เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มทิศทางมาจากมุมถนน คนสองคนที่ยืนอยู่ใต้ร่มไม้ตรงข้ามกับร้านหนังสือหันไปมอง และทันได้เห็นบิ๊กไบค์คันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาทางนี้ เจ้าจักรยานยนต์คันใหญ่นี้ดำมะเมื่อมไปทั้งตัวรถยันคนขับ อีกฝ่ายจอดรถเอาไว้ด้านหน้าร้านหนังสือ หันซ้ายหันขวาก่อนจะมองเห็นพวกเขาทั้งคู่

 

 

ร่างสูงใหญ่ใต้หมวกนิรภัยสีดำเดินตรงมา เขาหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะเปิดออกให้ดูบัตรของพนักงานตำรวจแผนกสืบสวนคดีอาชญากรรม ‘สวีเซี่ย’

 

 

“รบกวนพวกคุณตามผมเข้าไปยังที่เกิดเหตุด้วยนะครับ” น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังและแสนคุ้นหูดังขึ้น ทว่าจงจิ่งอี๋ก็ยังไม่กล้าฟันธงจนกว่าจะเห็นหน้าของอีกฝ่าย ต่อให้ชื่อแซ่เดียวกันก็ใช่ว่าจะเป็นคนเดียวกันนี่นะ

 

 

สามคนเดินกลับไปเข้าไปยังร้านหนังสือ นายตำรวจที่ชื่อสวีเซี่ยนั้นถอดหมวกนิรภัยออกแล้ว และใบหน้านั้นก็ทำเอาจงจิ่งอี๋อยากจะเป็นลม อีกฝ่ายคล้ายสัมผัสได้ว่าถูกมองอยู่จึงหันมายิ้มหวานให้ หญิงสาวพลันได้สติจึงพบว่าตนเองเสียมารยาทแล้ว พยักหน้าให้ก่อนจะเดินไปยังจุดเกิดเหตุพร้อมกับญาติของโต้วฝานชุ่น

 

 

“พวกคุณกำลังขนย้ายหนังสือลงมา และบังเอิญว่าคุณผู้ชายทำหนังสือหล่นจากมือพอดี กองหนังสือก็เลยถล่มลงเผยให้เห็นร่างของผู้ตายที่ถูกซ่อนเอาไว้…” สวีเซี่ยเอ่ยสรุปหลังจากฟังคำอธิบายประกอบกับดูที่เกิดเหตุ เขาเหลือบมองคนทั้งคู่ ก่อนจะหยุดอยู่ที่ร่างของชายหนุ่มที่สูงไล่เลี่ยกัน เขาอ้างตัวว่าเป็นญาติของผู้ตาย เมื่อได้รับสายตาเช่นนั้นเป็นใครก็อดแสดงท่าทีเลิ่กลั่กออกมาไม่ได้

 

 

“อีกเดี๋ยวทีมสืบสวนหลักคงจะมาถึง พวกเราไปรอที่หน้าร้านเถอะ” สวีเซี่ยยิ้ม…เป็นรอยยิ้มและน้ำเสียงที่ไม่อาจปฏิเสธได้

 

 

สามคนเดินออกมารอที่ด้านนอก ไม่กี่นาทีต่อมาเสียงไซเรนของรถตำรวจก็ดังให้ได้ยิน พร้อมกันนั้นรถยนต์ที่แปะป้ายของสถานทีตำรวจก็เลี้ยวเข้ามาจอดเทียบท่า เหล่าขามุงจากร้านและถนนข้างเคียงต่างพากันเริ่มทยอยโผล่หน้ามาดูความครึกครื้น

 

 

“สวัสดีครับ หัวหน้าสวี” ตำรวจสามสี่นายเดินลงจากรถก็ตรงมาทักทายสวีเซี่ย ก่อนจะเริ่มเข้าเอาเทปเหลืองพันรอบเขตร้าน และเข้าตรวจสอบและเก็บหลักฐานของสถานที่เกิดเหตุ

 

 

“พวกคุณสองคนเชิญไปให้ปากคำที่สถานนีตำรวจด้วยครับ” นายตำรวจอีกคนเดินเข้ามาบอกจงจิ่งอี๋และชายหนุ่มที่อ้างตัวว่าเป็นญาติของผู้ตาย จงจิ่งอี๋หันไปมองสวีเซี่ยก็พบว่าเขาไม่อยู่ตรงนี้แล้ว เธอทันได้เห็นแผ่นหลังกว้างนั่นหายลับเข้าไปในร้านหนังสือ

 

 

“เชิญครับคุณผู้หญิง”

 

 

สองคนนั่งรถไปยังสถานีตำรวจ การสอบปากคำดำเนินไปกว่าสามสี่ชั่วโมง จงจิ่งอี๋กับผู้ร่วมชนะตากรรมเดินออกมาก็เห็นใบหน้าอันเหนื่อยอ่อนของกันและกัน ต่างคนต่างเดินออกจากสถานีตำรวจไม่เอ่ยคำ

 

 

“เรื่องวันนี้ลำบากคุณแล้ว” ชายหนุ่มจู่ ๆ ก็พูดขึ้นตอนที่พวกเขากำลังจะลงบันได “ขอโทษแทนพ่อผมด้วย”

 

 

จงจิ่งอี๋มองใบหน้าอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ นอกจากจะมองไม่เห็นเค้าหน้าของเถ้าแก่ร้านหนังสือบนใบหน้าของอีกฝ่ายแล้ว ยังมีกลิ่นอายอันไม่ธรรมดาแผ่ปกคลุมทั้งร่างอีก อย่างไรก็นึกโยงคนคนนี้กับเจ้าของร้านที่ใบหน้ายิ้มแย้มนั้นไม่ออกจริง ๆ

 

 

“ผมโต้วฟ่านเซิง” เขาเอ่ยต่อพร้อมกับยื่นนามบัตรให้ “หากเรื่องนี้จบลงด้วยดีผมขอเลี้ยงข้าวคุณเป็นการขอโทษก็แล้วกัน”

 

 

พูดจบเขาก็เดินจากไป ปล่อยให้หญิงสาวยืนงงกับคำพูดนั้น จงจิ่งอี๋มองดูนามบัตรในมือ กระดาษแผนสี่เหลี่ยมที่มีลวดลายฉูดฉาดนั้น ช่างสวนทางกับชื่อกิจการร้านขายของโบราณที่ปรากฎอยู่เหลือเกิน ทว่าเมื่อพลิกกลับอีกด้านกลับมีตราสัญลักษณ์ของอสรพิษพันรอบโถโบราณที่แตกเสี้ยวหนึ่ง ถึงได้เข้าใจว่าประโยคเมื่อครู่หมายถึงอะไร

 

 

เธอจดจำชื่อของเขาและตระกูลแซ่โต้วเอาไว้ในใจ หย่อนนามบัตรลงกระเป๋าแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความหาพี่ชาย ดูจากเวลาที่ใกล้จะหนึ่งทุ่มแล้วพวกเขาน่าจะกำลังทานอาหารเย็นกันอยู่…จะว่าไปตอนนี้เธอก็ชักจะเริ่มหิวแล้วด้วย จึงเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าเตรียมเดินทางกลับอพาร์ทเมนท์

 

 

“จงจิ่งอี๋”

 

 

เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียก สวีเซี่ยโบกมือให้พลางเดินเข้ามาหา “คุณน่ายังไม่ได้ทานข้าวเย็น หิวหรือยัง ไปหาอะไรกินด้วยไหม”

 

 

จงจิ่งอี๋มองอีกฝ่ายอย่าไม่แน่ใจนัก เธอไม่ค่อยเข้าใจระบบและการทำงานของคนพวกนี้เท่าไหร่ แต่การที่เจ้าหน้าที่ไปนั่งทานอาหารกับพยานรู้เห็นในเหตุการณ์หรืออาจจะเป็นผู้ต้องสงสัยเช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ ต่อให้บอกว่านอกเวลางานก็เถอะ ไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย

 

 

เห็นหญิงสาวทำสีหน้าครุ่นคิดคล้ายสองจิตสองใจ เขาจึงเอ่ยต่อพลางอมยิ้ม “เนื่องในโอกาสที่ได้เจอกันอีกครั้ง วันนี้ผมเลี้ยงเอง”

 

 

“ตกลงค่ะ”

 

 

สวีเซี่ยผายมือเชิญหญิงสาวไปยังรถจักรยานยนต์ของตนเอง จงจิ่งอี๋ทำใจเล็กน้อยก่อนขึ้นคร่อมด้านหลัง สองมือเกาะชายเสื้อที่เอวอีกฝ่ายเหนียวแน่น และทันทีที่เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นรถก็แล่นฉิวออกไปแทบจะในทันที หญิงสาวสบถด่าในใจตลอดทางจนถึงร้านอาหาร

 

 

“สั่งได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ” สวีเซี่ยบอกขณะที่พวกเขานั่งลงตรงเคาน์เตอร์ด้านหน้า นี่เป็นร้านอาหารแบบญี่ปุ่นที่เขาได้ยินมาจากเพื่อนร่วมงานว่ารสชาติดี และราคาเป็นมิตรสำหรับข้าราชการที่เงินเดือนขี้ปะติ๋วเช่นนี้

 

 

จงจิ่งอี๋พยักหน้าก่อนจะสั่งพ่อครัวไปสองสามอย่าง หนึ่งในนั้นเป็นเมนูพิเศษของร้าน ข้าวหน้าทะเลรวมมิตรชามใหญ่ไซส์สามกิโลกรัม เสร็จแล้วจึงหันมาคุยกับคนข้างกาย “คุณอยากจะคุยเรื่องคดีวันนี้ใช่ไหม”

 

 

สวีเซี่ยยกนิ้วโป้งให้เป็นเชิงชื่นชม “สมแล้วที่เป็นคุณ เดาใจผมถูกไปหมดเลยนะ”

 

 

“…” จงจิ่งอี๋ในใจรู้สึกสั่นไหวแปลก ๆ ทว่าชั่วครู่มันก็หายไปเนื่องจากฉุกคิดขึ้นได้ ว่าในสถานการณ์เช่นนี้หากมองไม่ออกก็ตาบอดแล้ว

 

 

หญิงสาวเปิดกระป๋องเบียร์ก่อนจะหยิบตะเกียบมาคีบกับแกล้มเข้าปากคำหนึ่ง “แต่ฉันคงช่วยคุณได้ไม่มากเท่าไหร่ กับเถ้าแก่ร้านหนังสือก็ไม่ได้สนิทกันมากขนาดนั้น เพียงแค่คุยเล่นบ้างเวลาที่ไปซื้อหนังสือ นอกจากชื่อแซ่ของเขาแล้วก็ไม่รู้อะไรอีก”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นปกติแล้วเขาเป็นคนแบบไหน”

 

 

จงจิ่งอี๋คิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปาก “ยามปกติฉันไม่รู้ แต่ถ้าเป็นเวลาที่ต้องต้อนรับลูกค้าที่ร้านก็พอจะบอกได้บ้าง”

 

 

โต้วฝานชุ่นมักยิ้มแย้มเสมอยามต้อนรับลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาคุยกับเขาเรื่องประวัติศาสตร์จะคุยอย่างออกรสทีเดียว เขาเป็นลุงวัยกลางคนที่อัธยาศัยดีคนหนึ่ง ในแง่ของเถ้าแก่ร้านหนังสือผู้มีความรู้กว้างขวาง ทว่านอกเหนือจากนี้จงจิ่งอี๋ก็ไม่รู้แล้ว

 

 

สวีเซี่ยพยักหน้าจดจำข้อมูลนั้นเอาไว้ พอดีกับที่ชามข้าวขนาดกินสามคนอิ่มวางลงตรงหน้าจงจิ่งอี๋ และชามบะหมี่วางลงตรงหน้าของชายหนุ่ม ได้กลิ่นหอม ๆ ท้องก็พลันส่งเสียงประท้วง สองคนพักเรื่องคดีเอาไว้ก่อนแล้วจัดการมื้อเย็นตรงหน้าอย่างหิวโหย หลังจากนั้นสวีเวี่ยยังอาสาไปส่งจงจิ่งอี๋ที่อพาร์ทเมนท์ด้วยเหตุผลว่ามันดึกแล้ว

 

 

หญิงสาวมิได้ปฏิเสธ เธอเองก็อยากรีบกลับถึงบ้านเร็ว ๆ เหมือนกัน กระโดดขึ้นซ้อนท้ายและเผชิญหน้ากับลมที่หวีดหวิวข้างใบหูอีกครั้ง ไม่นานนักพวกเขาก็ขับมาถึงทางเชื่อมไปยังฝั่งชานเมืองติดชายทะเล

 

 

ท้องทะเลสะท้อนแสงไฟจาหเมืองใหญ่ระยิบระยับดูงดงามไปอีกแบบ สวีเซี่ยชะลอความเร็วของรถลงและจอดสนิทอยู่ที่ทางแยกขึ้นเนินเพื่อรอไฟจราจร ถามไถ่ทิศทางกับคนข้างหลังเรียบร้อยก็เป็นสัญญาณไฟเขียว ใช้เวลาอีกไม่ถึงสามนาทีก็จอดลงที่หน้าอพาร์ทเมนท์ขนาดห้าชั้นหลังหนึ่ง มันเป็นตึกขนาดใหญ่แบบเก่าสไตล์ยุโรป

 

 

ชายหนุ่มมองหญิงสาวปีนลงจากหลังรถอย่างทุลักทุเลในใจก็กลั้นขำเอาไว้ เอ่ยราตรีสวัสดิ์ก็มองส่งร่างโปร่งจนหายลับไปหลังประตู เมื่อนั้นเขาถึงได้สตาร์ทรถอีกครั้งและเลี้ยวกลับไปยังอีกฟากของเมือง

 

 

ลึก ๆ ในใจของสวีเซี่ยนั้นค่อนข้างแปลกใจที่ได้กลับมาพบกับ ‘อดีตคนรัก’ สมัยมัธยมปลายของตนเช่นนี้ แถมยังเป็นในคดีฆาตกรรมเสียอีก แม้ครั้งนั้นจะเลิกรากันด้วยดีแต่เขาก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ ทั้งฐานะและชาติตระกูลของพวกเขาล้วนเหมาะสมกันโดยไม่มีใครสามารถแย้ง ทว่าเหมือนจะมีเพียงครอบครัวที่ยังคงหัวโบราณของเขาเท่านั้น ที่ถึงกับเอาชื่อและเวลาตกฟากของแฟนสาวลูกชายตัวเองไปตรวจดูโชคชะตา หาทางต่อต้านการคบกันครั้งนี้อย่างถึงที่สุด และผลที่ออกมาก็เป็นดังที่คาด ด้วยเหตุผลนี้สวีเซี่ยในสมัยผู้ยังเป็นเด็กดีต้องจำใจต้องบอกเลิกกับจงจิ่งอี๋ เพื่อไม่ให้คนที่บ้านตามไประรานเธออีก หญิงสาวไม่พอใจนักทว่าก็ไม่ได้ต่อพูดอะไรออกมา เพียงยอมรับการตัดสนใจนี้ทั้งที่กำลังน้ำตาปริ่มขอบตา

 

 

ชายหนุ่มขับจักรยานยนต์กลับทางเดิมจนถึงทางเลียบทะเล เขาจอดรถและลงไปเดินเล่นที่ชายหาดพลางเหม่อมองท้องฟ้าที่ถูกแสงสีของเมืองใหญ่บดบังประกายแสงดาว