คืนวันนั้นก่อนจงจิ่งอี๋เข้านอน ภูติกระดาษกลับมาแจ้งข่าวให้แก่หญิงสาว ผลคือตรวจสอบไม่พบวิญญาณของโต้วฝานชุ่น จงจิ่งอี๋คิดดูแล้วก็รู้สึกว่ามีสาเหตุและความน่าจะเป็นเยอะเกินไป คนจึงล้มตัวลงนอนวางเรื่องคดีไว้ข้างหมอน ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องจัดการไปนั่นแหละดีแล้ว
 

 

 

หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์จงจิ่งอี๋ก็ลืมเรื่องที่ร้านหนังสือไปเสียสนิท หญิงสาวอดหลับอดนอนปั่นต้นฉบับเสร็จอย่างฉิวเฉียด สีหน้าเคร่งเครียดจนคุณเจ้าของหอที่เก็บผักจากสวนบนหลังคามาฝากถึงกับอุทานตกใจ จงจิ่งอี๋อยู่ในความดูแลของอีกฝ่ายตลอดสองสามวันสุดท้ายของสัปดาห์นรก อาหารบำรุงทุกอย่างถูกจัดวางใส่ถาดและบริการถึงโต๊ะทำงาน

 

 

จงจิ่งอี๋ทราบซึ้งใจมาก วางแผนเอาไว้ว่าหลังจากปิดต้นฉบับแล้วจะซื้อของมาให้อีกฝ่ายเป็นการขอบคุณ และในเที่ยงคืนของวันสุดท้าย ไฟล์งานก็ถูกกดปุ่มส่งถึงผู้ดูแลเป็นที่เรียบร้อน ตอนนี้อารมณ์ดีใจเพียงอย่างเดียวคือเธอจะได้นอนเสียที นอกเหนือจากนั้นก็ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นแล้ว

 

 

จงจิ่งอี๋ทิ้งตัวลงบนฟูกก่อนจะตื่นขึ้นในช่วงรุ่งสางวันถัดมา มีข้อความและสายที่ไม่ได้รับเป็นร้อย คนถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเอง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อย จงจิ่งอี๋ออกมาในชุดออกกำลังกายเข้ารูป

 

 

เธอกะจะไปออกไปยืดเส้นยืดสายเสียหน่อยหลังจากนั่งจนรากแทบงอกอยู่หน้าคอมพิวเตอร์มาตลอดสัปดาห์ มือหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพลางเสียบหูฟังแบบไร้สายขณะเลื่อนเลือกเพลงแบบสุ่ม เสียงเพลงอิเล็ดโทรนิกาดังขึ้นให้ความรู้สึกฮึกเหิมพร้อมออกรบ หลังจากสวมรองเท้ากีฬาแล้วก็ไต่บันไดลงไปยังชั้นล่าง ทันได้ทักทายเพื่อนบ้านที่เพิ่งจะกลับเข้ามาจากข้างนอก

 

 

“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณจง” ชายหนุ่มผู้มีสภาพคล้ายกับจงจิ่งอี๋เมื่อวันก่อนก้มหัวทักทายพลางยิ้มให้ เขาเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโทของมหาวทิยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง เธอเอ่ยทักทายอีกฝ่ายแล้วบอกให้เขารีบพักผ่อน

 

 

“ขอตัวไปวิ่งก่อนนะคะ”

 

 

ด้านนอกอากาศเย็นสดชื่น ที่ขอบฟ้าอีกฟากของทะเลมองเห็นแสงสีส้มจาง ๆ จงจิ่งอี๋เหยียดกายสูดอากาศบริศุทธิ์เข้าปอดจากนั้นจึงออกวิ่ง และกว่าครึ่งชั่วโมงผ่านไป ในที่สุดจงจิ่งอี๋ก็มาถึงริมชายทะเล เธอเดินไปกดเครื่องดื่มผสมเกลือแร่ที่ตู้ขายน้ำอัตโนมัติ เติมน้ำและความสดชื่นให้ร่างกายหลังเหงื่อออก

 

 

ยามนี้พระอาทิตย์ขึ้นจนเต็มดวงทำให้อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นทีละนิด จงจิ่งอี๋ยืนรับลมครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจแวะคาเฟ่ระหว่างทางกลับบ้านเพื่อทานอาหารเช้า และในตอนนั้นเองที่เสียงอันคุ้นเคยของเครื่องบนต์ดังกระหึ่มขึ้น จงจิ่งอี๋ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปยังทิศทางที่มาของเสียง เป็นตามคาดเมื่อจักรยานยนต์คันนั้นค่อย ๆ ชะลอมาจอดด้านหน้าเธอ

 

 

สวีเซี่ยถอดหมวกนิรภัยออก สีหน้าเคร่งเครียดอย่างผิดปกติ “คุณสบายดีนะ”

 

 

จงจิ่งอี๋พยักหน้า ก่อนจะได้เอ่ยถามอะไรออกมาเพราะความสงสัย อีกฝ่ายก็ชิงพูดก่อน

 

 

“ผมว่าจะไปดูคุณที่อพาร์ทเมนท์เสียหน่อย เห็นคุณไม่รับสายสักทีก็เลย…” ดวงตาคู่นั้นดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด ทว่าสีหน้าของเจ้าตัวก็ดูโล่งใจไม่น้อย “คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

 

 

จงจิ่งอี๋เอ่ยขอบคุณที่อีกฝ่ายอุตส่าห์เป็นห่วงเป็นใยตนเช่นนี้ คุยกันสัพเพเหระอยู่ครู่หนึ่งสวีเซี่ยก็บอกให้คนขึ้นรถจะได้ไปทานอาหารเช้าด้วยกัน เขาบอกว่าตนเองเพิ่งปิดคดีเสร็จและยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวานเย็น ตอนนี้รู้สึกหิวโหยจนแทบจะเป็นลมอยู่แล้ว

 

 

หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็บอกให้อีกฝ่ายล่วงหน้าไปสั่งอาหารก่อนได้เลย สวีเซี่ยที่ทำท่าจะค้านถูกประโยคต่อมาตัดบทเอาเสียก่อน

 

 

“ฉันอยากแวะซื้อของสักหน่อย แล้วเดี๋ยวจะตามไปค่ะ” จงจิ่งอี๋ยิ้ม พลางบอกเส้นทางและชื่อร้านให้เสร็จสรรพ สวีเซี่ยไม่เอ่ยอะไรอีกก่อนจะพยักหน้าตกลงแล้วออกรถขับรถขึ้นเนิน ตรงไปตามเส้นทางที่หญิงสาวบอก ไม่นานนักก็ขับถึงคาเฟ่ที่ว่า

 

 

สถานที่ที่อุดมไปด้วยต้นไม้และดอกไม้เช่นนี้ หากไม่บอกคงคิดว่าเป็นร้านขายดอกไม้ไปเสียแล้ว สวีเซี่ยจอดรถตรงบริเวณที่จอดของร้านก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน สิ้นเสียงกระดิ่งที่แขวนเอาไว้ตรงประตูทางเข้าก็มีพนักงานเดินมาต้อนรับ คนสั่งอาหารเสร็จก็เดินหาที่นั่งในมุมสงบและลับสายตาคน

 

 

สวีเซี่ยหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดดูรายละเอียดคดีที่เพิ่งจะปิดไปอีกครั้ง จมอยู่กับมันถึงขนาดที่บริกรสาวของร้านมาเสิร์ฟอาหารแล้วก็ยังไม่รู้เรื่อง เป็นจงจิ่งอี๋ที่เดินมาสะกิดไหล่อีกฝ่าย สวีเซี่ยถึงได้ละสายตาจากหน้าจอ

 

 

“ไหนคุณบอกว่าหิวจะตายอยู่แล้ว แต่อาหารมาก็ไม่แตะเนี่ยนะ” จงจิ่งอี๋เลิกคิ้วมองอีกฝ่ายที่ทำสีหน้าเคร่งขรึมขนาดที่พนักงานในร้านมาเห็นยังไม่กล้าเอ่ยทัก ได้แต่ลอบมองมาทางนี้อย่างหวาดหวั่น

 

 

“ขอโทษที” ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะปิดหน้าจอแล้ววางมันบนโต๊ะ สายตาเหลือบมองถุงกระดาษในอ้อมกอดของหญิงสาวที่หย่อนกายลงนั่งตรงข้ามตน อมยิ้มแล้วหัวเราะ “ว่าแต่คุณนี่ยังชอบกินขนมปังเหมือนเดิมเลยนะ”

 

 

“เวลาปั่นต้นฉบับต้องการอะไรที่สะดวกรวดเร็วนี่คะ” จงจิ่งอี๋เอ่ย พยายามเมินไม่สนใจความหมายแฝงในหัวข้อสนทนานั้น แม้จะคิดไปเองแต่ก็ควรระวังตัวไว้ไม่หลงไปกับคำพูดของคนตรงหน้า “ว่าแต่คุณอยากจะคุยเรื่องคดีกับฉันใช่ไหม”

 

 

สวีเซี่ยยิ้มตาหยี “สมแล้วที่เป็นอาจิ่ง”

 

 

หญิงสาวหรี่ตามอง สวีเซี่ยแม้ไม่ใช่พวกหวงคำชม ทว่าถึงกับพูดออกมาในทุกครั้งที่พบกันเช่นนี้ เห็นทีว่าคงไม่น่าจบแค่การบอกเล่าเรื่องคดีแน่ ตอนนั้นเองที่เห็นเส้นสายสีทองวาดผ่านรอบโต๊ะของพวกเขา จงจิ่งอี๋เอียงคอมองสวีเซี่ย เขาเพียงอมยิ้มก่อนจะเริ่มต้นเล่า

 

 

“คดีนี้มองดูผิวเผินอาจไม่ซับซ้อน เพราะสาเหตุเบื้องต้นคือฆาตกรกับผู้ตายไม่ลงรอยกัน หลังจากมีปากมีเสียงก็พลั้งมือฆ่า และอำพรางศพด้วยกองหนังสือพวกนั้นหนีความผิด แล้วยังเอากุญแจมาล็อกประตูเสียอีก รอจนพวกอาจิ่งมาที่ร้านจึงได้พบศพคุณโต้ว…แต่จุดน่าสงสัยอยู่ที่คำให้การของโต้วฟ่านเซิง ลูกชายของคุณโต้วคนนี้พาคุณงัดประตูร้านเข้าไปด้านในใช่ไหม”

 

 

จงจิ่งอี๋พยักหน้าขณะตักอาหารเข้าปากอีกคำ

 

 

“เขาบอกว่าติดต่อพ่อของเขามาแล้วสามวัน ทว่าติดต่อไม่ได้ จึงตัดสินใจมาดูที่ร้านวันเดียวกับที่คุณมาพอดี” สวีเซี่ยเอ่ย เห็นอีกฝ่ายกินอย่างเอร็ดอร่อย ท้องเจ้ากรรมก็เริ่มส่งเสียงดัง จึงตัดสินใจกินไปพลางเล่าไปพลาง

 

 

“คำถามคือทำไมเขาต้องพร้อมกับค้อนและชะแลงเพื่องัดเข้าร้าน เป็นพ่อลูกกัน อย่างไรก็ต้องมีกุญแจสำรองไว้บ้าง เว้นเสียแต่พวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนัก คำถามที่สอง ในเมื่อเขามาพร้อมกับอุปกรณ์ครบครัน แสดงว่าต้องเคยมาที่ร้านก่อนหน้าที่คุณจะมา แต่เขากลับบอกว่าเพิ่งมาถึงก็พบกับคุณ จุดนี้แปลกไปหน่อย”

 

 

จงจิ่งอี๋พยักหน้าเห็นด้วย

 

 

“คำถามที่สาม พวกเราตรวจสอบประวัติของโต้วฝานชุ่นนับว่าสะอาดดี ทว่าสำหรับเจ้าร้านหนังสือเก่าเล็ก ๆ แล้วเป็นไปได้หรอที่เขามีทรัพย์สินจำนวนมาก จนถึงกับต้องเปิดบัญชีธนาคารหลายแห่งเอาไว้ให้เงินนอนเล่น จากจุดนี้พวกเราคาดเดาว่าคนร้ายจะต้องเป็นคนรู้จักและต้องการทรัพย์สินพวกนี้ของเขา”

 

 

“คุณจะบอกว่าโต้วฟ่านเซิงอาจจะเป็นคนร้ายหรอคะ” จงจิ่งอี๋ถาม “อ้อ แต่ในวงการหนังสือ พวกหนังสือมือสองบางเล่มราคาแพงมากเลยนะคะ”

 

 

“ผมก็คิดแบบนี้ทีแรก แต่ไม่พบประวัติการประมูลอะไรที่เกี่ยวข้องกับเขา และไม่เคยมีประวัติการโอนเงินจำนวนมากออกจากบัญชีธนาคารพวกนั้น” สวีเซี่ยตอบ “สำหรับโต้วฟ่านเซิงนั้นน่าสงสัยจริง ๆ แต่โต้วฝานชุ่นนั้นไม่รู้เทคโนโลยีอะไร ดูจากที่เขายังไม่ติดตั้งเครื่องคิดเงินในร้าน ดังนั้นการจะทำธุรกรรมทางการเงินในนามของเขา เพียงแค่ใช้เอกสารที่มีลายเซ็นต์ของโต้วฝานชุ่นก็เพียงพอ ซึ่งลูกชายของเขาสามารถดำเนินการได้อย่างง่ายดาย แต่หลังจากวันนั้นเราไม่พบการเคลื่อนไหวของบัญชีธนาคารเลย”

 

 

“และนอกจากบริเวณชั้นหนังสือที่มีศพผู้ตายแล้ว ลายมือของโต้วฟ่านเซิงปรากฎอยู่แค่ที่ปากกาบนสมุดบันทึก กับบานประตูตู้เคาน์เตอร์เท่านั้น เขากำลังหาอะไรอยู่กันแน่”

 

 

“ฉันก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอกนะคะ นอกจากบอกว่าพยายามเข้า” จงจิ่งอี๋แสดงสีหน้าเห็นใจ สวีเซี่ยมองหญิงสาวก็ได้แต่ถอนหายใจออกมายาวเหยียด หยิบกาแฟที่เริ่มเย็นชืดขึ้นดื่มจนหมดแก้ว แล้วลุกขึ้นไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ก่อนจะส่งสัญญาณให้อีกคนออกจากร้าน

 

 

จงจิ่งอี๋ยัดไข่ดาวเข้าปากก่อนจะคว้าเอาถุงขนมปังแล้วตามอีกฝ่ายไป

 

 

“อาจิ่ง ผมรู้ว่าคุณรู้” สวีเซี่ยเอ่ยออกมาขณะสบตากับคนที่นั่งตรงข้าม “เมื่อวานผมนึกขึ้นมาได้ว่าในร้านไม่มีกลิ่นเหม็นเน่าของศพเลย และอากาศในหน้าร้อนศพย่อมเน่าเร็วกว่าปกติ แถมเพื่อนบ้านใกล้เคียงจะไม่ได้กลิ่นเชียวหรือ”

 

 

ได้ยินสวีเซี่ยเอ่ยเช่นนั้น จงจิ่งอี๋ก็ร้อง ‘อ๊ะ’ ออกมา ความข้องใจที่คาใจเธออยู่โดยไม่รู้ตัวนี้คงจะเป็นเรื่องนี้กระมัง “สาเหตุที่ศพไม่มีกลิ่นฉันคิดออกอย่างเดียว คือการใช้อาคมกักวิญญาณค่ะ”

 

 

เห็นสาวเจ้าตามบทสนทนาได้ทันเสียทีเขาก็พยักหน้าพอใจ “คนจากหน่วยสิบก็พูดแบบคุณ ผมเลยขอให้เขาช่วยทำลายอาคมนั้นและเรียกวิญญาณของโต้วฝานชุ่นออกมา แต่เมื่อวิญญาณของชายคนนั้นออกมาได้ก็รีบจากไปด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด”

 

 

วิญญาณแสดงท่าทีแบบนี้คงไม่พ้นวิญญาณอาฆาตความแค้นระดับสิบแล้ว…จงจิ่งอี๋ประเมินเงียบ ๆ อยู่ในใจ อย่างน้อยความรู้เท่าหางอึ่งที่ถูกเคี่ยวกรำมาจนอายุ 18 ก็พอจะทำประโยชน์ให้ชาวบ้านได้บ้าง

 

 

“คนจากหน่วยสิบตามรอยวิญญาณของเขาไป ทว่าเมื่อถึงกลางทางกลับหายอย่างไร้ร่องรอย” สวีเซี่ยเอ่ยต่อ “นี่แสดงว่าคนร้ายจะต้องรู้วิชาอาคมและมีฝีมือพอตัว พวกเราไม่มีหักฐาน ไม่มีข้อมูล ไม่มีร่องรอยด ๆ ของคนที่ฆ่าโต้วฝานชุ่นเลย การค้นหาตัวจึงค่อนข้างลทุลักทุเลอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นผมอยากขอร้องคุณด้วย”

 

 

“แต่—”

 

 

“อาจิ่ง หากคุณไม่ทำคุณจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดทันที ยังไม่เข้าใจอีกหรือ” สวีเวี่ยเอ่ยใบหน้าเคร่งเครียด มองอีกฝ่ายที่เม้มริมฝีปากแน่น ในใจแสนขมขื่น

 

 

“แต่ทำตัดสินให้ฉันอยู่ในข่ายของผู้ต้องสงสัยด้วยแบบนั้นมันจะไม่มัดมือชกไปหน่อยหรอคะ” จงจิ่งอี๋แย้ง

 

 

“ผมรู้ แต่ก็จากสันนิษฐาน ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…”

 

 

“เป็นไปไม่ได้เลยต่างหาก!” จงจิ่งอี๋ขึ้นเสียง…เธอก็ปั่นต้นฉบับอยู่ของเธอดี ๆ ไฉนกลายเป็นผู้ต้องสงสัยเสียแล้ว! ข้อสันนิษฐานบ้าอะไร!

 

 

“เพราะแบบนั้นถึงอยากให้คุณช่วยให้ร่วมมือเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองไง” สวีเซี่ยถอนหายใจ “อีกอย่างเรื่องเกี่ยววิญญาณพวกนี้ ผมไม่สันทัดเท่าคุณ”

 

 

เธอรู้ดีว่านักปราบปีศาจและนักปราบผีนั้นแตกต่างกัน แต่จะมายืมมือคนที่ร้างรางจากวงการไปเกือบสิบปีแบบนี้ มันไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือไง ครั้นจะไล่เขาไปหาผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ก็เห็นจะมีแต่ตระกูลของตนเองนี่แหละ ที่มักได้รับการไว้วานจากคนใหญ่คนโตและตำรวจ ซึ่งหากพี่ชายของเธอรู้เข้ามีหวังเกิดเรื่องใหญ่แน่

 

 

จงจิ่งอี๋คิดไปคิดมาก็ต้องตอบตกลงอย่างช่วยไม่ได้ สวีเซี่ยมองใบหน้าที่ใกล้จะร้องไห้นั้นก็พลันใจอ่อน ยกมือขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่ายพลางเอ่ยปลอบ

 

 

“ไม่ต้องห่วง ผมไม่ให้คุณทำงานให้พวกเราฟรี ๆ หรอก” เขาเอ่ยพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย