คล้อยหลังเสียงเครื่องยนต์ที่ค่อย ๆ เคลื่อนที่ห่างออกไป จงจิ่งอี๋ที่ยังยืนอยู่หน้าประตูพรูลมหายใจออกมา เธอยกฝ่ามือทั้งสองขึ้นมาดู กำมือแล้วแบออก กำมืออีกครั้งแล้วก็แบออกอีกครั้ง ก่อนจะกำหมัดแน่นพลางกรีดร้องในใจ
 

 

 

เยส! มิชชั่นคอมพลีท!

 

 

นี่นับว่าเป็นความปรารถนาเล็ก ๆ อย่างหนึ่งที่เธอไม่คิดว่ามันจะสำเร็จได้เมื่อครั้งยังคบกับอีกฝ่ายอยู่ ตอนนั้นพวกเขาเพิ่งจะอยู่ชั้นมัธยมปลายกันเอง การแสดงออกในเรื่องที่น่าเขินอายอย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้แน่นอนว่าย่อมเป็นไปไม่ได้ อีกอย่างคนบ้านนั้นขยันสร้างเรื่องมากีดกันเด็กสองคนที่ชอบพอกันและกันได้ไม่เว้นวัน และในที่สุดทายาทเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลก็ต้องยอมมันอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

 

นอกจากอารมณ์โกรธแล้วก็เป็นความผิดหวัง ตัวเธอในตอนนั้นไม่เข้าใจเลยสักนิด มีเพียงความเสียใจที่ท่วมท้นไม่ต่างจากน้ำตาที่ไหลนองหน้า หลังจากนั้นถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายต้องยอมถอยเพื่อให้ไม่เธอเดือดร้อนไปมากกว่านี้อีก

 

 

หากตัวเธอในตอนนี้สามารถย้อนเวลากลับไปได้…

 

 

“หากย้อนเวลากลับไปก็คงจะไม่เสียเวลาเสียสุขภาพจิตไปยุ่งกับคนบ้านนั้นเด็ดขาด”

 

 

“อ้าว คุณอาจิ่ง กลับมาแล้วหรอคะ มาดื่มชาด้วยกันไหม”

 

 

เสียงที่ดังขึ้นเตือนสติของจงจิ่งอี๋ว่ายังไม่ได้เข้าห้อง คนกระแอมไอกลบเกลื่อนก่อนจะหันไปยังผู้พูด หญิงสาวใบหน้างดงามราวกับภาพวาดในชุดนอนแบบคนสมัยวิคตอเรียนกำลังเดินมาจากห้องครัวทางด้านหลัง ในมือของเธอถือถาดชาที่ควันลอยเอื่อยและสโคนกับทาร์ตอีกอย่างละสองสามชิ้น

 

 

“กลับมาแล้วค่ะ คุณเจ้าของบ้าน”

 

 

จงจิ่งอี๋พยักหน้าให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินตามไปในห้องนั่งเล่นในห้องที่ติดกับโถงทางเข้านั้น อีกฝ่ายวางถาดชาให้บนโต๊ะเตี้ยด้านหนึ่งใกล้กับเบาะนั่งหน้าเตาผิงที่ไปกำลังลุกโชติช่วง ก่อนจะทิ้งตัวลงไปในกองหมอนนุ่มฟูและตุ๊กตาไหมพรม แต่จงจิ่งอี๋เพิ่งกลับมาจากข้างนอกจึงนั่งลงบนพื้นแทน

 

 

“วันนี้ดูเหนื่อยนะคะ” หญิงสาวเอ่ยทักพลางเอียงคออย่างสงสัย “ไปเจอกับพวกสิ่งสกปรกมาหรือเปล่า”

 

 

คำพูดเฉพาะที่รู้กันเช่นนี้ เห็นทีคงมีแต่คนในวงการเดียวกันเท่านั้นที่รู้…

 

 

จงจิ่งอี๋พยักหน้าหงึก “คงเรียกว่าสิ่งสกปรกได้ล่ะมั้งคะ ก็เล่นมีแต่ความอาฆาตและคำสาปแฉ่งวนเวียนทั่วทั้งตึกขนาดนั้น”

 

 

“โอ้ นี่เสี่ยวจิ่งไปเจอกับคดีฆาตกรรมเข้าหรอคะเนี่ย” คุณเจ้าของบ้านตาโต น้ำเสียงเจือด้วยความตื่นเต้น “ฉันอาจจะไม่รู้เรื่องศาสตร์ตะวันออกพวกนี้มากนัก แต่ถ้าเป็นเรื่องช่วยให้คำแนะนำฉันเก่งมากนะคะ!”

 

 

จงจิ่งอี๋หัวเราะให้ความกระตือรือร้นยิ่งกว่าตำรวจของอีกฝ่าย “ขอบคุณค่ะ หน้าที่พวกนี้ปล่อยให้ตำรวจจัดการจะดีกว่า ให้ทำงานบ้างไม่งั้นก็เสียดายภาษีที่จ่ายไปทุกเดือนแย่”

 

 

อีกฝ่ายหัวเราะคิกคัก “ถ้าอย่างนั้นฉันควรทำเครื่องรางชิ้นใหม่ให้คุณจะดีกว่า จะได้โชคร้ายน้อยลงหน่อย”

 

 

แม้แต่แม่มดที่อ้างตัวเองว่าเพิ่งอยู่ในระดับเริ่มต้น ยังมองออร่าแห่งความซวยที่รายล้อมนี่ออกได้ เห็นทีสิ่งที่ติดตัวมาด้วยนี้จะหนาหนักมากจริง…จงจิ่งอี๋คิดขณะขอบคุณคุณเจ้าของบ้านอีกครั้ง แล้วคนก็ขอตัวกลับขึ้นไปอาบน้ำก่อน จะได้ไปล้างไอหยินพวกนั้นออกให้หมด

 

 

ขึ้นบันไดไปยังชั้นสองแล้วต่อลิฟต์ขนาดเล็กที่เพิ่งทำการปรับปรุงใหม่ขึ้นไปยังชั้นบนสุด ก่อนจะออกมาปีนบันไดที่ทอดสู่ห้องใต้หลังคา

 

 

ห้องใต้หลังคาที่ถูกตกแต่งใหม่ของบ้านเก่าหลังนี้แบ่งพื้นที่ออกเป็นสี่ส่วน สามส่วนคือห้องสำหรับปล่อยให้เช่า อีกส่วนเป็นมุมอ่านหนังสือของคุณเจ้าของบ้าน พร้อมด้วยบันไดที่ปีนขึ้นไปยังสวนเล็ก ๆ บนหลังคานั้น จงจิ่งอี๋เดินไปยังห้องริมสุดฝั่งติดถนน ไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปก็รีบวางของแล้วตรงเข้าห้องน้ำทันที เกือบครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นคนจึงออกมาในชุดนอนและผ้าเช็ดขนหนูสำหรับเช็ดผม

 

 

จงจิ่งอี๋ซับผมตนเองไปพลางขณะหยิบเอาชานมออกมาจากตู้เย็น เธอคว้าเอากระเป๋าบนโต๊ะในห้องครัวขึ้นมา ตรงเข้าไปยังด้านในของห้อง พื้นที่ตรงนี้มีขนาดไม่ใหญ่นักแบ่งออกเป็นมุมทำงานและสำหรับวางชั้นหนังสือ จงจิ่งอี๋วางกระเป๋าลงข้างเก้าอี้แล้วหยิบหนังสือที่ได้มาวันนี้ออกมาวางบนโต๊ะ

 

 

มองหนังสือเก่าพวกนี้แล้วก็พาลนึกถึงใบหน้าที่สิ้นใจอย่างทุกข์ทรมานแฝงแววไม่ยอมของเจ้าของร้าน เพราะมันแปลกประหลาดจนเกินไป จะอย่างไรก็คิดเชื่อมโยงคดีฆาตกรรมกับร้านหนังสือเก่าไม่ออก จนเมื่อได้รับนามบัตรมาจากลูกชายของเจ้าของร้านนั่นแหละ…

 

 

จงจิ่งอี๋เปิดคอมพิวเตอร์กะจะทำงานไปพลางขณะรอการติดต่อกลับจากพี่ชาย หน้าจอเพิ่งจะสว่างวาบเสียงเคาะกระจกก็ดังขึ้น เจ้าของห้องหันไปเห็นกระดาษรูปคนยืนจังก้าอยู่ตรงขอบหน้าต่าง ที่ส่วนบนแทนตำแหน่งศีรษะนั้นมีตัวอักษรอันคุ้นตาปรากฎอยู่ เธอลุกขึ้นไปเปิดบานหน้าต่างออกให้มันเข้ามา

 

 

เจ้ากระดาษแผ่นเล็กพุ่งเข้ามาในห้องก่อนจะร่อนลงที่โต๊ะทำงาน จงจิ่งอี๋เดินกลับที่นั่งก่อนจะแตะที่สัญลักษณ์นั้น หุ่นตัวน้อยสั่นไหวก่อนจะคลี่ออกมาเป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง เธอเลื่อนสายตาอ่านเร็ว ๆ จบหนึ่งรอบก็ขมวดคิ้วก่อนจะเริ่มอ่านใหม่อีกครั้ง

 

 

“รีบทำลายนามบัตรของเจ้านั่นในทันที คนพวกนี้ห้ามไปยุ่งเกี่ยวด้วยเด็ดขาด หาไม่แล้วชีวิตอันแสนสงบสุขที่เธอหวงแหนนักหนาจะถูกทำลายไปตลอดกาล”

 

 

…อ่านอีกกี่รอบนี่ก็เหมือนจดหมายขู่ชัด ๆ

 

 

บ่นไปแบบนั้นทว่าเธอก็เชื่อฟังพี่ชายผู้อยู่ในวงการนี้เป็นอย่างดี แน่นอนเธอไม่อยากให้ชีวิตอันแสนสงบสุขของเธอต้องป่นปี้ด้วยเรื่องชวนปวดหัวเช่นนี้ อีกอย่างก็มีสวีเซี่ยอยู่ เธอเชื่อว่าเขาจะต้องสะสางคดีนี้ได้อย่างแน่นอน

 

 

คิดได้ดังนั้นจงจิ่งอี๋ก็รู้สึกใจเย็นลงบ้าง เธอเปิดหนังสือเตรียมอ่านข้อมูลในนั้นและเขียนต้นฉบับให้เสร็จ พลิกเปิดดูสารบัญและเปิดดูไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้าสุดท้าย ตรงนี้มีซองกระดาษซองนึงแปะติดอยู่เหมือนพวกหนังสือสื่อการเรียนสมัยเก่า ที่จะบรรจุซองซีดีมาที่ด้านหลังด้วย จงจิ่งอี๋เปิดซองออกและได้พบกับกระดาษ หยิบออกมาดูก็พบว่าเป็นจดหมายฉบับหนึ่ง

 

 

“จดหมายอีกแล้ว” คนเอ่ยอย่างข้องพลางขมวดคิ้วมุ่น

 

 

ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอตกใจยิ่งกว่ากลับเป็นการเอ่ยถึงชื่อของเธอโดยตรงบนกระดาษแผ่นนี้ จงจิ่งอี๋อ่านมันจบแล้วก็ไม่อาจจะอยู่เฉยได้อีก เธอเดินไปดึงกล่องใบหนึ่งจากใต้เตียงออกมา เธอเปิดมันออกเผยให้เห็นอุปกรณ์และกระดาษรูปร่างแปลกตาเรียงรายเต็มไปหมด หญิงสาวเลือกกระดาษสีขาวมาใบหนึ่งพร้อมขวดหมึกกับพู่กัน

 

 

จุ่มพู่กันตวัดลงบนกระดาษสองสามรอบ รูปภาพแปลกตาก็ปรากฎให้เห็น เธอพยักหน้าพอใจที่ฝีมือของตัวเองยังไม่ตก จากนั้นจึงหลับตาลงเพ่งสมาธิไปยังกระดาษตรงหน้า เสี้ยววินาทีถัดมากระดาษก็เด้งขึ้นจากโต๊ะบินวนไปรอบตัวจงจิ่งอี๋

 

 

"ฝาก 'โต้วฝานชุ่น' ด้วยนะคะ"

 

 

กระดาษสะบัดคล้ายเป็นการพยักหน้า มันลอยหวือออกไปทางช่องแคบระหว่างบานหน้าต่าง ก่อนจะพุ่งไปยังทิศทางที่ตั้งของร้าน จงจิ่งอี๋พรูลมหายใจออกมา เหลือแค่รอผลลัพธ์เท่านั้น