TW: มีฉากฆ่า มีการพูดถึงความโหดร้ายของสงคราม (war atrocities) การปล้นและข่*ขื*โดยทหารจักรวรรดิ ส่วนนั้นจะทำเป็นตัวสีเทา ถ้าทริกเกอร์ให้เลื่อนข้ามไปเลยค่ะ 

 

ในความฝันของข้า ทุกอย่างกลายเป็นสีแดง ข้ายืนอยู่กลางหมู่บ้านกลางป่า แทบทุกครัวเรือนถูกฝูงม้าเหยียบย่ำจนแทบราบไปกับพื้น ข้าเหม่อมองภาพเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย ทั้งหมู่บ้านกำลังลุกไหม้เป็นไฟ ชาวบ้านวิ่งหนีออกมาจากตัวบ้าน เสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาดังระงมไปทั่ว 

 

ทหารที่ยืนรออยู่ด้านนอกคว้าคนที่กำลังจะวิ่งหนีเข้าไปในป่า ถ้าเป็นผู้ชายก็ซัดหมัดใส่จนสลบไป ถ้าเป็นผู้หญิงก็ถูกลากไปรวมกันตรงทหารม้า ถ้าเป็นคนแก่กับเด็ก…

 

เสียงตะโกนขู่ร้องเข่นฆ่าอย่างสำราญลอยแว่วเข้ามาในหู ข้าเหลียวมอง เห็นหญิงชาวบ้านกำลังถูกลากไปกลางวงทหารม้าที่ยืนยิ้มอยู่รายรอบ เศษธัญพืชที่เก็บเกี่ยวมากระจัดกระจายลงบนพื้น ศพของชายคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น ตายสนิท หญิงสาวนอนแข็งทื่อราวกับตายไปแล้ว นัยน์ตาแห้งผากจ้องมองท้องฟ้า เสื้อผ้านางถูกฉีกกระชากออก

 

ข้าขยับเท้าไปข้างหน้าอย่างลืมตัว แต่มือข้ากลับไม่สามารถจับต้องสิ่งใดได้ หญิงชาวบ้านคนนั้นส่งเสียงเหมือนสัตว์บาดเจ็บ ข้าเบิกตามองนาง รู้สึกขยักขย้อนราวกับกำลังจะอาเจียนออกมา ภาพที่เกิดต่อไปคือความระยำอัปรีย์ โสโครกที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิตนี้ ตลอดโมงยามที่มีฉากเป็นเบื้องหลังถูกเผาไหม้ เสียงหายใจเหมือนสัตว์ป่าดังถี่กระชั้นรัวเร็วดังแว่วๆ มา

 

ข้ามองภาพความล่มสลายเบื้องหน้าด้วยแววตาเลื่อนลอย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อถูกสยบใต้อำนาจที่เหนือกว่า พระบิดาพร่ำบอกกับข้า แต่ข้าไม่เคยได้เห็นภาพจริงๆ อะไรบางอย่างตรึงข้าไว้ บังคับให้มองภาพเบื้องหน้าเต็มสองหน้า ข้าพยายามเบือนหน้าหนี แต่ไม่สำเร็จ นัยน์ตาแสบร้อนด้วยควันไฟที่เป็นเหมือนภาพมายา

 

“ข้าไม่อยากเห็นสิ่งเหล่านี้” ข้ากระซิบกับตนเอง ร่ำๆ จะเป็นเสียงภาวนา รู้สึกได้ว่าลำคอของตนเองแห้งผาก เสียงหัวเราะหยาบช้าที่ดังแว่วมาทำให้ข้ารู้สึกวิงเวียน ปลายนิ้วข้ากำเข้าหากัน ฝุ่นดินทรายอัดลงในปลายเล็บ แต่ข้าไม่รู้สึกถึงความสกปรกนั้น ในอกมีเพียงความขยักขย้อนรุนแรงแผ่ขึ้นมา

 

“เอาของเสร็จแล้วก็ฆ่าให้หมด” เสียงของทหารม้าที่อยู่ใกล้ที่สุดพูดขึ้น

 

คำนั้นทำให้ข้าชะงักไป ม่านน้ำตาบดบังจนไม่เห็นอะไร แต่ที่แน่ใจได้คือหูของข้าไม่ได้ฝาดแต่อย่างใด เสียงของทหารม้าคนนั้น ชายที่ดูเป็นหัวหน้า ไม่ว่าจะฟังอย่างไร --

 

นั่นคือภาษาลินเดเรีย

 

ลินเดเรีย “นคราเลอค่าแห่งสรวงสวรรค์” ของข้า มาตุภูมิที่นับแสนชีวิตหลั่งเลือดตอบแทน ดินแดนที่ถูกพรากเกียรติรุ่งโรจน์ไปด้วยเสียงกีบม้าเหยียบย่ำของพวกชนชั้นต่ำกระหายอำนาจ

 

จะให้ข้าเชื่อมโยงความรุ่งโรจน์นั้นกับภาพตรงหน้า...ได้อย่างไร?

 


ชายหนุ่มเจ้าของบ้านพาข้ามาส่งถึงชานเมือง ดูจากจำนวนผู้คนที่ทักทายเขาตลอดทาง ข้าเดาได้ว่าเขาคงมีอัธยาศัยดีไม่เบา ข้ามองชาวบ้านข้างทางอย่างระแวดระวัง เห็นว่ามีทหารเดินลาดตระเวนตลอดแนว ต้องขอบคุณที่ไม่มีใครจำข้าได้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่

 

เขาพาข้ามาส่งถึงรถม้าที่จะเข้าสู่เมืองหลวงของลินเดเรีย สุดท้ายถึงกับช่วยข้าจ่ายเงินค่ารถม้าด้วย ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่มีจะกินแท้ๆ คนพวกนี้โง่กันหมดหรืออย่างไร ข้าหลุบตาลงต่ำ ขยับฝีเท้าอย่างกระวนกระวายใจ จนสุดท้ายที่อีกฝ่ายใกล้จะเดินจากไปแล้วนั่นละ ข้าถึงกลั้นใจเรียกเขาออกมาได้คำหนึ่ง

 

“เจ้า” ข้าเรียก “เดี๋ยวก่อน”

 

ชายคนนั้นหันมามองข้าอย่างงุนงง

 

“น้ำใจของเจ้า ข้ารับไว้” ข้าพูดเสียงแข็งทื่อ “ไว้มีโอกาสเมื่อไหร่ ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างงาม”

 

เขาเดินเข้ามาหาข้า

 

“พูดจาใหญ่โตเกินตัวจริงๆ เงินจะจ่ายค่ารถม้าเจ้ายังไม่มี” ชายหนุ่มพูดปนขำ “ฟังนะ ไม่ต้องตอบแทนข้า คิดว่าตัวเป็นเจ้าชายมาจากดินแดนไหนหรืออย่างไร เจ้าเอาตัวให้รอดเถิด”

 

ข้าหน้าแดงด้วยความอับอาย ทำได้แค่ถลึงตามองเขาทีหนึ่ง ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ ไม่นานนักคนขับรถม้าก็เดินเข้ามา เขาแบ่งยาสูบกับอีกฝ่าย จ้องมองข้า

 

“นี่คือคนที่เจ้าจะฝากเข้าเมืองหลวง? ” เขาพูด “ไปไข่ทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนไหนรึ กรันฟอร์ธ ลูกถึงโตป่านนี้แล้ว”

 

“เขาไม่ใช่...พ่อของข้า! ” ข้าเค้นเสียงออกมา คนทั้งสองมองหน้าข้า ชายที่ช่วยข้ามีสีหน้าอ่อนใจ

 

“ลูกคนรู้จักน่ะ” เขาตอบเรียบๆ “ดูแลเขาหน่อยก็แล้วกัน เขาปากไม่ดีเท่าไหร่”

 

คราวนี้ข้าโกรธจริงๆ แต่ก่อนที่จะได้ตวาดด่าอะไรออกไป ม้าที่อยู่ข้างๆ ก็ส่งเสียงร้อง ข้าผงะออกอย่างตกใจ จ้องมองมันอย่างหวาดผวา พอตั้งสติได้ก็นึกว่าไม่น่ากลัวเลย ข้าเคยเห็นม้าศึกของพระบิดามาตั้งหลายต่อหลายรอบแล้วไม่ใช่หรือ นี่ก็แค่ม้าแก่ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น!

 

“เอ้า ขึ้นรถ! ” ชายขับรถม้าพูด คนอื่นๆ ที่นั่งกินดื่มอยู่แถวนั้นพากันทยอยลุกขึ้นมา ปีนเข้าไปในรถม้า ข้ายืนอยู่ตรงนั้นสักพัก ชายที่ช่วยข้าเดินเข้ามาตบไหล่เบาๆ

 

“ดูแลตัวเองนะ” เขาพูด “นครลินดิสมีคนใหญ่คนโตมากมาย เจ้าก็อย่าไปขัดขาพวกเขาเสียล่ะ”

 

ข้ามองเขาอย่างอัดอั้น ชายคนนี้หวังดีกับข้าจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าแค่เสแสร้ง…แต่ดูจากท่าทางแล้ว เขาก็ไม่ได้ดูคิดร้ายอะไรกับข้า แถมยังไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรอีกด้วย พอคิดได้อย่างนั้น ข้าก็ชำเลืองเขาเล็กน้อย

 

“ขอบคุณ” ข้าพูดแผ่วๆ นึกอยากกลั้นใจตายขึ้นมา

 

อีกฝ่ายพยักหน้า จากนั้นก็เดินจากไป ข้ามองแผ่นหลังของเขา จากนั้นก็ปีนขึ้นรถม้า คราวนี้ไม่มีม้านั่งหรือข้าราชบริพารคอยช่วยข้าขึ้นรถม้าอีกแล้ว ขาของข้า...สั้นเกินไป แต่สุดท้ายข้าก็ปีนขึ้นมาได้สำเร็จ แต่ดูเหมือนว่าข้าจะลืมอะไรบางอย่าง

 

ข้าจ้องมองออกนอกประตู เห็นลูกสุนัขป่าสีเทานั่งอยู่บนพื้น เงยหน้ามองข้าด้วยแววตาฉลาดเฉลียวนั่นอีกแล้ว

 

“ไม่ต้องตามข้ามา” ข้าพูดเสียงเย็นชา “จะไปไหนก็ไป”

 

มันยังนั่งอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็ลุกขึ้น

 

ข้าถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกว่าสัตว์เดรัจฉานตรงหน้าจะไม่รู้ความเสียแล้ว รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวออกเดินทางช้าๆ ข้ากระชับเสื้อคลุมรอบตัวแน่นขึ้น ได้ยินเสียงล้อไม้บดกับถนนดังเข้ามาในหูเป็นจังหวะ

 

ข้ามองเห็นเงาร่างสีเทาๆ วิ่งตามมา

 

ข้าอึ้งไป พอเขม้นมอง ถึงเพิ่งรู้ว่านั่นคือลูกสุนัขป่าที่ข้าควรจะทิ้งไว้นั่นเอง มันวิ่งไล่ตามรถม้ามาอย่างไม่ย่อท้อ ข้ามองมันอย่างไม่เชื่อสายตา คนที่อยู่ในรถม้าต่างชี้ชวนกันดู จากนั้นก็หันมามองข้าด้วยแววตากล่าวโทษ

 

ข้านั่งกัดริมฝีปาก ให้มันวิ่งไปเถิด เดี๋ยวพอเหนื่อยมันก็หยุดเองนั่นละ

 

 

เวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ข้ารู้สึกได้ว่ารถม้าชะลอลง แต่ยังไม่หยุด ข้าขยับหนีลุกเข้าไปนั่งลึกในรถม้ามาได้สักพักแล้ว เพราะไม่อาจทนมองภาพน่าสังเวชนั่นได้ไหว แต่ไม่นานนักก็มีคนสะกิดแขนข้าอยู่ดี

 

“ไอ้หนุ่มหัวหงอก สัตว์เลี้ยงของเจ้าหรือเปล่า”

 

“เจ้าพูดถึงใคร” ข้าตวัดเสียง เกือบจะเงื้อมือฟาดเขาแล้ว “นั่นไม่ใช่ของข้า! ”

 

อีกฝ่ายเงียบไป ข้านั่งหลับตาอย่างไม่สบอารมณ์ เหงื่อไหลเต็มแผ่นหลังทั้งๆ ที่เป็นหน้าหนาว รู้สึกได้ว่าสายตาของทุกคนจ้องมองมา

 

ถ้าเป็นข้าราชบริพารในวัง มีหรือจะได้มานั่งจ้องข้าอย่างนี้ คนที่เคยจ้องข้าคนหนึ่งก็โดนพระปิตุลาลากไปควักลูกตามาแล้ว ถึงข้าจะไม่เคยรู้เลยก็เถิดว่าโทษของเขาคืออะไร

 

“...พี่ชาย” เสียงเรียกดังขึ้นข้างหน้า ข้าลืมตาขึ้น

 

เด็กผู้หญิงในชุดกระโปรงสีขาวยืนอยู่ด้านหน้าข้า น้ำตาคลอหน่วยอยู่ในแววตา “ลูกสุนัขป่าของท่านวิ่งตามรถมาครึ่งค่อนวันแล้ว มันหอบน่าสงสารมาก ข้ากลัวมันจะตายเหลือเกิน เรียกให้คนขับหยุดรถม้าเถิด”

 

ข้ามองเด็กหญิงแน่นิ่ง จากนั้นก็เบือนหน้าหนี

 

“จะหยุดรถก็ได้” ข้าพูด “เจ้าอยากได้มันหรือ ข้าให้ เจ้าเอามันไปได้เลย”

 

“อย่างนี้ก็ยอมรับแล้วสิว่านั่นคือลูกสุนัขป่าของเจ้า? ” คนที่สะกิดข้าตอนแรกพูด “ใจร้ายใจดำอะไรอย่างนี้! ”

 

ข้ามองเขาอย่างรังเกียจ แค่นเสียงฮึ พยายามกลบความรู้สึกผิดแปลกๆ ในใจลงไป ไม่นานนักรถก็หยุด มีคนปีนลงไปหิ้วคอลูกสุนัขป่าตัวนั้นขึ้นมา

 

เด็กหญิงตรงเข้าไปอ้าแขนรับมัน แต่แทนที่มันจะยอมอยู่ในอ้อมอกนางอย่างเต็มใจ มันกลับส่งเสียงขู่คำรามต่ำๆ ในลำคอ เด็กหญิงตกใจจนถอยหนี คนรอบข้างก็ไม่กล้าจับมันอีก เจ้าลูกสุนัขป่าตัวนั้นเดินมาหาข้า

 

“...” ข้ามองมัน

 

มันนั่งลงแทบเท้าของข้า สายตาจ้องเขม็งมาที่ข้าเหมือนเดิม

 

รอบด้านเงียบสงัด ข้าโน้มใบหน้าลงไป พูดกับมันเบาๆ ด้วยเสียงเย็นเฉียบ ถึงจะรู้ว่ามันไม่เข้าใจก็ตาม

 

“ถึงนครหลวงลินดิสเมื่อไหร่ ถ้าเจ้ายังคิดจะกวนใจข้า ข้าจะให้คนเอาเจ้าไปทิ้งเสีย” ข้าขู่มัน “อย่าคิดว่าข้าล้อเล่น”

 

นัยน์ตาของมันมองขึ้นมา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ชั่วขณะนั้น ข้าถึงกับเกิดความรู้สึกว่ามันฟังที่ข้าพูดเข้าใจ ข้าหรี่ตามองมัน เห็นแววตาใสซื่อมองกลับมา

 

คำพูดของพระบิดายามล่าสัตว์แล่นเข้ามาในหัว

 

สัตว์ป่าไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเหมือนมนุษย์ก็จริง แต่อย่าประมาทว่ามันโง่ เช่นนั้นเจ้าก็เป็นอาหารของมันได้เหมือนกัน

 

ไม่มีใครในรถกล้าเข้ามากวนใจข้าอีก ข้ายึดครองที่นั่งริมหน้าต่าง พยายามไม่ให้ร่างกายตนเองสัมผัสกับลูกสุนัขป่าสีเทามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันเองก็ไม่ได้เข้ามาออดอ้อนอะไรข้าเหมือนตอนแรกอีก ทำเพียงแต่จ้องมองข้าด้วยแววตาละห้อยเหมือนกำลังร้องขออะไรบางอย่าง เด็กหญิงที่ตอนแรกอยากได้มันมากก็มองข้าตาละห้อยไม่ต่างกัน ทั้งคนทั้งสุนัขป่าจ้องมองข้าด้วยแววตาเช่นเดียวกันทั้งคู่ ทำให้ข้านึกอยากลุกหนีไปจากที่นี่ยิ่งกว่าอะไรดี

 

สุดท้ายข้าก็ทำได้แค่ไม่สนใจ

 

รถม้าหยุดพักยามกลางคืนชั่วคราว ทุกคนล้อมนั่งอยู่รอบกองไฟ ทานเสบียงที่ตนเองนำมาด้วย ข้านั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ผู้คนกำลังพูดคุยกันรอบกาย แต่ข้าไม่สนใจ ทำเพียงจ้องมองไปยังทิศทางหนึ่งอย่างเหม่อลอย

 

เนินเขามืดสนิทเบื้องหน้ามีแสงไฟรางๆ ปรากฏอยู่ตรงนั้น ข้ามองเห็นเงาตะคุ่มๆ ของอะไรบางอย่างตั้งอยู่ไม่ไกลออกไป จากนั้นก็ตระหนักได้ว่านั่นคือนครหลวงลินดิสนั่นเอง ข้าหลับตาลง จินตนาการถึงเมืองหลวงอันรุ่งโรจน์ในความทรงจำของตนเอง

 

ในตอนนั้น...ข้าอยู่ในอ้อมแขนของพระปิตุลา จ้องมองพระบิดาที่ปรากฏายอยู่ที่ระเบียงมุกให้ฝูงชนมหาศาลได้ชื่นชม ข้ายังจำได้ถึงเสียงโห่ร้องฉลองชัยและทหารม้ารักษาพระองค์ตั้งแถวเรียงขบวนแสดงแสนยานุภาพ เห็นพู่สีแดงสะบัดไหวอยู่ในอากาศนับไม่ถ้วน

 

แต่ตอนนี้คนที่ยืนอยู่ในตำแหน่งนั้นไม่ใช่ข้าอีกแล้ว แต่เป็น ซีริล ลินดาริเนีย ตัวปลอมคนนั้น

 

ข้ากล้ำกลืนก้อนแข็งๆ ในคอลงไป ยกมือแตะใบหน้าตัวเองอย่างใจลอย

 

ถ้าได้เจอพระปิตุลาและ “เจ้าชายรัชทายาทซีริล” คนนั้น…ข้าควรจะทำอย่างไรดี

 

ไม่สิ

 

คำถามไม่ใช่ว่าข้าควรทำอย่างไร คำถามคือ ข้าจะทำอะไรได้ ต่างหาก

 

มีใครบางคนส่งแก้วน้ำให้ ข้าไม่มีอารมณ์อยากกินอะไรทั้งนั้น พอก้มลงมองก็เห็นเงาสะท้อนตัวเองที่ดูเหมือนผีมองกลับมา ข้าเลยวางแก้วลงกับพื้นข้างตัว ต้องกลั้นใจอย่างมากไม่ให้บีบแก้วไม้เก่า ๆ ผุพังนั่นจนแตกคามือ

 

ลูกสุนัขป่าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทำเสียงออดอ้อน มันตรงเข้ามาดื่มน้ำในแก้ว

 

ข้าไม่ได้จะให้น้ำมัน เลยยื่นมือไปปัดแก้วจนน้ำไหลกระฉอกหกออกมาหมด

 

ข้าได้ยินเสียงถอนหายใจมาจากข้างหลัง พอชำเลืองมองก็เห็นชายที่บอกว่าข้าใจร้ายใจดำนั่นเอง เขานั่งอยู่กับเด็กหญิงสองคนใกล้ ๆ ข้า เด็กหญิงจ้องมองข้าด้วยน้ำตาคลอเบ้า ข้าเบือนหน้าหนี

 

“ลูกหมานั่นโชคร้ายจริง ๆ ที่มาเจอเจ้า” อีกฝ่ายพูด “พอถึงนครลินดิสข้าแนะนำให้รีบ ๆ ขายมันไปซะ เผื่อมันได้ไปอยู่กับคนที่ดีกว่าเจ้า แถมเจ้ายังได้เงินด้วย”

 

ข้านิ่งเงียบ

 

อันที่จริง ก็เป็นหนทางที่ไม่เลว แต่ปัญหาคือข้าเป็นเจ้าชายรัชทายาท จะให้ลดตัวไปขายข้าวของเหมือนพวกพ่อค้าได้อย่างไร แถมต้องขายเพื่อ นำมาประทังชีวิต จะให้ข้ายอมรับว่าตัวเองตกอับจนต้องขายของเก่ากินหรือ เอาไปทิ้งยังดีกว่า

 

“ไม่” ข้าพูดเสียงต่ำ “ข้าไม่ขาย”

 

“...” เด็กหญิงร้องไห้โฮ

 

ข้ามองนางหน้าตื่น ไม่เคยเห็นใครไม่สำรวมกิริยาต่อหน้าข้าขนาดนี้มาก่อน พอนึกได้ว่านางเป็นเด็กชาวบ้านขี้มูกโป่งข้าก็เลยทำสีหน้ารังเกียจใส่นาง ชายหนุ่มลูบมือบนหัวเด็กหญิง จ้องมองข้าด้วยแววตาที่ไม่โกรธเคืองใด ๆ ข้ามองมือของเขาที่ลูบหัวเด็กหญิงอยู่ นึกถึงฝ่ามือของพระปิตุลาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ข้าเลยยิ่งรู้สึกเสียดแทงใจขึ้นมา

 

“เจ้ามีธุระอะไรในลินดิสหรือ” อีกฝ่ายพูดอย่างใจเย็น “ ตอนแรกข้านึกว่าเจ้าเป็นคนแก่เลยไม่อยากจะยุ่งกับเจ้ามาก แต่พอมองดี ๆ ก็ยังเยาว์วัย หรือเจ้าจะเข้าไปเป็นทหาร? ”

 

ข้ายกมือขึ้นแตะผมตัวเองทันที “หุบปาก! ”

 

“...” อีกฝ่ายมองข้าอย่างอ่อนใจ สายตาเหมือนกับนายพรานคนที่เก็บข้ามาจากในป่าไม่ผิดเพี้ยน “มีใครเคยสอนเจ้าให้ควบคุมอารมณ์บ้างไหม”

 

ควบคุมอารมณ์?

 

พระปิตุลาบอกข้าว่าถ้ามีอำนาจในมือจะทำอะไรก็ได้ ทำไมข้าต้องดูสีหน้าของคนอื่นเพื่อดูว่าพวกเขาจะคิดอย่างไรกับข้าด้วย ข้าเคยเห็นพระปิตุลาสั่งเฆี่ยนข้ารับใช้จนตาย แต่คนที่ยืนอยู่ในห้องก็ทำเพียงเป็นมองไม่เห็น นั่นคือครรลองของโลกใบนี้ไม่ใช่หรือ “ข้าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น”

 

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าโตมาป่านนี้โดยไม่โดนซัดจนปากแตกได้อย่างไร” ชายหนุ่มพูดกลั้วขำ ข้ามองเขาอย่างหวาดระแวงทันที “เอาเถิด จักรวรรดิมีคนนับล้านคน เดี๋ยวก็ต้องมีสักคนที่ไม่ใจดีกับเจ้า”

 

ใครจะกล้ามาให้บทเรียนข้า “ทำอย่างกับว่าข้าสน”

 

เสียงเปลวไฟปะทุอยู่รอบข้าง ชายหนุ่มลูบหัวเด็กหญิงที่ดูจะสงบลงแล้ว ลูกสุนัขป่าตัวนั้นเลียมือของข้า จากนั้นก็นอนขดตัวลงข้าง ๆ อีกฝ่ายจ้องมองข้า จากนั้นก็หันไปมองไฟสีนวลตาจากเมืองหลวงที่อยู่ไกลออกไป

 

“ข้าพูดจริง ๆ ” อีกฝ่ายพูดเสียงจริงจัง “ท่าทางของเจ้ามันประหลาด เจ้าวางตัวราวกับเป็นเจ้าชายสูงส่งมาจากไหน ใครก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้ ถ้ามีคนหมั่นไส้ข้าจะไม่แปลกใจเลย”

 

ข้าแค่นเสียง “แล้วถ้าข้าเป็นเจ้าชายจริงๆ? ”

 

อีกฝ่ายกลั้นยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงต้องไปชิงตำแหน่งกับเจ้าชายรัชทายาทเอา”

 


 

กองไฟดับไปนานแล้ว ข้านอนสะลึมสะลืออยู่ ร่างกายเพิ่งเริ่มชินกับการนอนกลางดินกินกลางทราย สักพักก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา ขาของขาปวดไปหมดเพราะอากาศหนาว

 

ข้างหูข้าพลันได้ยินเสียงกระซิบต่ำ ๆ

 

ข้าสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที พบว่าในปากมีเชือกหนา ๆ พันยัดอยู่รอบหัว ทำอย่างไรก็ส่งเสียงร้องออกมาไม่ได้ ข้าพยายามดิ้น แต่ดิ้นยังไงก็ดิ้นไม่หลุดจากมือนั้น ข้าพยายามบิดตัวไปดูว่าเป็นใคร แต่ดูเหมือนจะเป็นผู้ชายราว ๆ สองคน ทั้งสองลากข้าเข้าไปในป่า ข้าพบว่าข้อมือของข้าโดนมัดเอาไว้แล้ว

 

ตั้งแต่ตอนไหน?!

 

ลูกสุนัขป่านอนอยู่แทบเท้า ฟองสีขาวไหลออกมาจากปาก ข้ามองมันอย่างสยดสยอง ดูเหมือนจะโดนวางยา….แต่ว่า...ตั้งแต่ตอนไหน…?

 

ข้าโดนลากเข้ามาถึงลานกว้างในป่า คนที่นั่งอยู่ในรถม้าเดียวกับข้าต่างก็โดนลากเข้ามากองตรงนี้ทั้งนั้น ทุกคนร้องไห้กันระงม มีชายฉกรรจ์ถือดาบหลายคนเดินวนไปวนมา ข้าเห็นชายหนุ่มกับเด็กหญิงถูกมัดติดกับโคนต้นไม้ ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือด ข้าคิดว่าหน้าตัวเองก็ซีดเผือดไม่แพ้กัน ใครจะนึกว่าจะโดนลอบโจมตีอย่างนี้

 

พวกชั้นต่ำพวกนั้นไล่เปิดปากทีละคน พยายามเค้นว่าใครเป็นใครมาจากไหน มีสมบัติหรือไม่ ข้าขดตัวเงียบ แต่สุดท้ายก็ถึงตาข้าอยู่ดี

 

ชายตรงหน้าตวัดมีด เชือกในปากข้าขาดผึง มันยกหน้าข้าขึ้นมาดูชัด ๆ

 

“อ้าว นึกว่าคนแก่มาตั้งนาน” มันพูด “เจ้ามีญาติในเมืองหลวงไหม ถ้าร่วมมือดี ๆ พอได้เงินแล้วข้าอาจจะปล่อยเจ้าไป”

 

พวกโจรป่าเรียกค่าไถ่?

 

ข้าเคยได้ยินเรื่องของคนพวกนี้มาก่อน พวกที่ประกอบอาชีพไม่สุจริต ไม่จ่ายภาษี เป็นเศษเดนที่ไม่มีค่าใด ๆ กับจักรวรรดิ จักรวรรดิต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรส่งกองกำลังไปปราบคนพวกนี้ แต่ยิ่งภาวะข้าวยากหมากแพงรุนแรงจำนวนโจรป่าก็เพิ่มขึ้นอยู่ดี มันเขย่าคอเสื้อข้า เรียกให้ข้าตอบ “ว่าอย่างไร? ”

 

“ญาติข้าหรือ” ข้าพูดเสียงเย็น “เอเธลดริน ลินดาริเนีย พระปิตุลาของข้า”

 

โจรป่าส่งยิ้มให้ข้า “อ้อ เจ้าเป็นรัชทายาท”

 

“ใช่” ข้ามองเขา “ส่วนเจ้าก็เป็นคนแค่ชั้นต่ำ ไร้ค่า เอามือสกปรกของเจ้าออกไป”

 

โจรป่าคนอื่นเดินมา ยืนค้ำหัวมองข้า “ไพอัส เจ้าเลิกเล่นกับมันได้แล้ว ตัดนิ้วมันมาสักนิ้วแล้วส่งไปที่บ้านมันเป็นหลักฐาน”

 

หนึ่งในนั้นคว้ามือข้าขึ้นมา “โอ้ สวมแหวนด้วย แหวนอะไรกันนี่”

 

ข้าบิดข้อมือหนี ใจเต้นระรัวขึ้นมาทันที นั่นคือแหวนของข้า! แหวนเดียวที่พระบิดาเหลือทิ้งไว้ให้ข้า...บนนั้นมีกลไกลสลับซับซ้อนนับพันปีที่สืบทอดกันมาและตราประจำราชวงศ์ จะให้ไอ้พวกชั้นต่ำพวกนี้มาจับได้อย่างไร

 

“อย่ามาจับ! แหวนนี่มีค่ากว่าชีวิตพวกเจ้าทั้งหมด! ”

 

พวกโจรป่ามองหน้าข้า ข้ามองข้ามไหล่เขาไป เห็นชายหนุ่มและเด็กหญิงกำลังจ้องหน้าข้าด้วยสีหน้าซีดเผือด

 

“น่าตัดลิ้นออกมาจริง ๆ ” หนึ่งในนั้นพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “ข้าหมดอารมณ์คุยเล่นแล้ว”

 

คนที่คุยกับข้าคนแรกจิกหนังหัวข้าขึ้นมา ข้าดิ้นรนทันที น้ำตาเล็ด มันมองลึกเข้ามาในแววตาข้า สายตาเย็นชาเหมือนกำลังมองคนตาย

 

“ฝากบอกอาเจ้าด้วยนะ” มันพูดเสียงเยาะ ๆ “ว่าบริหารบ้านเมืองห่วยแตกสิ้นดี”

 

เขาจรดปลายมีดลงบนคอข้า สัมผัสคบกริบกดเข้าเนื้อ สติของข้าแตกกระเจิดกระเจิงทันทีเมื่อปลายแหลมนั้นแทงทะลุเข้ามา เขาจิกผมข้าไว้ให้อยู่กับที่ ความเจ็บแผดเผาเข้ามาที่ลำคอ ข้าอ้าปากกรีดร้อง แต่ได้ยินเสียงแค่เสียงครืดคราดดังอยู่ข้างหู สายตาขงอีกฝ่ายจ้องเขม็งมา ข้าเบิกตามองเขาจนตาแห้งผาก ฟองเลือดพวยพุ่งออกมาจากปาก

 

เขาบิดมีด

 

อะไรบางอย่างขาดผึง สติของข้าก็ดับวูบไปในทันที

 

 

ข้าตื่นมาอีกครั้งเพราะรู้สึกได้ว่ามีสัมผัสเปียกชื้นอยู่บนหน้า

 

ข้ามองเห็นลิ้นสาก ๆ ของสัตว์ป่าเป็นอย่างแรก จากนั้นก็กองใบไม้เน่าเปื่อยที่ทับถมกันอยู่ใต้ละอองหิมะ ลูกสุนัขป่ากำลังเลียใบหน้าเปื้อนดินของข้า ความเจ็บปวดรอบลำคอยังไม่จางหายไป ข้ามองลูกสุนัขป่าตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ

 

ไม่ใช่ว่ามันตายไปแล้ว…?

 

รอบด้านมีเปลวไฟ ข้าได้ยินเสียงดาบกระทบกันกับเสียงชุดเกราะ ร่างกายของข้าขยับไปเอง น้ำตาข้าไหลซึมออกมา ข้าเจ็บ...เจ็บเหมือนตอนที่โดนแทงตายในวิหารร้างนั้น ข้าขดตัวเข้าหากัน มือเลื่อนไปแตะลำคอตัวเอง -- ไม่มีแผลอะไรตรงนั้น แต่ความเจ็บที่รับรู้ก่อนสติจะขาดหายไปตกค้างอยู่ในร่างกายข้า ข้าจำมันได้ดียิ่งกว่าอะไร

 

ข้าไม่มีแรงลุก ทำได้แค่ฟังเสียงดาบกับเสียงการต่อสู้ ข้าทำได้แต่นอนน้ำตาไหลอยู่ตรงนั้น ร่างกายแข็งทื่อ

 

มันฆ่าข้า

 

มันปาดคอข้าตายคาต้นไม้ตรงนั้น ข้ายังเห็นวงเลือดสาดเต็มพื้น เชือกเปื้อนเลือดกองอยู่บนพื้น ข้านอนซบอยู่ข้างโคนต้นไม้ ลูกสุนัขป่าตัวนั้นเลียน้ำตาข้าอยู่อย่างนั้น ข้าไม่มีแม้แต่ใจจะผลักมันออก

 

ทำไมข้าไม่ตาย?

 

หรือว่าทวยเทพรังเกียจข้าแล้ว สาปแช่งข้า ไม่ยอมรับข้าไว้?

 

ข้าหลุดเสียงสะอื้นออกมาอีกครั้ง นอนกุมหัวตัวเอง รู้สึกถึงความบ้าคลั่งดิ้นเร่าอยู่ในอก ตัวสั่นกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ ทั้งเนื้อทั้งตัวข้ามีแต่เลือด บาดแผลหายไปหมดแล้ว แต่ข้ายังเจ็บอยู่ดี ไม่รู้ว่าเป็นความเจ็บที่ร่างกายหรือที่สมองกันแน่

 

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ เสียงการต่อสู้ก็หยุดลง ใครบางคนแตะหลังข้า

 

ข้าสะดุ้ง ตัวสั่นเทาไปหมด

 

ฝ่ามือแข็งแรงดึงตัวข้าขึ้นมาจากพื้น แสงแรกของวันส่องทะลุผ่านท้องฟ้ามัวซัว ข้าก้มหน้า เอาแต่จับคอตัวเอง ข้าได้ยินเสียงพูดคุยต่ำ ๆ จากนั้นก็ฝีเท้าหนัก ๆ หลายคู่ย่ำตรงเข้ามา คนที่ดึงตัวข้ามาบังคับให้ข้าหันมาเผชิญหน้า ข้าถึงต้องยอมมองเขาอย่างจำใจ

 

เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารของจักรวรรดิ

 

“ทำใจดี ๆ ไว้ นักเดินทาง” เขาพูดกับข้าอย่างเคร่งขรึม “ท่านปลอดภัยแล้ว ท่านอยู่ในความดูแลของจักรวรรดิลินเดเรีย มาเถอะ จะไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดกับท่านอีก”

 

ทหารชั้นต่ำ ข้าสะบัดแขนเขาออก

 

ทหารคนอื่น ๆ กำลังช่วยผู้รอดชีวิตคนอื่นขึ้นหลังม้า มีแต่ความเคลื่อนไหวน่าเวียนหัว ข้าจ้องมองแสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบบนไหล่เขา อีกฝ่ายถอนหายใจ เขาย่อตัวลง คุยกับข้าเหมือนกำลังคุยกับสัตว์บาดเจ็บ

 

“สงบใจลงก่อน” เขาพูดอย่างปลอบโยน “เชื่อใจข้าเถิด พวกเราคือกองกำลังลาดตระเวนของเจ้าชายรัชทายาท ไม่มีใครมาทำอันตรายท่านได้”

 

กองกำลังของ เจ้าชายรัชทายาท

 

นี่คือกองกำลังที่ควรจะเป็นของข้า รับใช้ข้า ไม่ใช่…

 

เจ้าชายรัชทายาท” เสียงของข้าแหบแห้ง “ซีริล ลินดาริเนีย? ”

 

ทหารนายนั้นพยักหน้า

 

เขาแตะไหล่ข้าอีกครั้ง คราวนี้ข้ายอมให้เขาแตะอย่างโดยดี ข้าคอตกอย่างพ่ายเพ้ ใบหน้าของพระปิตุลาวาบเข้ามาในสมอง กับใบหน้าของชายปริศนาที่ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ภาพนั้นพร่าเลือนเป็นเงาดำ ๆ ข้าจิกนิ้วลงบนฝ่ามือตัวเอง รู้สึกว่าความคั่งแค้นตีขึ้นมาในอกจนหายใจแทบไม่ออก

 

ทุกบาดแผลที่พวกเขาทิ้งไว้ให้ข้า...

 

“ข้าอยากรับใช้เจ้าชายรัชทายาทของพวกเจ้า ข้าต้องทำอย่างไร”

 

 

 

-------------

มองคนต่อแถวเตรียมเบิ้ดกะโหลกซีริล