2

(2.2)

 

 

 

 

หลังจากแยกย้ายกับซีเฟียค์แล้วปอฝ้ายก็ได้สัมผัสถึงสิ่งที่เรียกว่าเวลาว่าง ซึ่งว่างในที่นี้คือว่างจริง ๆ ว่างจนไม่รู้จะว่ายังไง องค์ราชินีก็ไม่ว่าง เอไลซ่าก็ไปดูแลจาเร็ดที่อีกฟากเมือง ว่าไม่ได้ ตอนนี้เจ้าหนูนั่นเพิ่งอายุแค่ 6 ขวบเอง

 

และใช่ การเล่นกับเด็กอายุเท่านั้นมันเหนื่อยเกินกว่าที่เจอโรมซึ่งจิตวิญญาณคืออีปอฝ้ายจะรับไว้

 

“รัสเซิล”

 

“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”

 

“ท่านพี่อยู่ที่ไหนหรือ”

 

ชายหนุ่มนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “องค์หญิงกำลังทรงศึกษาวิชาเต้นรำพ่ะย่ะค่ะ”

 

“เต้นรำ?” เจอโรมขมวดคิ้วก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออก “จริงสินะ ใกล้งานเดบูตองต์ของท่านพี่แล้วนี่นา”

 

เดี๋ยว พอสตรงนี้ก่อน

 

งานเดบูตองต์ เดบูตองต์คืออะไร? เอาล่ะค่ะ วันนี้อาจารย์ปอฝ้ายจะมาเล็กเชอร์ให้ฟัง เปิดสมุดหรือเปิด GoodNotes รอเลยค่ะ ไม่ย้อนสไลด์นะ ถ่ายไว้ได้ถ่าย

 

โอเค

 

เดบูตองต์คือการเปิดตัวบุตรสาวของตระกูลขุนนางหรือผู้มีอันจะกินเข้าสู่วงสังคม สาว ๆ ที่จะเปิดตัวนั้นก็จะเข้าคอร์สเสริมสวยเต็มที่ ขัดสีฉวีวรรณ ทำผมหรูหราแต่งตัวสวย นอกจากจะใช้อวดลูกสาวแล้วยังเป็นการบอกกลาย ๆ ด้วยว่าแม่สาวคนนี้น่ะพร้อมที่จะแต่งงานออกเรือนแล้ว

 

สรุปง่าย ๆ ให้เข้าใจแบบปอฝ้ายก็คือ เหมือนการเอาลูกขึ้นบิลบอร์ดโฆษณานั่นแหละ เห็นภาพป่ะ

 

เพราะงั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ตอนนี้องค์หญิงลำดับที่ 1 พระธิดาโจเซลีนจะต้องเข้าคลาสติวมารยาทและการเข้าสังคมแบบเต็มสูบเหมือนนักเรียนไทยที่โหมเรียนพิเศษก่อนสอบ GAT/PAT O-net หรือ 9 วิชาสามัญ

 

แค่กลับไปคิดก็เครียดละ การศึกษาในชาติที่แล้วทำอะไรกับกูวะเนี่ย

 

“อยู่ที่ไหนล่ะ”

 

“ห้องบลูไดมอนพ่ะย่ะค่ะ”

 

เห๊ บลูไดมอนอย่างนั้นเหรอ

 

เอ๊ย อีฝ้าย ใจเย็น เรื่องของชาติที่แล้วก็แล้วไปดีกว่าเพื่อน

 

“นำทางเราไปหน่อย” เจอโรมเอ่ยพลางเงยหน้ามองรัสเซิล “เราอยากดูเสด็จพี่เต้นรำ”

 

“แต่มันจะเป็นการรบกวน…”

 

“เราจะอยู่เฉย ๆ สัญญา”

 

เด็กชายเอ่ยอย่างหนักแน่น ดวงตาสีเขียวอมเทาสบเข้ากับดวงตาสีควันไฟคู่นั้น ใช้ความเป็นเด็กที่มีตำแหน่งให้เป็นประโยชน์ บอกเค้าไปว่าข้าอยูใที่ที่สูงกว่า และรัสเซิลนั้นค่อนข้างจะตามใจองค์ชายเสียด้วยสิ

 

“เฮ้อ…” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าอย่างจำยอม หากแค่ดูเฉย ๆ ก็ไม่น่าเป็นอะไรหรอก “พ่ะย่ะค่ะ”

 

เจอโรมยกหมัดอย่างดีใจ อาจารย์หนุ่มยกยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงเดินนำอีกฝ่ายไปยังสถานที่ที่อีกคนต้องการ

 

เดินไปสักพักจึงถึง พอดีกับอาจารย์สอนเต้นรำที่สวนออกมาพร้อมกับนางกำนัลอีก 1 คน หญิงวัยกลางคนผมสีสีน้ำตาลแซมดอกเลาหันมามองคนทั้งสองก่อนถอนสายบัวให้องค์ชายน้อยด้วยท่าทางที่ไร้ที่ติ

 

“แด่เทือกเขาอันยิ่งใหญ่แห่งลาคัวร์ สายัณห์สวัสดิ์เพคะ องค์ชาย สวัสดีค่ะ คุณบาร์เบอากส์”

 

“สายัณห์สวัสดิ์ขอรับ มาดามเคปลานด์” เจอโรมพูดพลางโค้งศีรษะให้คนมากปีกว่าอย่างนอบน้อม “ขอบคุณที่ดูแลท่านพี่มาโดยตลอด”

 

“ไม่ลำบากอะไรเลยเพคะ องค์หญิงเองก็ทรงทำได้ดีมาโดยตลอด” มาดามเคปลานด์ยิ้มน้อย ๆ ดวงตาสีเทาใต้กรอบแว่นนั้นสุกกระจ่าง “หม่อมฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ ได้รับหน้าที่ให้ดูแลราชวงศ์นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งเพคะ”

 

เด็กชายยิ้มตอบ ก่อนชะโงกหน้ามองประตูห้องบานใหญ่นั้น “ท่านพี่ยังอยู่ไหม”

 

“ทรงฝึกซ้อมอยู่เพคะ” หญิงวัยกลางคนตอบ “หม่อมฉันคงต้องขอตัวก่อน ใกล้อาทิตย์ตกเต็มที”

 

“โอ เช่นนั้นเราไม่ขอรบกวน” เจอโรมเอ่ยก่อนส่งยิ้มจาง ๆ ให้อีกฝ่าย “ลาก่อนขอรับมาดาม”

 

“แด่เทือกเขาอันยิ่งใหญ่แห่งลาคัวร์เพคะ” มาดามว่าพลางถอนสายบัวอีกคราแล้วเดินออกไปทางที่เจอโรมเพิ่งเดินมา เจอโรมมองตามแผ่นหลังนั้นไปจนลับมุมทางเดินก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ความรู้สึกเหมือนเดินสวนครูอายุเยอะ ๆ ที่โรงเรียนแล้วของกวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพร้อมที่จะพูดว่า ‘ถักเปียใหม่ด้วยนะคะ นักเรียน’ อย่างนั้นเลย

 

FYI ปอฝ้ายเรียนหญิงล้วนมา หลอนค่ะหลอน

 

“ไปหาท่านพี่กัน” เด็กชายว่าพลางเดินตรงไปหาประตูบานยักษ์ ชื่อห้องที่ตั้งว่าบลูไดมอนนั้นต่อให้ไม่ทราบมาก่อนก็รับรู้ได้ว่าห้องนี้มันต้องชื่อเกี่ยวกับสีน้ำเงินแน่นอน เพราะมันน้ำเงินตั้งแต่สีที่ลงบนลายและลูกบิดที่ประดับด้วยพลอยสีน้ำเงิน น้ำเงินไปหมดเลย!

 

เจอโรมเปิดประตูเข้าไปด้านใน มันตกแต่งด้วยสีน้ำเงินทั้งหมด ม่าน เครื่องเรือน แม้กระทั่งชุดของโจเซลีน คุมโทนมาก เขาคงเมาสีน้ำเงินอีกเป็นวันแน่ ๆ ขอบคุณที่อย่างน้อยนางกำนัลก็ไม่ได้สวมเสื้อผ้าสีน้ำเงิน

 

"เจอโรม?"

 

จริง ๆ แล้วโจเซลีนเองก็เป็นตัวละครที่ไม่ได้มีบทบาทมากมายเลย ปอฝ้ายพอรู้บ้างว่าสามพี่น้องบ้านนี้ค่อนข้างหน้าตาดี แต่ว่าไม่คิดว่าโจเซลีนจะสวยขนาดนี้

 

เธออายุแค่ 15 เท่านั้นในตอนนี้ ถึงอย่างนั้นความสวยมันกระแทกตามาตั้งแต่ตอนเด็กแล้ว ผมสีดำสนิท ด้วยตาสีเขียวราวมรกต จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากสีชาด ไฝเล็ก ๆ ตรงใต้ตาทำให้ดูน่ามอง ผิวขาวเหมือนกับว่าไม่เคยโดนแดด (จริง ๆ ก็ไม่เคยโดนแดดนั่นแหละ ออกไปข้างนอกก็กางร่ม โดนแดดตรง ๆ สักครั้งน่าจะยังไม่เคย) และรูปร่างที่เริ่มแตกเนื้อสาวโดนรวมแล้วน่ามองไม่เบา

 

เอาจริง ๆ ต้องเซอร์ไพรซ์อะไรอีก ไอ้เจอโรมตอนนี้เห็นโครงหน้าก็รู้แล้วว่าต้องหล่อ

 

"มีอะไรหรือ" เด็กสาวเอ่ยถามพลางเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางที่ไร้ที่ติ สมกับที่ได้รับการอบรมมาตลอดชีวิต เธอก้มหน้าเล็กน้อยเพราะเจอโรมตัวเล็กกว่านิดหน่อย

 

"ได้ยินว่าท่านพี่กำลังเรียนเต้นรำจึงมาดูขอรับ" เด็กหนุ่มตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย "เป็นอย่างไรบ้างขอรับ ทำได้ดีไหม?"

 

"อาจารย์ชม" โจเซลีนพูดพลางขยับเท้าเล็กน้อย "เธอว่าดีหรือเปล่า"

 

"ข้าไม่ได้เห็นเอง คงบอกไม่ได้" เจอโรมส่ายหน้า "หากบอกว่าดีก็คงเป็นการประจบ"

 

"เหอะ พูดเหมือนเธอประจบใครเป็นอย่างนั้น" เจ้าหญิงลำดับ 1 หัวเราะในลำคอพลางยกมือขวาขึ้นกลางอากาศ มือซ้ายจับกระโปรงตน วาดลวดลายเต้นเป็นการทบทวน

 

"เดบูตองต์ของพี่อีกกี่วันนะ"

 

"หนึ่งสัปดาห์" หล่อนตอบทันควันก่อนจะพูดต่ออย่างตื่นเต้น "พรุ่งนี้จะมีคนจากห้องเสื้อลาฟลอเรียมาวัดตัวล่ะ"

 

"ลาฟลอเรีย… หรือ?" องค์ชายลำดับที่ 1 ขมวดคิ้ว ดูท่าทางจะเป็นห้องเสื้อที่โด่งดังไม่น้อยเลยทีเดียว

 

"โถ่" โจเซลีนหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างเนือย ๆ "ลาฟลอเรียเป็นห้องเสื้อที่ดังที่สุดของอาณาจักรเราเลย การออกแบบและตัดเย็บไร้ที่ติเลยด้วย! จำไว้บ้างก็ดีนะเจอโรม"

 

"ข้าจะจำไปทำไมล่ะ" โลกนี้ผู้ชายใส่กระโปรงสวย ๆ ได้โดยไม่โดนนินทาได้ที่ไหน

 

แต่ถ้าได้ก็ดีสิ

 

ปอฝ้ายก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ชอบของสวย ๆ งาม ๆ ถึงเสื้อผ้าในเซตติ้งยุคนี้อาจจะไม่ใช่แนวเธอเท่าไหร่ก็น่าลองสวมดูสักครั้งนะ

 

"จึ๊ ๆ โถ พ่อน้องชาย สำหรับเลดี้น่ะต้องเป็นชุดสวย ๆ กับเครื่องประดับงาม ๆ สิ" โจเซลีนพูดพลางหมุนตัวไปรอบ ๆ "ข้อมูลที่ดีสำหรับอนาคตยังไงล่ะ"

 

"แล้วเป็นหนังสือหรือภาพวาดไม่ได้รึ?" เจอโรมขมวดคิ้ว

 

"ใครจะไปสนล่ะ ของแบบนั้น"

 

“ข้าสนนะ” เด็กหนุ่มยกแขนขึ้นกอดอก “คงดีไม่น้อยถ้าหากมีคนที่ความชอบตรงกันมาอยู่ใกล้ ๆ”

 

“อ้อเหรอ” เด็กสาวยักไหล่ ก่อนจะวาดลวดลายไปเรื่อย ๆ ทั่วห้อง มีเพียงเสียงดนตรีจากแกรนด์เปียโนสีดำมันวับ (ขอบคุณที่มันไม่ใช่สีน้ำเงิน) เท่านั้นที่ดังก้องในกล่องสี่เหลี่ยมนี้ ปอฝ้ายมองโจเซลีนที่เต้นไปรอบ ๆ ด้วยท่าทางสง่างามราวกับโอดีลจากเรื่องเจ้าหญิงหงส์ขาว

 

ทำไมถึงเป็นโอดีล ไม่ใช่โอเด็ดน่ะหรือ ผมสีดำสวยนั่นเหมาะกับการเป็น black swan เหลือเกินอย่างไรล่ะ

 

เสียงเพลงบรรเลงไปเรื่อย ๆ สองพี่น้องไม่มีใครพูดอะไร เสียงส้นรองเท้าเบา ๆ ดังขึ้นอยู่เนือง ๆ โจเซลีนถูกสอนกระทั่งการแสดงสีหน้าเลยหรือ รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏตรงมุมปาก งดงามแต่ดูไร้อารมณ์ เหมือนกับตุ๊กตาไขลานบนกล่องเพลงอย่างไรอย่างนั้น…

 

นี่หรือหน้าที่ของผู้หญิงของที่นี่

 

ปอฝ้ายมองรองเท้าส้นสูงสีน้ำเงินของพี่สาว ทุกเสียงรองเท้ากระทบพื้นนั้นเธอคิด เธอกลัว เธอกลัวว่าจะถูกกลืนไปกับร่างนี้ กลัวว่าจะหลงลืมสิ่งที่เคยเจอมาในชาติก่อนหน้า กลัวว่าจะกลายเป็นคนแบบที่ตนเองเกลียดเลย

 

เจอโรมลอบถอนหายใจ พอดีกับเป็นช่วงสุดท้ายของเพลง โจเซลีนหมุนตัวออกก่อนจะถอนสายบัวให้กับอากาศตรงหน้าด้วยท่าทางที่งดงามไม่แพ้มาดามเคปลานต์เลยทีเดียว

 

"เยี่ยม" มือเล็ก ๆ ปรบเข้าหากันอย่างชื่นชม ก่อนจะยื่นแขนข้างหนึ่งไปหาพี่สาววัยรุ่น "เชิญเสด็จไปเสวยพระกระยาหารเย็นพ่ะย่ะค่ะ"

 

"เพคะ องค์ชาย" โจเซลีนย่อตัวลวก ๆ แล้วเกาะที่แขนผอม ๆ ของเจอโรมไว้หลวม ๆ "ขอบพระทัยที่กรุณาเสด็จไปพร้อมกับหม่อมฉันเพคะ"

 

“หลังจากนี้พี่เซลีนของเราคงจะได้รับเชิญไปงานเลี้ยงมากมายเลยสิ” จาเร็ดเอ่ย “อีกไม่นานคงได้เสกสมรส”

 

“พูดเรื่องนั้นตอนนี้ยังเร็วไปหลายปีน่า” เด็กสาวพ่นลมหายใจออกทางจมูกพลางส่ายหน้า “ไม่วายคงได้ไปอยู่เมืองอื่นแน่ ๆ”

 

ใช่แล้ว ได้ไปอยู่ที่แอ็กซอนไงสาว

 

แอ็กซอนนั้นเริ่มมามีบทบาทตอนท้ายเรื่อง ตอนที่เริ่มสงครามแล้วและแอ็กซอนเป็นเมืองที่หักหลังลาคัวร์จนกองทัพของเจอโรมนั้นพ่ายแพ้แก่เทรซโอนีล (เมือง-นางเอก- /สองนิ้วยึก ๆ) คนที่บอกให้ส่งกองทัพไปช่วยลาคัวร์ก็คือโจเซลีนเองนั่นแหละ แต่สามีของนาง พระราชาของเมืองนั้นดูทรงสงครามนี้ลาคัวร์แพ้ชัวร์เลยแอบส่งม้าเร็วลับไปหาคู่สงคราม บอกแผนจนหมดทุกรายละเอียด

 

แล้วเจอโรมก็เกม อือ โดนหั่นคอ

 

ปอฝ้ายตอบในใจพร้อมกับก้าวเท้าตามพี่สาวของร่างนี้ให้ทัน โจเซลีนเดินเร็วเหลือเกินดูทรงช่วงขาคงจะยาวกว่าเจอโรมวัย 11 ปีเสียด้วย

 

"วันนี้เรียนเป็นอย่างไรบ้าง" เด็กสาวถามบ้าง

 

"ก็ดี ได้เพื่อนใหม่ด้วย"

 

"เธอสร้างมิตรภาพง่ายปานนั้นเชียวรึ" โจเซลีนเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่เชื่อนัก

 

"ปานนั้นแหละ" จาเร็ดหัวเราะหึ "บุตรชายท่านดยุคชาร์โบนีค"

 

"งั้นรึ" เธอตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก ราวกับถามเป็นมารยาทไปอย่างนั้นเอง ซึ่งปอฝ้ายเริ่มจะชินเสียแล้ว

 

มื้ออาหารผ่านไปอย่างเงียบเชียบ องค์ราชานั้นนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ องค์ราชินีนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขานั่งอยู่ติดกับคนที่มากอำนาจที่สุดในอาณาจักร ส่วนโจเซลีนนั่งถัดไป นอกจากเสียงมีดกับส้อมเงินที่กระทบจานแล้ว บนโต๊ะมันเงียบเกินกว่าวิญญาณจากศตวรรษที่ 21 จะทำใจชินได้ลง

 

อึดอัดโว้ย!

 

“เตรียมงานเดบูตองส์ไปถึงไหนแล้วหรือเพคะ เสด็จแม่” โจเซลีนเอ่ยถามขึ้น

 

“ส่งบัตรเชิญเรียบร้อยแล้วล่ะ” เอเวร์ลีนตอบเสียงเรียบ

 

“ตื่นเต้นแย่เลยสิ โจเซลีน” ชายวัยกลางคนถามลูกสาวคนโตที่กำลังตักสลัดด้วยท่าทางไร้ที่ติ เธอหันมาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มอย่างเก้อเขิน

 

“เพคะ”

 

“แล้ว… เจอโรม เรียนฟันดาบเป็นอย่างไรบ้าง” คนที่นั่งตรงหัวโต๊ะหันมาถามลูกชายที่นั่งอยู่ถัดจากตนเองบ้าง “ได้ยินว่าบุตรชายของดยุคชาร์โบนีคมาร่วมด้วยนี่?”

 

“พ่ะย่ะค่ะ” เด็กชายตอบพลางพยักหน้าเล็กน้อย “ซีเฟียค์เป็นคนดีมากทีเดียว”

 

“เจอเพียงครั้งเดียวก็รู้ได้เลยรึ?” ไคล์ถาม ดวงตาสีเขียวมรกตที่เขาได้รับมาหรี่ลงเล็กน้อย ใบหน้าเกลี้ยงเกลานั้นทำสีหน้าแบบมองไกลมาจากหน้าวังก็รู้ว่าหยั่งเชิง

 

“ท่านดยุคเองก็เป็นคนดีไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เจอโรมถามกลับ ดวงตาที่เหมือนกันราวกับโขกพิมพ์สบเข้ากับดวงตาของอีกฝ่าย ริมฝีปากหยักยกยิ้มจาง ๆ “ฝ่าบาทก็ทราบดี”

 

ชายวัยกลางคนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพึงพอใจกับคำตอบและไหวพริบของบุตรชายคนโต บทสนทนาบนโต๊ะอาหารได้ดำเนินไปอย่างนั้น เรื่องดินฟ้าอากาศ เรื่องชีวิตประจำวันถูกยกมาถามไถ่ บรรยากาศที่ปอฝ้ายยังไม่สามารถทำใจชินได้สักที ครอบครัวแต่ละบ้านนี่ต่างกันจริง ๆ

 

“หม่อมฉันได้ยินเรื่องเทรซโอนีลมา” โจเซลีนเอ่ยถาม ดวงตาสีเขียวเป็นประกาย “เราส่งบัตรเชิญให้เจ้าหญิงมาร่วมงานเดบูตองต์ของหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ”

 

ปอฝ้ายชะงักทันที ดวงตาเหลือบมองการสนทนาบนโต๊ะอย่างอยากรู้ทันทีเมื่อได้ยินชื่อของตัวเอกนวนิยายเจ้าของโลกใบนี้ ถ้าลองนับนิ้วดู เจเนวีฟน่าจะอายุเท่าเขายังไม่ถึงช่วงวัยที่จะเปิดตัวเข้าสู้วงสังคม… อย่างนั้นคงจะหมายถึงพี่สาวคนโต ว่าที่องค์รัชทายาทบริเอลลาเป็นแน่

 

เดธแฟล็คของเจอโรมไม่ได้ปรากฏออกมาตอนนี้นี่ อย่างนั้นไม่จำเป็นต้องรีบร้อนตื่นตระหนกไปหรอก

 

และปอฝ้ายเองก็อยากลองร่วมงานเลี้ยงเสียด้วย

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมขอร่วมงานเดบูตองต์ของเสด็จพี่ได้หรือไม่” เจอโรมเอ่ยถาม นัยน์ตาสีเขียวมองชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ พยายามไม่แสดงความต้องการมากกว่าที่เจอโรมควรจะเป็น

 

“ปีนี้ลูกอายุเท่าไหร่แล้วนะ” ไคล์ถามกลับ มือวางมีดและส้อมลงอย่างเบามือ คนถูกถามเม้มปากเล็กน้อย ไม่คิดถือโทษที่อีกคนจำอายุของเปลือกนอกตนเองไม่ได้ เพราะขนาดพ่อกับแม่เธอที่นู่นยังจำอายุเธอไม่ได้เลยบางที ชีวิตคนเรามันมีมากกว่าตัวเลขที่เปลี่ยนไปทุกทีนี่นา

 

“11 พ่ะย่ะค่ะ” เด็กชายตอบพร้อมวางอุปกรณ์ในมือตนลง เริ่มรู้สึกแน่นท้องตอนหมดจานพอดี

 

“เธอคิดว่าอย่างไร เอเวร์ลีน” ชายวัยกลางคนหันไปถามกับภรรยาของตนที่นั่งอยู่ถัดไป องค์ราชินีนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย

 

“หม่อมฉันคิดว่าไม่น่าเป็นปัญหาเพคะ” เอเวร์ลีนตอบ “แต่คงต้องกวดขันเรื่องมารยาทกับการเต้นรำเสียหน่อย”

 

เจอโรมหันมาส่งยิ้มให้ ก่อนจะก้มลงจัดการอาหารในจานของตนต่อ หมายมั่นปั้นมือในใจว่าหลังแยกย้ายจากตรงนี้แล้วคงต้องมานั่งเขียนไทม์ไลน์ของโลกนี้อย่างจริงจังสักที

 

 

 

 

 

ปอฝ้ายได้ร่างทุกสิ่งลงในกระดาษ ปากกาหัวจุ่มหมึกเริ่มเขียนถนัดมือตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้แต่ถึงอย่างไรลายมือก็ไม่เอาถ่านสักที

 

เธอเขียนร้อยเรียงทุกอย่างที่จำได้เป็นภาษาไทย และตั้งใจว่าจะเก็บมันไว้อย่างมิดชิด ภาษาไทยในปัจจุบันคงยากที่จะตีความ แต่ว่าด้วยลักษณะตัวอักษรที่ซับซ้อนจนเคยถูกนำไปใช้เป็นบรัชวงเวทย์ในมังงะสักเรื่องแล้ว ถ้าหากปล่อยให้ใครสักคนเห็นคงไม่แคล้วคิดว่าองค์ชายโดนผีเข้าจริง ๆ หรือควรใช้คำว่าซาตานแทนนะ เพราะเท่าที่อยู่มาศาสนาของที่นี้คล้ายศาสนาคริสต์มากกว่า… แต่ช่างมันเถอะ

 

ปอฝ้ายไล่สายตาไปตามเส้นบรรทัดที่ตัวเองเขียน พยายามขุดมันขึ้นมาจากสมองส่วนลึก เนื้อเรื่องในความทรงจำของเธอนั้นเลือนรางเหลือเกิน รายละเอียดยิบย่อยจำไม่ได้หรอก จำได้แค่ต้น กลาง จบ กับอีเว้นท์ใหญ่ตรงกลางเรื่องเท่านั้นเอง

 

เจเนวีฟรู้เรื่องงานแต่ง งานแต่งงาน รู้เรื่องกบฏ ตั้งรับ และตอนไปรบ ขอรัสเซิลแต่งงานจบด้วยงานอภิเษกสมรสยิ่งใหญ่อลังการจากภาษีประชาชน

 

ปกติซีนนี้ในเว็บตูนมันควรจะเป็นตัวเอกนั่งเขียนเรื่องได้เป็นฉาก ๆ วางแผนหักเหลี่ยมหนีเดธแฟล็กไม่ใช่เหรอวะ เป็นฉากที่ควรจะโคตรเท่ เขียนเรื่องในนิยายออกมาได้เป็นหน้า ๆ แล้วทำไมอีฝ้ายเขียนได้แค่ 6 บรรทัด (แบบบุลเล็ท) สันดานอ่านแล้วจำเป็นคีย์เวิร์ดนี่ทำยังไงก็ไม่หาย

 

"แม่ง"

 

เธอพึมพำออกมาเบา ๆ พลางก้มฟุบลงบนต้น ตะแคงหน้ามองผิงกระดาษที่ถูกเขียนด้วยหมึก มีขุยล่อนขึ้นมา อีกอย่างนึงที่รู้คือภาษาไทยเขียนด้วยปากกาหัวจุ่มคือโคตรยาก ยากโคตรพ่อโคตรแม่ ปลายปากกาก็แหลมเหลือเกินจนขูดผิวกระดาษขึ้นมาเป็นขุยกระดาษเสียอีก

 

ทำยังไงจะไม่ตายซ้ำหว่า

 

"เขียนอะไรน่ะ… อ่านไม่เห็นรู้เรื่อง"

 

ร่างผอมของเด็กหนุ่มชะงักไปในทันที เขาค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้นนั่ง ทำท่าหันมองไปรอบห้องเหมือนดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย ในห้องหนังสือกว่านั้นว่างเปล่า ส่วนรัสเซิลเขาขอให้ไปรอด้านนอกก่อนสักครู่ แต่ไม่มีทางเป็นเสียงรัสเซิลหรือคนอื่นได้หรอก เพราะปอฝ้ายจำเสียงนี้ได้แม่น เสียงที่ได้ยินเมื่อวันก่อน… แต่วันนี้เปลี่ยนมานั่งอยู่ที่ห้องเขียนหนังสือหลักแทนห้องหนังสือส่วนตัวแล้วนะ ยังจะตามมาอีกเหรอ

 

"นี่เจ้าเข้ารีตประหลาดหรือ!?"

 

ไอ้เหี้ย ไอ้เหี้ย ไอ้เหี้ย ไอ้เหี้ย ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย!!!!!

 

ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่เป็นสองครั้ง เสียงดังฉิบหายเหมือนมาพูดอยู่ในหัว ใบหน้าของเจอโรมซีดเผือดลงทันที พอ ๆ กับไส้ในนามปอฝ้ายที่อกสั่นขวัญแขวน ผีวังนี่ของแรงจริง ๆ คราวนี้มาเป็นประโยคอย่างยาว แถมพูดด้วยตั้งสองครั้งเสียอีก แม่จ๋า

 

"รัสเซิล" เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกคนที่ยืนรออยู่นอกห้องหลังพับกระดาษแผ่นนั้นเป็นชิ้นเล็ก ๆ สอดลงในขอบกางเกงนอนด้วยมือที่สั่นเทาและดับเทียนลงแล้ว ซึ่งเธอติดผิดมหันต์ ห้องสมุดมืด ๆ น่ากลัวกว่าเดิมหลายเท่านัก ในใจสวดอะไรมั่วไปหมด ทั้งศาสนาที่ตนเคยถือในโลกก่อนกระทั่งศาสนาบนโลกนี้ ปะปนกันมั่วไปหมดโดยมีเสียงหัวใจเต้นรัวเร็วเหมือนเป็นบีทจังหวะ Dupstep เดือดกว่ารถเห่ กูหนีก่อนมันจะมาเป็นตัวดีกว่าแม่โว้ย

 

“พ่ะย่ะค่ะ… ขออนุญาต” ชายหนุ่มขานรับก่อนจะเปิดประตูแง้มเข้ามาเล็กน้อยพอให้เห็นแสงเทียงที่สาดเข้ามาจากด้านนอก

 

เราอ่านหนังสือเสร็จแล้ว” เจอโรมตอบ พยายามคุมเสียงให้นิ่งที่สุด มือเล็กคว้าเหลี่ยมประตูดึงให้เปิดออกแล้วเดินนำลิ่ว ๆ ไปโดยไม่สนใจรัสเซิลที่ทำสีหน้างุนงงก่อนจะเดินตามร่างเล็กของเด็กหนุ่มไปอย่างงุนงง

 

 

_________________

ตอนที่แต่งตุนไว้หมดแล้วค่ะ ต่อไปอาจจะมาช้าแน่นอน55555555

แต่ว่ามีอะไรในห้องสมุดนะ surprise

 

 

 

#หัวอีฝ้ายต้องไม่ขาด