1

 

 

 

 

ปอฝ้ายสับสน

 

ปอฝ้ายไม่รู้ ปอฝ้ายไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไร จะมองไปทางไหนก็เจอแต่สิ่งที่ไม่คุ้นเคย ข้าวของเครื่องใช้หรูหรา โคมระย้าที่สวยงามระยิบระยับ เธอไม่คุ้นเคยกับสิ่งใดเลยแม้กระทั่งร่างที่เธอกำลังใช้อยู่ มืออันเล็กจ้อย ขาสั้นป้อมอย่างเด็กเล็ก อากาศที่เย็นสบายต่างจากประเทศที่เธอเคยอยู่ แดดที่ส่องมาเตือนว่าสายโด่งแล้วแต่ไม่มีเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือหรือแม่เปิดเข้ามาปิดเครื่องปรับอากาศ ที่นี่มีแต่ใครที่ไม่รู้จัก ทุกอย่างดูแปลกตาไม่ต่างจากพวกเว็บตูนที่เคยอ่าน นี่มันคืออะไร เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่

 

ความทรงจำสุดท้ายของเธอคือหลังจากอาบน้ำเสร็จเธอก็มาคุยกับเพื่อน ๆ ของเธอผ่าน Discord ขำขันเฮฮากันอย่างปกติ หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปนอน เมื่อตื่นมาก็กลายเป็นสถานที่ที่ไม่รู้จักไปเสียแล้ว

 

"องค์ชายเพคะ"

 

ปอฝ้ายสะดุ้งเฮือก เธอหันไปมองที่ประตูบานใหญ่ที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมาตลอดอายุ 20 ปี อีกฟากของประตูนั้นเอ่ยด้วยภาษาที่ไม่เคยได้ยิน แต่เธอกลับเข้าใจมันได้เสียอย่างนั้น ที่นี่ที่ไหน พวกเขาเป็นใคร เธอควรจะทำอย่างไร ควรจะบอกให้เขาเข้ามาหรือเปล่า

 

"หม่อมฉันขอเข้าไปนะเพคะ"

 

ยังไงดี… จะทำยังไงดี!

 

พลันเสียงกลอนประตูถูกปลด ปอฝ้ายนิ่งค้างเพราะทำอะไรไม่ถูก คนที่กำลังจะเข้ามานั้นคือผู้หญิง 2 คน คนหนึ่งอายุประมาณ 30 ปลาย ๆ ท่าทางดูใจดี ผมของเธอนั้นเกล้าเป็นมวยอยู่ด้านหลัง เสื้อผ้านั้นดูเหมือนกับย้อนไปอยู่ในช่วงยุควิคตอเรียแต่ก็ไม่เชิง ส่วนหญิงอีกคนนั้นเป็นหญิงสาว อายุดูราว ๆ ใกล้ 20 เธอสวมเครื่องแบบสีดำเหมือนชุดเมดที่เห็นบ่อย ๆ ตามสื่อ แต่ที่เหมือนกันคือสีหน้าของทั้งสองคนนั้นดูตื่นตระหนก

 

อะไรเนี่ย!?

 

"องค์ชาย…" หญิงที่มีอายุมากกว่าเอ่ยขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาคู่นั้นเริ่มรื้นน้ำตา เธอปรี่ตรงมาเกาะที่ข้างเตียงสี่เสาอันโอ่อ่า มือคู่นั้นวางลงบนมือเล็ก ๆ ทำให้ปอฝ้ายรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเลย

 

"องค์ชาย หม่อมฉันนึกว่าจะทรงเป็นอะไรไปเสียแล้ว" เธอพูดเสียงเครือ น้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม หญิงรับใช้ (ปอฝ้ายคิดว่าใช่นะ) อีกคนนั้นหายไปจากหน้าประตูแล้ว แต่ได้ยินเสียงวิ่งที่ค่อย ๆ ห่างออกไปจากทางเดินปูพรมนั้น

 

ส่วนปอฝ้าย ในหัวมีแต่คำถาม มีแต่ปรัศนีเต็มสมองไปหมด ผู้หญิงสองคนนี้คือใคร เราอยู่ที่ไหน แล้วที่บ้านล่ะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

“ใจหม่อมฉันแทบจะขาด โถ ๆ องค์ชายน้อยของหม่อมฉัน” เธอพูดพร้อมร้องไห้ออกมาอย่างโล่งใจแต่ดูเผิน ๆ นั้นราวกับว่าเธอร้องเหมือนโลกถล่มอย่างไรอย่างนั้น

 

"เอ่อ…" หลังจากที่เค้นเสียงออกจากลำคอมาได้อย่างยากลำบาก ปอฝ้ายรู้สึกระคายคอเล็กน้อย เสียงนั้นก็แหบไม่ต่างจากตอนเป็นไข้หวัดใหญ่ตอนเด็ก ๆ "หนู… อ่า ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ"

 

"เพคะ?" หญิงคนนั้นเลิกคิ้ว ราวกับน้ำตาหยุดไหลไปดื้อ ๆ

 

"เอ่อ…" ปอฝ้ายกะพริบตา "ก็… ที่นี่ที่ไหน"

 

ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ผู้หญิงคนนั้นนิ่งไปเหมือนช็อก ถึงจะเป็นเวลาไม่นานนักแต่ปอฝ้ายก็ยังคงหวังว่านี่เป็นแค่ฝันที่เหมือนจริงมาก ๆ อยู่

 

ปอฝ้ายเลิกคิ้วใส่อีกฝ่ายอย่างงุนงง แต่เพียงคิ้วที่เลิกขึ้น หน้าผากที่มีรอยย่นปรากฏเพียงเล็กน้อยก็เหมือนกดปุ่มเพลย์ให้อีกฝ่ายร้องไห้ออกมาอีก คราวนี้ร้องหนักกว่าเดิมเสียอีก

 

"องค์ชาย! โถ่ องค์ชายน้อยของหม่อมฉัน เพราะอะไรทำไมพระองค์ต้องมาพบเจออะไรอย่างนี้ด้วย!"

 

ปอฝ้ายอ้าปากพะงาบ ๆ ตอนนี้เธอทำอะไรไม่ถูกจริง ๆ เธอควรจะพูดอะไรเพื่อปลอบโยนหญิงคนนี้ที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายอยู่ดี คือก่อนจะร้องไห้ตอบคำถามก่อนได้มั้ย

 

"หม่อมฉันจะรีบไปตามแพทย์มาให้เดี๋ยวนี้เพคะ!" พูดจบก็ลุกขึ้นแล้วรีบรุดออกจากห้องไป ทำให้ในห้องเหลือแต่เพียงความเงียบอีกครั้ง ปอฝ้ายยังคงปะติดปะต่ออะไรไม่ถูกเลย พลันความรู้สึกปวดหัวเหมือนไมเกรนแต่ทั้งศีรษะก็แล่นปราดขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นกุมศีรษะ ความทรงจำแปลก ๆ ผุดขึ้นมาราวกับภาพยนตร์เก่า ๆ แต่ชัดเจนและเป็นภาพสี

 

ภาพถูกเล่ามาเป็นฉาก ๆ ภาพของเด็กหญิงผมสีดำที่พร่าเบลอซึ่งน่าจะถูกคลุมด้วยม่านน้ำตา ภาพของเด็กอายุประมาณสี่ขวบที่อยู่บนพื้นในมุมมองที่ถูกมองมาจากที่สูง รอบข้ามีแต่ใบ้ไม้เขียวชอุ่ม ที่ปลายกิ่งไม้ใหญ่นั้นมีลูกแมวตัวจ้อยสีขาวเกาะอยู่ ท่าทางเหมือนลงจากต้นไม้ไม่ได้ มีเสียงตะโกนจากเบื้องล่างแต่ไม่ใช่เสียงเด็กชาย เห็นมือที่เอื้อมไปหาลูกแมวตัวนั้น แต่พลันภาพทุกอย่างก็อยู่ห่างออกไป กิ่งไม้ที่เกาะอยู่นั้นห่างออกไป ได้ยินเสียงกรีดร้อง รู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้งไปหมด ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะพร่าเบลอและมืดไป

 

ปอฝ้ายลืมตาขึ้นอีกครั้งพลันสายตาเหลือบไปเห็นกระจกยาวกรอบสีทองดูหรูหราที่ตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ถึงเธอจะเริ่มจับต้นชนปลายอะไรต่าง ๆ ได้แล้ว แต่ก็ขอเห็นก่อนจะรู้สึกอะไรดีกว่า

 

เท้าเปล่าสัมผัสกับพื้นพรมนุ่ม รู้สึกเหมือนว่าร่างกายไม่มีแรงเลย จะก้าวขาแต่ละก้าวก็ทำได้อย่างยากลำบาก ปอฝ้ายค่อย ๆ เดินลากเท้าไปยังที่ที่ตนต้องการ ก่อนจะเหลือบมองเงาในกระจกนั้นอย่างเชื่องช้าราวกับไม่ต้องการเผชิญกับความจริง

 

 

ข้านั้นแม่นยำและแจ่มใส

ข้าไร้ซึ่งสิ่งที่เรียกขานว่าลำเอียง

สิ่งใดที่ข้าเมียง ข้าสำรอกพลัน

กระจก - ซิลเวีย แพล็ธ (1)

 

 

สิ่งที่ปอฝ้ายเห็นนั้นไม่ใช่ร่างของเธอ หญิงสาววัย 20 ปีที่มีเชื้อสายจีนในเสื้อยืดและกางเกงขาบาน ผมสีน้ำตาลเข้มประบ่าของเธอนั้นกลายเป็นผมสีดำสนิทเหมือนขนกาที่ยาวระต้นตอ มีผ้าสีขาวพันอยู่ตรงบริเวณหน้าผาก ดวงตาสีเขียวหม่น รูปหน้านั้นดูไม่เหมือนคนเอเชียเลยสักนิด รูปร่างนั้นเท่าที่ดูไม่ต่างจากเด็กอายุเกิน 10 ขวบสักเท่าไหร่ ชุดนอนที่ทำจากผ้าที่นุ่มลื่นสวมแล้วรู้สึกสบายนี่ด้วย

 

"เจอโรม…" เธอพึมพำ

 

เท่าที่เห็นจากความทรงจำครั้งแรกเธอแอบตงิด ๆ อยู่แล้ว แต่มันน่าเหลือเชื่อมากเกินกว่าที่เธอจะคิดได้

 

เจอโรม ธีโอ เดอ ลาคัวร์ ตัวร้ายหลัก (เรียกว่าตัวร้ายได้หริอเปล่านะ?) ของเรื่อง ภารกิจของเจ้าหญิง นิยายออนไลน์ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงเรื่องหนึ่ง เรื่องราวของเจเนวีฟเจ้าหญิงแห่งอณาจักรเทรซโอนีล เธอเป็นเจ้าหญิงที่ซื่อสัตย์ คิดถึงบ้านเมืองและประชาชนมากกว่าเรื่องใด แต่ต้องไปแต่งงานทางการเมืองกับเจ้าชายที่มีอายุน้อยกว่า 4 ปี จาเร็ด น้องชายของเจอโรม เป็นเด็กนิสัยเสียจากลาคัวร์ เนื้อเรื่องจะมีการแก้ปัญหาเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับประเทศและเรื่องราวความรักของเจเนวีฟกับรัสเซิล พี่เลี้ยงของจาเร็ดที่ติดตามมาด้วย

 

แต่ไม่นานนัก หลังจากการได้ขึ้นครองราชของเจอโรม พี่ชายของจาเร็ด ทางเมืองลาคัวร์ก็เริ่มต้นสงครามเพื่อจะยึดครองเมืองของเจเนวีฟ โดยการยึดครองเมืองต่างๆ มีการขอกำลังพลมาจากเมืองที่ไม่ชอบเทรซโอนีลเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย แต่ด้วยความที่เทรซโอนีลแกร่งกว่าเลยพ่ายแพ้ไป พันธมิตรของลาคัวร์หนีหน้า ปล่อยให้เจอโรมเผชิญชะตากรรมอยู่ผู้เดียว เจอโรมถูกประหารและตราหน้าหลุมศพว่าเป็นทรราช

 

เทรซโอนีลส่งคนไปดูแลลาคัวร์จนกว่าจาเร็ดจะอายุถึงเกณฑ์ที่จะปกครองได้ นิยายเซตนี้มี 3 เรื่อง เรื่องแรกเป็นเรื่องของเจเนวีฟ เรื่องที่สองเป็นเรื่องของคอนราด ฝาแฝดของเจเนวีฟ ส่วนเรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องของแกลเลียต น้องชายคนสุดท้องของอาณาจักรเทรซโอนีลเป็นเรื่องแนว school life มีการพูดถึงเรื่องการบูลลี่ในโรงเรียน ระบบชนชั้น รวมถึงเรื่องgenderด้วย (เป็นเรื่องที่ปอฝ้ายชอบที่สุดเพราะไม่ค่อยเครียดและประเด็นที่นักเขียนต้องการสื่อหลากหลายดี)

 

ปอฝ้ายยืนนิ่ง นี่เธอหลุดเข้ามาในนิยายเหมือนเว็บตูนเหรอ แล้วก็ไม่พ้นตามพล็อตคลาสสิกด้วย ต้องมาเป็นชนชั้นสูงเนี่ย

 

พูดถึงชนชั้นสูงแล้วไม่ค่อยสบอารมณ์เลย เห็นชื่อก็น่าจะเดาได้นะว่ามาจากประเทศอะไร

 

แล้วตัวของเธอจริง ๆ ล่ะ ตามขนบเรื่องแบบนี้แล้ว หมายความว่าตัวเธอก็ต้อง…

 

การใช้ความคิดถูกขัดจังหวะจากการเปิดประตูผ่างเข้ามาของบรรดาคนรับใช้และชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มีท่าทางภูมิฐาน เธอถูกประคองให้กลับไปนั่งบนเตียง ชายคนนั้นเป็นหมอนั่นเอง เขาซักถามอะไรหลายอย่าง ทั้งการมองเห็น การได้ยิน และอาการปวดศีรษะต่าง ๆ เหมือนเป็นการซักอาการตามปกติ โชคดีเพราะความทรงจำของเจอโรมนั้นกลับมาพอดีทำให้ปอฝ้ายไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากยิ่งกว่านี้

 

ทันทีที่คุณหมอกลับไป หญิงคนแรกนั้นก็ยืนอยู่ไม่ไกลราวกับรอคำสั่งหรือรอให้ปอฝ้ายเอ่ยในสิ่งที่ต้องการ

 

"เอไลซ่า ออกไปก่อนเถอะ" ปอฝ้ายว่า "เราอยากอยู่คนเดียว"

 

"เพคะ" เธอโค้งหลังก่อนจะทำตามความต้องการขององค์ชายอย่างว่าง่าย สิ้นเสียงปิดประตู มีเพียงความเงียบที่ก้องดังอยู่ในห้องอีกครั้ง ทันเงียบเสียจนปอฝ้ายได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นอยู่

 

มันไม่ใช่หัวใจของเธอด้วยซ้ำ นี่ไม่ใช่ร่างของเธอ ที่นี่ไม่มีอะไรเป็นของเธอด้วยซ้ำ เธอควรทำอย่างไรดี หมายความว่าเธอตายแล้วอย่างนั้นหรือ แล้วแม่กับป๊าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง เขาจะเสียใจกันมากขนาดไหน จะร้องไห้หนักมากไหม แม่ยิ่งมีโรคเกี่ยวกับความดันอยู่แล้วถ้าเสียใจมาก ๆ ขึ้นมาจะทำอย่างไร จะเป็นลมหรือเปล่า แล้วเพื่อน ๆ ล่ะ ถ้าพวกเขารู้จะทำหน้าอย่างไรกัน

 

ที่สำคัญคือปอฝ้ายตายก่อนนายก

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ ทำไมพระเจ้าไม่รอให้ชีวิตชาติก่อนดีขึ้นสักหน่อยก่อน แล้วงานที่ทำค้างไว้ล่ะ บทภาพยนตร์ที่ยังไม่ได้ถ่ายของเธอล่ะ จะทำอย่างไร การลืมล็อกเอาต์ทวิตเตอร์ก่อนตายที่เคยเป็นมุกขำ ๆ ไว้กลายเป็นเรื่องที่ขำไม่ออกจริง ๆ แล้ว

 

ปอฝ้ายนอนอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกที่หลากหลายเกินจะนับประดังประเดเข้ามาราวกับน้ำหลาก เธอใช้ใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กชายซุกไปกับหมอน ร้องไห้เหมือนกับว่าโลกนี้ได้ทลายลง

 

แต่มันได้ทลายลงแล้วจริง ๆ

 

เธอรีเซตชีวิตใหม่ในที่ที่หรูหรา ชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม มันเป็นสิ่งที่เธอมักจะพูดคุยขำขันกับเพื่อนเสมอกลับกลายเป็นจริงแบบไม่นึกไม่ฝัน แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการจริง ๆ เธอยังคงต้องการใช้ชีวิตวัยรุ่นให้คุ้มค่า อยากทำงานที่ชอบ ยังมีอะไรอีกตั้งหลายอย่างที่อยากทำอีกตั้งเยอะแยะ เหมือนถูกกระชากออกมาจากสถานที่อันคุ้นเคย

 

ทำไมต้องเป็นเธอด้วย

 

 

 

 

 

"เป็นอย่างไรบ้าง"

 

"เหมือนเดิมเพคะ"

 

เอไลซ่าว่าพลางก้มลงมองถาดเงินในมือ บนถาดมีจานอาหารที่พร่องไปไม่ถึงครึ่ง

 

คนมากศักดิ์กว่ามองอาหารในจานก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เป็นแบบนี้มาเป็นเดือนแล้ว ลูกชายคนเล็กเองก็ร้องไห้ทุกครั้งที่พี่ชายคนโปรดไม่ให้เข้าพบเพราะคิดว่าอีกฝ่ายยังโกรธที่ตนทำให้ต้องบาดเจ็บอยู่ เธอปลอบจนไม่รู้จะปลอบอย่างไรแล้ว

 

ดวงตาสีเทามองประตูสลักอันสวยงามที่อยู่ไม่ไกลนักราวกับต้องการจะมองเข้าไปในห้องของบุตรชายคนโตให้ได้ แต่ก็ทำได้เพียงแค่มองและถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างหนักใจ

 

“เอามาให้เรา” เธอพูดพลางยื่นมือไปขอถาดจากพี่เลี้ยงของลูกชาย “เราจะลองเข้าไปดูเอง”

 

“เพคะ?” เอไลซ่าเลิกคิ้ว “องค์ราชินีน่ะหรือเพคะ”

 

“ทำไมล่ะ อย่างไรเขาก็เป็นลูกชายเรา” องค์ราชินีว่าพลางกระดิกมือเล็กน้อย “เอามา”

 

พี่เลี้ยงหญิงเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะยื่นถาดในมือให้อีกฝ่ายแต่โดยดี องค์ราชินีพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะประคองถาดด้วยมือเดียวแล้วผลักประตูเข้าไปด้านใน ห้องนั้น

 

ถึงจะเปิดม่านไว้จนในห้องมีบรรยากาศที่ดูโปร่งโล่ง แต่เจ้าของห้องกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย ร่างเล็ก ๆ ของเด็กชายวัย 9 ขวบนั่งอยู่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือ หันหลังให้กับประตู ดวงตามองออกไปนอกหน้าต่างราวกับมองหาอะไรบางอย่างอยู่ เอเวร์ลีนเห็นภาพนั้นแล้วความรู้สึกต่าง ๆ ก็ตีตื้นขึ้นมา ลูกชายของเธอที่ก่อนหน้านี้เริ่มตั้งกำแพงใส่อยู่แล้ว ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเหมือนกลายเป็นคนอื่นไปอย่างไรอย่างนั้น

 

“เจอโรม” เธอเอ่ยขึ้นพลางนำถาดอาหารวางบนโต๊ะตรงหน้าอีกฝ่าย “กินอะไรสักหน่อยเถอะ”

 

เอเวร์ลีนมองใบหน้าของเจอโรม เธอเห็นนัยน์ตาสีเขียวมองเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าสีคราม ถึงตอนนี้แดดจะค่อนข้างแรงเพราะเป็นตอนใกล้เที่ยง แต่เปลือกตาสีจางนั้นไม่มีท่าทีจะหรี่ลงมาเลย เหมือนกับไร้ชีวิตอย่างไรอย่างนั้น

 

“เจอโรม” เธอพูดพร้อมวางมือลงบนไหล่แคบ เด็กชายสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะผินหน้าไปมองผู้เป็นแม่ แววตาไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไหร่

 

“ท… เสด็จแม่ เสด็จมาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เจอโรมเอ่ย ท่าทางดูไม่เหมือนปกติจากที่เธอเคยเห็นเลยสักนิด

 

“ไม่ต้องพูดกับแม่เป็นทางการมากก็ได้” เอเวร์ลีนว่าก่อนดึงเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ไม่ไกลมานั่งใกล้ ๆ ที่ที่ลูกชายตัวเองนั่งอยู่ “เป็นอย่างไรบ้าง ปวดหัวไหม รู้สึกไม่สบายอยู่หรือเปล่า”

 

“... ไม่แล้วขอรับ ขอบคุณท่านแม่ที่เป็นห่วง” เด็กชายตอบพลางเบือนหน้ากลับมามองอาหารที่ตนทานไม่หมด “แต่ลูกทานอะไรไม่ลงจริง ๆ คงทานต่อไม่ไหว”

 

องค์ราชินีหรี่ตาเล็กน้อย เจอโรมแปลกไปจริง ๆ ตั้งแต่ตอนที่ตื่นมาในวันนั้น เจอโรมเซื่องซึม ทานอะไรไม่ค่อยลง ตอนแรกคิดว่าเพราะยังรู้สึกไม่ค่อยดีอยู่ แต่ตอนนี้มันแปลกไปทุกอย่าง ลักษณะน้ำเสียง ท่าทาง เหมือนไม่ใช่ลูกชายของเธอที่เห็นมา 9 ปี

 

น้ำเสียงปกติเจอโรมจะพูดด้วยสำเนียงที่แข็งกระด้างกว่านี้เหมือนทหาร กึ่งตะโกนเล็กน้อยเหมือนเด็กทั่วไป เจอโรมจะไม่ยอมพูดสบาย ๆ กับเธอไม่ว่าจะขอร้องอย่างไรก็ตามเพื่อวางตัวให้สมกับเป็นเจ้าชาย แปลก แปลกมาก ตอนนี้เจอโรมทำตรงข้ามจากปกติทุกอย่างจนน่าสงสัยเหลือเกิน

 

"ลูกแปลกไปนะ" เอเวร์ลีนขมวดคิ้ว "มีอะไรหรือเปล่า"

 

องค์ราชินีเอ่ยถาม เจอโรมยังคงนั่งนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ แต่ใครจะรู้ล่ะว่าใส้ในนั้นตกใจจนหายเหม่อไปเลย!

 

ปอฝ้ายที่นั่งเหม่อคิดถึงโลกที่มีครอบครัวจริง ๆ ของเธอและเทคโนโลยีนั้นแทบจะหลุดสีหน้าที่แสดงพิรุธออกมาเลยในตอนแรก เนียนหลอกแม่เจอโรมไม่ได้จริง ๆ ด้วยสิ เอาล่ะ ปกติเจอโรมทำตัวยังไงกับแม่มันหว่า ในเรื่องก็เขียนออกมาน้อยจนไม่ได้สังเกต อย่าบอกนะเวลาว่างหรืออยู่กันสองคนแม่ลูกก็ยังใช้น้ำเสียงอวดดีแต่กระด้างอยู่ในทีแถมไว้ตัวและรักษากิริยาน่ะ? ตั้งแต่ตอนก่อน 10 ขวบอะนะ แกเป็นเด็กนะเว้ย บ้าเปล่าไอ้ชาย!

 

เอาล่ะ ไม่มีอะไรจะบรรยายความรู้สึกตอนนี้ได้แล้ว โดนกระชากมาจากที่ที่คุ้นเคยยังทำใจไม่ทันเสร็จ ก็ดันทำตัวไม่เนียนจนคนรู้ตัวอีก สวิตช์อารมณ์สับไวกว่าตอนปิดไฟห้องน้ำเล่นอีก

 

"เจอโรม"

 

กรี๊ด!!

 

ปอฝ้ายกรี๊ดทิพย์ในใจ พยายามคุมสีหน้าไม่ให้กระดิก สมองแล่นเร็วจี๋ยิ่งกว่ารถน้ำตอนมีม็อบ พยายามหาทางออกจากสถานการณ์นี้ให้ได้ เท่าที่เห็นในความทรงจำ ไอ้เด็กนี่มันไม่แม้แต่จะอ้อนแม่ด้วยซ้ำ โอ๊ย เด็กประสาอะไรวะเนี่ย อีปอฝ้ายอายุขึ้นเลขสองแล้วยังอ้อนแม่อยู่เลย

 

"ขอรับท่านแม่" เอาวะ มาแล้วก็ไปสุดเลยแล้วกัน

 

"เป็นอะไรหรือเปล่า ลูกดูเหมือนไม่เป็นตัวเองเลย"

 

ก็หนูไม่ใช่เจอโรมอ่า

 

ปอฝ้ายคิดพลางน้ำตาตกใน ก่อนจะพยายามเอ่ยออกไปโดยคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นหรือแข็งกระด้างเกินไปก่อนที่มันจะ Out Of Character ไปมากกว่านี้

 

"กระหม่อมแค่อยากลองทำแบบนี้บ้างพ่ะย่ะค่ะ" กายหยาบของเจอโรมตอบ "ลูกเห็นเสด็จพี่กับจาเร็ดทำแล้วเสด็จแม่ดูชอบใจ… แต่ว่าถ้าหากเสด็จแม่ไม่โปรด…"

 

เด็กชายตอบทั้ง ๆ ที่ยังก้มหน้า ท่าทางเหมือนกับว่าเขินอายกับสิ่งที่กำลังจะพูด ปอฝ้ายอยากจะนึกกราบอาจารย์สอนการแสดงทุกท่าน (จริง ๆ แค่ 2 คน) ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ขอให้เกรด A วิชา Vocal technique ช่วยหนูด้วยเถอะค่ะสาธุ

 

ปอฝ้ายหลับตาปี๋ โชคดีที่เป็นมุมอับสายตา เอเวร์ลีนเลยไม่เห็น อันที่จริงองค์ราชินีเอเวร์ลีนเป็นตัวละครที่ปรากฏออกมาแค่ตอนต้นเรื่องแล้วก็จางหายไป ทำให้ปอฝ้ายไม่ค่อยสามารถจดจำตัวละครนี้ได้เท่าไหร่นักว่าเป็นคนแบบไหน มีความสัมพันธ์อย่างไรกับเจอโรมและจาเร็ด ไม่ทราบเลยด้วยว่ามีความสำคัญต่อตัวละครทั้งสองขนาดไหน

 

ตอนนี้ก็ได้แค่นั่งลุ้นว่าจะโป๊ะหรือไม่โป๊ะ กรี๊ด

 

"ทำไม…"

 

โป๊ะเหรอ โป๊ะเหรอ? บ้าเอ๊ยเค้าจะว่ากันยังไง องค์ชายโดนผีร้ายสิงเหรอ

 

"ทำไมแม่จะไม่ชอบล่ะ"

 

ปอฝ้ายค้างไป ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับตอนที่อีกฝ่ายพูดออกมาด้วยท่าทางตื้นตันแค่พยายามอดกลั้นไว้

 

"แม่น่ะภูมิใจที่ลูกพยายามทำตัวให้สมกับตำแหน่ง แต่แม่ก็อยากให้ลูกทำตัวตามสบายมากกว่า" เอเวร์ลีนสูดลมหายใจเข้าก่อนพ่นออกมา สายตาดูค่อนข้างสบายใจ "ลูกยังเด็กอยู่ ไม่ต้องคิดมากเรื่องที่ฝ่าบาทพูดเลยนะ"

 

เอ้า เนียนเหรอวะ

 

ปอฝ้ายพยายามกลั้นสีหน้าโล่งใจและงงสุดฤทธิ์ นี่มันเนียนเหรอวะ อะไรเนี่ย อีปอฝ้ายคือคนที่โดนโหวตออกตลอดตอนเป็น Imposter ในเกม Among us นะเว้ย มันเนียนจริงดิ เนียนเหรอวะ คนที่เล่น Crewmate ให้ตายยังไงก็เหมือน Imposter อะนะ ที่พูดไปเมื่อกี๊โคตรเหมือนตอนตอบคำตอบในข้อสอบวิชาสังคมไม่ได้แล้วก็แถไปเรื่อย ๆ ให้ช่องมันไม่โล่งอะ

 

"พอก่อนดีกว่า ลูกกินอีกหน่อยเถอะนะ ร่างกายจะได้แข็งแรง" เอเวร์ลีนพูดด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายลงและแววตาที่ปอฝ้ายปฏิเสธไม่ลง

 

เหมือนแม่

 

ปอฝ้ายนึกถึงตอนที่ตัวเองต้องนอนโรงพยาบาลเพราะว่าติดเชื้อไข้เลือดออก ไข้ขึ้นสูง กินอะไรไม่ลงเลย ข้าวต้มแค่สองสามคำก็เต็มกลืน แม่ที่มานอนเฝ้านั้นกระวนกระวายออกมาผ่านแววตา จนผ่านไปครึ่งอาทิตย์ อาการดีขึ้น กินอะไรได้มากขึ้น แววตาของแม่ตอนนั้น ตอนที่เห็นว่าเธอดีขึ้น เหมือนองค์ราชินีไม่ผิดเพี้ยน

 

เจอโรมมองใบหน้าของเอเวร์ลีนนิ่ง ก่อนจะหันไปทางถาดเงิน มือเล็ก ๆ ค่อย ๆ ยกขึ้นมาตักอาหารที่น่ากินบนจานใส่ปาก ทีละคำ ทีละคำ

 

ระหว่างกินและพูดคุยเธอสังเกตท่าทางของคู่สนทนาตลอด องค์ราชินีดูโล่งใจกว่าตอนแรกมาก ปอฝ้ายลืมไปเลยว่าถึงนี่จะเป็นโลกของนิยาย แต่ทุกอย่างในนี้สำหรับตัวละครคือความจริง ความสัมพันธ์ของแม่ลูกด้วยเช่นกัน การที่เธอกินดื่มอะไรไม่ลงมาเป็นเดือนคงทำให้องค์ราชินีไม่สบายใจมาก

 

แม่ก็คงเป็นแบบนั้นเหมือนกัน

 

ใช่มั้ยคะ?

 

การเริ่มใหม่มันน่ากลัวไม่น้อย ปอฝ้ายคิดอย่างนั้น โดยเฉพาะการเริ่มใหม่โดยที่ไม่มีคนที่เรารักอยู่ข้าง ๆ กัน มีแต่ความทรงจำที่ยังคงอยู่ ปอฝ้ายยังโชคดีที่อย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เจอแต่ความทรงจำ แต่คนที่นั่นน่ะสิ จะเป็นอย่างไร แม่จะเสียใจขนาดไหนนะ ป๊าจะร้องไห้หรือเปล่า เกิดมา 20 ปีเธอยังไม่เคยเห็นน้ำตาของพ่อสักหยด เสียดายทุกอย่างเลย เวลา ชีวิตวัยรุ่นที่ยังใช้ไม่คุ้มเพราะโควิดและรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ…

 

เดี๋ยวนะ

 

ปอฝ้ายเหลือบมองเอเวร์ลีนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ มองเสื้อผ้าอันหรูหรา มองห้องที่ประดับประดาด้วยข้าวของราคาแพงก่อนจะเริ่มประมวลผลในสมอง

 

ถ้าเจอโรมเป็นเชื้อพระวงศ์ ก็หมายความว่าข้าวที่เธอกินเหลือทุกวันตลอดเวลาที่ผ่านมาก็คือภาษีประชาชนอะดิ

 

ปอฝ้ายนั่งนิ่ง มองซุปในช้อนด้วยสายตาว่างเปล่า เวรเอ๊ย กูด่ารัฐบาลตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าเอาภาษีสามหมื่นกว่าล้านไปให้ใครก็ไม่รู้เหมือนตำพริกละลายแม่น้ำตอนนี้กูกลายเป็นแม่น้ำเสียเอง โอ๊ยอีฝ้าย!!!

 

เธอมองของทุกอย่างตั้งแต่โต๊ะ จาน มีด ช้อน ส้อม เนื้อ ขนมปัง ผักเครื่องเคียง ซุป โอ๊ย นี่มันภาษีหมดเลยนี่หว่า เวร ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่างเป็นของมีค่าอย่ากินทิ้งขว้าง ผู้คนอดอยากมีมากนักหนาสงสารชาวนาเด็กตาดำ ๆ ซอสทุกหยด ซุปทุกหยาดเกิดจากความสามารถประชาชน ฮือ

 

"เจอโรม… ค่อย ๆ กินก็ได้ลูก"

 

คำพูดเหมือนพูดหูซ้ายทะลุหูขวา ปอฝ้ายใช้สกิลการทานอาหารตะวันตกที่เรียนสมัยมัธยมปลายพร้อมเพิ่มความเร็วได้อย่างดีเยี่ยมจนตอนนี้เกือบจะหมดแล้ว ถึงตอนนี้จะเริ่มแน่นท้องแล้วแต่จะกินไม่หมดก็รู้สึกผิด

 

จะว่าไปมันก็อร่อยดีนะ

 

แต่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่ปอฝ้ายกินอาหารด้วยความรู้สึกเต็มกลืน

 

 

 

 

_______________________

(1) บทกวีนี้เป็นส่วนหนึ่งจากงานของ Sylvia Plath (1932-1963) นักเขียน นักเขียนเรื่องสั้นและนักกวีชาวอเมริกัน

ต้นฉบับของส่วนที่หยิบยกมา

I am silver and exact.

I have no preconception.

Whatever I see I swallow immediately. 

 

ความอยากแต่งอิเซไกค่ะ พอดีช่วงนี้อินเว็บตูน แห่ะ ฝากด้วยนะคะ!

 

#หัวอีฝ้ายต้องไม่ขาด