Chapter 1

 

          มินกยูเพิ่งจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อตอนที่เพื่อนร่วมงานคนสุดท้ายที่เพิ่งเดินออกไปจากห้องพักพนักงานเปิดประตูเข้ามาอีกครั้ง

            “ผู้จัดการเรียกแน่ะ” คำพูดของเพื่อนร่วมงานทำให้เด็กหนุ่มต้องหันไปมองนาฬิกาที่ผนังห้อง หน้าปัดที่บอกเวลาเกือบตี 2 ทำให้อดไม่ได้ที่จะต้องขมวดคิ้ว หากแต่ก็ต้องจำใจลุกขึ้น เอ่ยขอบคุณเล็กน้อย ก่อนเดินออกมาด้วยท่าทางที่พยายามทำให้กระฉับกระเฉงที่สุดเท่าที่คนที่เสริฟอาหารติดต่อกันกว่า 10 ชั่วโมงจะทำได้

            อันที่จริงแล้วร้านอาหารที่เขาทำงานอยู่นั้นเปิดบริการถึงแค่เที่ยงคืน แต่ด้วยเพราะต้องช่วยเก็บร้านและทำความสะอาด ทำให้เวลาที่เลิกงานที่แท้จริงต้องล่วงเลยมาถึงราวๆตี 2 มาตลอด และนั่นก็ทำให้ส่วนมากแล้วมินกยูจะพยายามกลับถึงที่พักให้เร็วที่สุด เว้นแต่ในกรณีพิเศษแบบวันนี้

            เด็กหนุ่มมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อยเมื่อคิดไม่ออกว่าทำไมผู้จัดการถึงได้อยากพบเขานัก

            “ขออนุญาตครับ” เอ่ยพร้อมเคาะประตูห้องก่อนเปิดประตูเข้าไป

            “มาแล้วเหรอ” คนที่กำลังอ่านอะไรบางอย่างอยู่หลังโต๊ะทำงานเงยหน้าขึ้นมามองเมื่อเขาเดินเข้าไปในห้อง มินกยูโค้งให้ผู้จัดการของเขาเล็กน้อยเล็กน้อย แล้วเดินมาหยุดหน้าโต๊ะทำงาน

            “ผู้จัดการเรียกผมเหรอครับ”

            คนเป็นผู้จัดการร้านมองหน้าเด็กหนุ่ม ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

             “วันนี้ทำงานเป็นไงบ้าง?”

            “ครับ?” คนถูกถามงุนงงเล็กน้อย “ก็ปกติทุกอย่างนี่ครับ”

            “จริงเหรอ? ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยงั้นเหรอ?” อะไรบางอย่างในน้ำเสียงและสีหน้านั่นทำให้มินกยูเข้าใจในที่สุด เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาก่อนตอบ

            “มีอุบัติเหตุเล็กน้อยทำให้ถุงมือผมหลุดครับ”

            คนฟังเพียงแค่พยักหน้ารับเบาๆ

            “มีลูกค้าร้องเรียนเรื่องนายมา บอกว่าทำให้ลูกสาวของเขาตกใจกลัวและเรียกร้องค่าทำขวัญ”

            มินกยูถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

            “ผู้จัดการหักจากเงินเดือนผมได้เลยครับ”

            ถึงจะพูดไปแบบนั้นก็เถอะ แต่เมื่อสมองประมวลค่าใช้จ่ายรวมทั้งเงินที่เหลือออกมาแล้ว เด็กหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะนึกอยากร้องไห้ขึ้นมาซะเฉยๆ

            ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นระหว่างเดินกลับไปห้องพักพนักงานเพื่อเก็บของ มินกยูรู้ดีว่ามันไม่ยุติธรรมเลยสักนิดที่เขาจะต้องชดใช้ในเรื่องแบบนี้

            ก็ถ้าคุณมารับประทานอาหารที่ร้านราคาประหยัดแบบนี้ คุณคาดหวังที่จะได้เจอพนักงานที่เป็นมนุษย์ธรรมดารึไง?

            แต่ยังไงก็ตาม กึ่งคนกึ่งจักรกลอย่างเขาจะทำอะไรได้ล่ะ

            ใช่แล้ว... มินกยูเป็นไซบอร์ก

            แม้ว่าเงาสะท้อนจากกระจกใสริมทางเดินที่เขาผ่านจะสะท้อนให้เห็นถึงร่างสูงสมส่วนของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งถ้ามองผ่านๆก็คงเห็นแค่เด็กหนุ่มผิวสีแทนอย่างคนทำงานกลางแจ้ง เส้นผมสีดำสนิทที่ตัดสั้นระต้นคอขับให้ใบหน้าคมเข้มนั้นดูหล่อเหลาสะดุดตา

            แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้เสื้อเชิ้ตแขนยาวและถุงมือสีขาวนั่น ที่แขนข้างซ้ายตั้งแต่ส่วนของข้อศอกลงมา มันเป็นของเทียมทั้งหมด

            รวมถึงดวงตาข้างซ้ายของมินกยูด้วยเช่นกัน

            ซึ่งแน่นอนว่าเด็กหนุ่มก็เหมือนกับไซบอร์กคนอื่นๆที่ล้วนแต่ถูกมนุษย์ที่มีร่างกายปกติทั้งหลายรังเกียจแกมหวาดกลัว

            อืม... ถ้าจะพูดให้ถูกจริงๆก็คงเป็น เพราะว่ากลัวเลยต้องเกลียดมากกว่าล่ะมั้ง?

            เอาเถอะ ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตของเหล่าไซบอร์กดีขึ้นมาเท่าไรหรอก เพราะไม่ว่าจะด้วยความสมัครใจ หรือเพราะว่าเคยเกิดอุบัติเหตุ แต่ถ้าคนคนนั้นมีอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นโลหะแล้ว ก็จะถูกขึ้นทะเบียนเป็นไซบอร์กทันที จากนั้นต้องมีการฝังชิปที่ตัวเพื่อให้รัฐบาลสามารถติดตามตัวได้ และถ้ารัฐบาลมีประกาศที่เป็นคำสั่งพิเศษก็ต้องทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข มหาวิทยาลัย สถานที่ทำงานมีสิทธิไม่รับผู้สมัครที่เป็นไซบอร์กเข้าทำงานหรือศึกษาหากไม่เต็มใจ โดยที่ห้ามเรียกร้อง ห้ามถามถึงความเสมอภาคใดใด

            มีเพียงงานเดียวที่ไซบอร์กจะก้าวหน้ามากที่สุด คือ คีปเปอร์ หรือคู่หูของตำรวจที่เป็นมนุษย์ เท่านั้น

            แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับความคิดที่ว่า ไซบอร์กนั้นอาจจะเป็นอันตรายต่อมนุษยชาติ ซึ่งทำให้เมื่อมีการผ่าตัดเพื่อติดตั้งอวัยวะเทียมเกิดขึ้น ไซบอร์กทุกตนจะถูกฝังระเบิดขนาดเล็กใกล้อวัยวะเทียมทุกแห่ง และมียาที่สามารถทำให้เป็นอัมพาตฝังที่ขมับทุกคน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่อ่อนแอกว่าสามารถควบคุมได้

ดังนั้นมินกยูที่มีทั้งแขนและดวงตาข้างซ้ายเป็นจักรกลจึงมีระเบิดฝังอยู่ที่ขมับเช่นกัน

            เด็กหนุ่มปิดประตูล็อกเกอร์ของตัวเองอย่างเงียบเชียบเมื่อเก็บของเสร็จ ดวงตาคมที่มองออกไปนอกหน้าต่างมีแววหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อพบว่าข้างนอกนั่นมีเกล็ดน้ำแข็งสีขาวกำลังโปรยปรายอยู่เต็มไปหมด

            หิมะกำลังตก

            อากาศภายนอกร้านและสายลมที่พัดมากระทบตัวทำให้มินกยูต้องกัดฟันด้วยความหนาว กระชับเสื้อโค้ตของตัวเองให้แนบชิดร่างกายมากขึ้น แล้วกลั้นใจออกเดินในที่สุด

            ให้ตายสิ วันนี้ไม่ใช่วันของเขาเลยสักนิด

            เด็กหนุ่มเริ่มสบถในใจเมื่อรู้สึกได้ว่าความหนาวเย็นนี้ทำให้ข้อต่อของแขนด้านซ้ายของเขาเริ่มติดขัด แน่นอนว่าเพราะรายได้ที่ค่อนข้างจำกัดทำให้มินกยูเลิกหยอดน้ำมันที่ข้อต่อของตัวเองมากหลายเดือนแล้ว และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่ามันจะเริ่มฝืดซะแล้วสิ

            โอเค...

            วันนี้เขาถูกหักเงินเดือน

            ต้องเดินฝ่าหิมะกลับที่พักทั้งที่พยากรณ์อากาศบอกว่าหิมะจะเริ่มตกในอาทิตย์หน้า

            ข้อต่อที่ข้อมือและข้อศอกก็ฝืดจนขยับได้ลำบาก

            “ถ้าจะส่งอะไรมามากกว่านี้ก็รีบๆส่งมาเถอะครับ” ความหงุดหงิดที่สะสมมาทั้งวันทำให้มินกยูเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมเอ่ยกับใครสักคนที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร “แต่ขอแค่คืนนี้เท่านั้นนะครับ ถ้าถึงตอนเช้าเมื่อไรช่วยทำให้ชีวิตผมเป็นปกติด้วยเถอะ” 

            บอกเสร็จก็รีบก้าวเดินต่อทันทีด้วยไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรโผล่มาจริงๆรึเปล่า

            อันที่จริงเด็กหนุ่มก็ควรเดินกลับที่พักได้ด้วยความสงบสุขตามปกติ ถ้าไม่ใช่เพราะดวงตาของเขาที่ถูกเสริมให้มีประสิทธิภาพดีกว่าดวงตาปกติดันไปโฟกัสอะไรบางอย่างได้ที่ข้างทาง

            ร่างของใครสักคนนอนอยู่ตรงนั้น และด้วยเลนส์ซูมภายในดวงตาข้างซ้าย เด็กหนุ่มก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวกำลังบาดเจ็บอยู่

            มินกยูพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนเงยหน้ามองความเวิ้งว้างด้านบนอีกครั้ง เด็กหนุ่มนึกอยากจะตะโกนถามเหลือเกิน

            เอาจริงดิ...?

 

 

 

 

            TBC.