2

(2.1)

 

 

 

 

"องค์ชาย พอก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ"

 

"ขออีกสักครึ่งชั่วโมงเถอะรัสเซิล"

 

"รอบที่สามแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ" รัสเซิลพูดพลางถอนหายใจ ตอนนี้ก็ใกล้ห้าทุ่มแล้ว ไม่ใช่เวลาที่เด็กอายุ 11 ควรจะตื่นอยู่ด้วยซ้ำ "หากองค์ราชินีทราบ กระหม่อมถูกตำหนิแน่"

 

"ก็อย่าให้รู้สิ" เจอโรมตอบด้วยเสียงราบเรียบ ส่วนปอฝ้ายนั้นรู้สึกผิดในใจ พอไม่ค่อยโดนดุแล้วเหมือนจะเหลิงเลยแฮะ มันจะเรียกว่าข้อดีหรือข้อเสียของการมีอำนาจวะเนี่ย

 

เธอเหลือบตาขึ้นมามองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ยังจำนายรัสเซิลได้ไหม ใช่ พระเอกของเรื่องภารกิจเจ้าหญิงที่ก่อนจะเริ่มเรื่องตอนนี้ต้องเป็นครู (+พี่เลี้ยง+คนรองมือรองเท้า) ให้เจอโรมก่อนที่จาเร็ดจะโต อะไรกันครับเนี่ย ซื้อหนึ่งได้ถึงสาม โคตรพ่อโคตรแม่คุ้ม!

 

มันผิดหลักสิทธิแรงงานป่ะวะ

 

แต่พอเดาได้ว่าน่าจะเงินดี ไม่น่าเป็นไรหรอกมั้ง

 

ปอฝ้ายมาอยู่ที่นี่ได้เกือบ 2 ปีแล้ว ทำใจและก้าวเดินต่อไปได้แบบไม่ติดขัด ถึงจะมีหลอนได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่นอยู่บ้างก็เถอะ แต่นอกนั้นสบายบรื๋อ เธอสามารถดำเนินชีวิตเป็นเจอโรมได้แบบเนียน ๆ รวมถึงใช้สมองเด็ก ๆ ของเจอโรมได้อย่างเกิดประสิทธิภาพสูงสุดด้วย จะอ่านหนังสือ เรียนภาษาอาลีอาเนีย (ดูคล้าย ๆ ภาษาอาหรับ) และภาษาคังกุก (ดูคล้าย ๆ เกาหลี) ได้แบบสบาย ๆ

 

สวรรค์ของคนที่อยากเรียนภาษาเยอะ ๆ ชัด ๆ

 

(หมายเหตุ ปอฝ้ายอยากเรียนภาษาญี่ปุ่น อิตาลี ฝรั่งเศส และเยอรมันมาก แต่มากสุดเท่าที่ทำได้คืออ่านเลข 1-10 ออก)

 

"องค์ชาย" รัสเซิลโอดครวญ "ดึกแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

 

เจอโรมเหลือบมองก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วจึงเอ่ยตอบไปทั้ง ๆ ที่สายตายังไม่ละออกจากหนังสือเล่มหนาในมือ

 

"เราอ่านเรื่องนี้เสร็จเดี๋ยวจะไปนอน อีกสองหน้าเท่านั้น"

 

"จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ"

 

"จริง"

 

รัสเซิลยกยิ้มอย่างพอใจ ปอฝ้ายเหลือบมองภาพนั้นเล็กน้อยก่อนจะโฟกัสกับตัวหนังสือตรงหน้าต่อ หนังสือปรัชญาน่าสนใจมีเต็มห้องสมุด โชคดีที่ปอฝ้ายชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้วแต่ชาติที่แล้ว (มันเรียกว่าชาติที่แล้วได้หรือเปล่านะ เอ่อ… คงได้แหละ) แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยนั้นมันยั่วยวนและบั่นทอนให้สมาธิของเธอสั้นลงเรื่อย ๆ จนไม่สามารถจดจ่ออะไรนาน ๆ ได้ พอมาตอนนี้ไม่ค่อยมีอะไรมารบกวน การอ่านเรื่องแบบนี้จึงกลายเป็นเรื่องสบาย ๆ เหมือนการเดินไปร้านชำหน้าปากซอย

 

ปรัชญาของโลกใบนี้น่าสนใจไม่น้อย ส่วนวรรณกรรมนั้นค่อนข้างราบเรียบ ไม่ค่อยน่าตื่นเต้น เพราะคงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นและผิดคาดยิ่งกว่าปอฝ้ายได้มาอยู่ที่นี่แล้วล่ะ

 

“น่าเบื่อ”

 

ห๊ะ

 

ปอฝ้ายในร่างเจอโรมขมวดคิ้ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองรัสเซิลที่ยืนอยู่ไม่ไกล

 

"เมื่อกี้พูดอะไรหรือเปล่า"

 

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อย "เปล่าพ่ะย่ะค่ะ มีอะไรหรือฝ่าบาท?"

 

"อ้อ… เปล่า สงสัยเราคงจะหูฝาด" เจอโรมพูดกลบเกลื่อน แล้วหันกลับไปอ่านหนังสือต่อ ถ้างั้นมันคือเสียงอะไรล่ะวะ ปอฝ้ายมั่นใจมากว่ามันมีคนพูดจริง ๆ มั่นใจยิ่งกว่าเรื่องที่รัฐบาลประเทศนึงโคตรไร้คุณภาพอีก แต่ฟังลักษณะเสียงไม่ถนัดนั้นเพราะมันเพียงครู่เดียว

 

กลายเป็นว่าสิ่งนั้นมันทำให้เธอไม่สามารถจดจ่อกับของในมือได้อีกแล้วจึงหาอะไรมาคั่นไว้ ก่อนจะวางหนังสือไว้ที่มุมหนึ่งของโต๊ะ อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกหนาวขึ้นมาเฉย ๆ เหมือนมีลมพัดผ่านหลังคอ

 

"เราง่วงแล้ว" เด็กชายว่า

 

"ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมขอ…"

 

"เดินไปเป็นเพื่อนเราหน่อยสิ" เจอโรมเอ่ยแทรกทันควันก่อนที่รัสเซิลจะขอตัวกลับก่อน ห้องอ่านหนังสือนี่น่าจะอยู่ไม่ได้แล้ว แปลกจัด ทำไมมันมีเสียงได้ถ้าไม่ใช่สิ่งลึกลับ บ้ามาก อะไรวะเนี่ย ที่นี่มีเxอะโxสท์หรือเxอะxอคให้โทรไปแชร์ประสบการณ์มั้ย จะนอนหลับป่ะเนี่ย

 

ผีแน่นอน ห้องอ่านหนังสือนี่อยู่ตอนดึก ๆ นาน ๆ ไม่ได้แล้ว!

 

 

 

 

 

เช้าวันต่อมาไม่สดใสเลยสำหรับปอฝ้าย เธอไม่กล้าข่มตานอนเลยเมื่อคืนจนท่านรองหัวหน้าอัศวินต้องเอ่ยทักก่อนการเรียนฟันดาบในตอนบ่าย

 

"องค์ชายไหวแน่หรือพ่ะย่ะค่ะ" ชายวัยกลางคนเอ่ยถามเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้แล้วของบ่ายนี้ ปอฝ้ายในร่างเจอโรมเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์สองฟันดาบของตนก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่อิดโรย

 

"ไหวสิเซอร์อลาคี เราแค่นอนดึกเท่านั้นเอง" โกหก แกไม่ได้นอนโว้ย

 

ท่านเซอร์อลาคีขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ต้องถอนหายใจและพยักหน้าโดยที่ไม่สามารถโต้แย้งได้ ก็เคยได้ยินอยู่ว่าพระราชโอรสพระองค์โตนั้นค่อนข้างจะหัวรั้นอยู่บ้าง แต่ไม่คาดคิดว่าจะมาเจอกับตนเอง เพราะทุกครั้งที่เรียนฟันดาบและที่ม้าตลอดสี่ฤดูที่ผ่านมา องค์ชายจะทรงเปิดรับทุกอย่างที่สอน เข้าใจและทำตามได้ในเวลาค่อนข้างเร็วสำหรับเด็กอายุไล่เลี่ยกัน แถมยังทำได้ดีด้วย

 

ถึงจริง ๆ แล้วจะเป็นเพราะปอฝ้ายเคยเบียวxาร์บีภาค 3 ทหารเสืออยู่พักนึง ชอบเอาไม้กวาดที่บ้านมาทำตามบ่อย ๆ จนโดนแม่ดุ เรื่องนี้เลยค่อนข้างชิลอยู่ก็เถอะ แต่แน่ ๆ อันนี้สนุกกว่ากระบี่กระบองเยอะ รู้สึกมีเป้าหมายในการเรียน

 

"หากองค์ชายรู้สึกไม่สบายหรือหน้ามืดต้องรีบบอกกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ" อลาคีเอ่ยอีกครั้ง เจอโรมพ่นลมหายใจออกทางจมูก ก่อนจะนำดาบไม้ที่ใช้เท้ากับพื้นนั้นขึ้นพาดบ่าแล้วเงยหน้ามองชายร่างยักษ์ ดวงตาสีเขียวสะท้อนกับแสงแดดเป็นประกาย ผมสีดำที่ยาวอยู่เหนือสะบักนั้นถูกมัดรวบไปด้านหลังไว้ลวก ๆ ดูทะมัดทะแมง

 

"รับทราบขอรับท่านอาจารย์!"

 

ชายวัยกลางคนมองภาพนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ท่าทางขี้เล่นและกระตือรือร้นนั้นขัดกับขอบตาที่เริ่มขึ้นสีคล้ำของเจ้าตัวได้หน้าตาเฉย

 

"เช่นนั้นไปกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ"

 

องค์ชายพยักหน้า ก่อนจะเดินตามอลาคีออกไปที่ลานฝึก

 

ปอฝ้ายมองอลาคีอย่างพิจารณาเพราะอีกฝ่ายเป็นตัวละครที่ไม่เคยปรากฏในเรื่องเลย น่าจะอยู่ในฉากแต่ไม่เคยถูกกล่าวถึง หากว่าง่าย ๆ ก็คงเป็นหมู่มวลที่อยู่ด้านหลังตัวเอกในช่องการ์ตูน (?) นักวาดอาจจะใส่ใจในการลงรายละเอียดบนหน้าบ้าง แต่ไม่ได้ถูกเมนชั่นชื่อในเรื่อง ดังนั้นข้อมูลจึงเป็นศูนย์ น้อยกว่าเอเวร์ลีนเสียอีก

 

ตอนแรกที่เห็นท่านรองหัวหน้าอัศวินนั้นคือรู้สึกว่าเขาน่าเกรงขามมาก เซอร์ลูบอง มีคติล อลาคีมีรูปร่างสูงใหญ่ เจอโรมในวัย 9 ขวบนั้นสูงเพียงชายโครงของอัศวินผู้นี้เท่านั้นเอง ดวงตาของเขานั้นเป็นสีฟ้าขุ่น ๆ เหมือนท้องฟ้าหน้าหนาว จมูกโด่ง ริมฝีปากบางเฉียบ ผมหยักศกและหนวดเคราสีแดง ผิวขาวซีด ตามผิวเปื้อนกระ ถ้าจะอธิบายง่าย ๆ ก็ดูเหมือนคนจินเจอร์

 

แต่โดยรวมแบบง่าย ๆ ก็คือเป็นคนที่ไม่น่าหือด้วย

 

ปอฝ้ายสรุปในใจอย่างนั้นตอนเจอหน้าครั้งแรก พอเริ่มเรียนด้วยนานไปเรื่อย ๆ จึงได้รู้ว่าลูบองนั้นเป็นคนที่เหมือนจะเข้าถึงยากสักหน่อย แต่ก็อ่อนโยนและเก่งกาจ คำพูดถึงจะดูทื่อ ๆ หรือแข็งกระด้างไปบ้างแต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้าย ออกจะอ่อนโยนเสียด้วยซ้ำ ตอนสอนจะเข้มงวด แต่นอกจากนั้นจะเป็นคนที่คอยช่วยเหลือนักเรียนอย่างสุดความสามารถ ถ้าจะเอาให้เห็นภาพก็คือเหมือนเป็นครูสอนเลข พละ และแนะแนวในคนเดียว

 

"เริ่มที่หวดดาบ 150 ครั้ง วิ่งรอบลานฝึกอีก 10 รอบเป็นการอบอุ่นร่างกายพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท" อลาคีบอกเสียงเรียบก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ "แล้วก็บุตรชายของท่านหัวหน้าอัศวินจะมาเรียนด้วยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"

 

ท่าทางของอลาคีนั้นเหมือนกับการบอกเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป ส่วนเจอโรมนั้นอ้าปากค้างไปแล้ว หวดดาบ 100 ครั้งแขนก็แทบหลุดอยู่แล้ว นี่ยังเพิ่มอีก 50 อย่างนั้นเหรอ!?

 

"นั่นไม่มากไปหน่อยหรือเซอร์อลาคี แถมลูกชายเซอร์ชาร์โบนีคเพิ่งมาเรียนครั้งแรกเองนะ!" ปอฝ้ายตะโกนลั่น เมื่อวานหวดดาบแค่ 100 รอบเองนะ มาจากไหนอีก 50 วะคะ!?

 

"เมื่อวานหวด 100 รอบได้อย่างแข็งแรงแล้ว กระหม่อมเลยเห็นว่าถึงเวลาดันเพดานแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ชายร่างใหญ่เอ่ยด้วยใบหน้าและน้ำเสียงที่ราบเรียบ “หากจะแข็งแกร่งขึ้นจำเป็นต้องทะลุขีดจำกัดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

 

ส่วนปอฝ้ายสติหลุดไปแล้ว ได้แต่จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทะลุขีดจำกัดอะไร สู่อีกฟากของขีดจำกัด พลัสอัลตร้า! งี้อ่อ ขอโทษนะ นี่เซอร์อลาคีหรือxอลไxต์!?

 

เออดูดิเนี่ย เหมือนครูเลขป่ะ

 

“ส่วนบุตรชายของเซอร์ชาร์โบนีค์ ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอกพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” อลาคีว่า “เขาจับดาบเป็นก่อนพูดได้เสียอีก”

 

แต่องค์ชายพูดได้ก่อนจับดาบโว้ย (มั้งนะ)

 

ปอฝ้ายทำได้แค่เพียงเก็บความอัดอั้นพร้อมกับอาการอยากทึ้งหัวไว้ในใจแล้วเดินตามผู้ใหญ่ไปเงียบ ๆ โต้แย้งอะไรไม่ได้เพราะคำพูดอีกคนนั้นคงเป็นความจริง บุตรชายของหัวหน้าอัศวินหลวง น่าจะรู้เรื่องการฟันดาบอยู่บ้าง

 

ที่แน่ ๆ มากกว่าปอฝ้ายแน่นอน

 

ตอนนี้ทำได้แค่หายใจฮึดฮัดแสร้งว่าไม่พอใจตามประสาเจ้าชายสินะ

 

ลานฝึกกับพระราชวังไม่ห่างกันมากนั้น เดินครู่เดียวก็ถึง ลานฝึกซ้อมของอัศวินนั้นเป็นลานดินกว้าง ปิดกั้นกับโลกภายนอกด้วยกำแพงอิฐสูงตระหง่าน ยาวไปเกือบครึ่งกิโลเมตรได้ ในลานนั้นมีทหารหลายสิบนายอยู่กันแล้ว บ้างกำลังฝึกกับเพื่อน บ้างนั่งคุย และในวงสนทนานั้นมีชายวัยกลางคนอีกท่าน เขาสวมชุดที่ดูต่างจากคนอื่น เสื้อชายยาวสีน้ำเงินเข้ม ที่อกมีเหรียญประดับอยู่ 2-3 อัน บั้งบนไหล่มีพู่สีทองห้อย เสริมให้ดูน่าเกรงขามมากกว่าใคร ข้างกายมีเด็กชายวัยไล่เลี่ยกับเจอโรมยืนอยู่ด้วย แต่ที่ทำให้ทั้งสองดูโดดเด่นคงเป็นเพราะเส้นผมสีสตอร์วเบอร์รี่

 

“ท่านดยุคชาร์โบนีค!”

 

ชายคนนั้นหันหน้ามามองเซอร์อลาคีที่ตะโกนเรียกสักครู่ ทหารทุกนายเปลี่ยนท่าที ดูสงบเสงี่ยมขึ้น บรรยากาศในลานเงียบลงพลันเหมือนกดปิดเสียง ดยุคชาร์โบนีคหันไปพยักหน้าเล็กน้อยกับนายทหารที่ตนพูดคุยอยู่ด้วย ก่อนจะเดินตรงมาหาคนทั้งสองที่เพิ่งมาใหม่โดยมีบุตรชายเดินตามมาด้วย

 

“มาเร็วจริงนะท่าน” อาจารย์ขององค์ชายว่า

 

“ฝ่าบาททรงเรียกให้เข้าเฝ้าน่ะ แถมข้าเองก็ไม่ได้สนทนากับหนุ่ม ๆ พวกนั้นนานแล้วด้วย” หัวหน้าอัศวินตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้าของเจอโรม ตัวบุตรชายเห็นจึงทำตามด้วยท่าทางลนลาน “แด่เทือกเขาอันยิ่งใหญ่แห่งลาคัวร์ ทิวาสวัสดิ์พ่ะย่ะค่ะ”

 

“ตามสบายเถิด” องค์ชายลำดับ 1 เอ่ย ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองกลุ่มสีสตรอว์เบอร์รีที่ก้มหน้างุดอยู่ข้าง ๆ คนที่เพิ่งเอ่ยทักทายเมื่อครู่ “เจ้าชื่ออะไรเหรอ”

 

บุตรชายหัวหน้าอัศวินสะดุ้งเฮือก ก่อนจะละล่ำละลักเอ่ยออกมาเสียงดังและรัว “แด่เทือกเขาอันยิ่งใหญ่แห่งเหลาะขึ… เอ๊ย!”

 

“ช้า ๆ ก็ได้ ไม่ต้องตื่นไป” เจอโรมพูดพลางยิ้มเจื่อน ๆ ที่มุมปาก ตื่นเต้นสินะไอ้หนุ่ม ขาสั่นเหมือนลูกหมาตกน้ำเชียว กัดลิ้นไปด้วยหรือเปล่าเนี่ย “เราเจอโรม ธีโอ เดอ ลาคัวร์ เจ้าล่ะ”

 

ท่านหัวหน้าอัศวินมองลูกชายของตนด้วยสายตากลั้นหัวเราะเต็มที่ ส่วนอลาคีนั้นโคลงศีรษะเล็กน้อยด้วยความเอ็นดูหรือระอานั้นหางตาของเจอโรมไม่อาจคาดเดาได้ ตอนนี้ต้องทำให้เจ้าลูกหมาโกลเด้นรีทีฟเวอร์คนนี้หายตื่นเต้นให้ได้ก่อน อย่างนั้นก็ไม่รู้ชื่อพอดี

 

ถึงจะพอเดาชื่อได้แล้วก็เถอะ

 

เด็กชายผมสีสตรอว์เบอร์รี่สูดลมหายใจก่อนจะพ่นออกมาช้า ๆ แล้วจึงเริ่มแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ “แด่เทือกเขาอันยิ่งใหญ่แห่งลาคัวร์ กระหม่อมซีเฟียค์ ธีโอ ชาร์โบนีคพ่ะย่ะค่ะ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบฝ่าบาทพ่ะย่ะคะ

 

เสียงหลงนิดหน่อย แต่จะมองข้ามไปแล้วกัน

 

“ชื่อกลางเหมือนเราเลย” เจอโรมเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางยื่นมือไปหา “ยินดีที่ได้รู้จักนะซีเฟียค์”

 

คราวนี้แหละที่ปอฝ้ายได้เห็นหน้าเพื่อนร่วมชั้นคนแรกในโลกนี้สักที ซีเฟียค์นั้นดูคล้ายกับดยุคชาร์โบนีคอยู่หลายส่วน คิ้วเข้มรก ดวงตาสีเฮเซล จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากอิ่ม เอาล่ะ จากประสบการณ์การติ่งไอดอลเกาหลีมาตั้งแต่มัธยมต้น หมอฝ้ายฟันทิ้ง ไอ้หนูนี่โตมาหล่อแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ใจคอโลกนี้มันจะไม่มีคนหน้าตาธรรมดาบ้างเหรอวะ

 

สองพ่อลูกลุกขึ้นยืน เด็กชายอีกคนจับมือตอบ ซีเฟียค์สูงกว่าเจอโรมประมาณหนึ่งช่วงหน้าผาก บุคลิกก็ดูผึ่งผายสมเป็นลูกชายอัศวินหลวงทั้งที่อายุไม่ต่างกันมาก

 

ไม่แปลกที่เจอโรมคนนั้นจะเลือกเป็นมือขวา

 

“เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการเรียน กระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ดยุคชาร์โบนีคเอ่ยอย่างนอบน้อมก่อนจะโค้งหลังเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินออกไป ตอนนี้การฝึกของทหารได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

 

“องค์ชาย ซีเฟียค์ ตอนนี้เรามาเริ่มกันบ้างดีกว่า” ลูบองพูดด้วยน้ำเสียงไม่ต่างไปจากทุกทีพลางถอยหลังไปสามถึงสี่ก้าว “เว้นระยะแล้วหวดดาบ 150 ครั้ง!”

 

“ขอรับ!” เด็กชายทั้งสองสะดุ้งเพราะเสียงที่ดังเหมือนคำรามของรองหัวหน้าอัศวิน ขาทั้งสองคู่กระเถิบห่างกันด้วยระยะประมาณ 2 ช่วงแขนก่อนจะเริ่มนำดาบนั้นของแต่ละคนขึ้นมาหวดลงกับอากาศ

 

แดดสว่างจ้า อากาศร้อนแห้งจนเหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยล้าหรืออะไรแต่ดาบไม้ในมือนั้นดูหนักขึ้นกว่าปกติ ดวงตาสีเขียวเหลือบมองคนที่หวดดาบอยู่ข้าง ๆ ซีเฟียค์ดูไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าเลยสักนิด สงสัยที่ว่า ‘จับดาบได้ก่อนพูดได้’ คงจะไม่เกินจริงเลยสักนิด

 

ปีศาจชัด ๆ!

 

แต่การจะอยู่เป็นมือขวาของคนที่เจ้าอารมณ์และเลือดเย็นได้นั้นก็ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว ซีเฟียค์นั้นเคยถูกกล่าวขึ้นอยู่ 2-3 ครั้งในเหตุการณ์ของฝั่งเจอโรม หากจะถามหาความหมายของความจงรักภักดีในนวนิยายเรื่องนี้ละก็ ซีเฟียค์คือนิยามของคำนั้น

 

เขาเป็นผู้เดียวที่อยู่กับเจอโรมตั้งแต่ในตอนที่รุ่งเรืองที่สุดจนถึงตอนวาระสุดท้ายที่ลานประหาร

 

 

 

นักโทษชายผมสีสตรอว์เบอร์รี่นั้นถูกพาตัวขึ้นไปบนตะแลงแกงที่ยกสูงขึ้นจากพื้นเป็นคนก่อนสุดท้าย เขามีสภาพไม่ต้างจากผ้าขี้ริ้ว ผมสีอ่อนอันยุ่งเหยิงนั้นไม่สามารถซ่อนดวงตาสีเฮเซลที่วาวโรจน์ด้วยอารมณ์ที่หลากหลายนั้นได้ ชายผู้นั้นกวาดตามองไปทั่วลาน ราวกับต้องการจดจำใบหน้าของผู้คนในที่นั้นไว้ เขาหายใจหนักหน่วงก่อนจะสูดลมเข้าไปเต็มปอดแล้วจึงตะโกนออกมาเสียงสนั่นลั่นทั่ว ท่ามกลางเสียงก่นด่าของชาวอาณาจักร

 

“ด่ากันเข้าไป! ด่ากันให้สะใจ! แต่จงจำไว้ด้วยว่าชัยชนะที่พวกเจ้าได้มาโดยไม่ลงแรงนั้นไม่อยู่ค้ำฟ้าหรอก! วิญญาณข้าจะอยู่ในแผ่นดินที่พวกเจ้ายืน บ้านที่เจ้าอยู่ เตียงที่เจ้านอน การตายของข้าจะเป็นฝันร้ายที่ตามไปหลอกหลอนพวกเจ้าในทุกขณะที่หลับตานอน!”

 

พลั่ก!

 

ก้อนหินก้อนหนึ่งลอยมาปะทะกับศีรษะของชายผู้ตะโกนสาปแช่งจนเซ ไม่ใช่แค่ 1 แต่มันถูกโยนมาเรื่อย ๆ ราวห่าฝน ศิลาหลายก้อนปะทะกับร่างของนักโทษประหาร ผู้คุมหรือเพชฌฆาตไม่มีท่าทีจะมาห้ามปราม กลับยืนมองอดีตทหารกล้าที่ค่อย ๆ ทรุดลงราวขนนกร่วงหล่นลงสู่พื้นตะแลงแกง ทันทีที่พวกคนประชาทัณฑ์จนสะใจแล้วนั้นจึงฉุดให้ลุกขึ้น แต่แข้งขาทั้งสองข้างนั้นไม่ต่างอะไรจากท่อนไม้เสียแล้ว

 

เจอโรมมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้น ฟันขบริมฝีปากจนห้อเลือดเมื่อเห็นทหารคู่ใจถูกลากขึ้นไปนั่งคุกเข่าตรงที่กิโยตีน (*) เพชฌฆาตกดศีรษะของคนผู้นั้นลงกับที่วางคออย่างแรงจนสำลักและไม่สามารถเปล่งเสียงอะไรได้ ทำได้เพียงอ้าปากพะงาบ ๆ

 

แต่ถึงจะห่างเพียงไหน เจอโรมก็สามารถอ่านริมฝีปากนั้นได้อย่างชัดเจน

 

“แด่เทือกเขาอันยิ่งใหญ่แห่งลาคัวร์”

 

คือประโยคสุดท้ายของชายผู้นั้น

 

วินาทีที่ใบมีดถูกปล่อยลงมา ข้างในเจอโรมราวกับแตกเป็นเสี่ยง ๆ สรรพเสียงอื้ออึงของชาวประชานั้นกลางเป็นเสียงอะไรบางอย่างที่ไม่ได้ศัพท์ น้ำตาที่เขาลืมเสียแล้วว่ามีเริ่มไหลลงมาอาบแก้ม นัยน์ตาสีเขียวที่หมองหม่นนั้นสั่นระริก

 

ไม่มีอีกแล้วมือขวาที่ไว้ใจได้

 

นายทหารที่เก่งที่สุด

 

องครักษ์ฝีมือดี

 

และสหายรัก

 

ศีรษะอันไร้วิญญาณนั้นถูกชูขึ้นให้เห็นกันทั่วจัตุรัส ผมสีคล้ายเลือดคาวที่จางเจือในกระแสน้ำนั้นปลิวไปกับสายลมที่พัดกลิ่นคาวเลือดมาต้องจมูก ตรวนที่ล่ามข้อมืออยู่นั้นถูกกระชากดึงไปตามแรง เท้าแต่ละข้างหนักอึ้ง… ไม่ใช่เพียงโซ่ตรวนที่ถ่วงไว้ นอกจากเหล็กสนิมเขรอะยังมีอีกสิ่งหนึ่ง

 

ความกลัว

 

เขาไม่สามาถรับรู้อะไรได้อีกแล้ว ทำได้แค่เพียงคิดกับตนเองเท่านั้น… เขาผิดอะไรหรือทำไมถึงต้องพบเจอกับจุดจบที่น่าอดสูเช่นนี้

 

ผิดที่ท้าทายกับมหาอำนาจ?

 

ผิดที่เชื่อใจน้องชายมากเกินไป?

 

หรือผิด ที่ไม่ชนะ

 

ศีรษะของเจอโรมถูกกดให้วางคอลงบนเครื่องประหาร ในตะกร้ารองนั้นถึงจะซึมออกไปบ้าง แต่ก็เห็นและรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามันเต็มไปด้วยเลือดของนักโทษก่อนหน้าเป็นแอ่งน้ำสีแดงฉาน

 

เลือดของทหารชาวลาคัวร์

 

ความตายอยู่ตรงหน้าแล้ว อยู่ห่างจากเขาเพียงแค่เส้นผมเท่านั้น

 

.

 

.

 

.

 

.

 

.

 

การประหารจบลงที่นักโทษข้อหากบฏต่ออาณาจักร เจอโรม ธีโอ เดอ ลาคัวร์

เจ้าชายรัชทายาทลำดับที่หนึ่งแห่งอาณาจักรลาคัวร์ ผู้ตายไปพร้อมกับคำถาม

เขาผิดอะไร

 

 

 

 

เป็นฉากตายในนิยายที่น่าประทับใจที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา เหมือนว่านักเขียนสร้างเรื่องนี้มาเพื่อเขียนฉากนี้โดยเฉพาะ เขียนเอาสะใจอะไรอย่างนั้น

 

แต่ก็นั่นแหละ พอจะได้เห็นตัวละครที่ตายในตอนนั้นได้มีชีวิตก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมายังไงไม่รู้

 

“ฝ่าบาท ไหวหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”

 

“เจ้าต่างหาก ยังไหวอยู่อีกรึ”

 

ในขณะที่กายหยาบปอฝ้ายล้าเหนื่อยเปื่อยยิ่งกว่าผักกาดขาวในหม้อสุกี้หลังการฝึกในวันนี้ ซีเฟียค์ทำเพียงแค่หอบเท่านั้นเอง ถ้าให้เทียบแบบให้เห็นภาพก็ผักต้มกับเต้าหู้ทอดในต้มจับฉ่าย เปื่อยกับแข็งแกร่งจนเคี้ยวยาก

 

เอ็งเป็นเด็กจริงป่ะ!?

 

เด็กชายผมสีสตรอว์เบอร์รี่นิ่งไป ก่อนจะมองหน้าองค์ชายด้วยสายตาว่างเปล่าและรอยยิ้มเจื่อน ๆ หลังลู่ลง สีหน้าเหมือนคิดถึงเรื่องที่น่ากลัวที่สุด

 

“การสอนของท่านพ่อ… ดุเดือดกว่านี้นักพ่ะย่ะค่ะ”

 

“ง งั้นรึ…”

 

โอ้… โอเค

 

ไม่ถามอะไรต่อดีกว่า

 

“ลุกขึ้นมานั่งพักก่อนพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ซีเฟียค์พูดพลางยื่นมือมาให้เจอโรมที่นอนอยู่บนพื้น “เดินไปตรงนั้นกัน ท่านพ่อเคยบอกกระหม่อมไว้ว่าตอนเหนื่อยให้ยกเท้าไว้สูงกว่าหัว”

 

เจอโรมพยักหน้าโดยที่ไม่มองปลายนิ้วอีกคน ก่อนจะจับมืออีกฝ่ายแล้วลุกขึ้นยืน ปัดเศษฝุ่นออกจากด้านหลังศีรษะและกางเกง มือคว้าดาบไม้ของตนมาถือไว้

 

"ไปกัน"

 

เด็กชายทั้งสองเดินเลาะขอบลานฝึกไปเรื่อย ๆ ตอนนั้นเองปอฝ้ายจึงเพิ่งระลึกได้ว่า ตรงนั้น ที่ซีเฟียค์พูดถึงนั้นคืออีกฟากของลานฝึกเลย ระยะทางไกลโคตร!

 

เออ ถือว่าคูลดาวน์แล้วกัน

 

"เจ้านี่เก่งนะ" องค์ชายเป็นฝ่ายเริ่มสนทนาก่อน และเพียงเท่านั้นก็มากพอที่จะทำให้บุตรชายของหัวหน้าอัศวินสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ตกใจง่ายอะไรขนาดนั้นพ่อคุณ

 

"พ่ะย่ะคะ!?" ซีเฟียค์ขานรับอย่างลนลาน (หางเสียงเหินด้วย) เมื่อกี้ยังปกติดีอยู่เลยไม่ใช่เรอะ

 

"พูดตามสบายเถอะ ไม่ต้องพิธีรีตรองอะไรขนาดนั้น" เจอโรมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามกดไม่ให้ขำเต็มที่เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะเสียหน้า "เราแค่ชมว่าเจ้าเก่ง"

 

"ม ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท" เด็กชายผมสีสตรอว์เบอร์รี่เอ่ยอย่างเก้อเขิน ใบหูที่ขึ้นสีนิด ๆ ซ่อนไม่ได้เลยในกลุ่มผมสีอ่อน "ท่านพ่อมากกว่าที่เก่ง"

 

"ไม่หรอก เจ้าเก่งกว่าเรามากเลยนะ" องค์ชายว่า ดวงตาสีเขียวกลับไปมองที่ทางตรงหน้า "เรานี่ไม่ค่อยถูกกับเรื่องใช้กำลังสักเท่าไหร่ อยากอ่านหนังสือมากกว่า… เจ้าล่ะ?"

 

"หนังสือกับกระหม่อมนี่… เหมือนโรคกับยาพ่ะย่ะค่ะ" ซีเฟียค์ตอบเสียงอ้อมแอ้ม "ง่วงทุกครั้งที่เปิดอ่านเลยพ่ะย่ะค่ะ"

 

"บอกแล้วไงว่าไม่ต้องพูดแบบนั้นก็ได้ ตามสบายเถอะ" เจอโรมพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างเนือย ๆ เบื่อเหลือเกินกับพวกธรรมเนียมกับระเบียบต่าง ๆ ปอฝ้ายไม่รู้หรอกนะว่าสองคนนี้ไปเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร แต่สำหรับเธอแล้ว ถ้ายังรู้สึกว่าอีกคนต่างจากเรามากอยู่ก็เมคเฟรนด์ยากสิวะ "ไหนเรียกเราว่าเจอโรม"

 

"ฝ่าบาท…"

 

"เราไม่ได้ชื่อฝ่าบาท เราชื่อเจอโรม" เด็กชายเจ้าของผมสีขนกาว่าพลางจ้องหน้าจ๋อง ๆ ของว่าที่เพื่อนซี้ตัวเองแกมบังคับปนคาดหวัง ทำเอาซีเฟียค์เปลี่ยนสีหน้าประหลาด ๆ ตอนนี้ปอฝ้ายเริ่มคิดแล้วว่าเธอใช้อำนาจในทางที่ผิดอยู่หรือเปล่า

 

"เรียกแค่ตอนเรียนฟันดาบก็ได้น่า ฝ่าบาทไม่รู้หรอก" เจอโรมยักไหล่ "ง่าย ๆ 2 พยางค์เอง"

 

"กระหม่อมว่าไม่สมควรพ่ะย่ะค่ะ..."

 

"ซีเฟียค์" องค์ชายลำดับ 1 เอ่ยแทรก "ไม่มีปัญหาหรอกน่า เราจะเป็นเพื่อนกันแล้วนี่"

 

"กระหม่อมไม่กล้าอาจเอื้อม…"

 

"เอื้อมอะไร เราไม่ได้อยู่ไกลเสียหน่อย" เจอโรมเลิกคิ้ว แต่พอเห็นท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอีกคนก็เริ่มรู้สึกถอดใจขึ้นมา ปอฝ้ายมองภาพนั้นอย่างละเหี่ยปนเสียดาย ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ

 

"ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปแล้วกันนะ" มือเล็ก ๆ วางแปะลงบนไหล่ของอีกคนก่อนจะเดินนำไปยังจุดที่เซอร์อลาคีไปรออยู่ก่อนแล้ว

 

ซีเฟียค์มองตามแผ่นหลังนั้นไปตาละห้อย จะให้กล้าพูดได้อย่างไร ถึงพ่อของเขาจะเป็นดยุค ศักดินาที่เป็นรองเพียงราชวงศ์ แต่ก็นับว่าเป็นเพียงขุนนางเท่านั้น หากใครมาได้ยินเข้าไม่แคล้วหัวหลุดจากบ่ากันยกตระกูลแน่

 

แต่องค์ชายก็ทรงไม่ได้คิดมากเรื่องนี้นี่…

 

ขาเล็ก ๆ นั้นรีบวิ่งตามไปเดินตีเสมอก่อนจะเอ่ยกับอีกคนเสียงเบา

 

"ถ้าไม่ใช้ภาษาทางการ… กระผมว่าน่าจะพอไหวพ่ะ… ขอรับ"

 

เจอโรมลอบยิ้มมุมปากพลางพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาสีเขียวเหลือบมองเล็กน้อย นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีหรือเปล่านะ ถึงว่าตอนแรกเหมือนจะเป็นการบังคับก็ตาม

 

"พรุ่งนี้เจ้ามาใช่ไหม"

 

"ขอรับ"

 

"อืม…" ปอฝ้ายกำลังครุ่นคิดถึงตารางวันพรุ่งนี้ วันศุกร์ มีเรียนภาษาคังกุกตอนเช้า ตอนบ่ายเรียนฟันดาบเวลาประมาณบ่ายแก่ ยังมีเวลาเล็กน้อยก่อนอาทิตย์ตกสินะ "อย่างนั้น… หลังจากเรียนเสร็จเจ้าต้องไปทำอะไรต่อหรือเปล่า"

 

ซีเฟียค์เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะทำหน้าครุ่นคิดซึ่งใช้เวลาไม่นานนักจึงได้คำตอบ ซึ่งคือการส่ายหน้า

 

"ไม่ขอรับ"

 

“อย่างนั้น อยู่ทานของว่างด้วยกันก่อนสิ” เจอโรมเอ่ยชวน “จาเร็ดก็ไปเยี่ยมท่านยาย ท่านพี่ก็จัดปาร์ตี้น้ำชากับพวกเลดี้ จะให้ฉันเข้าไปด้วยก็น่ากระอั่กกระอ่วน”

 

ซีเฟียค์หันมองหน้าเขาด้วยสีหน้าที่ปอฝ้ายนิยามไม่ถูก แต่ดูแล้วค่อนข้างไปในทาง positive ดวงตาสีเฮเซลนั้นเบิกกว้าง ริมฝีปากเล็ก ๆ นั่นด้วย มันอ้าค้างเล็กน้อย ก่อนที่เปลือกตาสีอ่อนนั้นจะกะพริบถี่ ๆ กลุ่มผมสีอ่อนขยับไปมาตามแรงพยักหน้า

 

“ขอรับ”

 

“จริงหรือ!” ปอฝ้ายทำตาโตพลางนึกเอ็นดูการพยายามคุมสีหน้าและท่าทางหลังจากนั้นของบุตรชายท่านดยุค อันนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีได้ใช่หรือเปล่านะ?

 

คงดีละมั้ง?

 

 

______________________

ม๋าใหญ่ฉีตอยี่

 

#หัวอีฝ้ายต้องไม่ขาด