3 ตอน ตรงกลางระหว่างนักดับเพลิงกับตำรวจ
โดย pynox
‘ความรู้สึกของการได้เอางานเก่าที่เขียนค้างไว้เป็นปีๆ มาเขียนต่อเมื่อไรก็ได้นี่เป็นยังไงเหรอคะ’
นักเขียนชราวัยร้อยสามสิบสองปียิ้มให้กล้อง ดวงตาอ่อนโยนและมีความสุขพอได้นึกถึงประสบการณ์เขียนนิยายช่วงก่อนปี 1905
‘ใช่’
แม้จะมีประกันช่วยเร่งกระบวนการฟื้นฟูความเสียหาย ก็ยังใช้เวลาสองสัปดาห์เต็มกว่าจะกู้คืนและซ่อมแซมที่พักอาศัยให้เหมือนเดิมได้ ทางภาคีนักประพันธ์พึงวรจัดหาที่พักอาศัยชั่วคราวให้ผู้เสียหายทุกคน รวมถึงตัวนักเขียนเจ้าของผลงานต้นกำเนิดปรากฏการณ์ กระแสตอบรับส่วนใหญ่ออกไปในตางตกตะลึงที่มีปิศาจอักษรใหญ่ขนาดนั้นมากกว่ากล่าวโทษ อย่างไรเมืองก็เต็มไปด้วยลำนำคุ้มกันภัย ผู้คนจดประกันสิ่งของเครื่องใช้เอาไว้กรณีเกิดความเสียหายแบบนี้ ยิ่งถ้าเป็นนักเขียนขึ้นทะเบียน มีคนของภาคีมาดูแลชดเชยแทนแทบทุกด้านที่เป็นไปได้ ยิ่งลดเสียงตำหนิก่าด่าว่าก่อปัญหา
กระนั้นแคนอน เดฟบลากันก็ยังไม่อยากลุกจากเตียง เพราะพอคิดว่ารู้สึกดีขึ้นแล้ว เมื่อลุกขึ้นนั่งก็อยากร้องไห้อีกรอบ ได้แต่ทิ้งตัวลงกอดหมอน ร้องไห้ต่อสลับกับนอนหลับ แล้วก็คิดว่าทำใจได้แล้ว จากนั้นก็ทำซ้ำใหม่ทุกอย่าง
บิดามารดารวมถึงพี่ชายผลัดเวียนกันมาเรียกให้ลงไปกินอาหารหรือไล่ไปอาบน้ำแปรงฟัน พวกเขาปฏิเสธเงินช่วยเหลือสำหรับที่พักอาศัยชั่วคราวจากภาคีเพื่อเข้าพักในโรงแรมที่เลือกกันเอง
ตอนลุกโกยเศษผมร่วงบนเตียงมาทิ้งสักครั้ง ไรท์ เดฟบลากันผู้เป็นพี่แวะเข้ามาหาในห้องนอนอีกครั้งของวันพอดิบพอดี “ออกมากินอะไรได้แล้ว”
พออ้าปากแค่จะบอกอย่างเอาแต่ใจว่าไม่อยาก น้ำตาก็ท้นอีกรอบ “แคนอน ไม่เอาน่า เลิกร้องได้แล้ว เดี๋ยวก็ขาดน้ำหรอก”
ยิ่งร้องหนักกว่าเดิม เศษผมเกาะติดเต็มแก้มเหนอะหนะ “ก็มัน...ก็มัน...ทำไมต้องเป็นงานของฉันด้วย”
“แกลืมหรือเปล่าเนี่ย ฉันก็เคยทำให้ปิศาจอักษรโผล่มานะ เป็นนักเขียนก็มีเขียนไม่ทันกันทั้งนั้นแหละ เมื่อก่อนคนเราเขียนงานที ใช้เวลาเป็นปีๆ บางคนเขียนเรื่องเดียวเป็นสิบปียังไม่เสร็จเลยมั้ง เดี๋ยวนี้พวกเราต้องทำให้เสร็จภายในสามเดือน มันก็ต้องมีบ้างแหละ ทุกคนก็เข้าใจ ไม่งั้นป่านนี้มีกฎหมายห้ามเขียนนิยาย บังคับให้เขียนเป็นการ์ตูนให้หมดไปแล้ว ไปแปรงฟันสักที ฟันผุหมด”
เขายืนมองน้องสาววัยยี่สิบแปดแปรงฟันในห้องน้ำโรงแรมทั้งน้ำตาร่วงเผาะๆ ภาพซ้อนทับกับเวลาตนต้องช่วยน้องเขยจับหลานสมัยเล็กกว่าตอนนี้แปรงฟัน จะคนพี่รึคนน้องก็ดิ้นพราดจนผู้ใหญ่ตัวโตสองคนหอบ
“พ่อกับแม่ล่ะ”
“ไปที่ร้านแล้ว” นายและนางเดฟบลากันมีกิจการร้านกาแฟซึ่งทั้งสองแทบไม่ได้บริหารเองแล้ว แต่ชอบไปนั่งเป็นมาสค็อต ชวนลูกค้าโดยเฉพาะพวกที่มาเพราะเป็นแฟนผลงานลูกชายคนโต ไม่ก็แฟนคลับยากจะเข้าใจของลูกสาวคนโตที่เป็นอาชญากรคุยกันเจื้อยแจ้ว ของขายดีประจำร้านคือกาแฟ ขนมอบ และจดหมายไคริเอล เดฟบลากัน (ได้รับความยินยอมจากเจ้าตัวแล้ว) (เจ้าตัวนั่นแหละคนบอกให้เอาไปประมูลขายทุกวันอาทิตย์) พอหญิงสาวคิดว่าตอนนี้ตนคงไม่พ้นโดนรวมเข้าไปอยู่ในบทสนทนาที่ร้านแห่งนั้นด้วย ก็อยากนั่งกอดเข่าร้องไห้ต่อ “ไม่เอาน่า ไม่มีใครว่าอะไรสักหน่อย”
“ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ดันมีประวัติทำลายตึกทั้งหลังเนี่ยนะ” แคนอนพูดขึ้น เดินคอตกออกมาจากห้องน้ำ
“แกก็ระวังอย่างดีแล้ว แถมตึกยังเหลือตั้งสองในสาม”
เสียงสะอื้นหลุดมาอีกระลอก ไรท์ เดฟบลากันชอบบ่นเรื่องบทสนทนาในนิยายเขียนยาก ตอนนี้ค้นพบว่าง่ายกว่าของจริงอักโข อย่างน้อยถ้าจะโม้ว่าตัวละครพูดจาฉลาด ตนก็แค่เขียนให้ตัวละครอื่นเถียงมันไม่ได้ก็พอ
“ฉันควรเลิกเขียนเหรอ แค่อยากเป็นนักเขียนเอง แต่งานบทความก็ไม่มีคนอ่าน งานเรื่องยาวก็ไม่สำเร็จแล้วยังสร้างปัญหาแบบนี้อีก ถ้าครั้งหน้ามีคนตายขึ้นมาจะทำยังไง แถมไม่มีใครรออ่านงานของฉันอยู่แล้ว ถ้าฉันเลิกเขียนไปก็มีฉันคนเดียวที่เสียใจ แต่ถ้าเขียนต่อจะทำคนอื่นลำบากขนาดนี้ ทำไมฉันเขียนงานดีๆ แล้วทำให้คนอื่นดีใจที่ฉันเขียนอ่ยางพี่หรือนักเขียนพวกนั้นไม่ได้ล่ะ ปิศาจอักษรของพี่ตอนนั้นแค่เขียนคำหยาบไปทั่วเมืองเอง พอได้อ่านงานชิ้นใหม่ คนก็ชมทั้งนั้น ทำไมของฉันต้องมาชั่งน้ำหนักขนาดนี้ด้วย ถ้าฉันเขียนต่อจะไม่โดนด่าเป็นฆาตกรเห็นแก่ตัวเหรอ”
อันที่จริงวรรคช่วงท้ายเริ่มยากจะฟังให้ออกแล้ว น้ำมูกกับเสียงสะอื้นพันยุ่งไปถึงคำพูดเต็มไปหมด ตัวเธอเองที่อุตส่าห์ลุกมาเริ่มดูแลสุขอนามัยตามสมควรกลับลงไปนั่งกอดเข่าร้องไห้บนพื้น ได้ยินเสียงพี่ชายถอนหายใจยิ่งร้องไห้หนักหน่วง จนกระทั่งได้กลิ่นน้ำเย็นกับขนมปังเข้ามาใกล้ ก็ปรากฏว่าไรท์ตัดใจเรื่องลากออกจากห้องนอน แล้วไปเอาจานแซนด์วิชกับแก้วน้ำมาให้น้องสาวแทน เขาวางไว้บนพื้นปลายเตียงตรงที่แคนอนนั่งอยู่ จากนั้นก็ลงขัดสมาธิข้างหน้า
“นี่ แคนอน แกเขียนนิยายเพื่อให้มันไม่เสร็จรึไง”
“ที่ผ่านมา แกก็ทำตามเกณฑ์ทุกอย่างแล้ว ไอ้เรื่องเก็บสักย่อหน้าที่ชอบไว้ ใครมันก็ทำ ไม่ใช่ทุกคนทำแล้วเกิดปิศาจอักษร แต่ในเมื่อแกทำแล้วมันเป็นงั้น ต่อไปก็อย่าทำ ปรากฏการณ์นี้น่ะมันเหมือนมีเกณฑ์ตายตัวเพราะมีภาคีคอยบอกต้องทำงั้นทำงี้ แต่ที่จริงภาคีกับแล็บอย่างพวกห้องวิจัยสังคายนาก็ค้นคว้า ตามดูปรากฏการณ์ตลอดเพราะมันอาจจะเปลี่ยน มีข้อยกเว้นอะไรขึ้นมาก็ได้ แกอยากเขียนนิยายนะ ไม่ได้อยากสร้างปิศาจอักษร อย่าเอาแต่คิดเรื่องปิศาจมันจะงอกออกมาสิ”
“ฆาตกรอะไร ปิศาจอักษรแกโผล่มาครั้งแรกก็ส่งคนอื่นไปที่ปลอดภัยกันหมด ของฉันยังทำไม่ได้เลย!”
“ไม่ต้องไปฟังลิปิกรพวกนั้นหรอก ปากมันพล่อยเพราะมันไม่เขียนกันไง เก่งแต่ลบงานคนอื่น โอกาสที่จะเกิดเหตุอย่างที่แกว่าน่ะ คนอื่นก็มีเหมือนกัน เพราะก็ทำมาเหมือนๆ กันตลอด มีปิศาจอักษรทุกวัน ทุกคนจงใจให้เกิดเหรอก็ไม่ มีใครเรียกร้องให้พวกเราเลิกเขียนกันไหม ก็เปล่า เขาขอให้หาทางแก้ปรากฏการณ์นี้กันต่างหาก”
“คิดเรื่องเขียนนิยายให้เสร็จ เขียนไม่ทันก็ลบทิ้ง อย่าคิดว่าครั้งหน้าก็จะต้องมีปิศาจอักษรออกมาทำร้ายคน คิดเรื่องจะต้องเขียนและไม่ปล่อยให้ไอ้ตัวพวกนั้นงอกออกมา ถ้าจะเลิกเขียนเพราะไม่อยากเขียนแล้ว ก็เลิกอย่างสบายใจสิ ไม่ใช่จะเลิกทั้งที่ร้องไห้ไม่อยากเลิกขนาดนี้ ดื่มน้ำสักที เอ้า มีแต่คนเหี้ยเท่านั้นแหละที่อยากให้เกิดปิศาจอักษร รวมไปถึงตัวที่อันตรายกับคนอื่นแบบนั้น น้องฉันไม่ใช่คนเหี้ยที่ไหน เออ ถึงไคริเอลจะห่าเหวพอสมควรก็เถอะ แต่แกไม่ใช่ไคริเอลนี่หว่า นี่ กินอะไรด้วย เนี่ย แซนด์วิช พ่อกับแม่ทำไว้ให้”
ระหว่างพูด เขานั่งเอากางมือสองข้างวางบนเข่าตัวเอง ทำตัวให้ดูใหญ่โตดั่งว่าจะช่วยย้ำน้ำหนักคำพูดของตน สมัยยังเล็ก ตนตัวสูงใหญ่กว่าคนวัยเดียวกัน ทว่าพอเข้าช่วงปลายวัยรุ่นก็หยุดสูง สุดท้ายรูปร่างสันทัด น้องสาวเป็นผู้ใหญ่ก็ตัวเล็กกว่ากันไม่มาก จึงต้องวางมาดเสริมบ้างในยามจำเป็น
แคนอนปล่อยน้ำตาร่วงเงียบๆ คิดคำคร่ำครวญไม่ออกนอกจาก…
“…ขอทิชชู่” ไม่อยากกินพร้อมขี้มูกโป่ง แถมยังร้องไห้จนตอนนี้ปวดฟันไปหมด
“สกปรกซกมกจริงๆ คนเรา” เดฟบลากันคนพี่ก็ลุกไปหาม้วนทิชชู่มาโยนลงตักเดฟบลากันคนน้อง
“ฉันรู้อยู่แล้วละนะ รู้มาตลอดแหละ” นางเดฟบลากันประคองถ้วยชาด้วยสองมือขึ้นดื่ม ตระหนักดีว่าสายตาจำนวนมากในร้านของตนกำลังมองมา “ลูกชายคนโตเป็นนักเขียนดัง ลูกสาวคนโตเป็นอาชญากรชื่อดัง มีเหรอลูกสาวคนเล็กของฉันจะไม่มีพรสวรรค์ ปิศาจอักษรตัวแรกก็อลังการขนาดนี้ งานเขียนเสร็จเมื่อไรต้องยิ่งใหญ่แน่ๆ”
“คุณแม่ครับ ถ้าแคนอนมาได้ยิน จะยิ่งเครียดเอานะครับ” ลอว์รีท เคียฟบลากันพยายามขอให้เพลาๆ ลงสักหน่อย เขาคือลูกเขยของนายและนางเคียฟบลากันที่กำลังอวยครอบครัวตัวเองให้ลูกค้าซึ่งสนอกสนใจสองสามีภรรยายิ่งกว่ารสชาติเครื่องดื่มของกินในร้านฟัง เขาผมสั้นเตียน เครื่องหน้าคมเบ้าลึก สวมแว่นตาทรงกลมดิก ทั้งตัวดูสะอาดสะอ้านหมดจด เสื้อคอโปโลกับกางเกงดำ ทับด้วยผ้ากันเปื้อนปักชื่อร้าน ลูกค้าแน่น ทว่าด้วยรูปร่างสูงใหญ่กับน้ำเสียงนุ่มแต่ดังฟังชัด แม้ส่วนมากจะเฮโล ทำเสียงฮือฮาตามสองสามีภรรยาเดฟบลากัน เมื่อลอว์รีทเปิดปากปรามบ้าง ทุกคนก็จะหันมาฟังเขาให้จบประโยค “ตอนนี้น้องเขาก็กดดันตัวเองจะแย่แล้ว เขารู้สึกผิดนะครับ”
ส่วนจะเชื่อเขากันบ้างไหมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง “รู้สึกผิดมันก็ดูมีความรับผิดชอบดี แต่รู้สึกผิดเกินไปมันจะเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่กันแน่นะ” นายเดฟบลากันกล่าว นิ่วคิ้วแน่นเป็นกังวลถึงบุตรสาวคนเล็ก พวกลูกค้าก็พากันฮัมเห็นด้วย เมื่อนางเดฟบลากันเสริมอะไรก็ตาม พวกลูกค้าก็จะพยักหน้าตาม สายตาตำหนิผู้จัดการร้านว่าช่างไม่ดูบรรยากาศ
ไม่มีจังหวะให้ขัดคอออกไปได้เลยว่าแต่งงานเป็นเขยเดฟบลากันมาแปดปี เขาคิดว่าคนบ้านนี้ไม่มีใครรู้กันสักคนว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ตนถึงต้องมาเป็นผู้จัดการร้าน (ทั้งร้านมีพนักงานสี่คน พ่อครัวสองคน) ดูแลทุกอย่างให้ ขยายจากร้านกาแฟมาเป็นร้านอาหาร ทั้งที่ตอนถูกขอแต่งงาน ไคริเอล เดฟบลากันสัญญาเป็นอย่างดีจากนี้เขาไม่ต้องทำงานหาเงินอีกแล้ว (“จะให้เป็นพ่อบ้าน! เลี้ยงลูก! อยากทำช่องวิดีโอออนไลน์ขายความพ่อบ้านหล่อก็ตามใจ! แต่งงานกับฉันสิ!”) ลอว์รีทถอนหายใจคิดถึงภรรยากับคำสัญญาแต่งงานพลางถอยกลับไปหลังเคาน์เตอร์บาร์
เขาชะงักพอสังเกตว่าทั้งร้านเงียบลง หันไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นก็ได้คำตอบแทบทันที
เครื่องแบบคอปก แขนยาว กางเกงขายาว ทั้งตัวสีดำ ปักตราต่างๆ ตรงแขน อกเสื้อ ถ้าหันหลังก็จะเห็นตราใหญ่อีกตราบนหลังเสื้อแน่นอน รองเท้าบู๊ตหุ้มข้อต่างแบบแต่ทุกคู่มีลำนำสลักตรงผิวชั้นนอกระหว่างรูร้อยเชือกกับขอบพื้นรองเท้า เจ้าหน้าที่กู้ภัยทุกหน่วยงานใช้รองเท้าลงลำนำกันทั้งนั้น แต่เครื่องแบบดำแดงเป็นสัญลักษณ์ของภาคีนักประพันธ์พึงวร
ความรู้สึกของคนทั่วไปต่อภาคีนั้นอยู่ก้ำกึ่ง ไม่ใช่ที่รักแบบนักดับเพลิง ไม่ใช่ที่ชังแบบตำรวจ สามรายตรงประตูเองก็เมินเฉยกับบรรยากาศเงียบงันผิดปกติสำหรับร้านอาหารลูกค้าแน่น พูดคุยกันเองเรื่อยเปื่อยโดยมีคนตัวเล็ก ใส่ต่างหูท่วมข้างเดียว ผมไถข้างชี้มาทางลอว์รีท “นั่นผู้จัดการร้าน เขาจำออร์เดอร์ได้ ถ้าลืมก็ขอให้เขาช่วยแล้วกัน บอกเขาว่าของพวกซอมบี้ที่ 1106”
“เดี๋ยวสิ นี่ต้องเป็นหน้าที่ผมอย่างเป็นทางการแล้วเหรอ”
ลอว์รีทไม่รู้จักชื่อลิปิกรในโรงรวมเหตุใกล้ๆ เพียงจำหน้าคนเจาะหูได้แม่น แต่ปกติรายนี้มักมาคนเดียว ร้านไม่มีระบบขอชื่อลูกค้าเขียนลงข้างแก้ว อีกสองคนมีตราปักบนเครื่องแบบน้อยกว่ามาก หน้าตาเองก็ไม่ชวนให้อนุมานว่าพ้นวัยรุ่นมาดีแล้ว
“จะไม่เป็นก็ได้นะ ถ้าคุณไม่ผ่านช่วงทดลองงานน่ะ”
“อุก…!”
“แค่ซื้อกาแฟ อย่าโวยวายนักเลยน่า” อีกคนที่น่าจะเป็นเด็กฝึกงานเช่นกันฟาดมือใส่หลังเพื่อนร่วมวาระ
“จะไม่มีหมายหัว กลั่นแกล้งกันในที่ทำงานเพราะซื้อกาแฟผิดใช่ไหมครับ”
“...”
“อย่าเงียบไม่ตอบสิ!”
ทั้งสามมาถึงตรงที่ลอว์รีทยืนพร้อมรับรายการ เด็กฝึกงานอ่านโน้ตในกระดาษขาดๆ ทั้งยังเพ่งอ่านตะกุกตะกักคล้ายว่าอ่านลายมือบนนั้นไม่ออก คงรีบจดมาหรือคนอื่นเขียนให้ แต่ทั้งสามช่วยกันไล่จนได้รายการเครื่องดื่มสิบหกรายการ
ขณะรอเครื่องดื่ม สามคนนั้นก็คุยกันต่ออยู่ตรงจุดรอเครื่องดื่ม “แล้วพอพวกเราผ่านช่วงฝึกงาน จะได้อยู่ทีมเดียวกับพวกพี่เหรอ” ถึงตรงนี้ พวกลูกค้าในร้านต่างเลิกสนใจทั้งสาม พ่อตาแม่ยายของลอว์รีทเองก็กลับมานำบทสนทนาล้อมวงระหว่างสี่โต๊ะต่อ
“ถ้ายื่นขอก็อาจจะได้ เพราะฉันกับหมอนั่นยังไม่มีสมาชิกกลุ่มประจำ แต่อาจจะมีเคเรอดวินด้วยนะ”
“เหอ เขาจะอยู่ด้วยเหรอ”
“คิดว่ากัปตันจะเรียกไปคุยถึงในห้องเหรอถ้าเป็นแค่การจัดกลุ่มชั่วคราว”
“ว่าไปทำไมทั้งสองคนชื่อคล้ายกันขนาดนี้น่ะ บังเอิญเหรอ หรือเป็นชื่อเล่น”
“บังเอิญเฟ้ย”
ลอว์รีทจัดเครื่องดื่มใส่ถุงกระดาษสี่ถุง เด็กฝึกงานของภาคีคนนั้นทำหน้าตะลึงถึงขั้นสยองขวัญพออีกสองคนบอกให้เขาลองหิ้วทั้งหมดเองคนเดียว เนื่องจากอย่างไรต่อไปต้องเป็นตัวเขามาซื้อเครื่องดื่มให้โรงรวมเหตุเป็นหลัก
“พวกพี่สามคนรุ่นเดียวกันเหรอ”
“ซากากับเคเรอดวินน่ะใช่ แต่ฉันเปล่า เป็นรุ่นพี่พวกมันตั้งแปดปี”
“เฮะ”
สองเด็กน้อยส่งเสียงตกตะลึงเบาๆ
“ประหลาดใจเรอะ”
ลอว์รีทจัดถุงเครื่องดื่มเสร็จทันหันไปเห็นสองเด็กฝึกงานพยักหน้าพร้อมกัน จ้องมองลิปิกรต่างหูข้างเดียวกันตาไม่กะพริบ
“รายการที่สั่งได้แล้วครับ” ลอว์รีทเรียก ยื่นถุงทั้งหมดให้เด็กฝึกงานคนนั้น
“หนักเฟรปเป้ของพี่ซากานั่นแหละ!”
“เอาไปให้มันน่า วันก่อนมันทั้งโดนไอ้เวรที่ทำปิศาจอักษรบึ้มตึกทั้งข่วนทั้งต่อย ปลอบใจมันหน่อย เห็นมั่นหน้ามั่นโหนกขนาดนั้น มันใจบอบบางนะเออ ถ้าอยากรวมทีมกันก็จำไว้”
เสียงจอแจในร้านหยุดลงอีกครั้ง ลอว์รีทสังเกต สามคนตรงหน้าเขาไม่
“กินทีตั้งสองแก้ว วิปครีมมะพร้าวอีก” เด็กฝึกงานอีกคนกุมปากพะอืดพะอม
“ขอบคุณที่อุดหนุนนะครับ ไอ้บ้าที่ว่าเป็นน้องสาวของภรรยาของผมเอง ดังนั้นถ้าทำได้ ไม่ต้องมาอีกนะครับ”
ทั้งสามค่อยๆ กลับมามองเขา
“รบกวนช่วยบอกทุกคนในที่ทำงานของพวกคุณด้วยนะครับ ต่อไปนี้ร้านเราไม่ต้อนรับเครื่องแบบใดๆ ของภาคีนักประพันธ์พึงวรครับ ถ้าอยากอุดหนุน รบกวนช่วยอย่ามาในเครื่องแบบแล้วกัน”
เขายิ้มให้เด็กฝึกงานสองคนที่มองหน้ากันไปมาสลับกับไปมองลิปิกรคนนั้น ลอว์รีทหลุดขำท่าทีทำอะไรไม่ถูก
“ออกไปเสียทีสิครับ”
เสียงปิดประตูร้านดังเท่าเสียงเข็มตกลงบนยาง
Comments (0)