หลังจากที่ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านใหม่ต้องบอกว่ามีทั้งดีและไม่ดีคุณพ่อคุณแม่ดีกับฉันมากอีกทั้งตอนนี้ฉันก็กลายเป็นน้องเล็กของบ้าน เฮเซล รอสเซลล่า ฉันยังมีพี่ชายอีกสามคน

พี่ชายคนโต คาร์เวน รอสเซลล่า พี่ชายคนนี้แสนดีมากกว่าใครตั้งแต่ฉันย้ายเข้ามาก็ดูแลฉันอย่างดีคอยถามว่าตลอดว่า "อยากได้อะไรต้องการอะไรเพิ่มบอกพี่ได้เลย"

ส่วนพี่คนกลาง คาเรียด รอสเซลล่า พี่คนนี้ไม่ค่อยสนใจฉันเท่าไรทุกวันนี้ยังไม่พูดกับฉันเลยนิ่งเงียบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง หรือถ้าออกไปข้างนอกก็หายไปทั้งวันไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไรด้วยพี่คนโตก็บอกว่า "อย่าไปสนใจเลยคาเรียดก็เป็นแบบนี้แหละไม่ค่อยชอบยุ่งกับคนอื่น"

คนสุดท้ายน้องชายคนเล็ก ออร์ฟัส รอสเซลล่า พี่คนนี้ดูเหมือนจะไม่ยินดีกับการมีน้องสาวเท่าไรความจริงก็อายุเท่ากันแต่ออร์ฟัสเกิดก่อนเลยต้องกลายเป็นพี่ สงสัยคงน้อยใจที่ไม่ได้เป็นน้องเล็กสุดก็พี่ออร์ฟัสชอบทำหน้าไม่พอใจทุกครั้งที่เจอกันเวลาพูดก็ชอบใส่อารมณ์พูดจาไม่น่ารักกับฉันแค่คนเดียวด้วยเห็นกับคนอื่นก็พูดปกติ

เอาเป็นว่าทั้งบ้านก็มีคุณพ่อคุณแม่พี่ชายคนโตเนี่ยแหละที่ดีกับฉันและคุณพี่ชายคนโตก็ยังหล่อสุดๆ อีกด้วย ผมสีน้ำตาลอ่อนตัดกับสีของดวงตาสีแดงทั้งหมดนี้เข้ากันกับสีผิวขาวซีดเป็นอย่างดีหน้าตาก็หล่อยิ่งกว่าพระเอกในหนังที่เคยดูอีกอยากเป็นลมทุกครั้งที่เจอ พี่คนกลางกับพี่คนเล็กก็งั้นๆ ก็หล่อดีแต่ดูเหมือนจะไม่ชอบเราก็ขอไม่พูดถึงและกัน

ฉันมาอยู่ที่นี่ได้หนึ่งอาทิตย์แล้วที่ผ่านมาก็เตรียมตัวซื้อของใช้ส่วนตัวเสื้อผ้าต่างๆ อุปกรณ์การเรียนและชุดนักเรียนที่ต้องสั่งทำพิเศษอีกเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดเรียนในหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตอยู่กับแวมไพร์ก็ได้เรียนรู้มาบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ชินเท่าไรที่ต้องอยู่แต่ในบ้านที่มีแต่แวมไพร์และเราเป็นแม่มดแค่คนเดียว แถมอาทิตย์หน้าก็ต้องเข้าไปเรียนในโรงเรียนของแวมไพร์อีก

จากที่ได้ยินมาจากพี่คาร์เวนในโรงเรียนพอมีพวกเด็กแลกเปลี่ยนอยู่บ้างแต่พวกแวมไพร์ก็ยังเยอะอยู่ดีเลยต้องเรียนวิชาของแวมไพร์ แต่ก็ยังมีวิชาแยกแต่ละเผ่าพันธุ์ให้ได้เรียนถ้าอยากเรียนวิชาของเผ่าพันธุ์ตัวเองสามารถลงเรียนได้แต่ก็จะต้องเรียนหนักมากขึ้นกว่าคนอื่นๆ

ในโรงเรียนจะแบ่งเป็นโซนในพื้นที่ต่างๆ สำหรับแต่ละเผ่าพันธุ์ให้ใช้บริการอย่างในห้องสมุดก็จะมีหนังสือสำหรับแม่มดโดยเฉพาะ แม่มดเท่านั้นถึงจะเข้าใช้บริการได้ถ้าอยากเจอเผ่าพันธุ์เดียวกันไปตามโซนพวกนี้ก็จะเจอกับเผ่าพันธุ์ตัวเองได้ง่ายยิ่งขึ้น

พี่คาร์เวนบอกว่าหากต้องการความช่วยเหลือให้มาหาได้ตลอดเวลาน่าเสียดายที่พี่คาร์เวนเรียนอยู่ปีสองพี่คาเรียดก็เรียนห้องเดียวกับพี่คาร์เวนเหมือนกันทั้งสองเกิดปีเดียวกันแต่ว่าเป็นต้นปีกับท้ายปีส่วน ฉันต้องเรียนปีหนึ่งกับพี่ออร์ฟัสที่ได้เรียนห้องเดียวกันเพราะแม่อยากให้มีพี่ชายคอยดูแลดูแลกับผีสิให้คุยกับฉันเหมือนกับคนปกติให้ได้ก่อน อยากเห็นแล้วโรงเรียนแวมไพร์จะเป็นยังไงจะวุ่นวายแค่ไหนสำหรับฉันแม่มดที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมกันกับแวมไพร์มากมายขนาดนี้ เหมือนฝันแต่ก็เป็นเรื่องจริงฝันอยากเป็นแวมไพร์มาตลอดแต่ทำไมไม่มาเกิดเป็นแวมไพร์แต่แรกดันเกิดเป็นแม่มดที่ต้องมาเป็นลูกสาวแวมไพร์แทนสะได้

*:・゚ .*・。゚ *

วันแรกในโรงเรียนแวมไพร์ 

อะไรคือการวิ่งไปโรงเรียนแล้วฉันจะไปวิ่งทันพวกพี่ได้ยังไง พี่คาเรียดไปโรงเรียนก่อนใครออร์ฟัสก็บอกให้ฉันวิ่งไปโรงเรียนให้ทันพร้อมทำท่าทางเยาะเย้ยแล้ววิ่งหายไป

"เดี๋ยวพี่ขับรถไปโรงเรียนต่อจากนี้ก็ไปโรงเรียนพร้อมพี่นะ" พี่คาร์เวนที่บอกฉันให้ไปโรงเรียนพร้อมกันพี่คาร์เวนชายแสนดีของน้อง

หลังจากที่ขึ้นรถของพี่คาร์เวนรถหรูสองที่นั่งความรวยของบ้านนี้ความจริงก็ยังไม่ชินเท่าไร ถึงในชาติก่อนตัวเองก็พอมีฐานะแต่ในโลกนี้และครอบครัวนี้อีกระดับเลยพวกของใช้ต่างๆ คืออลังการมากเหมือนหลุดออกมาจากยุโรปยุคกลางผสมผสานของจากโลกอนาคตที่ทันสมัยด้วยเป็นการผสมผสานที่ลงตัวจริงๆ ต้องบอกเลยว่าฉันรักชีวิตในชาตินี้มากจริงๆ ดีแล้วที่รีบตายในชาติก่อน

"อย่าลืมนะถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรบอกพี่ได้เลย" พี่คาร์เวนพูดย้ำกับฉันอีกครั้งก่อนที่จะลงจากรถ

ฉันพยักหน้าตอบรับพี่คาร์เวน

จากบ้านไม่ห่างกับโรงเรียนมากนักขับรถแค่สิบนาทีก็ถึง โรงเรียนแห่งนี้อลังการมากใหญ่โตยิ่งกว่าที่บ้านเด็กกำพร้าหลายเท่าพื้นที่รอบโรงเรียนก็มีเยอะตึกเรียนมีทั้งหมดสี่ชั้นแต่สูงมากเพราะพื้นที่หนึ่งชั้นนั้นสูง เหมือนว่าที่โรงเรียนแห่งนี้จะเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดในดินแดนนี้ การรับนักเรียนเข้าเรียนที่นี่ก็ยากมากแต่ฉันได้รับโควตาพิเศษเพราะพี่ชายเรียนที่นี่ถึงสามคนเลยมีสิทธิ์สัมภาษณ์พิเศษ และเมื่อยื่นผลการเรียนจากบ้านเด็กกำพร้าบวกกับตอนสัมภาษณ์ถามอะไรก็ตอบได้หมด ก็คำถามมีคำถามของแวมไพร์ทั้งนั้นและแน่นอนนี้ฉันไงแฟนพันธุ์แท้แวมไพร์เลยนะไม่มีอะไรที่ตอบไม่ได้หรอก ตอนที่เรียนอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าก็แอบเรียนวิชาของพวกแวมไพร์อยู่บ้างจากพวกเพื่อนแวมไพร์ของฉันเนี่ยแหละโรคคลั่งแวมไพร์ไม่เคยหายไปไหนจริงๆ

เมื่อมาถึงห้องเรียนมีโต๊ะเรียนไม่มากนักในห้องน่าจะมีประมาณสามสิบถึงสี่สิบคนเห็นจะได้และเมื่อมองไปยังที่นั่งริมหน้า ต่างแถวหลังสุดก็พบว่าคุณพี่ชายคนเล็กนั่งอยู่ตรงนั้น ฉันเลยเลือกที่นั่งหน้าสุดติดประตูทางเข้าออกเมื่อได้ที่นั่งที่ชอบแล้วก็เริ่มจัดของไว้ใต้โต๊ะเรียนก่อนกระเป๋าหนักมากตอนนี้

"ตรงนี้มีคนนั่งไหม?" เสียงของผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของฉันเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองคนตรงหน้านั้นหล่อมากฉันว่าพวกพี่ชายของฉันหล่อแล้วนะ ผู้ชายคนนี้หล่อเหมือนพี่คาร์เวนเลยไม่คิดว่าดินแดนนี้จะมีคนหล่อแบบพวกพี่ชายเราอีกเพราะตลอดทางที่เดินเข้าโรงเรียนมาก็ไม่เห็นใครจะหน้าตาดีเท่ากับพวกพี่ชายของเราเลย แถมตอนที่พี่คาร์เวนเดินมาส่งฉันเห็นมีคนมองและซุบซิบตลอด

หลังจากมีสติจากการเห็นคนหล่อตรงหน้าฉันก็ตอบกลับคนตรงหน้า "ที่ตรงนี้เหรอ?" พร้อมชี้ไปตรงที่ข้างๆ

"ใช่" คนตรงหน้าตอบฉัน 

"ไม่มี" 

หลังจากที่ฉันตอบไปคนตรงหน้าก็นั่งลงข้างฉันทันที เดี๋ยวนะนี่เราต้องนั่งเรียนกับคนคนนี้จริงเหรอตายแล้วจะเอาสติจากไหนมาเรียนเป็นความสุขที่มาพร้อมกับความเศร้า ฉันแค่อยากมองพวกคนหล่ออยู่ไกลๆ ให้มานั่งข้างกันแบบนี้ก็ไม่มีสมาธิเรียนกันพอดีสิแต่ทำไงได้อดทนไว้นะจะให้ไล่เขาก็คงทำไม่ได้ก็มันเป็นที่ว่างแถมเหตุผลของการไล่ก็ไร้สาระอีกด้วย

"เธอชื่ออะไรเหรอ?" คนข้างๆ ถามฉัน

"ฉันชื่อเฮเซล"

"ฉันเจเลนยินดีที่ได้รู้จักนะ"

เพื่อนคนแรกของฉันคือแวมไพร์สุดหล่อคนนี้จริงเหรอ "ยินดีที่ได้รู้จักนะ" ฉันตอบกลับเจเลนพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ

"ให้เดานะเธอเป็นแม่มดใช่ไหม?"

"ใช่ ฉันเป็นแม่มดรู้ได้ไง?"

"ก็อันนั้นไม้กายสิทธิ์ใช่ไหม? นั่นแหละ" 

ฉันมองไม้กายสิทธิ์ที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเองใครไม่รู้ว่าเป็นแม่มดสิแปลก

"เธอเป็นเพื่อนคนแรกของฉันเลยนะที่เป็นแม่มด"

ฉันคิดในใจก็คือนั่งข้างกันก็เป็นเพื่อนกันแล้วใช่ไหมตอนนี้

"แต่จริงๆ เธอเป็นเพื่อนคนแรกของฉันเลยก็ว่าได้ก่อนหน้านี้ฉันเรียนที่บ้านมาตลอดพึ่งจะได้ใช้ชีวิตในโรงเรียน ฉันดีใจมากเลยที่ได้มาเรียนในโรงเรียนแถมยังมีเพื่อนเป็นแม่มดอีก ตอนอยู่ที่บ้านฉันเคยเรียนรู้เกี่ยวกับพวกแม่มดพ่อมดด้วยนะฉันคิดว่ายอดเยี่ยมมากเลย ฉันอยากเรียนรู้เรื่องเวทมนตร์บ้างแต่ถ้าไม่มีสายเลือดนั้นก็เรียนไม่ได้เศร้ามากเลย" 

เจเลนพูดไม่หยุดฉันก็ได้แต่รับฟังคนตรงหน้าไปเรื่อยๆ การพูดการจาขัดกับรูปร่างและใบหน้ามากนึกว่าจะเป็นพวกหยิ่งๆ ไม่ค่อยพูดแต่กลับเหมือนเด็กน้อยเข้าถึงง่ายและยังทำท่าทางตื่นเต้นกับการมีเพื่อนคนแรกอีก แต่ก็ไม่แปลกใจหลังจากที่รู้ว่าก่อนหน้านี้เรียนที่บ้านมาตลอดการมาโรงเรียนครั้งแรกคงตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจมากสำหรับเจเลน

ถึงเวลาเรียนคาบแรกแล้ววิชาแรกที่ต้องเรียนวันนี้คือวิชาประวัติศาสตร์แวมไพร์ฉันตั้งใจเรียนเป็นอย่างมากแต่ปกติฉันเป็นคนที่ตั้งใจเรียนอยู่แล้วเจเลนก็ตั้งใจเรียนเหมือนกัน แต่เมื่อหมดคาบเรียนระหว่างเปลี่ยนคาบเรียนเจเลนก็จะหาเรื่องชวนคุยตลอด เวลาจนถึงเวลาพักกลางวัน เจเลนก็ตามฉันมากินอาหารด้วยกันแน่นอนว่าของกินของเราสองคนต่างกันอย่างมากฉันกินอาหารทั่วไปเหมือนกันกับพวกมนุษย์ส่วนแวมไพร์แน่นอนว่าก็ต้องกินเลือด

ตอนนี้เจเลนมองอาหารของฉันไม่ละสายตา "ลองกินไหม?" ฉันถามเจเลนเพราะทนไม่ไหวแล้วกับคนตรงหน้ามองอาหารของฉันจนไม่กินอาหารของตัวเองแล้วตอนนี้

"กินกิน" เจเลนรีบตอบเหมือนรอเวลานี้มานานคนตรง หน้าดูจะชอบใจกับสิ่งที่ได้กิน

"อร่อยไหม?" ฉันถามเจเลน

"อร่อยมากเลยแต่กินแล้วไม่ได้รู้สึกมีแรงเพิ่มขึ้นเลย"

"ก็แน่นอนสิมันเป็นอาหารปกติแล้วนายก็เป็นแวมไพร์ที่นายต้องกินเลือดก็เพราะต้องเพิ่มพลังไง"

เลือดส่วนใหญ่ที่แวมไพร์กินในโลกนี้เป็นเลือดของสัตว์ที่เลี้ยงไว้เพื่อเอาแค่เลือดของมันมาเป็นอาหารให้เหล่าแวมไพร์ได้กินไม่ต้องกินเลือดของมนุษย์ แถมเลือดของสัตว์ที่ว่าก็อร่อยกว่าเลือดมนุษย์มากทุกเผ่าพันธุ์ในโลกนี้ต่างอยู่รวมกันได้อย่างปลอดภัยไร้กังวลเหมือนเพื่อนร่วมโลกกันปกติไม่ค่อยมีความขัดแย้งกันด้วยมีระบบการจัดการที่ดีเลยทีเดียว

"เฮเซล" 

เสียงเรียกที่คุ้นเคยฉันหันไปหาเจ้าของเสียงเรียกนี้พี่คาร์เวนที่เดินมาพร้อมกับพี่คาเรียดอีกคนเมื่อพี่คาร์เวนเดินมาถึงโต๊ะที่ฉันนั่งก็ถามทันที "นี่ใครเหรอ?"

"นี่เจเลนเป็นเพื่อนในห้องค่ะ"

"เฮเซลมีเพื่อนแล้วเหรอพี่ดีใจนะที่เรามีเพื่อนใหม่ แต่ว่าที่ห้องไม่มีเพื่อนผู้หญิงบ้างเหรอ?" พบคนหวงน้องหนึ่งอัตรา

"เฮเซลยังไม่ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนในห้องคนอื่นเลยค่ะ พอดีเจเลนนั่งข้างกันกับเฮเซล"

"ออ นั่งข้างกัน" พี่คาร์เวนใช้สายตามองเจเลนอย่างไม่เป็นมิตรเท่าไร "พี่อยากนั่งข้างเฮเซลบ้างจังน่าเสียดายที่เราเรียนคนละชั้น พี่นั่งกินข้าวด้วยได้ไหม"

"ได้สิคะ" ฉันตอบรับพี่เคาร์เวนทันที

"เรียนเป็นยังไงบ้าง? เรียบร้อยดีใช่ไหม? ขาดเหลืออะไรบอกพี่ได้นะ"

"เรียบร้อยดีค่ะ" 

"พี่เป็นห่วงเฮเซลมากเลยกลัวว่าจะเข้ากับที่นี่ไม่ได้ เลิกเรียนเดี๋ยวพี่เดินไปรับที่ห้องนะครับ รออยู่ในห้องก่อนนะ"

"ได้ค่ะ" รับบทเชื่อฟังพี่ชายที่แสนดีฉันคิดในใจพี่คาร์เวนที่แสนดีทำไมเราถึงไม่ได้เรียนห้องเดียวกันนะเฮเซลอยากนั่งเรียนข้างพี่ที่สุด

"คาเรียดกลับด้วยกันไหม?" พี่คาร์เวนถามพี่คาเรียด

"ไม่ ฉันว่าจะไปซื้อของก่อนกลับบ้าน"

"ถ้างั้นเรากลับกันสองคนเนอะ เดี๋ยวพี่พาไปชมเมืองก่อนกลับบ้านดีไหม?"

"ดีเลยค่ะ" ได้ไปเที่ยวกับพี่คาร์เวนสองคนดีที่สุดเหมือนไปเดตเลยในโลกนี้ฉันขอปักเมนพี่คาร์เวนเนี่ยแหละหล่อแสนดีไม่มีใครเกิน เมนก็คือคนที่เราชอบที่สุดคำศัพท์ที่เคยใช้ในโลกที่แล้วตอนเป็นติ่งแวมไพร์ในหนังยืมคำศัพท์มาจากเพื่อนที่เป็นแฟนคลับนัก ร้องอีกทีแต่เราเอามาใช้กับตัวละครแวมไพร์ที่ชอบ

"ชมเมืองเหรอน่าสนุกจัง" เสียงจากเจเลนที่นั่งเงียบมานาน

ตั้งแต่พี่คาร์เวนมาก็ลืมเจเลนไปแล้วเพราะในสายตาเราต้องมีแต่เมนของเราฉันตอบเจเลนกลับด้วยมารยาท "อยากไปด้วย กันไหม?"

"อยากไปมากเลยปกติเราอยู่แต่บ้านไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกเท่าไร"

ฉันคิดในใจบ้านนี้เขาเลี้ยงลูกยังไงเนี่ยระบบปิดเหรอ

"พี่คาร์เวนโอเคไหมคะที่เจเลนไปด้วย"

"ได้สิก็เพื่อนของเฮเซลนี่เนอะ" จากน้ำเสียงฟังดูก็รู้ว่าไม่ค่อยพอใจก็พี่ชายคงหวงน้องสาวที่น่ารักแบบเราส่วนเจเลนก็ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย แต่ก็น่าสงสารเจเลนที่ถูงเลี้ยงแบบระบบปิดเดี๋ยวค่อยเล่าเรื่องเจเลนให้พี่คาร์เวนฟังพี่คาร์เวนคงจะเข้าใจ

หลังจากพักกลางวันพี่คาร์เวนเดินมาส่งที่ห้องเรียนพร้อมทั้งบอกลา "พี่ไปก่อนนะตอนเย็นเจอกันนะครับ" พร้อมกับลูบหัวน้องสาวเบาๆ ฉันไม่ไหวแล้วใจละลาย 

หลังจากที่เข้าห้องเรียนมาเจเลนเริ่มชวนคุยอีกครั้งหลัง จากที่เงียบมานาน "พี่ชายเหรอ?"

"ใช่พี่ชาย"

"ว่าแต่พี่ชายเป็นแวมไพร์เหรอ?"

"ฉันถูกรับเลี้ยงโดยครอบครัวแวมไพร์พวกพี่ชายของฉันเป็นแวมไพร์ทุกคน"

"โห...เป็นแม่มดอยู่ในครอบครัวแวมไพร์ด้วยก่อนหน้านี้เป็นเด็กกำพร้าเหรอ?"

"ใช่"

"แบบนี้ก็ต้องอยู่กับเผ่าพันธุ์อื่นด้วยสิ"

"ใช่ ก็อยู่รวมกันทุกเผ่าพันธุ์"

"น่าอิจฉาจังได้อยู่กับคนอื่นมากมายแถมได้เรียนรู้เรื่องเผ่า พันธุ์อื่นด้วย"

"แต่ว่าเด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่ไม่มีครอบครัวของตัวเองนะ"

"เราอยู่บ้านที่บ้านก็ไม่มีพ่อแม่นะพ่อแม่ไม่ค่อยอยู่บ้านแถมยังเป็นลูกคนเดียวอีกไม่มีพี่น้องให้เล่นด้วยเลยเพื่อนๆ ก็คือคนรับใช้ที่บ้านกับอาจารย์ แต่ก็ไม่ใช่รุ่นเดียวกันสักคนตอนนี้เฮเซลก็มีครอบ ครัวแล้วไงแถมมีพี่ชายด้วยตอนที่อยู่บ้านเด็กกำพร้าก็คงมีเพื่อนรุ่นเดียวกันเยอะเลยด้วยใช่ไหมน่าอิจฉาจะตาย"

ก็จริงเราคงน่าอิจฉาจริงๆ แหละถ้าเทียบกับเจเลนว่าแต่ที่เจเลยพูดเหมือนเห็นตัวเองเมื่อโลกที่แล้วเลย

อาจารย์คนใหม่เดินเข้ามาพอดีได้เวลาเรียนคาบต่อไปแล้ว

หลังจากเรียนจบในวันนี้ฉันนั่งรอพี่คาร์เวนมารับและแน่ นอนเจเลนก็นั่งอยู่ด้วย ดินแดนแวมไพร์ตั้งแต่มาอยู่ยังไม่ได้เที่ยวชมเท่าไรเลยมีแค่เห็นผ่านๆ ตอนนั่งรถผ่าน 

พี่คาร์เวนพามาที่ถนนที่มีร้านค้ามากมายเหมือนเป็นแหล่งท่องเที่ยวอะไรประมาณนี้พี่คาร์เวนบอกว่าที่นี่เรียกว่าเฟรเดอร์เรีย ถ้าหากอยากซื้อของอะไรให้มาที่นี่ได้เลยที่นี่มีร้านที่มีชื่อเสียงเยอะมากและอาหารที่นี่ก็มีร้านอร่อยหลายร้านเลย แถมยังมีร้านอาหารและร้านเวทมนตร์ของแม่มดด้วยและพี่คาร์เวนยังบอกอีกว่า "ถ้าอยากได้อะไรก็มาที่นี่ได้เลยแต่ถ้าจะมาก็บอกพี่เดี๋ยวพี่พามาเอง" แสนดีอีกแล้วพี่ชายเรา

พี่คาร์เวนพาเดินชมเฟรเดอร์เรียแนะนำร้านค้าต่างๆ และพาไปที่ร้านขนมร้านประจำที่พี่คาร์เวนชอบกิน คุณพ่อคุณแม่ก็ชอบร้านนี้แต่พี่คาเรียดกับออร์ฟัสไม่ชอบกินของหวานปกติก็จะไม่ได้ซื้อไปให้กลัวจะไม่ถูกปากกัน ที่นี่มีขนมหวานทั่วไปกินได้ทุกเผ่าพันธุ์แต่ก็มีเมนูพิเศษสำหรับแต่ละเผ่าพันธุ์ด้วยพี่คาร์เวนซื้อกลับไปฝากคุณพ่อคุณแม่ไว้กินหลังอาหารเย็น เจเลนก็ซื้อกลับไปชิมด้วยเหมือนกันเจเลนซื้อไปเยอะมากบอกว่าอยากลองชิมทุกรส

หลังจากที่เดินเล่นเฟรเดอร์เรียเสร็จพี่คาร์เวนขับรถไปส่งเจเลนที่บ้านบ้านของเจเลนหลังใหญ่มากถ้าในบ้านจะต้องอยู่คนเดียวไม่แปลกเลยที่จะเหงา ถึงจะมีคนรับใช้ก็เท่านั้นถ้าต้องเล่นคนเดียวในบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้แถมเรียนที่บ้านมาตลอดไม่ได้ออกไปพบเจออะไรใหม่ๆ ทั้งที่โลกใบนี้มีเผ่าพันธุ์มากมายและยังมีเรื่องน่าสนุกมากมายให้เรียนรู้ขนาดนี้และเจเลนก็ดูเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็น อีกด้วยรู้สึกสงสารเจเลนขึ้นมาทันที

ระหว่างทางกลับบ้านฉันเล่าเรื่องเจเลนให้พี่คาร์เวนฟังพี่คาร์เวนดูจะเข้าใจเพราะเจเลนก็ดูเป็นคนดีไม่มีพิษไม่มีภัย พี่คาร์เวนก็ดูหายห่วงลงบ้างพี่คาร์เวนบอกว่า "ที่พี่ไม่ค่อยอยากให้มีเพื่อนผู้ชายเท่าไรอยากให้มีเพื่อนผู้หญิงมากกว่าเพราะเฮเซลน่ารักกลัวพวกผู้ชายจะเข้าหาเกินเพื่อน เฮเซลยังเด็กอยู่ไม่อยากให้น้องมีแฟนแต่ ถ้าเป็นเจเลนก็โอเคอยู่เพราะไม่น่าจะเป็นคนเลวร้ายพี่ให้เฮเซลเป็นเพื่อนกับเจเลนได้" ก็คือถ้าจะคบใครเป็นเพื่อนต้องผ่านพี่ชายก่อนแล้วนะตอนนี้

หลังจากที่ถึงบ้านวันนี้คุณพ่อก็อยู่ด้วยตอนนี้ทุกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารกันพร้อมหน้าพร้อมตาแน่นอนว่าฉันนั่งข้างพี่คาร์เวนข้างซ้ายก็เป็นพี่คาเรียดคุณพ่อนั่งอยู่หัวโต๊ะตรงข้ามเป็นคุณแม่กับออร์ฟัส

คุณแม่ถามว่า "ที่โรงเรียนวันนี้เป็นยังไงบ้าง?" 

ฉันตอบกลับคุณแม่ไปว่า "ดีมากเลยค่ะวิชาเรียนไม่มีปัญหาอะไรเฮเซลเรียนเข้าใจหมดเลยค่ะ เพื่อนในห้องก็ดีไม่ได้รู้สึกแปลกแยกเลยโรงอาหารของกินก็อร่อยพี่คาร์เวนก็ดูแลอย่างดีเลยค่ะ"

"ดีแล้วที่ลูกชอบพ่อกับแม่ก็สบายใจเนอะพ่อเนอะ"

ผู้เป็นพ่อพยักหน้าตอบ 

"แล้วออร์ฟัสไม่ได้ดูแลเฮเซลเหรอ? อยู่ห้องเดียวกัน"

"ก็มีเพื่อนแล้วนิแถมพี่คาร์เวนก็ดูแลอย่างดีไม่น่าจะต้องให้ดูแลอะไรใช่ไหมเฮเซล?"ออร์ฟัสมองหน้าฉัน

"ใช่ค่ะ" ฉันคิดในใจพี่ก็ไม่ได้อยากดูแลฉันฉันก็ไม่ได้อยากให้พี่ดูแลเหมือนกันนั่นแหละขอพี่คาร์เวนคนเดียวก็พอแล้ว

"ลูกมีเพื่อนแล้วเหรอดีเลยวันหลังชวนเพื่อนมากินอาหารที่บ้านเรานะ" คุณแม่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้น

"ได้ค่ะไว้จะลองชวนดูนะคะ" ฉันตอบรับคุณแม่ที่มีท่าทีดีใจที่เห็นลูกสาวมีเพื่อน

"ว่าแต่ลูกมีเพื่อนกี่คนเหรอ?"

เป็นคำถามที่ปวดใจยิ่งนัก "คนเดียวค่ะ" ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงเศร้าเล็กน้อยเจเลนเล่นตัวติดขนาดนี้ฉันไม่ได้คุยกับเพื่อนคนอื่นในห้องเลย

"พรุ่งนี้เดี๋ยวก็มีเพื่อนเพิ่มอีกไว้ชวนเพื่อนมาที่บ้านเยอะๆ เลยนะ" คุณแม่พูดปลอบใจตัวฉันตอนนี้ได้มากแต่ก็จริงเรายังมีพรุ่งนี้อีกพรุ่งนี้แหละจะต้องมีเพื่อนเพิ่มขึ้นแน่นอน