“ยินดีต้อนรับค่ะ”

 

 

พนักงานโรงแรมผุดลุกขึ้นยืนหน้าเคาน์เตอร์เมื่อได้เห็นบานประตูถูกผลักเปิดออก มองไปยังกลุ่มผู้มาใหม่ตรงหน้าพลางแจกรอยยิ้มการค้า หนึ่งในกลุ่มแขกของเธอยื่นโทรศัพท์มือถือมาตรงหน้า บนนั้นมีเลขที่การจองและข้อมูลของลูกค้าแสดงอยู่ เธอรีบจัดการเช็กอินในระบบก่อนจะมอบกุญแจให้พวกเขา

 

 

“…ทางเรามีบริการซักรีดให้ หรือหากต้องการใช้เครื่องซักผ้าของทางโรงแรมสามารถตรงไปที่ห้องชั้นดาดฟ้าได้เลยค่ะ”

 

 

“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มที่ดูสภาพเรียบร้อยเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ในใจของหญิงสาวอดเต้นรัวไม่ได้เมื่อเจอความหล่อเหลาและอ่อนโยนกระแทกเข้าให้เช่นนี้

 

 

แขกกลุ่มนั้นเดินขึ้นไปยังชั้นสาม เมื่อถึงหน้าห้องพักก็เปิดประตูเข้าด้านใน ห้องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่และเตียงสองเตียง

 

 

“คุณนอนเตียงเดี่ยว” สวีเซี่ยพูดโพล่งออกมาก่อนจะเดินไปทางเตียงสองชั้นอีกฝั่งของห้อง “ขอโทษด้วยที่ต้องนอนรวมกัน แต่ผมไม่อาจปล่อยให้คุณคลาดสายตาได้”

 

 

จงจิ่งอี๋พยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ เธอวางกระเป๋าตัวเองลงที่ข้างเตียงก่อนจะเดินเข้าไปทำธุระในห้องน้ำ เห็นหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มปิดประตูไปแล้วจึงได้เดินเข้าไปหาสวีเซี่ย

 

 

“หัวหน้าครับ คุณแน่ใจจริง ๆ หรอว่าจะไปกันแค่สามคน” หวังอันเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล ชายหนุ่มเป็นหนึ่งในคนที่สวีเซี่ยไว้วางใจมากที่สุดในหน่วย เป็นดั่งผู้ช่วยมือซ้ายของเขา “ทำไมคุณไม่ขอตัวคนจากหน่วยสิบมา”

 

 

สวีเซี่ยแม้จะเห็นด้วยกับคำพูดของอีกคน แต่ก็จนใจที่คนที่เหมาะสมของหน่วยสิบดันบังเอิญไม่ว่างพอดี อีกอย่างเขาอยากจะให้จงจิ่งอี๋พิสูจน์ตัวเองเพื่อให้พ้นจากขอบเขตของผู้ต้องสงสัย

 

 

“ผู้เชี่ยวชาญทางนั้นติดงาน เราจะทำอะไรได้ อีกอย่างถ้าจะให้เทียบเรื่องฝีมือ ฉันยอมวางเดิมพันข้างอาจิ่งมากกว่าเขา” สวีเซี่ยเอ่ยปลอบใจผู้ใต้บังคับบัญชา “นายวางใจได้ มีเธออยู่ด้วยพวกเราจะปลอดภัย”

 

 

นี่หมายความว่าสวีเซี่ยไว้วางใจในตัวคนตระกูลจงแม้อีกฝ่ายไม่มีประสบการณ์ มากกว่าจะไว้ใจเพื่อนร่วมงานที่เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ

 

 

คนพูดจบก็เดินไปรูดซิบเปิดค้นของในกระเป๋าออกมาตรวจสอบ หวังอันที่ทำท่าจะแย้งก็ได้แต่พยักหน้าอย่างจำใจ เขาแน่นอนย่อมเชื่อคำพูดของหัวหน้า ทว่าก็ยังไม่อาจไว้วางใจในฝีมือของอีกฝ่ายได้ แถมหญิงสาวคนนี้ยังถูกจัดอยู่ในกลุ่มของผู้ต้องสงสัย แม้หัวหน้าของเขาจะบอกว่ารู้จักกันมานานและสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ให้เธอได้ แต่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ จะอย่างไรระวังตัวไว้ก่อนก็ไม่เสียหลาย

 

 

ขณะกำลังคิดวางแผนในใจอยู่นั้น คนที่อยู่ในห้องน้ำก็เปิดประตูออกมาพอดี ดวงตาสองคู่สบกัน และเป็นหวังอันที่รีบเบนสายตาหนีแล้วหันไปวุ่นวายกับกระเป๋าของตน จงจิ่งอี๋มองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจเล็กน้อย เลื่อนสายตาไปก็เห็นสวีเซี่ยกำลังอ่านอะไรบางอย่างอยู่ เธอตัดสินใจไม่รบกวนพวกเขา ถึงอย่างไรก็เป็นวันพรุ่งนี้ถึงจะออกเดินทาง ตอนนี้ขอพักผ่อนเอาแรงก่อนก็แล้วกัน

 

 

จงจิ่งอี๋เปิดกระเป๋าหยิบเอากล้องถ่ายรูปออกมา เธอเดินไปที่หน้าต่างมองออกไปด้านนอก ฝนเพิ่งจะหยุดได้ไม่นานอากาศจึงเย็นอยู่บ้าง หญิงสาวสูดอากาศบริสุทธิ์ท่ามกลางป่าเขาเข้าไปเต็มปอดพลางกวาดตามองทิวทัศน์เบื้องล่าง ครู่หนึ่งผ่านไปจึงยกกล้องขึ้นมาเตรียมถ่ายรูป

 

 

หวังอันที่เหลือบมองอีกฝ่ายเบ้ปากอย่างขัดใจ นี่เธอคนนี้คิดว่ามาเที่ยวเล่นกันหรือไงถึงได้พกกล้องถ่ายรูปอันใหญ่มาด้วยเนี่ย!

 

 

สายตาไม่พอใจจดจ้องไปทางจงจิ่งอี๋ และเพราะแบบนั้นทำให้เขาได้เห็นอะไรบางอย่างเข้า…

 

 

ที่บริเวณหน้าต่างนั้นจู่ ๆ ด้านนอกก็พลันดำมืดราวกับกลางคืน ไม่สิ…ต้องบอกดำมืดราวกับเอาผืนผ้าใบมาคลุมปิดไว้เสียมากกว่า พริบตานั้นมันพุ่งผ่านร่างของหญิงสาวเข้ามาในห้อง ความมืดนั้นลอยวยเวียนไร้ทิศทางไปทั่วทั้งห้อง และก่อนที่มันจะพุ่งมาทางหัวหน้า หวังอันยืนขึ้นและเอาตัวเข้าไปขวางไว้ก่อน

 

 

ชั่วเสี้ยววินาทีนั้น เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานอันหนาวยะเยือกมาจากกลุ่มก้อนสีดำตรงหน้า…

 

 

ปัง!

 

 

เสียงกระแทกหน้าต่างปิดด้วยความรีบร้อน ตามมาด้วยเสียงตะโกนของผู้หญิง “จิตแท้หวนคืน!”

 

 

น้ำเสียงนั้นทรงพลังทว่าก็อ่อนโยน พริบตานั้นก้อนดำคล้ายถุกอะไรบางอย่างดึงกลับไป ก่อนจะค่อย ๆ หมุนวนเข้าที่กลางห้องแล้วควบรวมกลายเป็นวิญญาณโปร่งแสง

 

 

หวังอันจ้องมองวิญญาณที่ลอยอยู่เหนือพรมกลางห้องนั้นตาแทบถลน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสิ่งที่เรียกกันว่าผี

ถือว่าเป็นโชคดีที่เจ้าสิ่งนั้นไม่ได้สนใจอีกสองชีวิตในห้องมากเท่าไหร่นัก มันหันมองทางจงจิ่งอี๋สีหน้าเคร่งเครียด

 

 

“คุณหนู…”

 

 

“คุณโต้ว” จงจิ่งอี๋วางมือจากสมุดบันทึกของตนแล้วเดินไปหยุดอยู่ห่างจากอีกฝ่ายสี่ห้าก้าว “คุณเสี่ยงอันตรายมาหาฉันถึงนี่ คงเป็นเรื่อง ‘จดหมาย’ นั่นสินะคะ”

 

 

ในจดหมายที่เขียนถึงลูกค้าขาประจำของเขานั้น เป็นคำขอร้องของโต้วฝานชุ่นถึงจงจิ่งอี๋ ทว่าสองสัปดาห์ผ่านไปกลับไม่มีการตอบรับจากหญิงสาว โต้วฝานชุ่นไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก

 

 

“ทำไม…” โต้วฝานชุ่นเอ่ยน้ำเสียงรวดร้าว อุณหภูมิในห้องพลันลดต่ำลง

 

 

จงจิ่งอี๋มองอีกคนด้วยสายตาแปลกใจก่อนจะเอ่ย “คุณโต้วคะ คุณน่าจะรู้เหตุผลดีว่าทำไมฉันไม่ยื่นมือเข้าช่วย”

 

 

โต้วฝานชุ่นสีหน้างุนงงเป็นอย่างมาก ก่อนจะบิดเบี้ยวเหยเกเตรียมพร้อมกลายร่างเป็นวิญญาณอาฆาตโหยหวนได้ทุกเวลา แต่แน่นอนว่าในฐานะทายาทตระกูลนักพรตแล้ว จงจิ่งอี๋ย่อมไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทำตามอำเภอใจ เธอวาดนิ้วเรียกยันต์ออกมาก่อนจะสั่งให้มันสะกดพลังของอีกฝ่ายไว้ ผนึกวิญญาณของไว้ในแผ่นกระดาษชั่วคราว

 

 

“นี่น่าจะจำเป็นตอนลงไปข้างล่างนั่น” จงจิ่งอี๋บอกกับคนในห้อง และประโยคถัดมาก็พึมพำกับตัวเอง “...แต่ว่าเขาคงไม่โดนผู้คุมประตูรังแกหรอกใช่ไหมนะ”

 

 

“จงจิ่งอี๋”

 

 

ได้ยินคนเรียกชื่อตนเอง หญิงสาวก็หันไปทางต้นเสียง สวีเซี่ยขมวดคิ้วมองมาทางเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก จงจิ่งอี๋ก็จนใจทำเพียงเล่าความเป็นไปเป็นมาให้อีกฝ่ายฟัง

 

 

“ฉันไม่ได้ปิดบังนะคะ แค่…ลืมบอก” จงจิ่งอี๋บ่นอุบอิบ แบบนี้คนที่สวีเซี่ยพามาด้วยจะยิ่งสงสัยในตัวเธอหรือเปล่านะ เจอกันคร้งแรกก็โดนจ้องด้วยสายตาเคลือบแคลงแล้ว

 

 

สวีเซี่ยพูดไม่ออก แต่ก็ไม่ได้ต่อว่าอีกฝ่าย เพราะอย่างน้อยเธอก็ช่วยพวกเขาตามหาร่องรอยของละอองวิญญาณโต้วฝานชุ่นจนพบ และได้พาพวกเขามายังสถานที่แห่งนี้

 

 

“เอาเถอะ ตอนนี้หาวิญญาณเขาพบแล้วก็ดี” สวีเซี่ยเอ่ย “หาทางทำให้สงบลงแล้วค่อยเรียกออกมารีดเค้นข้อมูล คุณทำได้ใช่ไหม”

 

 

จงจิ่งอี๋พยักหน้าหงึก ไม่กล้าบอกว่ายังไม่เคยลองเหมอืกนัน หาไม่แล้วชีวิตอันแสนสงบสุขคงได้จบลงจริง ๆ เพราะทำให้ตัวเองยิ่งถูกสงสัยแน่ สวีเซี่ยอาจจะเชื่อใจเธอ แต่อีกคนที่มาด้วยนั้นไม่ใช่

 

 

“ตอนนี้เพิ่งจะตอนบ่าย ถึงเขาจะดูมีพลังแต่นั่นก็เพราะว่าเป็นวิญญาณอาฆาต เรียกออกมาตอนนี้เลยก็ยังไม่อาจสนทนาตอบโต้อะไรกับพวกเราได้” จงจิ่งอี๋อธิบาย “ช่วงยามสามเป็นต้นไปถึงจะเป็นเวลาที่พลังหยินแรงที่สุด สามารถตอบโต้กับคนเป็นได้ กว่าจะถึงตอนนั้นเขาน่าจะสงบลงบ้างแล้ว”

 

 

“ยามสาม” หวังอันทำสีหน้างงงวย

 

 

“เอ้อ หมายถึงช่วงเที่ยงคืนน่ะค่ะ”

 

 

หญิงสาวหน้าแดงพลางหัวเราะแหะ ๆ เธอเผลอหลุดใช้วิธีเรียกเวลาแบบโบราณออกมาต่อหน้าคนอื่นเสียแล้ว สวีเซี่ยมองท่าทางนั้นจากที่โมโหอยู่ก็พลันอารมณ์เย็นลง พลางปลอยใจตัวเองว่าอย่ากดดันอีกฝ่ายมากจนเกินไป

 

 

“แล้วก็…ตอนนี้ยังพอมีเวลาอยู่ ฉันไปเดินเที่ยวได้ใช่ไหมคะ” จงจิ่งอี๋เอ่ยถามพลางทำตาปรอย หวังให้ชายหนุ่มทั้งสองพอจะเห็นใจคนธรรมดาอย่างเธอบ้าง ให้นั่งอุดอู้จนถึงเวลาอาหารเย็นแบบนี้มันทนไม่ไหว อีกอย่างได้มานอกสถานที่ทั้งที ถ้าไม่เก็บภาพเก็บข้อมูลไปเสียหน่อยตัวเธอในอนาคตคงต้องเสียใจเป็นอย่างมาก

 

 

“…” สวีเซี่ยมองท่าทางนั้นอารมณ์โมโหก้กลับมาอีกรอบ

 

 

เอาล่ะ เขาขอถอนคำพูด!