ร่างสูงโปร่งสาวเท้าเข้ามาใกล้ เฮนรี่ได้ยินเสียงบางอย่างหล่นลงพื้นทว่าเขาไม่จำเป็นต้องมองและไม่คิดจะก้มลงมองด้วยซ้ำก็รู้ดีว่าเป็นเสียงของอะไร

เรือนผมสีรัตติกาลพริ้วไหวตามสายลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านในคืนเดือนมืดเช่นนี้ ดวงตาสีแดงก่ำเหมือนเลือดกลับกลายเป็นสีของยามค่ำคืน รอยยิ้มบางๆ ปรากฏที่มุมปาก

“คุณเป็นแวมไพร์” เฮนรี่เอ่ยขึ้นอีกครั้งและคราวนี้น้ำเสียงของเขาหนักแน่นกว่าครั้งแรก

อีกฝ่ายพยักหน้ายืนยันความคิดของเขา เด็กหนุ่มรู้สึกขนลุกชันไปทั่วร่าง เขายกมือจับบ่าตัวเองโดยอัตโนมัติ

“คุณรู้ว่าผมถูกแวมไพร์กัด” คำพูดของเขาไม่ใช่ประโยคคำถาม กระนั้นอีกฝ่ายยังคงพยักหน้า

เฮนรี่มองใบหน้าขาวซีดของอีกฝ่าย หัวใจเต้นรัวทั้งที่เขาไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด สีหน้าของอีกฝ่ายเป็นมิตรเหมือนตอนพบกันเมื่อวาน

“จะเกิดอะไรขึ้นกับผม”

“ข้าไม่รู้”

“แต่คุณรู้บางอย่าง” เด็กหนุ่มคาดคั้น จ้องตาอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ

“เจ้าได้กลิ่นเลือดตอนนี้ไหม” เมื่อเห็นเฮนรี่พยักหน้า เขาจึงถามต่อ “รู้สึกถึงความต้องการไหม”

เด็กหนุ่มก้มมองศพศีรษะขาดจากตัว สภาพที่เห็นกับกลิ่นคาวคลุ้งนี้ไม่ได้กระตุ้นความต้องการในแบบที่อีกฝ่ายหมายถึงแต่อย่างใด

เขาสั่นศีรษะ แวมไพร์หนุ่มจึงถามต่อ

“แล้วถ้าเป็นกลิ่นนี้ล่ะ”

เคนาสถกแขนเสื้อขึ้นก่อนใช้เล็บตัวเองกรีดลงบนท่อนแขนขาวราวกับหิมะของตน ของเหลวสีแดงสดไหลซึมจากบาดแผล ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างกับภาพตรงหน้า กลิ่นเลือดที่เข้าสู่ประสาทสัมผัสแตกต่างจากความคาวนั่นอย่างสิ้นเชิง มันเป็นความหอมหวานที่เฮนรี่รู้สึกเหมือนกำลังถูกยั่วยุให้เข้าไปสัมผัส เขารีบยกมือปิดปาก หัวใจเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง เลือดของอีกฝ่ายกระตุ้นบางอย่างในใจเขา

แวมไพร์หนุ่มเห็นปฏิกิริยาก็เช็ดแขนตัวเองเข้ากับชายเสื้อก่อนที่ท่อนแขนของเขาจะกลับมาเรียบเนียนดังเดิม ไร้ซึ่งรอยขีดข่วนแต่อย่างใด

เฮนรี่เอามือลง หายใจเข้าออกรุนแรง ทั้งที่อากาศเย็นแต่กลับมีเหงื่อทั่วใบหน้าและฝ่ามือ

“เกิดอะไรขึ้นกับผม” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้งจนแม้แต่เจ้าตัวยังประหลาดใจ

“ไม่มีปฏิกิริยากับเลือดมนุษย์ แต่มีความรู้สึกกับเลือดบริสุทธิ์อย่างนั้นเหรอ” คำพูดของเขาคล้ายพึมพำกับตัวเองมากกว่า

“เลือดมนุษย์เลือดบริสุทธิ์?” ในหัวของเฮนรี่เต็มไปด้วยคำถาม อีกฝ่ายยกยิ้มที่มุมปาก

“ถ้าเจ้ารู้เรื่องทั้งหมด เจ้าก็ต้องมาพัวพันกับเรื่องนี้”

“ผมถูกกัดไปแล้ว ก็เท่ากับเกี่ยวข้องแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

“มันอันตรายถึงชีวิตนะ”

“ผมไม่ได้ตายไปแล้วหรอกเหรอ”

แวมไพร์หนุ่มคลี่ยิ้มบางก่อนเรียกให้เด็กหนุ่มเดินตาม นอกจากจะไม่ถามอะไรแล้ว เฮนรี่ยังเดินตามหลังอีกฝ่ายตรงเข้าไปในป่า เดิมทีเขานึกว่าจะไปยังปราสาทหลังนั้น ทว่าแวมไพร์หนุ่มก็หยุดตรงหน้าทะเลสาบขนาดใหญ่

เสียงสายน้ำแจ่มชัดในความเงียบงัน เฮนรี่มองเห็นสายตาอีกฝ่ายทอดยาวลึกลงไปในทะเลสาบ สีหน้าอาลัยอาวรณ์ไม่เข้ากับรูปลักษณ์อีกฝ่ายแม้แต่น้อย ยามเมื่อดวงตาสีรัตติกาลหันมา เฮนรี่ไม่กล้าสบตาคู่นั้น

แวมไพร์หนุ่มนั่งลงบนโขดหินพร้อมส่งสายตาบอกให้เขานั่งเช่นกัน เด็กหนุ่มทำตามคำเชิญ

“เจ้าอยากรู้อะไรล่ะ”

เฮนรี่มองหน้าอีกฝ่ายก่อนที่จะถามคำถาม เขาลุกขึ้นยืน สาวเท้าเข้าไปหาแวมไพร์ตรงหน้า น่าแปลกที่เขาไม่กลัวอีกฝ่าย ทั้งที่ดวงตาสีแดงที่ได้เห็นจะสร้างความหวาดหวั่นให้ก็ตาม เขายื่นมือไปเบื้องหน้า

“ผมเฮนรี่ ออสวอล์ด คุณล่ะครับ”

แวมไพร์หนุ่มมองมือที่ยื่นมาตรงหน้า

“เจ้าไม่กลัวข้าเหรอ”

“ถ้าคุณจะฆ่าผม ผมคงไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้แล้วล่ะครับ จริงไหม” 

รอยยิ้มของอีกฝ่ายทำให้เคนาสหวนนึกถึงใครบางคน ไม่มีอะไรที่เด็กคนนี้ทำให้เขานึกถึงผู้ชายคนนั้นเว้นเสียแต่ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาที่ทำให้เขานึกถึงวันที่ได้พบกับไทร์เป็นครั้งแรกสมัยที่ผู้ชายคนนั้นยังเป็นเด็ก แวมไพร์หนุ่มยิ้มบางหากเขาเรียกคนตรงหน้าว่าเด็กคงจะต้องถูกต่อว่าอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่านั่นจะเป็นความจริงก็ตาม

“ชื่อของข้าคือเคนาส เซฟเฟอร์ เอิร์ลแห่งเวสต์วินด์”

ยามที่พวกเขาจับมือกันเฮนรี่สัมผัสถึงความเย็นที่แผ่ซ่านมาจากฝ่ามืออีกฝ่าย ความหนาวเหน็บจนทำให้ชาไปทั่วร่าง

“ผมต้องเรียกคุณว่าลอร์ดเวสต์วินด์หรือเปล่าครับ” เฮนรี่เดินกลับไปนั่งที่เดิม เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขบขัน ผู้ชายคนนี้...แวมไพร์ตนนี้ในสายตาเขาไม่ได้น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย ตราบเท่าที่ดวงตาคู่นั้นยังคงเป็นสีเดียวกับรัตติกาล

“ถ้าเจ้าเป็นแวมไพร์ เจ้าก็อาจต้องเรียกแบบนั้น” เคนาสยิ้ม “แต่ข้าไม่มั่นใจว่าเจ้าจะใช่หรือไม่”

“แต่ผมถูกกัด อะไรก็ตามที่กัดผมมีดวงตาสีแดง...เหมือนคุณเมื่อครู่นี้” 

            แวมไพร์หนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิดคล้ายตกอยู่ในภวังค์ก่อนจะถามขึ้น

“แต่เจ้าไม่เห็นว่าเป็นใคร ใบหน้ารูปร่าง?

“ไม่ครับ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แล้วก็มืดด้วย ผมมารู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในห้องตัวเองแล้ว” คำตอบของเฮนรี่เรียกรอยย่นระหว่างคิ้วบนใบหน้าของเคนาส

“เป็นไปได้ว่าเจ้าจะถูกเลือดบริสุทธิ์กัด”

“เลือดบริสุทธิ์?

"คือแวมไพร์ที่สืบทอดสายตรงมาจากอัลฟ่า เช่นข้าเป็นต้น ส่วนเลือดมนุษย์คือพวกที่ถูกกัดแล้วกลายร่าง"

“คุณจะบอกว่ามีอย่างคุณ...เลือดบริสุทธิ์คนอื่นอีก” เมื่อเห็นเคนาสพยักหน้าเขาก็ถามต่อ “เป็นไปได้อย่างไรที่มีแวมไพร์อยู่บนโลกใบนี้ ทำไมพวกเราถึงไม่รู้มาก่อน”

“นั่น บ่งบอกว่าเราอาศัยอยู่กันคนละโลก”

คำตอบนั่นเหมือนเป็นการเอ่ยปรามกลายๆ ไม่ให้เขาเข้ามายุ่งเกี่ยว แต่เฮนรี่ไม่ถือว่าตัวเองเป็นคนนอก บาดแผลบนบ่าพูดอะไรได้มากกว่านั้น

“ผม...จะต้องดื่มเลือดเหมือนคุณหรือเปล่า”

“อยากหรือเปล่าล่ะ”

เฮนรี่ส่ายหน้า

“ผมไม่รู้สึกว่ามีอะไรแตกต่างไปจากเดิมเท่าไร...บางครั้งผมจะได้ยินเสียงที่ดังกว่าเดิม แต่มันก็ไม่ได้ถือว่าผิดปกติ...สรุปแล้วผมเป็นอะไรกันแน่”

"ข้าก็อยากจะตอบคำถามของเจ้าได้ แต่ข้าเองก็ไม่รู้ ไม่เคยมีใครถูกกัดแล้วยังเป็นปกติได้เหมือนเจ้า"

บางอย่างในน้ำเสียงของเคนาสคล้ายกำลังปลอบประโลมความสับสนในใจของเฮนรี่

“ทำไมคุณถึงฆ่าพวกเดียวกัน”

แทนที่จะตอบคำถามนั้น เคนาสกลับลุกขึ้นยืนทำให้เด็กหนุ่มต้องลุกตาม

“ในเมื่อเจ้าไม่ใช่แวมไพร์ก็ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรไปมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ ใช้ชีวิตแบบปกติอย่างที่ควรจะเป็นดีกว่านะ หลายคนที่ถูกกัดไม่ได้โชคดีอย่างเจ้า”

“แต่ผมอยากรู้ว่าใครทำร้ายผม” เฮนรี่สวนทันที

“ถ้าเจ้ารู้แล้วจะทำอย่างไรต่อ” คำถามของเคนาสทำให้เฮนรี่ยืนนิ่ง ดวงตาสีรัตติกาลมองด้วยสายตาประเมินค่า

“ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ มนุษย์อย่างเจ้ามีอะไรให้ทำอีกมาก ใช้ให้คุ้มเถอะนะ”

“แต่...”

เฮนรี่ได้แต่เอ่ยค้างไว้เช่นนั้น เขาควรดีใจไม่ใช่เหรอที่ไม่ได้เป็นแวมไพร์ ยังคงเป็นมนุษย์เหมือนคนอื่นๆ ยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ทว่าบางอย่างในใจเขากลับสัมผัสได้ถึงความผิดหวัง ไม่สิ เพราะเขาอยากรู้จักคนตรงหน้ามากกว่านี้ แวมไพร์ที่ต่างจากในโทรทัศน์ ในหนังสือ เป็นแวมไพร์ที่สามารถจับต้องได้จริงและไม่ได้น่ากลัวเลยในความคิดของเขา

“แล้วถ้าหากผมเกิดอยากดื่มเลือดขึ้นมาล่ะ” เด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าตัวเองพูดอะไรออกไป เขาแค่ไม่อยากถูกผลักให้กลายเป็นคนนอกแบบนี้ “ตอนที่ผมได้กลิ่นเลือดของคุณ...”

“มนุษย์จะกลายเป็นแวมไพร์เต็มตัวเมื่อดื่มเลือดหลังจากถูกกัด และทุกคนจะเป็นเช่นนั้น ไม่มีใครต่อต้านความต้องการนั้นได้ แต่สำหรับเจ้าถูกกระตุ้นด้วยเลือดของข้า”

เฮนรี่รู้สึกวูบวาบไปทั่วร่างกับประโยคสุดท้ายนั่น เขามองร่างสูงโปร่งที่สาวเท้าเข้ามาใกล้ เด็กหนุ่มหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอีกฝ่าย

“เจ้าแปลกจริงๆ”

เฮนรี่ไม่รู้ว่านั่นเป็นคำชมหรือต่อว่ากันแน่ แต่น้ำเสียงอ่อนโยนเสียจนไม่อยากเชื่อว่าชายตรงหน้านี้ไม่ใช่มนุษย์ ความน่าค้นหาที่ซ่อนลึกอยู่ภายใต้ดวงตาสีรัตติกาลดึงดูดให้เขาไม่อาจละสายตาไปไหนและทำให้เขาอยากเข้าถึงอีกฝ่ายมากกว่านี้

“ผมอยากรู้จักคุณ” พอได้ยินว่าตัวเองพูดอะไรออกไป เฮนรี่ก็รีบยกมือปิดปากก้มหน้ามองพื้นดินทันที ใบหน้าร้อนวูบ เขาอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี “ผมขอโทษ คือ...ผมหมายถึง...”

นิ้วมือเรียวยาวช้อนปลายคางของเขาให้เงยขึ้นจนต้องประสานเข้ากับดวงตาน่าดึงดูดคู่นั้น เป็นเวลานานที่พวกเขามองตากันโดยไม่พูดอะไร

            “เจ้าควรกลับไปได้แล้ว” เคนาสเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบยามค่ำคืน “ข้าจะไปส่ง”

ทั้งที่ไม่จำเป็นเพราะเฮนรี่สามารถจดจำเส้นทางได้เป็นอย่างดี ทว่าเคนาสก็ไม่ได้รอให้เขาตอบรับหรือปฏิเสธ แต่จัดการช้อนร่างเขาขึ้นมาแล้วทะยานไปในอากาศทันที การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเงียบกริบจนรู้สึกเหมือนแค่ลมพัดผ่าน ไม่นานเฮนรี่ก็พบว่าเขาออกมาด้านนอกป่าแล้ว

“เอ่อ...ขอบคุณครับ บ้านผมอยู่ทางนั้น” เขาพูดขณะที่อีกฝ่ายปล่อยเขาลงพื้น

เด็กหนุ่มเดินจากมาทว่าเคนาสยังคงตามมาด้วย เขาจึงหันกลับไปอีกครั้ง

“ผมเดินกลับเองได้ครับ ขอบคุณที่มาส่ง”

แวมไพร์หนุ่มยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เฮนรี่จึงตัดสินใจเดินต่อแม้รู้ว่าอีกฝ่ายยังคงตามมาก็ตาม

พอเดินมาถึงหน้าบ้านเขาก็พบอเล็กซ์นั่งรอตรงหน้าประตู

“เฮนรี่ ออสวอล์ด นายหายไปไหนมา” เด็กหนุ่มออกปากถามทันทีที่เห็นเพื่อนสนิทเดินผ่านรั้วบ้าน ทว่าเขาไม่จำเป็นต้องรอฟังคำตอบเมื่อเห็นว่ามีใครตามมาข้างหลัง

“ขอบคุณครับ” เฮนรี่หันไปกล่าวกับแวมไพร์หนุ่มที่พยักหน้าให้ก่อนจะเดินหายลับไปในยามค่ำคืน

“นายรับปากแล้วว่าจะไม่ไปที่นั่น” อเล็กซ์พูดทันทีที่เหลือพวกเขาตามลำพังสองคน

“นายก็รู้ว่าฉันปล่อยไว้ไม่ได้” เฮนรี่ตอบเสียงเรียบ ปฏิกิริยาอีกฝ่ายเป็นไปตามคาดไม่มีผิดเพี้ยน

“นายรู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงขนาดไหน ฉันต้องนั่งรอนายข้างนอก”

“ฉันไม่ได้ขอให้นายรอนี่” เมื่อพูดออกไปแล้วเขาก็ไม่อาจเรียกกลับคืน 

สีหน้าผิดหวังฉายชัดบนใบหน้าของอเล็กซ์

“อเล็กซ์ ฉันขอโทษ!” เฮนรี่พูดขึ้นแต่ก็ช้าไปเมื่ออีกฝ่ายหุนหันออกจากบ้านไปแล้ว เด็กหนุ่มปิดประตูบ้านเสียงดังพร้อมสบถลั่น

 

ตลอดช่วงเช้าอเล็กซ์เลี่ยงที่จะคุยกับเฮนรี่ ในชั่วโมงเรียนเด็กหนุ่มก็ไม่มีโอกาสได้ขอโทษอีกฝ่ายเพราะอเล็กซ์ให้คนอื่นในชั้นมานั่งรอบตัวจนไม่สามารถเข้าใกล้ได้

กระทั่งพักเที่ยงเฮนรี่ก็เดินมานั่งโต๊ะเดียวกับอเล็กซ์ อีกฝ่ายช้อนสายตามองก่อนก้มหน้าก้มหน้ากินอาหารกลางวันต่อ เด็กหนุ่มวางถุงกระดาษลงบนโต๊ะ หยิบของด้านในออกมายื่นไปหาเพื่อนสนิท

ดวงตาสีฟ้าเหลือบมองของตรงหน้าโดยมีเฮนรี่ลอบสังเกตปฏิกิริยาไม่วางตา มุมปากยกยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายเปลี่ยนไป

“คิดว่าทำขนมมาให้แล้วฉันจะหายโกรธเหรอ” อเล็กซ์พูดขึ้นเพียงเท่านั้นเฮนรี่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายหายแล้ว

“ฉันไม่ได้แหกขี้ตาตื่นมาทำมัฟฟินเพื่อให้นายนั่งมองนะ”

คนฟังรู้ดีว่าถ้าตัวเองแตะขนมตรงหน้าเมื่อไรก็เท่ากับยกโทษให้อีกฝ่าย แต่อเล็กซ์ไม่คิดที่จะยอมง่ายๆ แค่นั้น

เมื่อเห็นเพื่อนสนิทยังคงนั่งเฉย เฮนรี่ก็พูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางยอมแพ้

“ฉันไม่ได้ตั้งใจพูดอย่างนั้นนะ”

“นายรับปากฉันแล้ว” เมื่ออเล็กซ์พูดขึ้น เขาก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายโมโหที่เขาผิดคำพูดแล้วเข้าไปในป่าอีกครั้ง

“ถ้าฉันไม่เข้าไปในนั้นฉันก็จะไม่รู้เลยว่านายเข้าใจถูกแล้ว” คนฟังหันสบตาเมื่อได้ยินคำพูดของเฮนรี่ สีหน้ากระตือรือร้นฉายชัดบนใบหน้า

“นายจะบอกว่า...” เขาเอ่ยเสียงเบาเพื่อมั่นใจว่าจะได้ยินกันแค่สองคน “...แวมไพร์”

เฮนรี่พยักหน้า เพื่อนสนิททำตาโต สีหน้าตกใจ ตื่นเต้นปะปนกัน

“น...นายจะบอกว่ามีอะไรแบบนั้นจริงๆ เหรอ มีแวมไพร์” อเล็กซ์ทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “นายหลอกให้ฉันหายโกรธหรือเปล่า”

เขารีบส่ายหน้าพร้อมยิ้มบาง อเล็กซ์ถึงกับสบถลั่น

“แล้วนาย...หมายความว่านาย...แต่นาย...” เด็กหนุ่มเริ่มพูดไม่รู้เรื่องแต่เฮนรี่ก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร

เฮนรี่เล่าสิ่งที่รู้จากเคนาสให้อีกฝ่าย เขารู้ว่าเรื่องพวกนี้ควรเก็บเป็นความลับแต่อเล็กซ์เป็นคนที่เขาไว้ใจได้มากที่สุด พวกเขาไม่ค่อยมีความลับต่อกันเท่าไรนัก

ปฏิกิริยาของอเล็กซ์ยามได้ฟังเรื่ิองทั้งหมดที่เขารู้ไม่ได้ต่างไปจากที่คิดไว้เท่าไรนัก

“ฉันว่าเคนาสพูดถูกนะ นายไม่ได้กลายเป็นแวม...อย่างนั้น นายก็ควรใช้ชีวิตตามปกติแล้วปล่อยเรื่องนั้นให้พวกเดียวกันจัดการ”

“แต่ฉันรู้สึกได้ อเล็กซ์ ตอนที่ได้กลิ่นเลือดของเคนาส มันแตกต่าง” เฮนรี่ยังคงจดจำความรู้สึกในตอนนั้นได้ดี ความปรารถนาอันแรงกล้าจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ ถึงตอนนี้เขาจะรู้สึกก็ต่อเมื่อถูกกระตุ้นแต่ไม่มีใครรับรองได้ว่าในอนาคตเขาจะไม่รู้สึกแบบนั้นแม้ในยามปกติ ถึงอย่างไรก็มีพิษร้ายในร่างกายเขาแล้ว

“แล้วมันมีวิธีแก้ไหม” คำถามของอเล็กซ์ไม่เคยอยู่ในความคิดเขามาก่อน “มันมีวิธีทำให้นายกลับเป็นปกติหรือเปล่า”

“ฉัน...ไม่ได้นึกถึงเลยแฮะ” เขาตอบตามตรง “ฉันเอาแต่คิดว่าใครเป็นคนทำ”

“ก็เป็นไปได้ว่ามันจะมีวิธี”

“จากที่เคนาสพูด ฉันว่าไม่น่าจะมี หลังจากถูกกัดแล้วถ้าไม่ตายก็กลายเป็นแวมไพร์” เฮนรี่พูด “แต่อย่างที่นายบอกฉันควรใช้ชีวิตตามปกติ”

อเล็กซ์อมยิ้มก่อนส่งมัฟฟินอีกชิ้นเข้าปาก สายตาของเขามองเห็นกลุ่นนักเรียนยืนออตรงหน้าโทรทัศน์แบบแขวน

“พวกนั้นดูอะไรกัน” เขาพูดขึ้นเพื่อให้เฮนรี่หันไปมอง ปกติแล้วโทรทัศน์เป็นสิ่งที่นักเรียนที่นี่ละเลยมากที่สุด แต่วันนี้กลับได้รับความสนใจมากจนผิดตา

“ไปดูกันเถอะ” เฮนรี่ชวน

พวกเขาลุกขึ้นยืน ตรงไปยังกลุ่มนักเรียนที่ยืนมองโทรทัศน์เป็นตาเดียว

บนจอกำลังฉายภาพข่าวสัมภาษณ์ตำรวจนายหนึ่งที่มีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัดในการตอบคำถามนักข่าว ด้านล่างของจอปรากฏคำบรรยาย เฮนรี่พยายามอ่านข้อความดังกล่าวซึ่งเกี่ยวกับการพบศพหญิงสาวในตรอกเล็กๆ เมื่อช่วงเช้าโดยตำรวจให้การสันนิษฐานว่าถูกสัตว์บางประเภททำร้าย แต่ที่เป็นข่าวเพราะมีคนเห็นร่องรอยบาดแผลที่คอของเธอซึ่งเป็นบาดแผลเดียวที่เธอมีบนร่างกายทำให้มีการพูดกันว่าอาจเป็นแวมไพร์

“ไม่มีเรื่องอย่างนั้นแน่นอนครับ” ตำรวจยังคงยืนยันคำเดิมกับนักข่าว “เราต้องรอผลชันสูตรเพื่อทราบสาเหตุการตายที่แน่ชัด”

แม้ว่านักข่าวจะพยายามโยงเรื่องนี้กับผีดูดเลือดอย่างไร ตำรวจยังคงปฏิเสธและจบการสัมภาษณ์เพียงเท่านั้น นักเรียนที่ได้ดูข่าวต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ไปตามความคิดของตน เฮนรี่กับอเล็กซ์รีบเดินออกจากฝูงชนทั้งที ทั้งที่ใกล้เข้าเรียนแล้วแต่ดูเหมือนทุกคนยังให้ความสำคัญกับโทรทัศน์อยู่ทำให้ในตึกเรียนแทบไม่มีคน

“นั่นต้องเป็นฝีมือเคนาสแน่ๆ” อเล็กซ์พูดขึ้น "แถวนี้มันจะมีใครเป็นแบบนั้นอีกล่ะ"

“เคนาสพูดเองว่ามีแวมไพร์อยู่มากกว่าที่เราคิดนะ”

“แล้วนายก็เชื่อ” เด็กหนุ่มถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เขาพูดเองไม่ใช่เหรอว่าคนที่กัดนายเป็นเลือดบริสุทธิ์ เคนาสเป็นเลือดบริสุทธิ์ไม่ใช่เหรอ”

เฮนรี่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงอะไรแต่เขาไม่อาจยอมรับความคิดนั้นได้

“นายมีปฏิกิริยากับเลือดของเคนาส นั่นอาจหมายถึงสายสัมพันธ์ระหว่างแวมไพร์กับมนุษย์ที่ถูกกัดก็ได้นะ”

“ฉันไม่คิดว่าเขาเป็นคนไม่ดี” เฮนรี่พูด “ตอนที่เจอเขาเมื่อวาน เขาเพิ่งฆ่าแวมไพร์ไปนะ เคนาสจะทำร้ายพวกเดียวกันทำไม”

อเล็กซ์เงียบไป เฮนรี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดเคนาสถึงทำเช่นนั้นและอีกฝ่ายก็ไม่ยอมตอบคำถาม แต่ถ้าเคนาสไม่ได้เป็นคนฆ่าผู้หญิงคนนั้น ก็หมายความว่ามีแวมไพร์ตัวอื่นอยู่ละแวกนี้และคนๆ นั้นอาจเป็นคนที่กัดเขาก็เป็นได้

อเล็กซ์เห็นสีหน้าของเพื่อนสนิทก็รีบเอ่ยดักทาง

“นายคงไม่คิดจะตามหาคนร้ายหรอกใช่ไหม” เขาไม่รู้ว่าจะถามทำไมในเมื่ิอสีหน้าท่าทางของเฮนรี่ตอบคำถามชัดเจนขนาดนั้น การที่อีกฝ่ายพยักหน้ายิ่งตอกย้ำความคิดของตน

“แล้วนายคิดจะทำอะไร”

“ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้เหมือนกัน” เขาตอบก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “เย็นนี้มีซ้อมนะ ใกล้แข่งแล้วด้วย โค้ชคงไม่ปล่อยพวกเรากลับเร็วหรอก”

“จริงของนาย” อเล็กซ์ยกยิ้มก่อนจะเดินเข้าห้องเรียนพร้อมด้วยเสียงกริ่งที่เรียกนักเรียนกลับเข้าชั้นอีกครั้ง

 

แสงสปอตไลท์สว่างจ้าที่สนามกีฬาเบสบอล นักกีฬายืนเข้าแถวเป็นระเบียบหลังจากซ้อมเสร็จโดยมีโค้ชกล่าวสรุปการซ้อมในวันนี้ สมแล้วกับเป็นช่วงใกล้แข่งขันโค้ชถึงจัดการซ้อมได้โหดกับพวกเขาเป็นพิเศษ

เมื่อสิ้นเสียงสั่งให้แยกย้ายกลับบ้าน แต่ละคนทำหน้าดีใจที่ได้เป็นอิสระอย่างไม่ปกปิด เฮนรี่ยกมือบิดขี้เกียจ เสียงกระดูกลั่นดังกรอบแกรบ เด็กหนุ่มหมุนหัวไหล่ตัวเอง

“เจ็บไหล่เหรอ” อเล็กซ์ถามระหว่างที่พวกเขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า

“ไม่เป็นไร แค่ล้าน่ะ”

“ระวังหน่อย ไหล่ของพิชเชอร์สำคัญยิ่งกว่าชีวิตนะ”

เฮนรี่หัวเราะ พวกเขาเตรียมแยกย้ายกันกลับบ้าน ก่อนจากกันอเล็กซ์ก็ทักขึ้น

“แน่ใจนะว่ากลับเองได้”

“พูดอะไรของนาย ฉันไม่ได้กลัวความมืดนะ” 

ทั้งคู่ยกมือลา เฮนรี่ถีบจักรยานเลี้ยวไปคนละทาง เส้นทางที่ใช้กลับบ้านทุกวันปรากฏเบื้องหน้า ท้องฟ้ามืดมิดมีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้าส่องนำทาง รอบข้างเป็นบ้านเรือน บ้างก็ปิดไฟเข้านอน บ้างก็ยังเปิดสว่างเป็นบางดวง ทัศนียภาพที่เขาเห็นทุกวันจนชินตาจนแทบหลับตาเดินได้ ทั้งที่สมัยย้ายมาใหม่ๆ ถนนเส้นนี้ทำเขางงกับทางเดินมากเนื่องจากมีหลายแยก หลายเลี้ยว

เด็กหนุ่มหยุดจักรยานตรงสี่แยกเพื่อดูรถ บ้านของเขาเลี้ยวไปทางขวาทว่าสถานที่พบศพเมื่อเช้าคือตรงจากที่นี่ไปไม่ถึงสิบนาที แม้ว่าจะไม่มีรถยนต์เคลื่อนผ่านแต่เฮนรี่ยังคงลังเลว่าควรกลับบ้านหรือตรงต่อไปดี สุดท้ายเขาก็ถีบจักรยานปั่นข้ามแยกไป 

ถ้าหากมีแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์คนอื่นอยู่จริง คนๆ นั้นน่าจะเป็นคนที่ทำร้ายเขา แต่ถ้าไม่มี ก็หมายความว่าเคนาส...เฮนรี่ส่ายศีรษะสลัดความคิดนั้นทิ้ง เคนาสไม่เหมือนแวมไพร์ที่อยู่ในหน้าหนังสือหรือจอโทรทัศน์ แม้ว่าการพบกันในป่าไม่ใช่ภาพที่น่าดู แต่เขาเชื่อว่าการที่เคนาสฆ่าแวมไพร์ด้วยกันย่อมมีเหตุผล 

เด็กหนุ่มจับคันบังคับแน่นแล้วเลี้ยวเข้าตรอกที่พบศพทันที เทปสีเหลืองกั้นไว้อย่างสังเกตได้ เฮนรี่ลงจากจักรยานเพื่อเดินเข้าไปใกล้ จากที่นี่ห่างจากป่าทางเหนือพอสมควรเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสัตว์ป่าออกอาละวาด

“ใครน่ะ”

เสียงทุ้มต่ำเรียกจากด้านหลังทำเอาเฮนรี่สะดุ้งเฮือก เมื่อหันไปมองทางต้นเสียงแวบแรกเขาคิดว่านั่นเป็นเคนาสแต่เรือนผมสีรัตติกาลสั้นกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทว่าดวงตาเป็นสีเดียวกันแม้กระทั่งโครงหน้ายังคล้ายคลึง

“เอ่อ...ผม” เฮนรี่ไม่รู้ว่าจะตอบอะไร แต่อีกฝ่ายไม่น่าเป็นตำรวจ

“เจออะไรเหรอ แซ็ค” อีกเสียงดังขึ้นจากด้านหลังชายตรงหน้า เรือนผมสีทองกับผิวที่ขาวเนียนขับดวงตาสีไพลินให้ยิ่งสุกสกาวยามค่ำคืน เฮนรี่ไม่เคยเห็นใครหน้าเหมือนตุ๊กตาเท่านี้มาก่อน เจ้าของใบหน้างามหันมาทางเขา ก่อนกลับไปถามชายที่มาด้วยกัน “ใครน่ะ”

“นี่ไม่ใช่ที่ๆ เด็กจะมาเดินเล่นนะ” ชายที่ชื่อแซ็คพูดขึ้น น้ำเสียงแกมสั่งคล้ายเคนาสหน่อยๆ เฮนรี่แปลกใจว่าเหตุใดชายคนนี้ถึงทำให้นึกถึงแวมไพร์ตนนั้นได้

หรือจะเป็นแวมไพร์เหมือนกัน แล้วนี่ก็คือสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง

“แล้วพวกคุณมาทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงของเฮนรี่แสดงออกถึงความระแวดระวังอย่างชัดเจน

“นายไปดุเขา เขาเลยกลัวสิ” ชายผู้มีนัยต์นาสีอัญมณีหันไปต่อว่าเพื่อนก่อนคลี่ยิ้มมาทางเฮนรี่ “ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ ฉันไทร์ ส่วนหมอนี่ชื่อซาชาเรีย”

คนพูดยื่นมือมาตรงหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร เฮนรี่มองด้วยสายตาลังเล บางทีเขาคงคิดมากไปเองว่าสองคนนี้จะเป็นแวมไพร์ เด็กหนุ่มยื่นมือจับตอบแต่จังหวะที่มือของพวกเขาสัมผัสกัน ดวงตาสีไพลินก็ดูแข็งกร้าวขึ้นทันที เขายื่นมืออีกข้างดึงคอเสื้อของเฮนรี่ออก เผยให้เห็นพลาสเตอร์ปิดแผลบนบ่า

ไทร์ปล่อยมือแล้วรีบชักปืนขึ้นมาทันที

“ไทร์!” ซาชาเรียปรามขึ้นเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็มีทีท่าอยากกำจัดคนตรงหน้าทิ้ง

“ผู้ชายคนนี้ถูกกัด” ปากกระบอกปืนชี้ไปที่บ่าของเฮนรี่ สายตาของซาชาเรียแสดงความสงสารออกมาอย่างชัดเจน

“เดี๋ยวก่อนครับ ผม...” เฮนรี่ทำตัวไม่ถูก สายตามองไปยังปากกระบอกปืนไม่นึกเลยว่าชีวิตตัวเองจะสั้นขนาดนี้ ตายตั้งแต่อายุ 16 แม่เขาคงตรอมใจแน่นอน

“แกใช่ไหมที่กัดผู้หญิงคนนั้น” ท่าทางเป็นมิตรเมื่อครู่หายไปจนสิ้น เหลือเพียงความดุดันที่ส่งผ่านน้ำเสียงและดวงตาสีอัญมณี

“ไม่ใช่ครับ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครกัดผู้หญิงคนนั้นถึงได้มาที่นี่” เฮนรี่ตอบตามความจริงแต่สีหน้าอีกฝ่ายบ่งบอกว่าไม่เชื่อคำพูดของเขา

เด็กหนุ่มยืนมองวาระสุดท้ายของตัวเอง มือข้างที่ถือปืนของอีกฝ่ายไม่มีอาการสั่นแม้แต่น้อยแตกต่างจากมือของเขาที่ไม่อาจควบคุมได้เลย วินาทีที่กำลังจะหลับตาจู่ๆ ก็มีลมวูบหนึ่งพัดผ่าน เขาลืมตาอีกครั้งก็พบชายเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีรัตติกาล

เคนาสยืนอยู่ระหว่างเขากับไทร์ มือจับปากกระบอกปืนที่จ่อมาเอาไว้ เฮนรี่สังเกตเห็นดวงตาสีไพลินเบิกกว้าง มันเป็นความตกใจที่แตกต่างจากเขา เด็กหนุ่มรู้สึกได้จากสายตาคู่นั้นว่ามันมีบางอย่างมากกว่าที่เห็นแต่เขาไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ไปมากกว่านั้นเมื่อแวมไพร์หนุ่มรวบตัวเขาอย่างรวดเร็วแล้วทะยานไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน

ไทร์ปล่อยปืนทิ้งกับพื้น ดวงตายังคงเบิกกว้างไม่เชื่อในสิ่งที่เพิ่งเห็น ทว่าใบหน้าของแวมไพร์คนนั้นก็ชัดเจนเกินกว่าจะเป็นแค่ภาพหลอน ดวงตาสีรัตติกาลลุ่มลึกคู่นั้นจ้องมองด้วยสายตาที่เขาเคยเห็นเป็นประจำ หัวใจสัมผัสได้ถึงมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดอย่างรุนแรงจนแทบหายใจไม่ออก

“เป็นไปไม่ได้” เขาพึมพำก่อนหวนนึกถึงคืนที่มีแวมไพร์บุกเข้ามาที่บ้านแล้วขโมยแหวนไพลินของเขาไป

แหวนวงนี้จะทำให้เขากลับมา

“ไม่จริง...”

 

เฮนรี่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งยามที่ปลายเท้าสัมผัสพื้น เขาพบว่าอีกฝ่ายพามาส่งที่หน้าบ้านตัวเอง สีหน้าของเคนาสต่างจากที่เคยเห็น ดวงตาสีดำคู่นั้นก้มมองพื้นคล้ายกำลังรู้สึกผิด

“เคนาส”

“อย่าไปเพ่นพ่านที่ไหนตามลำพังแบบนั้นอีก ตกลงไหม”

เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงความโมโหส่งผ่านน้ำเสียงนั่น

“สองคนนั้นเป็นใครเหรอครับ”

“ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

เฮนรี่จับแขนเสื้ออีกฝ่ายแน่นไม่ให้เคนาสจากไปง่ายๆ

“ผู้ชายคนนั้นรู้ว่าผมถูกกัดและกำลังจะฆ่าผม คุณยังบอกว่าไม่เกี่ยวกับผมอีกเหรอครับ” เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกโกรธมากขนาดนี้ อาจเพราะไม่พอใจที่อีกฝ่ายเอาแต่ปิดบังก็เป็นได้

“ในเมื่อมีแวมไพร์อย่างข้า ย่อมต้องมีสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อล่าเผ่าพันธุ์นี้”

“ฮันเตอร์” เสียงของเฮนรี่เบากว่าที่ตัวเองคาดไว้

“มันจะไม่มีครั้งต่อไป” เคนาสเอ่ยเสียงเรียบ

“เขารู้จักคุณ ผู้ชายที่มีดวงตาสีไพลิน เขา...รู้จักคุณ...และคุณเองก็รู้จักเขา” เฮนรี่เสริมเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เขาสัมผัสถึงความเศร้าจากดวงตาสีรัตติกาลและน้ำเสียงอีกฝ่ายก็เย็นชาขึ้นทันที

“ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

“ขอโทษครับ” เฮนรี่พูด เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับเขาจริงๆ เขานึกถึงคำพูดของอเล็กซ์ขึ้นมา คำถามที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน “เคนาส ผมถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม ไม่เกี่ยวกับที่เกิดขึ้นเมื่อครู่”

แวมไพร์หนุ่มพยักหน้า

“เป็นไปได้ไหมที่จะมีทางรักษาไม่ให้ผมกลายเป็นแวมไพร์”

คำถามของเขาสร้างความประหลาดใจให้คนฟัง ทว่าเคนาสส่ายหน้า

“ข้าเสียใจ”

“ครับ ผมเข้าใจ” เขารู้อยู่แล้วว่าของแบบนั้นไม่มีจริง เพียงแค่อยากได้ความมั่นใจเท่านั้น จากเหตุการณ์ในวันนี้บ่งบอกว่าชีวิตของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อนึกถึงสายตาคู่นั้นของไทร์ เด็กหนุ่มก็รู้สึกขนลุกวาบ สีหน้าเป็นมิตรเปลี่ยนไปในทันทีที่รู้ว่าเขาถูกกัด

“แต่อาจจะมีคนที่รู้” คำพูดของเคนาสเรียกเฮนรี่ตื่นจากภวังค์ เขาหันไปสบตาอีกฝ่ายคล้ายอยากให้ยืนยันสิ่งที่เพิ่งได้ยิน แต่เคนาสก็เปลี่ยนเรื่องไปเสียก่อน “ระวังอย่าไปเจอสองคนนั้นอีก ถึงเจ้าจะไม่เหมือนมนุษย์คนอื่นที่ถูกกัดแต่เลือดแวมไพร์ไหลอยู่ในตัวเจ้า ฮันเตอร์บางคนมีความสามารถพิเศษที่จะรับรู้มันได้”

“ขอบคุณครับ”

เพียงแค่ชั่วพริบตา ร่างเคนาสก็กลืนหายไปกับความมืดมิดยามค่ำคืนพร้อมสายลมวูบหนึ่งที่พัดผ่านไป เฮนรี่ก้มมองมือตัวเองที่บัดนี้หายสั่นแล้ว ทว่าหัวใจยังคงเต้นเร็ว ภาพปืนที่จ่อมาตรงหน้ายังติดตา ถ้าหากเคนาสไม่โผล่ไปตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ

แวมไพร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวแต่สำหรับเฮนรี่แล้วเขากลับกลัวฮันเตอร์มากกว่า ทั้งที่ฮันเตอร์เป็นมนุษย์เหมือนกับเขา...หรือเพราะว่าเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป 

พิษร้ายที่ไหลปะปนในเลือดของเขากำลังเปลี่ยนแปลงเขาอย่างช้าๆ อย่างนั้นหรือ