ล้มตัวลงนอนยังไม่ถึงสิบนาที หูก็ได้ยินเสียงประตูเปิดดังเอี๊ยดอ๊าดช้า ๆ วินชันตัวขึ้นพลางหยีตามองฝ่าความมืด เห็นผู้เป็นพี่ยืนมองสีหน้านิ่งเรียบ ไม่แม้แต่ขยับหรือพูดจาสักคำ เธอจึงนอนหันหลังให้ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“พี่แวนมีอะไร? อย่ากวนได้ไหม พรุ่งนี้วินมีนัดสัมภาษณ์งาน”

เงียบ…ไม่มีเสียงใด ๆ วินหันกลับไปมองอีกครั้ง เห็นพี่สาวยังยืนอยู่ท่าเดิมราวกับจงใจแกล้งกัน เธอจึงส่ายศีรษะ แล้วหันหลังดึงผ้าห่มคลุมมิดถึงหัว พลางถอนหายใจยาว สักพักประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง

คืนนี้เป็นคืนที่สองแล้วที่แวนเปิดประตูมายืนจ้องกันแบบนี้ หากเล่าให้พ่อแม่ฟังก็คงโดนหาว่าละเมอ หรือฝันร้ายอีกก็เป็นได้ วินจึงเก็บความสงสัยไว้รอถามเจ้าตัวดีกว่า

 

เช้าวันต่อมา อากาศแจ่มใสเสียจนเหล่านกสารพัดชนิดต่างพากันส่งเสียงเจื้อยแจ้วแข่งกันแต่เช้าตรู่ วินในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีน้ำตาลอ่อนเดินลงจากชั้นบน กลิ่นหอมกรุ่นของข้าวสวยหุงใหม่ สลับกับเสียงฉ่าของกระทะดึงดูดให้สาวเท้าตรงไปยังห้องครัว เธอทิ้งสะโพกพิงเคาน์เตอร์และกอดอกพลางมองวีรญา ผู้เป็นแม่วาดลวดลายการทำอาหารด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“เสียงเคาะกระทะดังยันหน้าปากซอยแล้วแม่ แต่งตัวสวยแบบนี้มีนัดล่ะสิท่า”

หญิงวัยกลางคนหันมาค้อนใส่ลูกสาว

“วันนี้วันพระ พาแม่ไปทำบุญที่วัดหน่อยนะ วินติดธุระหรือเปล่า?”

วินส่ายหน้าขณะตักข้าวสวยใส่โถข้าวสเตนเลส “วินมีสัมภาษณ์งานตอนสิบโมงเช้าค่ะ”

แม้ผู้เป็นแม่ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่หญิงสาววัยยี่สิบเจ็ดปีรู้สึกได้ถึงความห่วงใยผ่านแววตาใจดี วีรญาดันหลังลูกสาวที่กำลังดื่มน้ำ พร้อมเร่งให้รีบไปทำบุญในวันพระ

ระยะทางจากบ้านไปวัดนั้นไม่ได้ไกลมาก ทว่าวันนี้วินกลับรู้สึกเหมือนขับรถนานเป็นชั่วโมง ทั้งที่การจราจรเคลื่อนตัวปกติ เธอรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวตั้งแต่เข้าภายในตัววัด รวมถึงขณะตักข้าวลงบาตร ท่าทีร้อนรนของลูกสาวทำให้ผู้เป็นแม่เอ่ยถามด้วยความห่วงใย

“มีอะไรเหรอ?”

“เปล่าค่ะ แม่เสร็จแล้วใช่ไหม? กลับกันเถอะ”

 

วินขึ้นไปอาบน้ำเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการสัมภาษณ์งานในช่วงสาย แม้เพิ่งกลับมาจากวัด แต่ไม่ได้ช่วยให้ความอึดอัดใจลดลงเลย เธอมองสีหน้ากังวลที่สะท้อนจากกระจกเงาพลางกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้เรียบร้อย สูดหายใจเข้าออกหลายครั้ง ก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินลงชั้นล่าง

“วันนี้ยังไม่เห็นพี่แวนเลย ไปทำงานแล้วเหรอ?”

“ออกไปตั้งแต่เช้ามืดแล้ว” ผู้เป็นแม่ตอบทั้งที่มือยังปอกผลไม้

“พี่แวนเก่งแฮะ เมื่อคืนวินลงมาดื่มน้ำตอนตีหนึ่งกว่า ๆ ยังเห็นนั่งดูซีรีส์อยู่เลย”

ชายวัยกลางคนที่กำลังยกแก้วกาแฟเตรียมดื่มชะงักมือพลางลอบสบตากับภรรยา เขากระแอมเล็กน้อย และขยับนั่งตัวตรง

“ตาฝาดหรือเปล่า? เมื่อคืนเห็นแวนบ่นปวดหัว ขึ้นห้องนอนตั้งแต่สามทุ่มนะ”

“เดี๋ยวรอถามพี่แวนตอนเย็นแล้วกัน วินไปก่อนนะ”

“ขับรถดี ๆ ล่ะ ขอให้ผ่านสัมภาษณ์”

วินยกมือไหว้พ่อแม่ ก่อนจะเดินออกจากบ้าน เธอขึ้นไปนั่งในรถ แล้วเอนหลังพิงเบาะพลางถอนหายใจยาว จากท่าทีของบิดามารดา ทำให้มั่นใจว่าที่เห็นเมื่อคืน ไม่ใช่พี่สาวอย่างแน่นอน

รถเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้ามุ่งตรงไปยังบริษัทสื่อโฆษณาแถวหน้าของประเทศ ในใจภาวนาให้การสัมภาษณ์งานผ่านไปได้ด้วยดี ตั้งแต่เรียนจบก็ตกงานมาเกือบห้าปีแล้ว แม้ตำแหน่งกราฟิกดีไซน์จะเป็นที่ต้องการของตลาด แต่วินกลับโดนปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเริ่มท้อ โชคดีที่ยังพอมีรายได้จากการรับงานออกแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงไม่เป็นภาระทางบ้านเท่าไรนัก

วินมาถึงหน้าบริษัทก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง หลังแลกบัตรและขึ้นมารอคนสัมภาษณ์ที่ชั้นยี่สิบหก เวลาที่เหลือจึงหมดไปกับการจัดเตรียมความพร้อม รวบผมเผ้าให้เรียบร้อย รวมถึงเติมลิปเพื่อไม่ให้หน้าซีดเหมือนคนป่วยจนเกินไป จู่ ๆ บรรยากาศโดยรอบกลับเย็นลงฉับพลันจนขนทั่วร่างลุกชัน พร้อมกันกับเสียงกุกกักคล้ายคนสาวกระดาษทิชชู่ติดผนังดังมาจากห้องริมสุด เธอชะงักมือทันที สายตาเหลือบมองทางซ้ายผ่านกระจกเงา เป็นจังหวะเดียวกับประตูแง้มออกช้า ๆ นิ้วมือขาวซีดทั้งสี่จับขอบประตู แทนที่ช่องว่างระหว่างพื้นกับบานประตูนั้นจะเป็นปลายเท้า ทว่ากลับเป็นส้นรองเท้าหันออกมาแทน

วินรีบยัดลิปเปลี่ยนสีใส่กระเป๋าแล้วสาวเท้าเร็ว ๆ ออกจากห้องน้ำทันทีโดยไม่รอให้ ‘บางสิ่ง’ หลังประตูบานนั้นโผล่ออกมาทักทาย มือยกขึ้นลูบอกตัวเองพลางถอนหายใจยาวเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกอึดอัดเมื่อครู่

ผู้ให้สัมภาษณ์นั่งรอบนเก้าอี้หน้าห้อง พนักงานสาวสองคนในชุดแบรนด์เนมเดินถือแก้วกาแฟผ่านหน้าไป หนึ่งในนั้นหันกลับมายิ้มโปรยเสน่ห์ให้จนเธอรีบยิ้มแห้ง ๆ ตอบกลับ เพียงอึดใจหล่อนก็เดินกลับมาพร้อมแผ่นกระดาษในมือ

“คุณวินรวีร์ใช่ไหมคะ?”

“ใช่ค่ะ”

“เชิญเข้าห้องได้เลยค่ะ”

เจ้าหน้าที่สาวผายมือไปทางเก้าอี้ว่างตัวหนึ่ง ทว่าถัดจากเก้าอี้ตัวนั้นกลับมีชายรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งอยู่ก่อนแล้ว มือหนาขีดเขียนบนหน้ากระดาษเกิดเสียงดังสม่ำเสมอ ควันสีจางระเหยรอบตัวทำให้รู้ว่าเบื้องหน้านี้ไม่ใช่คน วินหันมองหน้าหญิงสาวที่ยืนรอเธอนั่งให้เรียบร้อย

“เขียนเอกสาร รวมถึงทำแบบทดสอบได้เลยค่ะ อีกครึ่งชั่วโมงฉันจะเข้ามาใหม่นะคะ”

“รับทราบค่ะ”

เสียงขีดเขียนยังคงดังต่อเนื่อง วินเลิกสนใจพลังงานข้าง ๆ แล้วดึงสมาธิกลับมาจดจ่อกับข้อสอบภาษาอังกฤษตรงหน้า เธอหยิบแท็บเล็ตวางบนโต๊ะเพื่อเตรียมความพร้อม เพราะอย่างไรกราฟิกดีไซน์ต้องนำเสนอผลงานที่เคยทำให้ผู้สัมภาษณ์ดูอยู่แล้ว

“ขอร้องล่ะ วันนี้ขอให้ได้งานเถอะนะ”

วินพึมพำขณะหยิบปากกา พลันเสียงในห้องกลับหยุดกะทันหัน หูด้านขวาได้ยินเสียงเก้าอี้ลั่นช้า ๆ ราวกับมีคนตั้งใจหันมาจ้องตาไม่กะพริบ แต่กลุ่มพลังงานนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดเหมือนในห้องน้ำ เธอจึงคิดว่าเป็นวิญญาณดี เลยเลือกที่จะไม่สนใจ และกรอกข้อมูลลงในแผ่นกระดาษตรงหน้า สักพักเสียงด้านข้างก็ดังอีกครั้ง

ปากกาถูกควงไปมาผ่านเรียวนิ้วยาวอย่างช่ำชอง จู่ ๆ มันกลับเด้งออกจากนิ้วกลิ้งตามแนวยาวโต๊ะกระจก วินรีบเอื้อมไปคว้า แต่มันกลับหยุดนิ่งตรงหน้าชายคนนั้น เขามองวัตถุแท่งผอม ก่อนจะหันมองมนุษย์หนึ่งเดียวในห้อง ทำให้ทั้งคู่บังเอิญสบตากัน เธอแกล้งเสตาไปทางอื่น แล้วหยิบปากกากลับมาถือในมือ ไม่สนใจวิญญาณชายที่เอียงคอจนทะลุโต๊ะ

“เธอเห็นฉันใช่ไหม?”

เสียงแผ่วเบาดังมาจากที่ไกล ๆ เอ่ยถามขึ้น วินยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำแบบทดสอบต่อไป

“รู้นะว่าเธอเห็นฉัน เมื่อกี้ยังสบตากันอยู่เลย” ชายคนนั้นขึ้นไปนอนกลางโต๊ะพลางเอาหน้าแนบกระจกมองวินที่ทำเป็นไม่สนใจ “ให้ฉันช่วยบอกคำตอบที่ถูกต้องให้ไหม?”

“โธ่เว้ย!” วินแกล้งสบถเสียงเบาให้พอได้ยินกันแค่สองคน ชายคนนั้นสะดุ้งเล็กน้อย พลางจ้องตาไม่กะพริบ “เขียนผิดจนได้”

“ตกใจหมดเลย” ชายชุดสูทนอนหงาย ถ้าจะพูดให้ถูกคือลอยตัวในอากาศท่านอนหงาย แล้วเอามือลูบอกเรียกขวัญตัวเอง เขาหันกลับมาจ้องหญิงสาว “นี่...อย่าทำเมินสิ สนใจกันหน่อย ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”

วินหมุนเก้าอี้ไปทางซ้ายเล็กน้อยเพื่อหลีกหนีสายตาวิญญาณหนุ่ม ทว่าเขาลอยตัวอ้อยอิ่งมาจ้องอย่างไม่ละสายตา คราวนี้มีมือโปร่งแสงโบกไปมาระหว่างใบหน้าคมและกระดาษ ความรำคาญก่อตัวขึ้นถึงขีดสุด ถ้าไม่ติดว่าเป็นผีคงโดนจับทุ่มไปแล้ว เธอทิ้งปากกาลงบนโต๊ะ สองมือกอดอกพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สายตาจ้องกลุ่มก้อนสีขาวตรงหน้าด้วยท่าทีเบื่อหน่าย

“เห็นไหม! เธอเห็นฉันจริง ๆ ด้วย!”

วิญญาณหนุ่มลอยหมุนกลางอากาศด้วยความดีใจ ขณะที่หญิงสาวตรงหน้ากลอกตาไปมา

“ก็เล่นโบกมือขวางข้อสอบอยู่นั่นแหละ! แต่จะบอกว่าฉันช่วยคุณไม่ได้หรอก”

“เอาน่า ๆ ลองฟังก่อน ถ้าช่วยฉัน เดี๋ยวฉันจะช่ว…”

สัมภเวสีหนุ่มหยุดพูดกะทันหัน สายตามองสูงขึ้นไปเหนือหัวหญิงสาวตรงหน้า สีหน้าหวาดกลัวสุดขีดกระจายเต็มใบหน้าขาวซีด เขาจมดิ่งลงใต้โต๊ะทันที

“อ้าวเฮ้ย!”

วินรีบใช้เท้าดันเก้าอี้เลื่อนไปด้านหลัง พลางก้มดูวิญญาณหนุ่ม ทว่าเห็นเพียงส่วนศีรษะทะลุลงชั้นล่างอย่างรวดเร็วราวกับหลบหนีบางอย่าง เธอเอี้ยวตัวมองด้านหลังตัวเองด้วยความสงสัย ภาพที่เห็นตรงหน้ามีเพียงตึกสูงระฟ้าสะท้อนผ่านหน้าต่างกระจกติดฟิล์มกรองแสง ไม่มีอะไรหรือสิ่งใดผิดธรรมชาติ

การสัมภาษณ์คล้ายจะผ่านไปได้ด้วยดี หากไม่นับเรื่องหน้าจอแท็บเล็ตติด ๆ ดับ ๆ จนไม่สามารถแสดงผลงานให้ผู้สัมภาษณ์ดูได้ แต่วินก็แก้ปัญหาด้วยการขอส่งเข้าอีเมลตามหลัง

“ทำไมทุกที่ต้องมีผีห้องประชุมด้วยวะเนี่ย”

วินบ่นพึมพำกับตัวเองขณะเดินไปลานจอดรถ ถ้าไม่ใช่ผีห้องประชุม ก็เจอผีแม่บ้าน ผียาม ที่ประหลาดสุดคงเป็นผีตู้จำหน่ายน้ำ เธอจำได้เป็นอย่างดี เพราะวันนั้นเป็นวันที่แดดจัดมาก อากาศร้อนราวกับดวงอาทิตย์โคจรมาอยู่เพียงเอื้อมมือ ขณะกำลังยืนเลือกน้ำอัดลมเพื่อดับกระหาย เสียงกระป๋องร่วงลงช่องรับสินค้าทั้งที่ยังไม่ทันใส่เงินด้วยซ้ำ สายตาเหลือบเห็นชายหนุ่มในชุดพนักงาน โลโก้บนอกซ้ายเป็นรูปแมวใส่หมวก ลายเดียวกับบนตู้ยืนพิงผนังอยู่ ทั้งที่เมื่อครู่บริเวณนี้ไม่มีใครสักคน เธอไม่ได้ใส่ใจจนกระทั่งเห็นรอยไหม้สีดำที่มือซ้ายคล้ายแผลไฟฟ้าช็อต จึงรีบสุ่มกดน้ำกระป๋อง สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อจ่ายเงิน แล้วเดินออกจากจุดนั้นทันที

วิญญาณตามพื้นที่สาธารณะเป็นสิ่งที่วินพบเห็นเป็นประจำทุกวัน สภาพปกติบ้าง สภาพไม่น่ามองบ้าง แต่ก็ทำเป็นมองเลยผ่านไปราวกับไม่เห็นกลุ่มพลังงานพวกนั้น ชีวิตทุกวันนี้วุ่นวายมากพอแล้ว เธอไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวให้ปวดหัวมากกว่านี้

 

“ราบรื่นดีไหมวันนี้?”

ผู้เป็นแม่ที่กำลังจัดคุกกี้อัลมอนด์ใส่กล่องสีส้มเอ่ยถามทันทีที่เห็นลูกสาวก้าวเท้าเข้าบ้าน วินหอบถุงขนมไทยวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปเทน้ำเย็นดื่มดับกระหาย

“คิดว่าดีนะ”

“คิดว่าดีนี่ถือว่าดีไหมล่ะ?”

“มันก็…” วินลากเสียง ใบหน้าผีหนุ่มเด่นชัดในความคิด “ดีค่ะ คิดว่ารอบนี้น่าจะได้งานที่นี่แหละ”

แม่พยักหน้าขณะหยิบกล่องใส่ถุงที่เตรียมไว้ แล้วยื่นให้ลูกสาว

“แม่รบกวนไปส่งขนมท้ายหมู่บ้านให้หน่อยสิ”

“ตอนนี้เนี่ยนะ!”

“ใช่ จริง ๆ เขาจะรับพรุ่งนี้ แต่แม่คิดว่าเอาไปให้วันนี้เลยดีกว่า”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้วินแวะไปได้ไหม?”

วินต่อรอง ปลายนิ้วเย็นเฉียบขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นผู้เป็นแม่ส่ายหน้า

“ไปวันนี้แหละ วินส่งเสร็จแวนก็คงกลับถึงบ้านพอดี”

“ก็ได้ เดี๋ยวมานะ”

วินวางถุงขนมไว้ตรงพื้นที่นั่งข้างคนขับ ก่อนจะนั่งทำใจในรถสักพัก สายตาแหงนมองแสงสีส้มเข้มฉาบเต็มท้องฟ้าด้วยสีหน้าหวาดหวั่น เธอหลับตาลงพร้อมเป่าลมออกปาก สะบัดมือทั้งสองข้างให้หายสั่น แล้วขับรถตรงไปยังจุดหมายด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ปากยังบ่นผู้เป็นแม่ไม่หยุด

“แม่นะแม่ ไปพรุ่งนี้มันก็เหมือนกันนั่นแหละ”

บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดผิดปกติ ทั้งที่ตอนนี้เพิ่งหนึ่งทุ่มเศษ ผู้คนเพียงหยิบมือต่างรีบเดินก้มหน้ากลับบ้าน ไฟทางบางดวงติด ๆ ดับ ๆ ชวนให้รอบข้างวังเวงกว่าเดิม วินเผลอกลั้นหายใจเมื่อรถเคลื่อนตัวผ่าน ‘บ้านหลังนั้น’

เสียงพ่นลมหายใจยาวด้วยความโล่งอกดังขึ้นทันทีที่ขับผ่าน วินรีบรุดหน้าไปยังจุดหมาย ความรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ค่อยสะดวกก่อตัวอีกครั้ง เธอจอดรถ และรีบคว้าถุงขนมมายืนหน้าบ้านที่ปิดสนิท

วินกดกริ่งเรียกอยู่หลายครั้ง สายตาสอดส่องตามช่องว่างระหว่างรั้ว ไม่มีการตอบสนองใด ๆ ไม่มีแสงไฟ มีเพียงกลิ่นดอกพญาสัตบรรณโชยเข้าจมูก กับเสียงใบไม้ตอนลมพัดผ่าน ใบหน้าคมเงยขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดสนิท คืนนี้เป็นคืนเดือนดับ ทำให้ไม่มีดวงจันทร์ปรากฏให้เห็น บรรยากาศชวนขนหัวลุกมากขึ้นทุกที หากยืนอยู่ตรงนี้นานอีกสักนิด มีหวังได้เจอสิ่งที่ไม่อยากเจอแน่ เธอตัดสินใจแขวนถุงขนมไว้ที่รั้ว แล้วรีบก้าวยาว ๆ กลับขึ้นรถ

เสียงเครื่องยนต์ครางหึ่ง ๆ และเสียงเพลงที่ถูกเร่งให้ดังกว่าปกติช่วยอยู่เป็นเพื่อนตลอดทางกลับ วินเริ่มใจคอไม่ดีเมื่อเข้าใกล้บ้านหลังนั้น ไฟทางกะพริบสองสามครั้ง ก่อนจะดับวูบ ทำให้ทัศนวิสัยตรงจุดนั้นมืดสนิท ไม่กี่วินาทีต่อมา ไฟก็ติดพร้อมกับมีเงาดำยืนอยู่ท่ามกลางแสงนีออน มือเผลอกำพวงมาลัยแน่น ไฟกะพริบดับอีกครั้ง และสว่างในจังหวะที่รถเคลื่อนเข้าไปใกล้ ไม่มีเงาดำยืนอยู่แล้ว เสียงหัวใจเต้นถี่รัวดังแข่งกับเสียงเพลง เธอได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถตรงกลับบ้าน โดยไม่เหลียวมองด้านหลังเลยแม้แต่นิดเดียว

วินมองผู้เป็นแม่ที่กำลังเปิดประตูรั้วด้วยความสงสัย เมื่อถอยรถเข้าบ้านเสร็จก็รีบช่วยหญิงวัยกลางคนถือถุงพะรุงพะรังเต็มสองมือ หล่อนหันมองลูกสาวอย่างตั้งคำถาม

“ทำไมวันนี้กลับทางนั้นล่ะ?”

“เอ้า! ก็แม่ให้วินไปส่งขนม”

วีรญาเลิกคิ้วขึ้นสูงพลางเท้าสะเอว

“ส่งขนมอะไร? แม่เพิ่งกลับมาจากตลาดเนี่ย แวนโทรมาบอกอยากกินแกงจืดเต้าหู้ไข่”

วินชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นบันได หัวใจกระตุกวูบ เธอมองหญิงวัยกลางคนด้วยความหวาดหวั่น

“กลับมาจากตลาด? หลังวินออกไปส่งของเหรอ?”

“ก่อนแกกลับมาสิ”

สายตามองตามผู้เป็นแม่ ในใจแอบหวังให้หล่อนหันมาบอกว่าที่พูดเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องหยอกเล่น ทว่าวีรญาไม่ได้หันมาคุยต่อแต่อย่างใด วินจึงรีบก้าวยาว ๆ ขึ้นห้องทันที

ถ้าไม่ใช่แม่ แล้วใครใช้ให้เอาขนมไปส่งล่ะ?

 

หลังมื้อเย็น วินกลับขึ้นมาทำงานพิเศษต่อจนห้าทุ่มกว่า อาการปวดหลังมาเยือนจนต้องล้มเลิกความตั้งใจที่จะทำให้เสร็จคืนนี้ สองแขนชูขึ้นเหนือหัวพลางเอี้ยวซ้ายขวาไล่ความเมื่อยล้า สายตาเหลือบมองปฏิทินตั้งโต๊ะ วงกลมสีแดงขีดรอบวันที่ยี่สิบแปด ไม่ได้เน้นเพราะเป็นวันคล้ายวันเกิด แต่ตั้งใจไว้ว่าจะหางานให้ได้เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดตัวเอง มีเวลาอีกเพียงสามสัปดาห์เท่านั้น เธอลุกขึ้นเดินไปกดล็อกประตูเพื่อป้องกันไม่ให้พี่สาวมารบกวนกลางดึกเหมือนคืนก่อน

ความอ่อนล้าถาโถมใส่วินที่ล้มตัวลงนอนบนที่นอนนุ่ม เปลือกตาหนักอึ้งปิดลงแทบจะในทันที ห้องมืดสนิทเนื่องจากเป็นแรมสิบห้าค่ำทำให้ไม่มีแสงจันทร์สาดส่องให้ความสว่าง หญิงสาวบนเตียงนอนพลิกตัวไปมาคล้ายคนนอนไม่หลับ วันพระทีไรต้องรู้สึกไม่สบายตัวตลอด ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นคอยทำให้ปวดเนื้อเมื่อยตัว และพอตื่นเช้ามาก็จะเจอกับรอยช้ำ หรือไม่ก็รอยแผลเล็ก ๆ บนผิวกายตนเอง มันเป็นอย่างนี้ตลอดยี่สิบเอ็ดปีที่ผ่านมา

หญิงแปลกหน้าออกมาโลดแล่นในความฝันอีกครั้ง เรื่องราวเดิม ๆ ที่ฝันถึงแทบทุกคืน วินเคยลองไปตามวัดดัง หรือแม้แต่ตำหนักทรงเจ้าหลายสำนัก รวมถึงพบจิตแพทย์เพื่อรักษาความผิดปกติด้านการนอน แต่ไม่มีที่ไหนสามารถรักษา หรือไขข้อข้องใจเรื่องนี้ได้เลย

เสียงบานพับประตูดังช้า ๆ ตามแรงเปิดเช่นสองคืนที่ผ่านมา วินงัวเงียเตรียมชันตัวมองแขกยามวิกาล แต่ต้องชะงักนิ่งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าก่อนนอนได้ล็อกประตูแล้ว เธอค่อย ๆ นอนลงท่าเดิม และรีบหลับตาปี๋เพื่อตัดการมองเห็น แต่ไม่สามารถปิดประสาทการได้ยิน เสียงเสียดสีของเสื้อผ้าใกล้เข้ามาทุกขณะ

บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงใบไม้ไหว มีเพียงเสียงลมหายใจของตัวเอง และเสียงขยับตัวของแขกไม่ได้รับเชิญอยู่ด้านหลัง วินเม้มปากพลางกำมือแน่นด้วยความหวาดกลัว สัมผัสที่หกไม่ได้ช่วยให้เธอคุ้นชิน หรือเลิกกลัวสิ่งเร้นลับเหล่านี้ได้เลย จู่ ๆ เสียงนั้นก็หายไป ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

ความอึดอัด และเย็นยะเยือกไล่ลามตั้งแต่ปลายเท้า ผ่านแนวกระดูกสันหลังจนถึงศีรษะ ส่งผลให้ขนลุกชันทั่วร่าง เสียงหัวใจดังก้องอยู่ในหู วินไม่กล้าแม้แต่จะหายใจให้เต็มปอด เธอนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนสักพักเพื่อรอให้ผู้มาเยือนยามวิกาลกลับไปตามทางที่มา เสียงบานพับปิดตัวลงช้า ๆ พร้อมกับคนบนเตียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ก่อนจะชันตัวขึ้นมอง แต่แล้วสิ่งที่เห็นเบื้องหน้าทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น ร่างหญิงสาวยืนชิดขอบเตียงห่างกับเจ้าของห้องแค่เอื้อมมือ

วินไล่สายตามองตั้งแต่ช่วงเอวขึ้นไปยังใบหน้าเรียว ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว แม้ใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นจะเป็นพี่สาวแน่ ๆ ทว่าความรู้สึกประหลาด รวมถึงความอึดอัดถาโถมเข้าใส่จนต้องเขยิบหนีไปอีกทาง ผู้เป็นพี่ยังคงยืนมองด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

“พ...พี่แวน”

แวนไม่ตอบ แต่ริมฝีปากบางค่อย ๆ เหยียดยิ้มกว้าง…มันกว้างเสียจนผิดธรรมชาติ มุมปากฉีกออกเกือบถึงรูหู วินาทีนี้วินรู้แล้วว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่พี่สาว เธอจึงลุกขึ้นเตรียมวิ่งหนี ทว่าหล่อนกลับกระโดดคร่อมร่างไว้ กลิ่นเหม็นเน่า รวมถึงกลิ่นอับโชยเข้าจมูก

วินถูกตรึงบนที่นอนด้วยแขนทั้งสองข้างทั้งที่ตัวเราก็ไล่เลี่ยกัน แต่กลับขยับไม่ได้ราวกับถูกมนตร์สะกด หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าผีอำ มีเพียงศีรษะเท่านั้นที่ยังพอหันหนีได้ เธอแหกปากตะโกนเรียกพ่อกับแม่ ทว่าเหมือนไม่มีใครได้ยินเลยสักคน

“เรียกให้ตายก็ไม่มีใครได้ยินหรอก”

เสียงของแวนดังขึ้นฝ่าความมืด คล้ายเสียงคลื่นแทรกตามสถานีวิทยุในสมัยก่อน ทั้งซ่า และไม่ชัดเจน แต่ยังพอจับใจความได้ วินกรีดร้องสุดเสียง พลางดิ้นรนสุดแรง แต่กลับขยับไม่ได้ตามใจนึก ราวกับร่างกายนี้ไม่ใช่ของเธออีกต่อไป

มือเรียวปล่อยข้อมือให้เป็นอิสระ มันเอียงคอไปมาเกิดเป็นเสียงกระดูกลั่นดังกร๊อบสองสามครั้ง ก่อนจะขยับมาบีบคอวินที่เบิกตาโพลง เธอพยายามดิ้นรนพร้อมแกะมือที่บีบคอออกเพื่อเอาชีวิตรอด แต่เหมือนยิ่งขัดขืน วงบีบยิ่งรัดแน่นขึ้นทุกที ในใจสวดมนต์ทุกบทเท่าที่นึกออก พลางภาวนาให้ผ่านพ้นจากฝันร้ายเสียที เสียงคลื่นแทรกดังขึ้นอีกครั้ง

“จะไล่ผีทั้งที ยังสวดมนต์ผิด ๆ ถูก ๆ”

“ป...ปล่อยนะ! ช...ช่วยด้วย”

วินเค้นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ พลางอ้าปากพะงาบสูดลมหายใจอย่างยากลำบาก มันโน้มตัวลงเข้าใกล้ช้า ๆ เธอรีบหันหน้าหนี กลิ่นเหม็นเน่าทวีความรุนแรงจนแทบหายใจไม่ออก รอยยิ้มแสยะกว้างเกิดเป็นเสียงน่าขยะแขยง

“ใครหน้าไหนก็ช่วยมึงไม่ได้หรอก เพราะชีวิตมึง...เป็น ของ กู”

มันแลบลิ้นเลียตั้งแต่สันกรามลากจนถึงเบ้าตา กลิ่นสาบน่าสะอิดสะเอียนแข่งกับกลิ่นเหม็นเน่าทำให้วินต้องกลั้นหายใจ เธอได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอคล้ายพึงพอใจดังจากคนเบื้องบน

“สมกับที่รอมายี่สิบเอ็ดปี รสชาติของคนใกล้ตายนี่มันหอมหวานเหลือเกิน” ลิ้นเปียกชุ่มเต็มไปด้วยเมือกเหนียวลากตามใบหน้าอีกครั้ง “อร่อยจนแทบอดใจรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหวแล้วสิ”

มันยืดตัวขึ้นสุด รอยยิ้มสยองยังมีให้เห็นบนใบหน้า ลิ้นแลบเลียตามริมฝีปากบางราวกับต้องการเก็บความหอมหวานไว้ทุกตารางนิ้ว

“ไว้เจอกันใหม่นะ”

ร่างของแวนกระตุกอย่างรุนแรง ก่อนจะร่วงจากเตียงลงพื้น เสียงกระแทกหนัก ๆ ปลุกให้ทุกคนในบ้าน รวมถึงวินตื่นจากภวังค์ เธอรีบยกมือขึ้นเช็ดเมือกเหนียวออกจากใบหน้าของตัวเอง ผู้เป็นพี่ลุกขึ้นนั่ง พลางยกมือกุมหัวด้วยความเจ็บปวดระคนมึนงง สายตากวาดมองรอบตัว

“นี่มันห้องวินนี่”

ผู้เป็นน้องยันเท้าใส่หน้าอกพี่สาวเต็มแรงจนหล่อนหงายหลังล้มตึง เป็นจังหวะเดียวกับพ่อแม่เปิดประตูเข้ามาพอดี ทั้งคู่อุทานเรียกชื่อลูกสาวเสียงหลง

“วิน!”

“โอ๊ย! แกถีบพี่ทำไมวะไอ้วิน!”

“พ่อ...แม่ พี่แวนเป็นผี!”

วินตะกายไปหาชายวัยกลางคน พลางละล่ำละลักด้วยสีหน้าตื่นกลัว แต่ผู้เป็นพี่กลับลุกขึ้นลูบหน้าอกตัวเองพร้อมตะโกนเสียงดังลั่น

“ผีบ้าผีบออะไร! นี่ฉันเอง!”

“อย่าเข้ามานะ! ไม่!”

“วิน! ใจเย็นก่อนลูก นั่นพี่แวนไง”

สองชายหญิงวัยกลางคนช่วยกันล็อกแขนลูกสาวที่กำลังคลุ้มคลั่งให้อยู่กับที่ เสียงหัวเราะในลำคอดังรอบตัว วินเหลือบตาไปมองหน้าพ่อกับแม่ เห็นรอยยิ้มฉีกกว้างผิดมนุษย์ก็กรีดร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัวสุดขีด

“ไม่!!”

วินตะโกนสุดเสียงพลางเด้งตัวขึ้นนั่ง เหงื่อไหลโซมกายทั้งที่เครื่องปรับอากาศยังทำงานปกติ เธอรีบยกมือขึ้นเช็ดใบหน้าเรียว ทว่าไม่มีของเหลวเหนียวหนืดเปื้อน ไม่มีพี่สาวหรือพ่อแม่อยู่ในห้องแม้แต่คนเดียว ลมหายใจหอบถี่ราวกับเพิ่งวิ่งทำเวลา สองมือยังไม่ยอมหยุดสั่นจนต้องกำแน่น

สิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นเพียงความฝันจริงหรือ?

วินเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนัง เวลาฉายบนหน้าปัดตีสองสิบสามนาที เธอสูดลมหายใจเข้าออกหลายครั้งปรับจังหวะหัวใจให้กลับมาเต้นตามปกติ ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้า คำถามมากมายยังวนเวียนในหัว เพราะไม่แน่ใจว่าเรื่องราวที่เพิ่งเจอมันคืออะไรกันแน่ พอนึกถึงความฝัน กลิ่นเหม็นเน่าก็โชยขึ้นจมูกชัดเจนจนต้องรีบก้มลงขย้อนของเหลวทั้งหมดในกระเพาะออกมาทันที

เงาในกระจกนั้นไม่ได้ก้มลงตามเจ้าของ ทว่ามันกลับแสยะยิ้มกว้างด้วยสายตามุ่งร้าย