Chapter 1 

 

ข้าเห็นอะไรในแววตาของชายที่กำลังจะสิ้นใจอย่างนั้นหรือ

 

ความแค้น

 

ความแค้นมากมายจนเหมือนจะแผดเผาโลกได้ แต่ที่มากที่สุดยิ่งกว่าความเคืองแค้นนั่น คือ ความไม่ยินยอม ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวเหมือนกำลังทรมานแสนสาหัส กลิ่นกำยานและเลือดกับเสียงสวดภาวนาของนักบวชต่ำๆ รอบข้างดังเสียดหู แต่แน่นอนว่าใครก็ต้องไม่ยินยอม จักรวรรดิอันสูงค่าที่สืบประวัติศาสตร์มานานนับพันปี บัดนี้ถูกชนชั้นต่ำกว่าที่มีอาวุธเข้ายึดครองไปอย่างหน้าด้าน ๆ พระบิดากุมใบหน้าข้าไว้ในมือเย็นเฉียบของพระองค์ กล่าวออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาเพียงแค่สั้นๆ

 

“อย่าลืม”

 

จากนั้น...โลกของข้าก็พังทลายลง


 

ข้าจำหน้านายพลที่รัฐประหารพระบิดาของข้าได้ทุกคน

 

ข้าเหม่อมองภาพเหตุการณ์นอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ อาภรณ์สีม่วงดิ้นทองที่เคยสวมใส่ประจำถูกถอดออก นางข้าหลวงที่บัดนี้น้ำตานองหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าด้วยมือสั่นเทา เสียงอึกทึกโหวกเหวกปนด้วยเสียงคร่ำครวญโหยไห้ดังลอดผ่านกำแพงหน้าของพระราชวังชั้นใน ได้ยินเสียงอาวุธปะทะกันปนกับเสียงแผดร้องดังมาไม่ขาดสาย นอกหน้าต่างยังมีควันไฟลุกพยับโหมกระหน่ำ ควันสีเทาเข้มลอยลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาลอยเรื่อยอ้อยอิ่งอยู่รอบตัวข้า เหมือนมือของปีศาจเกาะกุมยึดเหนี่ยวชายเสื้อเอาไว้ นางข้าหลวงแต่งตัวข้าไป ปากก็พึมพำไป สุดท้ายแล้วก็นำผงถ่านมาทาหน้าข้าจนมอมแมมไปหมด

 

“เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วเพคะ” นางข้าหลวงละล่ำละลัก ใบหน้าเหี่ยวย่นดูชราลงอีกนับสิบปี มือนางดึงข้าไปตามโถงทางลับที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน ข้าก้าวเท้าตามอย่างเสียมิได้

 

เสื้อผ้าฝ้ายเนื้อหยาบนั้นสวมใส่ไม่สบายนัก แขนข้าเป็นรอยแดงเป็นปื้นเต็มไปหมด ข้าคงจะดูเหมือนลูกชาวนามากแน่ ๆ

 

“เจ้าทาส เราจะไปที่ไหนกัน” ข้าได้ยินเสียงตนเองกล่าวออกไป หญิงชราเหลียวมองข้าอย่างหวาดหวั่น “แล้วพระปิตุลาไปอยู่เสียที่ไหน”

 

“พระองค์ปลอดภัยดีเพคะ” นางข้าหลวงพึมพำ “เรากำลังจะไปหาพระปิตุลาของพระองค์อย่างไรเล่า”

 

ข้าหลุบตาลง จ้องมองแหวนของพระบิดาที่สวมอยู่บนนิ้ว จากนั้นก็ตัดสินใจเงียบแล้วเดินตามนางไป ไม่นานนักก็เห็นคนๆ หนึ่งยืนรออยู่ ท่าทางร้อนอกร้อนใจ

 

“ในที่สุดก็มา ข้ารออยู่นานแล้ว! ”

 

ผู้พูดเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เขามีรูปร่างสูงใหญ่เหมือนยักษ์ ข้างเอวประดับพู่สีแดงที่บ่งบอกว่าเป็นนายทหารระดับสูง เขาไม่ใช่...คนของนายพลพวกนั้น ข้าจำใบหน้าของเขาได้ ชายคนนี้เป็นองครักษ์ประจำกายของพระปิตุลา ทุกๆ ครั้งที่พระปิตุลามาหาพระบิดา ชายคนนี้มักจะยืนรักษาการณ์อยู่หน้าห้อง ดังนั้นข้าถึงคลายความเกร็งลง

 

“เมื่อครู่ องค์รัชทายาททรงผลัดเปลี่ยนอาภรณ์อยู่” นางข้าหลวงแก้ตัว นางรุนหลังข้าไปยังชายคนนั้น ข้าจ้ององครักษ์ของพระปิตุลาเขม็ง รู้สึกไม่ชอบขี้หน้าขึ้นมาเฉย ๆ

 

เพราะตอนที่เขาเจอข้า เขาไม่ได้คุกเข่า

 

แค่นั้นก็เป็นมารยาทที่ทรามอย่างที่สุดแล้ว คนทั่วไปไม่มีสิทธิ์ได้เผยอหน้ามามองเชื้อพระวงศ์ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับเจ้าชายรัชทายาทอย่างข้า ข้าจ้องเขาอยู่นาน อีกฝ่ายก็ไม่คุกเข่า สุดท้ายข้าก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าอีกฝ่ายคงเป็นคนเถื่อนจริง ๆ อีกอย่างการลงโทษคนที่พระปิตุลาส่งมาช่วยข้าในเวลานี้ดูจะไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดเท่าไรนัก

 

“นำทางข้าไปหาพระปิตุลา” ข้าสั่งเขาแทน

 

องครักษ์คนนั้นถวายบังคมรับคำสั่ง ไม่รู้ทำไม ข้าถึงรู้สึกว่าท่าทางของเขา...ดูล้อเลียนมาก ข้ากำมือแน่น ลัดเลาะตามอีกฝ่ายออกไปด้านนอกพระราชวังอย่างสงบสติอารมณ์

 

ไม่นานนัก ทั้งข้าและเขาก็พ้นออกจากเขตพระราชฐานชั้นในในที่สุด เสียงโห่ร้องดูจะเข้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ องครักษ์ยกมือขวางด้านหน้าข้า ไม่ให้ไปต่อ ข้าคล้ายจะได้กลิ่นกำมะถันปะปนกับกลิ่นคาวเลือดจางๆ ในอากาศ ตอนนี้เรายืนอยู่ตรงบริเวณชายป่าส่วนพระองค์ที่ปกติพระบิดามักออกไปล่าสัตว์ น่าแปลกนักที่ไม่มีเสียงนกร้องหรือเสียงลมซอกแซกผ่านใบไม้เช่นทุกที

 

ข้ามองไปรอบๆ สายตาพลันปะทะเข้ากับรถม้าเก่าคร่ำคร่าที่หลบซ่อนอยู่ท่ามกลางแมกไม้ ความรังเกียจบนใบหน้าคงจะฉายชัดออกมา เพราะองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างพ่นลมพรืดออกมาจากจมูกหน่อยๆ

 

“กิริยาหยาบคายนัก เจ้าเป็นม้าหรือ” ข้ากล่าวเสียงเย็น ต้องตวัดเสียงจนได้

 

“รัชทายาททรงรังเกียจหรือ” องครักษ์ไม่ตอบ แต่ย้อนถาม เขาย้อนถามข้า!

 

“พระปิตุลาไม่ได้สั่งสอนคนของเขาหรือ” ข้าจ้องเขาเขม็ง

 

คราวนี้องครักษ์แทบจะกลั้นขำไม่อยู่ ข้ารู้สึกว่าแววตาตนเองแข็งกระด้างขึ้นยามจ้องเขม็งไปยังอีกฝ่าย ก่อนที่ความโกรธจะปะทุขึ้นเมื่อได้ยินคำกล่าวถัดมา

 

“จะสั่งสอนหรือไม่ พระองค์ก็ติดแหง็กอยู่กับข้า” อีกฝ่ายกล่าวเยาะ ๆ “ท่านเลือกได้หรือ”

 

สติข้าขาดผึง

 

“เจ้าทาสชั้นต่ำ! ” ข้าตะคอก ในใจข้ามีความโกรธผสมปนเปไปกับความเหลือเชื่อ เขาเป็นใครกัน ถึงกับกล้าพูดกับข้าเช่นนี้ ข้ารับใช้ยังไม่กล้ามองหน้าข้า แล้วมันกล้าขนาดไหน...

 

ข้าเงื้อมือ

 

ก่อนที่จะได้ตบหน้าสั่งสอนอีกฝ่าย ข้าก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง เสียงกระจกแตก ตามมาด้วยเสียงของหนักๆ ตกลงบนพื้น ข้าเหลียวหลังไปมอง แลเห็นร่างของนางข้าหลวงอยู่บนพื้นไกลๆ ตายสนิท ศีรษะแหลกเหลว ข้าเงยหน้าขึ้นมองยังหน้าต่างที่นางตกลงมา เห็นเพียงแต่ความมืดมิด แต่เสียงต่ำๆ ไม่ปะติดปะต่อที่ลอดออกมาทำให้ประสาทของข้าตึงเครียดในทันที

 

“ตามหา...รัชทายาท….ฆ่าให้หมด”

 

พวกกบฏ!

 

ความคิดต่างๆ หลุดลอยไป หัวสมองข้าคล้ายว่างเปล่า องครักษ์ดันข้าขึ้นไปบนรถม้าอย่างรวดเร็ว ส่วนตนเองก็กระโจนขึ้นบังคับม้า เสียงทึบๆ ของลูกสนตกลงบนหลังคารถทำให้ข้าสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ภายในรถม้าไม่มีที่นั่ง มีเพียงแต่สินค้าวางกองระเกะระกะ นึก ๆ ไปก็แยบยลมาก ไม่มีใครนึกถึงแน่นอนว่าองค์รัชทายาทแห่งจักรวรรคิลินเดเรียนอันเกรียงไกร จะมาอยู่ในรถม้าซอมซ่อที่บรรทุกผลิตผลการเกษตรอย่างนี้

 

ในใจข้าขมฝาดเล็กน้อย

 

ข้าก้มลงมองแหวนในมือ สุดท้ายก็หลงเหลือแค่นี้หรือ แค่นี้จริง ๆ ...

 

ป่วยการที่จะนั่งสะท้อนใจ ข้าหลุบตาลงต่ำ ซ่อนความรวดร้าวไว้ภายใต้แพขนตา องครักษ์ยังควบคุมม้าให้ตะบึงไปเบื้องหน้าไม่หยุดยั้ง ไม่อนาทรต่อสภาพร่างกายของข้าเลยแม้แต่น้อย รถม้ากระเด้งกระดอนจนข้าทรมานไปทั้งเนื้อทั้งตัว

 

ข้ากระชากหน้าต่างเปิดออก เห็นเงาไม้สีดำสนิทสูงยืดทะแยงเต็มป่า ภาพนั้นไม่คุ้นเคย...ข้าไม่เคยออกมาไกลพระราชวังถึงขนาดนี้ การเป็นรัชทายาทหมายถึงทุกคนต้องคอยติดตามข้าทุกฝีก้าว ข้าเหม่อมองภาพผืนป่าเบื้องหน้าอย่างใจลอย แต่พอหันไปเห็นหลังคอขององครักษ์ที่ขี่ม้าอยู่ก็ดันหน้าต่างปิดด้วยความขยะแขยง

 

ข้าตัดสินใจนั่งลงบนกองผัก พยายามนึกทบทวนว่าตนเองจะทำอะไรบ้างหลังจากพบกับพระปิตุลา บางทีเขาอาจจะช่วยข้า...เขาต้องช่วยข้าแน่นอน เขาคือญาติคนเดียวที่ข้ามีเหลืออยู่

 

ถ้าเพียงแค่ข้ามีกองกำลัง!

 

เวลาผ่านไป ภายในป่าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ ยิ่งเข้าไปลึก ข้ายิ่งนึกกลัวว่าจะมีสัตว์ร้ายโผล่มาระหว่างทาง ตัวของข้าสั่นเทาเล็กน้อย เพราะเสื้อผ้าที่ใส่อยู่นั้นไม่สามารถป้องกันร่างกายข้าจากความหนาวเย็นได้เลยแม้แต่น้อย ความหนาวเย็นนี้ผิดวิสัยจากที่ข้าเคยคุ้นอยู่มาก เพราะปกติแล้วนครหลวงลินดิสตั้งอยู่ค่อนไปทางใต้ทำให้อากาศไม่หนาวเย็นจนเกินไปนัก

 

“พระปิตุลามีสารถึงข้าหรือไม่” ข้าพูดเสียงดัง พยายามให้เสียงดังกว่าลมที่พัดหวีดหวิวอยู่รอบตัว “ว่าอย่างไร เจ้าทาส”

 

อีกฝ่ายไม่ตอบ

 

ข้ากัดฟัน

 

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ข้าผล็อยหลับไปอีกครั้ง สักพักองครักษ์ผู้นั้นก็ปลุกข้า เรายังคงอยู่ภายในป่า ที่บัดนี้มืดทึมจนแทบมองไม่เห็นทางข้างหน้า มีเพียงแสงจันทร์สีเงินซีดส่องให้เห็นพื้นดินรางๆ ข้ากระพริบตาเพื่อไล่ความงัวเงียออก เห็นองครักษ์คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าข้าด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

 

“ท่านหลับไปนานพอดู”

 

สายตาข้าถูกปรับให้ชินกับความมืด ภาพเบื้องหน้าทำให้ข้าสูดลมหายใจลึก

 

เบื้องหน้าเป็นสถาปัตยกรรมที่ดูเก่าแก่ บางส่วนถูกปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์รกเรื้อ มีคราบสีดำติดอยู่ตามกำแพง เหมือนคราบดินที่สายฝนชะล้างไม่หมดและติดอยู่ตรงนั้นมานานนับพันนับหมื่นปี

 

“ที่นี่…” ข้าพึมพำ “ที่ไหน? ”

 

องครักษ์ไม่ตอบ รอยยิ้มของเขาส่องแสงวาววับอยู่ในความมืดราวกับเขี้ยวของสัตว์ป่า เขาฉุดข้าให้ลุกขึ้น “ตามมาเถอะองค์รัชทายาท พระปิตุลาของท่านรออยู่ข้างใน”

 

พระปิตุลา!

 

ข้าสูดลมหายใจ รีบก้าวลงจากรถม้า หัวใจเต้นระรัวขึ้นมาในอกทันที

 

ข้าแทบจะเดินนำหน้าองครักษ์ไปด้วยซ้ำ บางอย่างเกี่ยวกับสถานที่นี้ดูศักดิ์สิทธิ์อย่างแปลกประหลาด แต่หาได้มีความรู้สึกชั่วร้ายแต่อย่างใด หัวใจข้าราวกับติดปีกโบยบิน นึกถึงใบหน้าอ่อนโยนในความทรงจำของพระปิตุลาและความปลอดภัยที่อ้อมแขนนั้นมีให้

 

ก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้าไปในสถานที่นั้น ข้าก็ตระหนักว่าที่นี่คือสถานที่ใด

 

วิหาร…

 

แท่นสักการะบูชาสีดำสนิทเบื้องหน้าว่างเปล่า ราวกับกาลเวลาได้ชะล้างความศักดิ์สิทธิ์ที่มือนับร้อยพันกราบไหว้ไปหมดเสียสิ้น ข้าเหม่อมองเบื้องหน้าอย่างไม่รู้ตัว เยื้องไปทางข้างหลังแท่นสักการะบูชาเล็กน้อยเป็นเทวรูปที่แตกบิ่นจนดูไม่ออกว่าคือเทพองค์ไหน แต่นั่นย่อมไม่ใช่เทพที่ชาวลินเดเรียบูชาแน่นอน เพราะเทพเจ้าของเราสูงส่งเกินกว่าจะมาประดิษฐ์อยู่ในเทวรูป

 

ข้าเลื่อนสายตามองหาพระปิตุลา

 

“ไหนล่ะ พระปิตุลา” ข้าพูดอย่างร้อนใจ เหลียวมององครักษ์ที่เดินตามมา “พระปิตุลา…”

 

ฉับพลัน ความเจ็บปวดก็แผ่ขยายออกมาจากกลางอก ข้าเบิกตากว้าง เลื่อนสายตาลง เห็นเลือดสีแดงสดค่อยๆ ซึมออกมาจากลางอกราวกับดอกไม้สีแดงกำลังผลิบาน สมองของข้าไม่รับรู้ ไม่เข้าใจ กลิ่นคาวปะแล่มพุ่งขึ้นมาจุกคอ รับรู้เพียงแต่ร่างกายตัวเองกำลังล้มลงกับพื้นที่เขรอะไปด้วยฝุ่นอย่างสิ้นเกียรติ หน้าข้าแนบพื้นสกปรก

 

เขา...แทงข้า?

 

ข้าเลื่อนมือลง พยายามจะกุมบาดแผลตัวเองเอาไว้ ห้ามไม่ให้เลือดไหลทะลักออกมา แต่ก็ทำได้ยากเย็น อีกฝ่ายยกเท้าขึ้น กระทืบลงบนฝ่ามือของข้า

 

ข้าแผดเสียงร้องออกมา รู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นอยู่ในอกเชื่องช้ากว่าเดิม

 

“เจ้า…” ข้าพึมพำ “เจ้า…”

 

ข้าพยายามจะเอ่ยปากพูด แต่เลือดที่ล้นทะลักออกจากริมฝีปากทำให้มีเพียงแต่เสียงครืดคราดดังออกจากลำคอ

 

นี่เป็นแผนมาตลอด? แต่พระปิตุลาของข้า...

 

“ลาก่อน” เสียงต่ำ ๆ ลอยมาเหนือหัว “รัชทายาทซีริล ลินดาริเนีย”

 

“เจ้าจะฆ่าข้า…” ข้าสำลักเลือดออกมา “ฆ่าตั้งแต่ที่พระราชวังก็ได้ ทำไม…”

เขาขยี้ฝ่าเท้ามากขึ้น ไม่ตอบคำข้า

 

ความเจ็บปวดรวดร้าวที่กลางอกทำให้ร่างกายข้าสั่นสะท้านไปหมด น้ำตาหยดหนึ่งไหลผ่านใบหน้าขมุกขะมอม ข้าไม่ได้คิดอยากจะร้องไห้ราวกับทารก นี่เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่น่าอับอายที่สุดตั้งแต่ข้าลืมตาดูโลกนี้มา ก่อนที่ความเจ็บปวดจะเพิ่มพูนเป็นทวีคูณเมื่อเขาเสือกมีดเข้ามาอีกด้ามใต้ชายโครงข้า

 

“พระปิตุลาของท่านมีแผนสำหรับท่าน…” อีกฝ่ายกระซิบ “ท่านตายที่นั่นไม่ได้ ให้ใครพบศพไม่ได้หรอก”

 

ทำไม

 

ในหัวข้ามีแต่คำว่าทำไม ข้าตระหนักว่าความเจ็บปวดไม่ได้มาจากบาดแผลอย่างเดียว แต่มาจากการได้รู้ว่าคนที่ข้ารักที่สุด รักมากยิ่งกว่าพระบิดาหรือมารดาที่ตายไปแล้ว รักเหมือนแสงสว่าง แสงตะวัน -- สุดท้ายจะทรยศข้าได้อย่างเลือดเย็นขนาดนี้

 

“ถ้าจะโทษใคร ก็โทษพระบิดาท่านเถอะ ที่ไปร่วมสมสู่กับนางปีศาจนั่นจนเกิดมาเป็นท่าน” เขากระซิบ

 

มารดาของข้า...เกี่ยวอะไรด้วย

 

ในหัวข้าปรากฏภาพเลือนรางของหญิงสาวขึ้นมา ข้าจำได้แค่นัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลคู่นั้นซึ่งเหมือนกับนัยน์ตาของข้าไม่ผิดเพี้ยน แต่นอกจากนั้น ข้าก็จำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ภาพตรงหน้าดำมืดสลับกับแสงสีขาวจ้าที่พร่านัยน์ตาข้าไป ข้านอนซบลงกับพื้นดินเปื้อนฝุ่น ลำแสงแห่งชีวิตริบหรี่ราวเทียนที่มอดไหม้

 

ข้ากำลังจะตายอย่างคนอนาถาในวิหารร้างกลางป่าอย่างนั้นหรือ

 

แทบจะรู้สึกถึงหัวใจที่หยุดเต้นลง จุดรวมแสงในตาข้าหยุดนิ่งไปนานแล้ว

 

ภาพสุดท้ายที่เห็น ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกกลืนหายไปในความมืด...

 

...คือฝ่าเท้าขาวเปลือยเปล่าคู่หนึ่ง ที่สะอาดบริสุทธ์ราวกับมลทินในโลกนี้ไม่อาจแผ้วพานได้เลย

 

 

 


 

ตัวเอกคราวนี้เปน that classist brat ค่ะ

(เรื่องนี้แต่งตั้งแต่ก่อนผู้กล้าดมกาวอีก เอามาลงไว้ก่อนละกัน เด่วมารีไรท์55555)