัยประถม แต่ห่างกันไปตอนขึ้นมัธยม เพิ่งมารู้วันนี้ว่าเขาเป็นลิปิกรอยู่สาขานั้น เลยรีบไปเจอมา แล้วก็ไหว้วานให้เขาคอยช่วยดูเรื่องคืนคอมพิวเตอร์ให้ที

คนที่แคนอนยืนคุยด้วยหน้าโรงเนี่ยนะ นั่นไม่ใช่คนที่อยู่บ้านตรงข้ามพวกเราหรอกเหรอ ไม่เคยเห็นเข้าไปทักกันนี่นา

แคนอนชะงักไปครู่หนึ่ง พี่ดูอยู่ขนาดไหนน่ะ

ก็ตอนแรกเห็นแคนอนคุยกับคนที่มาหาเรื่องในร้าน เลยจะเข้าไปแล้วละ แต่หมอนั่นไม่ทำอะไร แล้วตามอีกคนออกมาแทน เลยยืนรอดูอีกแป๊ปนึง เห็นว่าไม่มีอะไรเลยกลับร้านก่อน นี่มีเรื่องอะไรกันแน่

ไม่ๆ แค่จะได้รู้ว่าพี่เห็นคนไหนกันแน่ คนนั้นที่พี่เห็นคือคนที่บ้านอยู่ตรงข้ามพวกเราในห้างนั่นแหละ เขามาคุยด้วยระหว่างฉันรอคนไปตามเพื่อนให้ เพราะเขาเป็นคนมาจัดการปิศาจอักษรวันนั้นแล้วเจอกับฉันน่ะ เลยคิดว่าฉันมีธุระกับเขา พอเพื่อนฉันมาเขาก็เดินไปทันทีเลย

ลอว์รีทมีสีหน้าเข้าใจมากขึ้น งั้นหรอกเหรอ แต่ยังไงช่วงนี้อย่าไปใกล้โรงรวมเหตุมากจะดีกว่านะ ไม่รู้พวกจะมีพวกนั้นหาเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า ที่จริงพี่ยังไม่ได้บอกคุณพ่อคุณแม่เรื่องนี้เลย

ข้างในอกโล่งปลอดโปร่งที่หัวข้อสนทนาเปลี่ยนเสียทีหนึ่ง

บอกไม่บอก พ่อกับแม่ก็ไม่ว่าหรอก เขาไว้ใจพี่ลอว์รีทเรื่องร้านสุดแล้ว พี่ว่าอะไรดีกับร้านก็ดีทั้งนั้นแหละ ก็คนอื่นในบ้านบริหารอะไรไม่เป็นกันสักอย่าง

ชายหนุ่มทำสีหน้าสื่อประมาณว่าตระหนักถึงข้อนี้เป็นอย่างดี สถานะพ่อบ้านเฝ้าเรือนถึงได้กลายเป็นอดีตอันแสนไกลโพ้นเช่นนี้ ปาฏิหาริย์โดยแท้ที่นายและนางเดฟบลากันรักษากิจการร้านมาได้เองก่อนหน้านี้ แต่นั่นย่อมไม่พ้นว่าเพราะได้เงินกับเส้นสายของลูกสาวคนโตช่วยเอาไว้

ถ้ายังไงก็ ราตรีสวัสดิ์นะ พี่!”

 

ยังไงก็ อรุณสวัสดิ์นะ แคนอน

พี่เขยยื่นขามาขัดขาน้องภรรยาเสียเกือบหน้าทิ่มปักถนนตอนเช้าสาง ขอบท้องฟ้าหมอกนวล ไฟตามทางถนนปิดหมดแล้ว แคนอนทรงตัวได้ทัน หันมองลอว์รีทยืนจังก้า

เฮะ...

พี่โกหกน่ะ ที่จริงยืนดูจนแคนอนเดินกลับออกมานั่นแหละ ดังนั้นไม่ได้ไปเจอเพื่อนจากสมัยประถมที่ว่าเนอะ?”

รอยยิ้มยะเยือกแย้มประดับปาก แคนอนผงะ

สรุปไปทำอะไรกันแน่ แคนอน นี่ก็จะไปที่โรงรวมเหตุอีกแล้วใช่ไหม ถ้าเกี่ยวกับเรื่องสันนิบาต พี่จะฟ้องพี่ไรท์นะ ลอว์รีทไม่ทราบมากนักเกี่ยวกับวงการหรือความสัมพันธ์ระหว่างนักเขียนกับภาคีนักประพันธ์พึงวร เข้าใจเพียงว่าถ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องพึ่งพาความเห็นของไรท์ เดฟบลากัน หรืออย่างน้อยภรรยาก็บอกไว้เช่นนั้น เจ้าหล่อนเป็นคนแนะนำคนในครอบครัวเดฟบลากันกับเขาเอง โดยเรื่องของน้องสาวที่ชอบย้ำถึงนักหนา คือเรื่องที่แคนอน เดฟบลากันหมกมุ่นอยู่สองสิ่งควบกัน เป็นนักเขียน กับตามหาทางเข้าร่วมสันนิบาตนักประพันธ์พึงทุบ

ไม่มีใครในบ้านทราบเรื่องเธอเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มนั้นไปนานแล้ว เธอโอดครวญเรื่องหาทางติดต่อสันนิบาตไม่เจอ พอหาเจอก็แสร้งโอดครวญต่อ เล่นละครเดิมไม่เปลี่ยน

เดี๋ยว ไม่ใช่เลย ไม่ใช่สักนิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องสันนิบาต ฉันจะไปหาพวกลิปิกรทำไม

ลิปิกรนี่แหละ มีข้อมูลเรื่องสันนิบาตเยอะสุดแล้ว

เออแฮะ ก็อาจจะจริงอย่างไร เคเรอดวินก็ดักจับเธอระหว่างขั้นตอนการเข้าสถานที่ของสันนิบาตได้อย่างง่ายดาย แคนอนรีบเสริมครั้งสังเกตว่าพี่เขยทำสายตาระอา สื่อว่า นั่นไง ว่าแล้วเชียว’ “เดี๋ยว ไม่ใช่! นั่นไง ที่จริงหมอนั่นนั่นแหละ เพื่อนจากสมัยประถมที่ว่า ฉันแค่ไม่อยากยอมรับว่าอยู่บ้านตรงข้ามกันมาเป็นเดือนๆ แล้วจำกันไม่ได้

ไม่มีทาง

ผู้คนพูดเสมอว่านักเขียนนั้นโกหก

ไม่ได้หมายความว่าโกหกเก่งกันหมด

คาฟยา เคเรอดวินไม่มีทางเป็นเพื่อนสมัยประถมของใครได้หรอก

หญิงสาวนิ่งไป จากนั้นค่อยๆ ย่นหัวคิ้วมองหาความหมายในประโยคที่ลอว์รีทดูเลือกมาดีเกินเหตุสำหรับบทสนทนาจับผิดกันในตอนเช้าตรู่เช่นนี้

แคนอน ไม่เคยค้นชื่อเขาเลยใช่ไหม

ค้นทำไม แล้วพี่ค้นรึไง

พี่ค้นทุกคนที่พักในห้างทั้งนั้นแหละ

“…ทั้งห้างมีคนอยู่กี่คนน่ะ เกือบแปดร้อยนะ เกือบแปดร้อยไม่ใช่เหรอพื้นที่กว่าห้าล้านตารางฟุต ร้านที่กลายเป็นบ้านเกือบสามร้อยห้อง

พี่ค้นทุกคน ทั้งค้นชื่อในเน็ตกับค้นพวกบันทึกประวัติอาชญากรรมด้วย ก็ต้องคอยดูไว้สำหรับดูแลพวกเด็กๆ นี่นา

ไม่อะ ฉันยังไม่เคยค้นใครในชั้นเดียวกันเลย

เขาไม่สนไม่ตอบโต้เรื่องนั้น หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพิมพ์บางอย่างแล้วค่อยส่งให้แคนอนรับไปดู

เข้าใจแล้วใช่ไหม

แคนอนจ้องแต่ละตัวหนังสือบนหน้าจอสัมผัส พยักหน้าผงกหัวช้าๆ

มีธุระอะไรกับเขากันแน่

ถึงตรงนี้ เธอเลยตัดสินใจบอกทุกอย่างแก่ลอว์รีทไป