1 ตอน ไม่คาดฝัน - Act I
โดย Evarlynne
…ว่ากันว่าคนที่เคยเฉียดความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง จะสามารถมองเห็นสิ่งที่เป็นของโลกทางฝั่งนั้นได้ เช่นนั้นแล้วหากเป็นคนที่ได้รับสืบทอดวิชาจากตระกูล และยังเฉียดความตายมามากกว่าสามครั้งแล้วเล่า…
ตอนบ่ายของฤดูร้อนนั้นอากาศยิ่งอบอ้าว จงจิ่งอี๋เดินเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่ใต้หมวกปีกกว้างไปตามถนนสายเล็กที่มุ่งตรงสู่ชายหาด แม้เธอจะชอบบรรยากาศของหน้าร้อนอันสดใส ทว่าก็เกลียดสภาพอากาศที่สามารถฆ่าคนตายได้เช่นนี้ หญิงสาวหยิบเอาผ้าเช้ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อที่ขมับ สายตากวาดมองหาร้านสะดกวซื้อหรือไม่ก็ตู้เครื่องดื่มอัตโนมัติ ซึ่งกว่าจะเจอก็เล่นเอาแทบจะเป็นลมอยู่ข้างถนนแล้ว และโชคดีที่มันตั้งอยู่ใต้ร่มเงาของไม้ใหญ่
หญิงสาวยืนดื่มน้ำพักผ่อนหลบแดดตรงนั้นครู่หนึ่งจึงออกเดินทางต่อ จุดหมายของเธอวันนี้คือร้านหนังสือเก่าที่ถนนเลียบทะเลที่สอง เดินจากจุดนี้ไปอีกสองสามช่วงถนนก็ถึงแล้ว จงจิ่งอี๋รีบจ้ำเท้าเดินหวังให้ถึงเร็วที่สุดก่อนจะหมดแรงกลางแดดเอาจริง ๆ แต่สงสัยว่าวันนี้ลืมดูฤกษ์ยามก่อนออกจากบ้าน เพราะเมื่อไปถึงร้านหนังสือเก่าก็เห็นว่าประตูปิดอยู่
ประตุไม้หน้าร้านลงกลอนเอาไว้แน่นหนา ทว่ากลับไม่มีป้ายหรือแผ่นกระดาษแปะเอาไว้ว่าจะเปิดอีกเมื่อไหร่ บางทีเจ้าของร้านอาจจะรีบร้อนไปทำธุระจึงลืมมันไปกระมัง…จงจิ่งอี๋ปลอบใจตัวเองขณะจ้องแม่กุญแจที่คล้องประตูเขม็ง ครั้นคิดจะโทรถามก็นึกได้ว่าคนคนนั้นเป็นมนุษย์ชนิดที่ไม่ยอมรับเทคโนโลยีเข้ามาในชีวิต นอกจากโทรศัพท์ของร้านแล้ว วิธีการจัดเรียงหมวดหมู่หนังสือและการคิดเงินของร้านนี้ล้วนทำมือทั้งสิ้น
หญิงสาวใบหน้ามู่ทู่ เธอสุดแสนจะเสียใจและผิดหวัง นั่นเพราะกำหนดส่งต้นฉบับนิยายของเธอไม่อาจจะผลัดวันออกไปได้มากว่านี้แล้ว หาไม่ก็ต้องโดนผู้ดูแลจอมโหดบ่นจนหูชาอีกแน่ จนใจที่เธอเองก็หาข้อมูลของหนังสือเล่มนี้ทางเว็บไซต์ของร้านอื่น ๆ ดูแล้ว และหนังสือที่ต้องการก็ยังคงไม่มีรีสต็อกเสียที ด้วยเหตุนี้ร้านหนังสือเก่าจึงเป็นทางออกสุดท้าย
ทั้งที่อยากใช้โควต้าเบิกเงินค่าหนังสือให้เต็มวงเงินแท้ ๆ …คนคิดอย่างเสียดาย
จงจิ่งอี๋กยกล้องขึ้นมาถ่ายรูปหน้าร้านเป็นหลักฐาน ก่อนจะส่งข้อความคุยกับผู้ดูแลขณะเดินทางกลับที่พัก เธอตัดสินใจว่าไว้วันพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่อีกรอบ
อนิจจา ไม่ว่าจะวันต่อมา อีกสองวันต่อมา หรือจะในวันถัด ๆ มา ประตูร้านหนังสือเก่านั้นก็ไม่มีท่าทีว่าจะเปิดเลย มันราวกับว่าจะไม่มีวันเปิดออกต้อนรับลูกค้าอีกตลอดกาล จงจิ่งอี๋ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น ในใจแม้ไม่อยากจะคิดไปในทางเลวร้ายแต่ก็อดไม่ได้จริง ๆ อาจจะเพราะนี่เป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่ตอนถูกจับฝึกวิชาตั้งแต่เด็กกระมัง
“คงไม่ใช่ว่า…”
ในจังหวะที่หญิงสาวกำลังพึมพำกับตัวเองนั้น มีเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งกำลังตรงมาทางนี้
“ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงเป็นลูกค้าหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงสุภาพของผู้ชายดังขึ้นดังจงจิ่งอี๋ออกมาจากห้วงคิด
หญิงสาวหันไปมองผู้มาใหม่ เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสมส่วน หน้าตานั้นนับว่าดีทีเดียว หากไม่เพราะใต้ตาดำคล้ำกับทรงผมที่ยุ่งนิดหน่อยบนหัวนั่น แม้เขาจะแต่งกายเรียบร้อยสะอาดสะอ้านและจัดแต่งทรงผมอย่างพิถีพิถัน ทว่าในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกที่บอกไม่ถูกแผ่ออกมาจากร่างกายของคนผู้นี้
…จงจิ่งอี๋วางลางสังหรณ์และความรู้สึกแปลก ๆ เหล่านั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้การปิดต้นฉบับของเธอสำคัญที่สุด
“ใช่ค่ะ ฉันอยากได้หนังสือสำหรับอ้างอิงในการเขียนงานน่ะค่ะ”
“ผมเป็นญาติของคุณโต้วเจ้าของร้าน เดี๋ยวผมเปิดประตูร้านให้ รอสักครู่นะครับ”
ชายคนนั้นเอ่ยจบก็เปิดกระเป๋าหยิบเอาค้อนและชะแลงออกมา จงจิ่งอี๋ได้แต่ยืนมองอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาจัดการทุบกุญแจที่คล้องบานประตูให้หลุดออกแล้วผลักบานประตูเข้าไป
“เชิญครับ”
มองชายหนุ่มที่ผายมือให้ตรงหน้า หญิงสาวทำได้แต่เพียงพยักหน้า “ขอบคุณค่ะ”
เข้าในร้านมีกลิ่นอับสายหนึ่งโชยปะทะใบหน้า มันเป็นกลิ่นหนังเก่าที่เกิดจากเชื้อราและยังมีกลิ่นเปียกชื้นคล้ายถูกพายุฝนพัดเข้ามาในร้าน กลิ่นที่ราวถุงเท้าเน่าไม่ได้ซักมาหลายวันเช่นนี้ ทำเอาลูกค้าเพียงคนเดียวในร้านไม่มีอารมณ์หาหนังสือแล้ว
แต่ว่า…
เพื่อต้นฉบับ!
จงจิ่งอี๋หยิบเอาหน้ากากผ้ามาสวมก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน แม้ว่าสำหรับเธอแล้วจะใส่หรือไม่ก็ไม่ต่างกันนัก แต่ทำแบบนี้แล้วรู้สึกจมูกที่เริ่มด้านชานี่จะปลอดภัยมากกว่า เมื่อสวมเสร็จก็บอกตัวเองว่าให้รีบซื้อรีบกลับโดยเร็ว
หญิงสาวเดินหายเข้าไปในชั้นวางหนังสือแถวที่สามซึ่งเป็นหมวดประวัติศาสตร์และโบราณคดี เสียงฝีเท้าเดินแล้วหยุดเป็นพัก ๆ ทางด้านชายหนุ่มที่เปิดประตูร้านให้นั้นหลังจากแน่ใจว่าอีกฝ่ายหายไปหลังชั้นหนังสือและมองไม่เห็นทางนี้แล้ว จึงเริ่มจัดการเปิดประตูตู้ใต้เคาน์เตอร์ แล้วเริ่มค้นหาของอย่างเงียบเชียบราวกับมืออาชีพ
ร้านหนังสือนี้มีขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก หนังสือบางส่วนที่ไม่อาจนำขึ้นชั้นได้จึงวางซ้อนกันบนพื้น บางกองมีขนาดความสูงเกือบเท่าตัวจงจิ่งอี๋ ส่วนบางกองกลับสูงเพียงข้อเท้าเท่านั้น เดินผ่านหนังสือมากมายแต่ที่หยิบติดไม้ติดมือมาสองสามนั้นกลับไม่เกี่ยวกับงานตัวเองเลยสักชิ้น ในเมื่อบนชั้นไม่มีก็ต้องเป็นหนึ่งในเล่มที่อยู่ท่ามกลางกองหนังสือพวกนี้ และมีกองหนึ่งที่สูงเกือบจรดเพดานร้าน
“ญาติคุณโต้วคะ” จงจิ่งอี๋เดินกลับไปยังเคาน์เตอร์หน้าร้าน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง "ฉันรับหนังสือสามเล่มนี้นะคะ"
“ได้เลยครับ” ชายหนุ่มยืนขึ้นพลางหยิบเอาหนังสือมาบันทึกเลขลงสมุดบันทึกของร้าน
"เอ่อ แล้วก็...มีกองหนังสือที่ฉันอยากลองดูแต่หยิบไม่ถึง ถ้ายังไงรบกวนคุณช่วยเอาลงมาให้หน่อยได้มั้ยคะ"
เขาตอบรับพร้อมพยักหน้า หลังจากยื่นหนังสือที่คิดเงินเรียบร้อยให้หญิงสาวแล้ว สองคนก็เดินตรงไปยังชั้นหนังสือแถวที่สาม ที่ด้านในสุดของแถวนี้มีกองหนังสือวางอยู่ราวกับภูเขาขนาดย่อม มองเห็นแล้วชายหนุ่มก็ได้แต่ทำสีหน้ายุ่งยากใจก่อนจะหายไปเอาเก้าอี้มา
สองคนช่วยกันขนย้ายหนังสือลงมาวางบนพื้น ทำแบบนี้ลูกค้าจะได้ค้นหนังสือได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มไม่ทันได้ระวังทำหนังสือหลุดมือ หลังสือเล่มหนาหนักร่วงหล่นใส่กองหนังสืออีกกอง มันเอียงล้มลงในทันที จงจิ่งอี๋ขยับออกห่างจากบริเวณนั้นด้วยกลัวจะถูกหนังสือทับตายเอาเสียก่อน
ทว่าใครเล่าจะรู้ว่ามีคนที่ถูกหนังสือทับตายอยู่ ณ ที่ตรงนั้นจริง ๆ …
ทันทีที่หยิบหนังที่กระจัดกระจายและบางเล่มก็เปิดอ้ากว้างมองเห็นกระดาษสีเหลืองที่แทบขาดจากสันกาว ในใจของหญิงสาวพลันรู้สึกเจ็บปวดอย่างช่วยไม่ได้ จงจิ่งอี๋และชายหนุ่มช่วยกันขนย้ายหนังสือที่พวกนั้นมาวางกองซ้อนกันใหม่ และเมื่อนั้นด้านหลังอดีตกองภูเขาหนังสอืก็ปรากฎร่างที่มีใบหน้าอันคุ้นตา เป็นคุณเจ้าของร้านหนังสือเก่าแห่งนี้นั่นเอง
สองหันมองหน้ากันโดยพร้อมเพรียงกันอย่างตกตะลึง
Comments (0)