คำเตือน : เนื้อหาในตอนนี้มีการพูดถึง การตายของคนในครอบครัว และการจมน้ำ

 

02 (ทางลาดลงเขา)

 

ข้าพเจ้าไม่เคยจมน้ำ ไม่มีประสบการณ์เฉียดตายน่าหวาดหวั่นเกี่ยวกับผืนน้ำ ไม่เคยแม้กระทั่งฝันถึงการจมดิ่งลงในห้วงลึกสีครามเข้ม อันที่จริง ข้าพเจ้าจินตนาการถึง การจม ไม่ออกเสียด้วยซ้ำ เพราะแม่ไม่เคยปล่อยให้ข้าพเจ้าเฉียดเข้าใกล้บ่อน้ำ ลำธาร ทะเลสาบ ชายหาด หรือมหาสมุทรเลย แม่ถมบ่อน้ำเล็กๆ หลังบ้านของเราทิ้งไป ไม่นาน แปลงผักของแม่ก็แห้งเหี่ยว หัวผักกาดไม่ผุดขึ้นจากดิน และต้นมะเขือเทศก็ไม่เคยให้ผล ช่างปะไร ในตลาดก็มี แม่ว่าอย่างนั้น ยอมเสียเงินตั้งมากเพื่อจับจ่ายผักสดทุกสามหรือสี่วัน ส่วนพื้นที่ที่เคยให้ดอกออกผล ก็กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าให้ข้าพเจ้าจินตนาการถึงการเคยมีอยู่ของผักสวนครัว และพ่อผู้ชอบปลูกผักสวนครัว

 

พ่อจมน้ำตาย เรือโดยสารพลิกคว่ำ แม่ว่าอย่างนั้น และไม่เคยพูดมากกว่านั้น ข้าพเจ้าจึงรู้แค่นั้น...และย่า ผู้เป็นแม่ของพ่อ ก็ไม่เคยเอ่ยถึงพ่อ แปลกประหลาดดีที่บันทึกของย่าทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกชิดเชื้อกับเพื่อนบ้านมากกว่ากับพ่อ และรูปถ่ายของพ่อ ชายหนุ่มในชุดกะลาสีเรือที่ย่าแอบซ่อน (หรืออาจเพียงแค่หลงลืม) ไว้ในกล่องเหล็กซึ่งเต็มไปด้วยเศษไหมพรม เส้นด้าย และเข็มทู่งอ ก็เลือนรางกว่าคำว่า ผิวเข้ม สะสวย ที่ย่าเขียนซ้ำๆ ในสมุดกลิ่นกุหลาบ...ในเช้าวันหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงระลึกได้ว่า ย่าสร้างรูปจำลองคุณเคนต์ขึ้นในหัวของข้าพเจ้าได้อย่างงดงามหมดจรดมากทีเดียว ผิวสีเข้ม ดวงตาดำขลับ เส้นผมเงางาม หน้าผากสมส่วน ริมฝีปากรูปกระจับ คุณเคนต์ที่มีร่างกายจริงๆ ที่มีขาข้างหนึ่งเป็นไม้ และอาจเดินอยู่บนชายหาดที่ข้าพเจ้ากริ่งเกรงไม่สามารถงดงามได้เท่ารูปจำลอง มิใช่คำปรามาส แต่คือความจริงอันแน่แท้ที่ข้าพเจ้ายึดถือไว้ทุกชั่วขณะของการอ่านบันทึกของย่า ส่วนพ่อน่ะหรือ การมาเยือนบ้านที่พ่อเคยอาศัยในวัยเด็ก ไม่ได้ทำให้พ่อมีเลือดเนื้อในความทรงจำของข้าพเจ้าแต่อย่างใด

 

สัปดาห์ที่สอง ข้าพเจ้าอ่านบันทึกของย่าซ้ำอีกครั้ง นอกจากนั้น ในครัวเริ่มมีอาหาร ข้าพเจ้าขายจานชามกระเบื้องบางส่วนไป เพื่อซื้อมันฝรั่ง แป้งสาลี ปลาคอด เนื้อหมู ไข่ไก่ ไส้กรอก ผักสองสามอย่าง และอาหารกระป๋องอีกจำนวนมาก ทุกวัน ขณะตักสตูว์รสชาติจืดจางใส่ปาก หรือตักจ้วงถั่วรสเค็มเปรี้ยวจากกระป๋อง ดวงตาจะจดจ้องที่หาดทราย ข้าพเจ้ายังจดจำได้ดี อารมณ์ลิงโลดแสนพิลึก เมื่อเห็นวัตถุเป็นจุดดำเดินดุ่มบนหาดขาว ข้าพเจ้าทำราวกับว่า บันทึกของย่าคือนิทาน และคุณเคนต์ก็เป็นตัวละครหนึ่งในหน้านิทาน...นางเงือกหรือ อาจเป็นอย่างนั้น ข้าพเจ้าวกวนในจินตนาการไร้แก่นสารที่เริ่มแต่งเติมแทนที่ขาเพียงหนึ่งของคุณเคนต์ด้วยหางอย่างปลา

 

สิ้นสัปดาห์ที่สอง ข้าพเจ้าเดินมาถึงทางลงเขา ทอดมองลงไป ผ่านหญ้าสีเขียวอ่อนแซมเหลืองซึ่งพลิ้วไหวตามแรงลมทะเล หาดทรายอยู่ห่างออกไปเบื้องล่าง ใครคนหนึ่งยืนอยู่ ยังคงห่างไกลเกินมองเห็นลักษณะรูปร่าง แต่ก็ใกล้ชิดกว่าเพียงแค่จุดดำ นอกจากความคิดที่ว่า ย่าตาย ณ ตรงนั้น ข้าพเจ้าหรี่ตาสู้แสงแดด อาจเป็นคุณเคนต์จริงๆ ก็ได้ วัตถุนั้นเคลื่อนที่ช้า อาจเพราะขาไม้ที่ปักจมในพื้นทราย

 

อาจเป็นคุณเคนต์ก็ได้...ข้าพเจ้าเพียงแค่คิด ไม่ก้าวต่อ เลิกคิ้ว แล้วจึงหันหลังกลับบ้าน

 

วันต่อมา ข้าพเจ้าก็มายืนอยู่ตรงที่เดิม แต่ความคิดที่ว่า ย่าตายตรงนั้น ไม่ปรากฏขึ้นในหัว และบนหาดทรายก็ไม่มีใครยืนอยู่ ข้าพเจ้าเดินลงทางลาดชันไปได้อาจเกือบสิบก้าว หลังจากถลาล้ม ข้าพเจ้ายันตัวขึ้นพบว่าเข่าถลอก และเสื้อสีขาวก็เปรอะเปื้อนดิน การเลิกล้มความตั้งใจเป็นไปอย่างง่ายดาย วันนั้นเองที่ได้เหลือบมองไปทางทิศตะวันออก ตรงข้ามกันกับพระอาทิตย์ดวงส้มที่คล้อยต่ำลาลับขอบฟ้าบนผืนน้ำ บ้านสีขาวของคุณเคนต์ (ตามคำบันทึกของย่า) ตั้งอยู่โดดเดี่ยวพอๆ กันกับบ้านของย่า ณ ขณะนั้นเอง ข้าพเจ้าคาดคิดถึงอายุของคุณเคนต์ เท่าไหร่กัน ย่าไม่เคยเขียนบอกไว้ ข้าพเจ้าจึงทดลองแต่งเติมริ้วรอยแห่งอายุและเส้นผมสีขาวให้กับหล่อน แต่แล้วก็ล้มเลิก เพราะเหตุใด...ทั้งที่หางยังสวมใส่ให้ได้ ข้าพเจ้าไม่อาจล่วงรู้เหตุผลแห่งตน

 

คืนนั้น ข้าพเจ้านอนไม่หลับ กระสับกระส่ายด้วยความงุ่นง่านไม่สบอารมณ์ หลังลูกตุ้มนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน ข้าพเจ้าสบถคำหยาบ ต่อด้วยคำถามถึงย่าผู้ล่วงลับ เขียนไว้ทุกอย่าง ยกเว้น อายุ น่ะหรือ...ไม่ใช่แค่คุณเคนต์หรอกที่เพี้ยน

 

สามวันต่อมา แผลเล็กๆ ที่เข่าเริ่มสมาน มันไม่แสบอีกต่อไป ข้าพเจ้าไปที่ทางลาดลงเขาอีกหน ครั้งนี้ลงไปได้ถึงชายหาด แต่แล้วก็พบว่าสิ้นปัญญาจะเดินต่อ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าควรจะ หรือจะต้อง ทำอะไรกับท้องทะเล ข้าพเจ้าไม่รู้ ยืนตาโพลงตะลึงพรึงเพริด ก่อนหันหลังกลับ ตะเกียกตะกายขึ้นบนเขา ก่อนทิ้งตัวลงนอนแผ่อย่างเหนื่อยอ่อนบนพื้นพรมสกปรกของย่าที่คงขายได้ในราคาซึ่งแลกได้เพียงหัวกะหล่ำเหี่ยวๆ

 

ข้าพเจ้าตั้งคำถามกับแม่...ทำอย่างไรดี ลูกควรจะทำอย่างไรดี แต่หากแม่ยังอยู่ ไม่ได้จากไปเพราะโรคมะเร็งปอดเมื่อสามปีก่อนละก็ ข้าพเจ้าคงไม่ได้มาเหยียบที่นี่ ย่าคงโทร.หาแม่ และแม่คงตรงดิ่งมาที่บ้านหลังนี้เพื่อลากข้าพเจ้ากลับไปในเมืองติดหุบเขาห่างไกลทะเล หรือไม่อย่างนั้น...แม่ก็คงถมทะเลด้วยดิน เหมือนอย่างที่แม่ทำกับบ่อน้ำหลังบ้าน หากเป็นเช่นนั้น คุณเคนต์คงไม่เหลือชายหาดให้ก้าวเดิน...

 

ข้าพเจ้าจับเจ่าอยู่กับบ้านได้เพียงแค่หนึ่งวันก็กลับไปที่ชายหาดอีกครั้ง...หลังจากผ่านความพยายามมาหลายครั้ง ฝ่าเท้าก็ได้สัมผัสหาดทรายที่ทอดมองลงมาจากหน้าต่าง ข้าพเจ้าเดินเชื่องช้าก่อน แล้วจึงออกวิ่ง วิ่งลงไปในทะเล มันหนาวเย็นกว่าที่คาด และแรงคลื่นก็มีพลังกว่าที่คิด...ตรงนี้นี่เอง ที่ข้าพเจ้าจดจำไม่ได้แม่นนัก หากไม่ใช่เพราะท่วมท้นเกินไป ก็คงเป็นเพราะฝีเท้ารวดเร็วเกินไป เมื่อคลื่นซัดสาดมาถึงอก ข้าพเจ้าก็หันหลังกลับ วิ่งหนี ถลาหน้าทิ่ม รสเค็มไหลลงคอพร้อมความแสบที่ร้อนไปทั่วโพรงจมูก ข้าพเจ้าวิ่งแจ้น ตะเกียกตะกายจนพ้นจากน้ำ ก่อนสิ้นแรงทิ้งตัวลงหงายหลังบนหาดทรายแห้ง หอบอย่างหนัก คือสิ่งที่จดจำได้อีกครั้ง และนอกจากนั้น ห่างออกไปไม่กี่ก้าว เพราะมัวแต่วิ่งหนีจากท้องทะเลสีฟ้า ข้าพเจ้าไม่ทันได้สังเกตุ แต่เมื่อได้เห็น ภาพในวันนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยได้ลืม

 

หญิงผิวเข้มนอนแผ่อยู่บนพื้นทราย หล่อนหันมา ก่อนตะโกนถามว่า

 

ฉันมารอเงือกละ เธอเคยเห็นเงือกหรือเปล่า

 

ด้วยประโยคแสนพิลึก ข้าพเจ้าขมวดคิ้ว สายตาตวัดลงมอง หล่อนมีขาข้างเดียว...

 

คุณเคนต์เป็นหญิงเพี้ยน หน้าตาสะสวย พิการ และเพี้ยน... 

 

ข้าพเจ้านึกถึงข้อความในสมุด ตั้งใจจะเขียนเติมลงไปเพิ่มด้วยลายมือที่แสร้งตวัดให้คล้ายๆ กันกับย่า...ไร้มารยาท ข้าพเจ้ารู้ดี แต่ก็ยืนยันจะเขียน

 

คุณเคนต์เป็นหญิงเพี้ยน หน้าตาสะสวย พิการ และเพี้ยน... (และมาถึงชายหาดได้ในที่สุด)

 

 

 

Tbc…

#LadysKent