2 ตอน โลกใบใหม่
โดย Pettes
Chapter 2
เสียงลมพัดหวีดหวิดอยู่ในหูข้า ฟังดูเศร้าหมองราวกับกิ่งไม้แห้งเสียดสีกันในฤดูฝนมืดทึม มือของใครบางคนลูบผ่านแก้มของข้าแผ่วเบา ความรักอาดูรท่วมท้นในสองมือนั้น ข้าควรจะไร้ตัวตนไปแล้วแท้ๆ เป็นแค่ดวงวิญญานล่องลอยไร้จุดหมายดวงหนึ่ง แต่อุณหภูมิของน้ำตาที่หยดผ่านแก้มเย็นเฉียบกลับบ่งบอกให้ข้ารู้ว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่
สองมือนั้นหยุดเหนือคิ้วข้า ลูบเบาๆ อย่างรักใคร่เป็นนักหนา
กลิ่นไอฝนและกลิ่นดินคละคลุ้งฉุดดึงข้ากลับสู่โลกแห่งชีวิต ข้าผวาสะดุ้งตื่นขึ้น ได้ยินเสียงนกร้องแสบแก้วหู ภาพแรกที่เห็นคือแท่นสักการบูชาฝุ่นเขรอะ ภาพสุดท้ายที่ข้าเห็นก่อนที่จะตาย
ตาย…?
ข้าก้มลงมองมือตัวเอง เห็นเศษดินฝังอยู่ในซอกเล็บ มือที่เคยขาวสะอาดเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น จากนั้นก็มองสำรวจตนเอง กลิ่นคาวเลือดเก่าเก็บโชยเข้าจมูก มือของข้าสั่นสะท้าน เห็นวงเลือดสีแดงย้อมอยู่เต็มหน้าอก มีดที่ควรจะปักทะลุออกข้านอนนิ่งอยู่ที่พื้นอย่างสิ้นสภาพ สนิมสีเข้มจับเกรอะกรังอยู่บนนั้น
ทำไม...ข้าถึงยังไม่ตาย
ข้าผวาลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินตรงไปที่แท่นบูชาตรงหน้า แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากเบื้องบนจนมองเห็นละอองฝุ่นลอยเรี่ยอ้อยอิ่งอยู่กลางอากาศ ข้ามองมันอย่างเหม่อลอย ในหัวว่างเปล่า
หรือเทพเจ้าคืนชีวิตให้กับข้า?
ข้าหลับตาแน่น พอนึกถึงการทรยศของพระปิตุลา ใจข้าก็เจ็บแปลบขึ้นมา เป็นความเจ็บปวดที่ไม่เคยประสบมาก่อน หัวใจราวกับถูกแทงทะลุ ข้าปาดน้ำตาที่ไหลออกอย่างลวกๆ ด้วยหลังมือ ความหวาดระแวงพลันแล่นเข้ามาเต็มอก ข้านึกขึ้นมาได้ว่าเจ้าคนต่ำทรามที่ฆ่าข้าอาจจะยังอยู่แถวนี้ก็เป็นได้ ข้าหยิบมีดสั้นที่นอนอยู่บนพื้นขึ้นมา
ข้าหยิบมันขึ้นมาถือไว้กับอก คราบสนิมหยาบๆ บนด้ามบาดฝ่ามือข้าเล็กน้อย แต่ความตึงเครียดในใจมีมากกว่า ข้าก้าวยาวๆ ไปยังแท่นสักการะบูชา หวังจะใช้ความสูงของมันเป็นที่กำบังคอยสังเกตการณ์
กลิ่นเหม็นเน่าลอยโชยเข้ามาในจมูกทันที
ข้าผงะถอยไปข้างหลัง น้ำตาเอ่อขึ้นมาอีกรอบเพราะกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงนั่น กลิ่นเหม็นนั่นเหมือนหนอน พยายามจะชอนไชเข้ามาในร่างข้า ข้าเบิกตามองภาพตรงข้าอย่างขยะแขยงสุดขีด
ศพของชายคนหนึ่งนอนอยู่ตรงนั้น ร่างของเขาเหลือแต่กระดูกขาวโพลน แต่ยังมีเนื้อหนังแห้งกรังห้อยติดอยู่ เสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ บนโครงกระดูกพัดไปตามแรงลม ใบหน้าของเขาถูกแทะกินจนไม่เหลือแล้ว เห็นกระดูกกรามและเบ้าตาสีขาววาววับที่โผล่ออกมาสะท้อนกับแสงอาทิตย์ ข้ายกมืออุดปาก รู้สึกถึงอาเจียนเปรี้ยวๆ ขมๆ ที่ขึ้นมาจุกที่คอ แต่เพราะลำไส้ข้าว่างเปล่า ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายวัน ข้าจึงทำได้เพียงอาเจียนๆ แห้งลงที่ข้างเท้าศพนั้น
ข้าไม่เคยเห็นศพเน่าเปื่อยกับตามาก่อน เชื้อพระวงศ์และสนมทุกคนต่างถูกฝังลงดิน ไม่มีทางเผยสภาพน่าอเนจอนาถเช่นนี้ให้ใครเห็น ข้าเคยนึกว่าตนเองใกล้ชิดความตายมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่พอเห็นมันตรงหน้าเข้าจังๆ เข้าก็ทนไม่ได้อยู่ดี
ข้าเบือนหน้าหนี ไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป ฉับพลันหางตาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างข้างๆ ร่างนั้น มันคือถุงสัมภาระกับดาบที่ขึ้นสนิมเล่มหนึ่ง ข้าพุ่งเข้าไปคว้ามันขึ้นมา
“....เป็นไปไม่ได้” ข้ามองดาบเล่มนั้น ความเข้าใจอะไรบางอย่างเริ่มผุดขึ้นมา
เสียงหวีดดังอื้ออึงอยู่ในหู แต่ข้าตระหนักว่านั่นคือเสียงหัวใจของข้าเอง มันเต้นระรัวราวกับนกตีปีกอยู่ในกรงขัง ข้าค่อยๆ ยกดาบนั้นขึ้นมาดู เพ่งผ่านคราบสนิมบนนั้น ไปจนถึงโกร่งดาบและสัญลักษณ์อันคุ้นเคย
ตราประจำกองทหารรักษาพระองค์…
ข้าทิ้งดาบลงบนพื้น มันส่งเสียงเคร้งดังลั่นอยู่ในโถงวิหารไร้ผู้คน แต่ข้าไม่สนใจ เข่าของข้าอ่อนยวบจนต้องทรุดลงไปกับพื้นอีกรอบ ข้ามองศพที่นอนอยู่เบื้องหน้า จากนั้นก็เริ่มสังเกตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ตนเองไม่ทันเห็นมาก่อน
พู่สีแดงสดใสที่ประดับอยู่ข้างเอวนั่น
ข้ามองเขาอย่างเหม่อลอย มองโครงร่างขาวโพลนบนพื้นวิหารนั่น จากนั้นก็มองฝ่ามือของตนเองอีกรอบ บนมือนั้นยังอ่อนเยาว์ ไร้ร่องรอยแห่งกาลเวลา แต่ข้ากลับรู้สึกถึงเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมาในใจ
แท้จริงแล้วข้า ‘ตาย’ ไปนานเท่าใดกันแน่?
ข้าเดินลากสังขารออกมาจากวิหารร้าง ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไหร่ สองข้าของข้าสั่นระริก ข้าไม่คุ้นชินกับการเดินในป่า บางครั้งรากไม้ก็ยื่นออกมาขัดขาจนข้าแทบล้มลงไปอีกรอบ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ลำต้นสูงชะลูดมืดทึมเรียงรายเต็มไปหมด จิตใจของข้ายังรู้สึกบอบช้ำจากสิ่งที่รับรู้ได้ในวิหารร้างนั่น ข้ากระชับเสื้อเนื้อหยาบเปื้อนเลือดแน่นขึ้น จากนั้นก็ค่อยเดินต่อไป
รองเท้าคือสิ่งเดียวที่ข้าไม่ได้เปลี่ยน ยังคงเป็นรองเท้าคู่โปรดจากพระราชวังทองคำ มันไม่ได้ปกป้องฝ่าเท้าของข้าเลยสักนิดเดียว ความปวดแสบปวดร้อนที่ไม่เคยประสบมาก่อนทำให้ข้ากัดฟันแน่น
แต่อย่างไรก็ห้ามหยุดเดิน...ข้ายังไม่อยากเป็นอาหารสัตว์ป่า
อาการโดยรอบหนาวจับใจ มันทะลุทะลวงเข้ามาในปอดของข้า ทำให้ปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง ข้ากัดฟันเดินต่อ แสงแดดฤดูหนาวอ่อนแสงลงแล้ว อีกไม่นานก็คงจะมืดสนิท
ข้าพลันหยุดชะงัก ความกลัวแล่นขึ้นมา
ข้าไม่เคยอยู่ในป่าคนเดียวยามกลางคืนมาก่อน
มีเพียงตอนติดตามพระบิดาไปล่าสัตว์ แต่ตอนนั้นมีองครักษ์เฝ้าคุ้มกันอยู่ตลอด ยามกลางคืนพระบิดายังสั่งให้มีวงดนตรีมาโหมประโคมจนดังสนั่นลั่นไปทั้งป่า จนกระทั่งพระปิตุลาบอกกับพระบิดาว่าฝูงสัตว์คงตกใจหนีไปหมดแล้วนั่นล่ะ พระบิดาจึงหยุด จากนั้นพระปิตุลาก็มาอุ้มข้าขึ้นไปนั่งบนตัก เขาจรดปลายจมูกเขากับข้าเข้าด้วยกัน
“คืนนี้ใครไม่ได้ล่าสัตว์” เขาทำเสียงเล็กเสียงน้อยหยอกล้อข้า “ห้ามกินเนื้อ! ”
ความทรงจำอันเจ็บปวดทำให้ข้าน้ำตารื้น ข้าฝืนใจขยับไปข้างหน้าอีก ถึงฝ่าเท้าจะชาด้านแถมยังเต็มไปด้วยเลือดแล้วก็ตาม รอบด้านมืดลงจนแทบมองไม่เห็นอะไร ข้านึกได้ว่าต้องล้างเท้า ไม่อย่างนั้นสัตว์ป่าจะตามกลิ่นเลือดมา
โชคดีที่ข้างหน้ามีลำธารพอดี
ข้าลากสังขารไปถึงตรงนั้น พอชะโงกลงมองสภาพตัวเองในน้ำ ก็ชะงักกึก
…
“ไม่…” ข้าพ่นลมหายใจ ยกมือขึ้นแตะใบหน้าตนเอง “เป็นไปได้อย่างไร…”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งจ้องกลับมา ใบหน้าของเขาคือใบหน้าของข้า ทุกองคาพยพเป็นเหมือนเดิม แต่สิ่งเดียวที่ต่างออกไปคือ...สีผม ผมของข้าเคยเป็นสีดำสนิท แต่ตอนนี้มันกลายเป็นสีขาวไร้ชีวิตทั้งหัว ข้าไม่เคยเห็นอะไรวิปริตขนาดนี้มาก่อน ทำได้แต่ยืนเบิกตาจ้องมองสภาพตนเองที่เหมือนวิญญาณอย่างตกใจ
ข้าเคยเห็นคนที่ผมขาวทั้งหัวเพียงไม่กี่คน และคนเหล่านั้นต่างก็เป็นคนแก่ใกล้ตาย
ข้าผวาจนล้มลงนั่งริมลำธาร ทำได้แต่จ้องมองตัวเอง ข้าไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี ทุกอย่างมันประดังประเดเข้ามามากเกินไป เลยยกมือปิดหน้าตัวเองเหมือนคนเสียสติ ความบ้าคลั่งผุดขึ้นมาจากในอก ข้านอนคุดคู้อยู่อย่างนั้นนานสองนาน
ข้ากลายเป็นคนแก่ไปแล้วหรือ หรือว่าข้ากำลังจะตาย แต่ใบหน้าข้ายังเหมือนเดิมไม่ใช่หรือ หรือนี่คือสัญญาณจากทวยเทพ
ข้าหันกลับไปมองวิหารสีขาวที่เห็นอยู่ไกลลิบ ๆ
หรือข้าไม่ควรรอดตาย…?
ข้าคลานไปที่ริมลำธาร จุ่มหน้าลงในน้ำ ความทรมานไม่คุ้นเคยหลั่งไหลเข้ามาในปอด ข้าจำได้ว่าเคยจมน้ำตอนเด็ก ๆ ในอ่างน้ำ แต่เหตุการณ์นั้นจบด้วยการที่ข้ารับใช้ที่ทำข้าจมน้ำโดนเฆี่ยนจนตาย ส่วนอ่างน้ำก็เปลี่ยนเป็นถังน้ำและผ้าเช็ดตัวแทน ข้ากระพริบตา จากนั้นก็รีบผุดลุกขึ้นจนเวียนหัวไปหมด
ข้าทำไม่ได้
ข้าต้องเอาชีวิตรอดต่อไป เอาชีวิตรอดต่อไป จนกว่าจะ…
เสียงในหัวข้ากระซิบ จนกว่าอะไรล่ะ
ข้าหลุดสะอื้นออกมาเหมือนคนเสียสติ กลิ่นคาวเลือดบนเสื้อลอยเข้าจมูก ข้าลุกขึ้น ลากเท้า เดินต่อไป จับต้นไม้เพื่อพยุงตัว ไม่รู้ว่าทิศทางไหนคือจักรวรรดิลินเดเรียกันแน่ แต่ข้าแค่ต้องก้าวต่อไป
เหตุการณ์ทุกอย่างผ่านไปเหมือนภาพเบลอ ๆ ข้าคว้าทุกอย่างที่กินได้ขึ้นมาประทังชีวิต ทั้งรากไม้ น้ำในลำธาร สมุนไพร ข้าทำได้แต่ลากสังขารต่อไป
โชคดีที่เริ่มล่วงเข้าฤดูหนาว สัตว์ป่าถึงได้เริ่มจำศีล แต่เพราะสัตว์ป่าจำศีล ข้าถึงไม่มีอะไรกินด้วย ข้าไม่คุ้นชินกับการเอาชีวิตรอดในป่า เท้าของข้าโดนหินและไม้บาดจนเป็นแผลพุพอง สุดท้ายข้าก็...เดินไม่ได้อีกต่อไป
หิมะเริ่มตก
พอหิมะเริ่มตก ข้าก็ต้องโยนรองเท้าทิ้งไปเพราะน้ำไหลซึมเข้ามาจนกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง ข้าเดินเท้าเปล่าอยู่ท่ามกลางหิมะ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ สุดท้ายก็ล้มลงกับพื้น
พอเดินไม่ได้ ข้าก็คลาน
ข้า ซีริล รัชทายาทแห่งลินเดเรีย คลานอยู่กับพื้นเหมือนสัตว์ป่า
ข้าไม่รู้ว่าตัวเองขยับไปได้นานเท่าไหร่ แต่ว่าอากาศหนาวมาก ข้าไม่อยากหายใจเข้าไปอีกแล้ว แต่ท้องข้าร้อง ต้องใช้เวลานึกสักพักจนกว่าข้าจะนึกออกว่านั่นคือความหิว ข้าไม่เคยสัมผัสความรู้สึกท้องว่างโหวงนี้มาก่อน แต่สมุนไพรโดนหิมะทับถมไปหมดแล้ว ผลไม้ก็ไม่ได้งอกงามขึ้นมาอีกแล้ว
ข้าคว้าทุกอย่างที่กินได้ขึ้นมากิน แม้กระทั่งรากไม้ประหลาดที่สีสันดูไม่เหมือนของกิน
ภาพเบื้องหน้าเริ่มกลายเป็นภาพซ้อนหลาย ๆ ภาพ ข้าเริ่มเห็นเงาร่างสีขาว ๆ ยืนแอบมองข้าอยู่ตามต้นไม้ ข้าได้ยินเสียงหัวเราะกับเสียงเด็กทารกร้อง ตระหนักว่าเงาเหล่านั้นกำลังคุยกัน จ้องมองข้าอย่างนึกตลก ข้าอยากจะคว้าพวกมันมาให้หมด ฆ่ามัน ควักตามัน ไม่ให้มันมองมาที่ข้าอีก
มีแต่ตอนที่ฤทธิ์สมุนไพรพวกนั้นจางหายไป โลกของข้าถึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
แต่ข้าไม่มีทางเลือก ข้าต้องคว้าสมุนไพรเหล่านั้นมากินต่อ ยิ่งกินอาการก็ยิ่งหนักข้อ แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่เติมเต็มท้องของข้าได้และทำให้ข้าไม่อดตาย ดังนั้นข้าถึงต้องกินต่อไป แม้กระทั่งเลือดกำเดาเริ่มไหลออกจากจมูกก็ตาม
เสื้อผ้ากลายเป็นแค่เศษขาด ๆ บนร่าง คราบเลือดบนนั้นกลายเป็นคราบสกปรกสีดำที่มองไม่ออก
เรี่ยวแรงทั้งหมดของข้าสูญหายไปตรงนี้นี่เอง เสียงร้องไห้ของเด็กทารกเงียบหายไปนานแล้ว ข้าไม่รู้ว่าเงาพวกนั้นไปทางไหนแล้ว รับรู้ได้แค่นัยน์ตาแห้งผากของตนเอง ทุกส่วนในร่างกายข้าส่งเสียงประท้วง บาดแผลบนมือเต้นตุบ ๆ ข้าคิดว่ามันติดเชื้อเข้าเสียแล้ว
แม้กระทั่งร่างกายข้ายังทรยศข้า
ข้าแนบหน้าลงกับน้ำแข็ง รู้สึกว่าใบหน้าโดนแผดเผาไม่ต่างจากถูกไฟแนบ ข้ากลั้นใจโงศีรษะขึ้น หวังให้ผืนน้ำแข็งบางๆ ทำให้ร่างกายชาจนไม่รู้สึกอะไรได้บ้าง
ข้าได้ยินเสียงถอนใจข้างหูอีกครั้ง เงาดำ ๆ จากดงไม้ทอดยาวเหนือร่าง เหมือนมีคนชะโงกมองอยู่
หลังเปลือกตาข้าคือภาพของดวงอาทิตย์อัสดงตัดกับท้องฟ้ายามค่ำคืน เป็นสีสันนุ่มนวลละมุนตา
หิมะค่อยๆ ตกลงมาทับถมตัวข้า อบอุ่นอ่อนโยน เหมือนอ้อมกอดของพระปิตุลาในครั้งกระนั้น
ข้าพริ้บตาหลับลง ถ้าได้อยู่อย่างนี้ตลอดไปก็คงดี
จะมีสักครั้งไหมที่ข้าจากลาโลกนี้ไป--ขณะยังเป็นที่รักของใครสักคน?
ข้าฝัน
“สรรพสิ่งในโลกนี้มีครรลองของมัน ซีริล”
ข้าเงยหน้ามอง ความรู้สึกในยามนี้ช่างอบอุ่นนุ่มนวลเหลือเกิน ข้านั่งอยู่บนตักของพระปิตุลา เขาลูบไรคิ้วของข้าเบาๆ อย่างทะนุถนอม เส้นผมยาวของเขาปรกลงบนหน้าผากของข้า ชวนให้รู้สึกจั๊กจี้ขึ้นมาอย่างแปลกๆ
“พระปิตุลา ข้าไม่เข้าใจ”
พระปิตุลาลูบผมข้า
“เทพเจ้าเลือกสรรทางให้พวกเรา” พระปิตุลาพูดเสียงแผ่ว “เจ้าเกิดมาเป็นจักพรรดิ เป็นชนชั้นที่เหนือกว่า คนบางคนเกิดมาเพื่อรับใช้เจ้าเท่านั้น ต่อให้ตายไปก็ไม่มีใครเห็น แต่ชีวิตเจ้าคือชีวิตที่เจิดจรัสที่สุด แสงของเจ้าจะส่องเหนือชีวิตใครในทวีปนี้”
ปลายนิ้วเขาแตะลงบนเปลือกตาข้า เขาจ้องข้าด้วยสายตาพิศวงงงงัน เหมือนเห็นสิ่งบริสุทธิ์ทุกอย่างในโลกหล้าประกอบขึ้นมาเป็นตัวข้าเพียงคนเดียว ข้ารู้ว่าเขากำลังจ้องมองนัยน์ตาของข้า นัยน์ตาของข้าสีไม่เหมือนชาวลินเดเรียทั่วไป มันเป็นสีเขียวน้ำทะเลเหมือนมหาสมุทร สิ่งเดียวที่เหลือรอดมาจากพระมารดาของข้า
“ซีริล...ซีริล...” เขาพึมพำชื่อข้า จากนั้นก็ประทับจุมพิตลงบนหน้าผากข้าอย่างอ่อนโยน “ข้าจะไม่ปล่อยให้อันตรายใดๆ แผ้วพานเจ้า หลานชายที่รัก ข้าจะปกป้องเจ้าไปตลอดกาล”
ในความฝัน ข้ายิ้มให้เขา ได้กลิ่นดอกไม้หอมเอียนลอยมา เก่าแก่เหมือนสีซีดจางของความทรงจำครั้งนั้นพระปิตุลายิ้มกลับให้ข้า มือเขาโอบอุ้มข้าไว้ นัยน์ตาของเขาโค้งขึ้น งดงามเหมือนภาพฝัน เป็นดวงจันทร์บนชั้นฟ้า
เขาเป็นโลกทั้งใบของข้า
แต่เขาโกหก! โกหก โกหก!
ความฝันของข้ากลายเป็นดำมืดอีกครั้ง ข้าเห็นนัยน์ตาของใครบางคนจ้องมองมา ข้าไม่รู้จักนัยน์ตาคู่นั้น แต่เขามองข้าเหมือนรู้จักมานานแล้ว ข้าไม่สนใจเขา แต่เขาจับคางข้ากลับไป บังคับให้ข้ามองหน้าเขาอยู่อย่างนั้น
ข้าเห็นหน้าเขาแล้ว
ข้ารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พบว่าตนเองนอนอยู่หน้าเตาผิง เงาตะคุ่มๆ เงาหนึ่งหมอบอยู่ที่ปลายเท้าของข้า จ้องตรงเข้าไปในกองไฟ ข้าผุดลุกขึ้นนั่งทันที ผ้าห่มขนสัตว์หยาบๆ ที่คลุมตัวไว้ไหลลงไปกองกับพื้น ความระแวดระวังพลุ่งพล่านขึ้นในจิตใจ แต่การขยับตัวนั้นกะทันหันเกินไป ชายโครงข้าพลันปวดแปลบขึ้นมา เจ็บจนข้าไม่อาจกลั้นเสียงร้องของตนเองไว้ได้
“อึ่ก! ” ข้างอตัวลง รู้สึกได้ถึงน้ำตาที่ไหลซึมจากหางตา
เงาร่างนั้นขยับไหว สุดท้ายข้าก็ได้เห็นว่ามันคืออะไร
ลูกสุนัขป่า
มันมีนัยน์ตาสีอำพันเป็นประกาย ดูฉลาดเฉลียวไม่เบา แต่ขนสีเทารอบตัวของมันดูขาดรุ่งริ่งน่าสมเพช ข้านิ่งอึ้งไป ไม่เคยเห็นลูกสุนัขป่าที่อัปลักษณ์ขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ข้าขยับออกห่างมันอย่างหวาดระแวง ลูกสุนัขป่าตัวนั้นคลานตามมา ส่งเสียงครางงี้ดๆ ในลำคอ
“เจ้า” ข้าเค้นเสียงลอดไรฟัน ถึงจะไม่แน่ใจว่ามันจะฟังรู้เรื่องหรือไม่ก็ตาม “ออกไป”
มันนิ่งเงียบไป แต่ยังปีนขึ้นมาตามขาข้า ข้าก้มมองมัน ใจเต้นรัวแรงไปหมด ส่วนหนึ่งเพราะพระบิดาไม่เคยให้ข้าจับลูกสัตว์ใดๆ ก็ตามตั้งแต่ตอนที่ข้ายังเด็ก กระต่ายของสนมนางหนึ่งเผลอข่วนข้าจนเลือดซิบ สุดท้ายมันก็ต้องจบชีวิตลงในหม้อต้มในโรงครัว สัตว์ทุกตัวที่อยู่ในอุทยานหลวงก็ถูกถอดเขี้ยวถอดเล็บออกจนหมด
ข้าไม่เคยมีประสบการณ์กับสัตว์มาก่อน อย่าว่าแต่สัตว์ป่าเลย... ข้ามองเข้าไปในดวงตาเฉลียวฉลาดของมัน เหมือนกับเห็นประกายออดอ้อนเบาบางสะท้อนอยู่ในนั้น มันปีนขึ้นมาตามตัวของข้า ข้านั่งตัวแข็งทื่ออย่างหวาดกลัว ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าจะถีบมันออกไปหรือไม่ดีนั่นเอง...
มันกางเล็บ
ความเจ็บแล่นขึ้นมาทันที ข้าสะบัดขา เหวี่ยงมันออกไป ลูกสุนัขป่าตัวนั้นกระเด็นออกไปที่มุมห้องในทันที ข้าลุกพรวดพราดขึ้นอย่างตกใจ แต่อารามหน้ามืดทำให้ล้มพับลงไปนั่งใหม่อีกรอบ วินาทีนั้นเอง ลูกสุนัขป่าก็กระโจนเข้ามา ข้านึกว่ามันคิดจะแก้แค้นเลยยกเท้าขึ้น เตรียมจะถีบมันออกไปอีกครั้ง แต่คาดไม่ถึงว่ามันกลับทำเพียงแค่คลานเข้ามาใกล้ๆ จากนั้นก็เลียเลือดที่ซึมออกมาจากปากแผลของข้าจนแทบไม่เหลือสักหยด
สกปรกที่สุด
“....” ข้าควรจะทำอย่างไร
เจ้าลูกสุนัขป่าหยุดเลีย มันมองข้าอีกแล้ว ข้าชักเท้าหนีอย่างรังเกียจ จ้องมองรอบข้างด้วยแววตาระมัดระวัง
ดูเหมือนว่าข้าจะอยู่ในกระท่อมไม้แห่งหนึ่ง สภาพทุกอย่างโกโรโกโสเกินจะบรรยาย หมอนและผ้าห่มรอบตัวข้ามีกลิ่นอับชื้นและกลิ่นเหม็นร้ายกาจ
ข้ายกมือปาดแก้มแรงๆ ยิ่งดมกลิ่นเหม็นนั้นก็ยิ่งนึกอยากจะร้องไห้ แต่ข้าจะอ่อนแอไปให้มันได้อะไรขึ้นมา คราบเลือดติดมาตามหลังมือ ข้าหลุบตามองลูกสุนัขป่าตัวนั้นตาเขียว ข้าคิดไปเองหรือเปล่าว่ามันเข้ามาใกล้ขึ้น
“ออกไป” ข้าพูดเสียงต่ำ “ไม่อย่างนั้นข้าจะโยนเจ้าเข้ากองไฟ”
ลูกสุนัขป่าสีเทาทำเสียงขู่ต่ำๆ ในลำคอ
ใครบางคนกระชากประตูเปิดเข้ามากะทันหัน ข้าตัวแข็งทื่อ รีบหันไปมองในทันที ทันเห็นชายฉกรรจ์คนหนึ่งก้าวยาวๆ เข้ามาในห้อง จากนั้นก็พูดด้วยเสียงดังสนั่นอย่างน่ารังเกียจ
“ไอ้หนู ตื่นแล้วหรือ! ”
ข้าเม้มปากแน่น ไม่ยอมตอบ
ชายคนนั้นถือวิสาสะก้าวเข้ามา ข้าถดตัวหนี แต่ก็ไม่อาจพ้นมือเขาไปได้ เขาคว้ามือข้าไป กดลงบนแผลเแรง ๆ
“อ๊า! ” ข้าร้องขึ้นมา ชักมือออกทันที เขาหัวเราะหึๆ ในลำคอ ข้าถลึงตามองกลับอย่างเคียดแค้น
ชายคนนั้นทำเสียงเดาะลิ้นในลำคอ เขาแตะไปตามส่วนต่างๆ บนร่างกายข้าด้วยฝ่ามือยุ่มย่ามน่ารำคาญนั่น ข้าพยายามหลบหลีกมือของเขา แต่ร่างกายก็ไม่เป็นใจเอาเสียเลย
“ไสหัวไป เจ้าเป็นใคร” ข้าตะคอก “เจ้าถือสิทธิ์อะไรกัน! ”
“ลูกเต้าเหล่าใครล่ะนี่” อีกฝ่ายมองข้า “รู้ไหมว่าข้าช่วยชีวิตเจ้า”
ข้าหุบปากฉับทันที มองเขาแน่นิ่ง
“เจ้าช่วยชีวิตข้า? ”
ชายคนนั้นง่วนอยู่กับการเปลี่ยนผ้าพันแผล แต่เขาก็ตอบเสียงงึมงำในลำคอ “นี่ถ้าข้าไม่ไปเจอเจ้าล่ะก็ ป่านนี้เจ้าคงกลายเป็นจับไปเป็นทาสในไร่ ในเหมืองแร่ ไม่ก็โดนสัตว์ป่าคาบไปกินนานแล้ว”
ข้าชายตามองเขา “เจ้าเป็นนายพรานหรือ”
อีกฝ่ายพยักหน้า ข้าเริ่มมีความรู้สึกดีต่อเขาขึ้นมาบ้าง แต่ถึงอย่างนั้น…
ข้าชี้ไปที่ลูกสุนัขป่า “สัตว์เลี้ยงของเจ้าน่ารำคาญเหลือเกิน เอามันออกไป”
คราวนี้อีกฝ่ายมีสีหน้างุนงง “สัตว์เลี้ยงของข้า? มันเป็นของเจ้าไม่ใช่หรือ”
ข้ามองมันอย่างเย็นชา ลูกสุนัขป่าตัวสีเทากะรุ่งกะริ่ง ท่าทาง...โง่ๆ อย่างนี้น่ะหรือ จะเป็นสัตว์เลี้ยงของข้า? ม้าศึกยังต้องคัดแล้วคัดอีก แล้วสุนัขขี้เรื้อนนี่เอาอะไรมาเป็นสัตว์เลี้ยงของข้า
“ไม่ใช่” ข้าขัดอย่างเย็นชา “เอามันออกไปให้พ้นหน้าข้า”
ข้าเผลอออกคำสั่งไปด้วยความเคยชิน พอรู้ตัวอีกทีก็เห็นนัยน์ตาของชายคนนั้นมองมาที่ข้า ดูตะลึงอยู่บ้าง เขามองข้าอย่างครุ่นคิด
ข้าชะงักไปในทันที มองเขากลับด้วยความระแวดระวัง ชายหนุ่มสังเกตเห็นอะไรเข้าหรือเปล่า...หรือเขาจะรู้ว่าข้าเป็นเจ้าชายรัชทายาท ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนของพวกกบฏล่ะ? แต่...ไม่มีเหตุผล นายพรานธรรมดาไม่น่ามีเส้นสายไปถึงระดับนั้นหรือรู้จักหน้าข้าได้
ชายคนนั้นแบมือในอากาศ “...มันไม่ใช่ของข้า เจ้าก็เอามันไปปล่อยสิ”
ลูกสุนัขป่ามองข้า หูตกหางลู่ ข้าปวดหัวขึ้นมาทันที
“เจ้าเป็นใครกัน ข้าอยู่ที่ไหน” ข้าเบือนหน้ามองชายคนนั้น ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องแทน
ชายหนุ่มคนนั้นยื่นกระบอกน้ำให้ข้า ข้ารับมันมาถือไว้เฉยๆ มองคราบสีดำที่ฝังลึกลงไปในเนื้อไม้อย่างรังเกียจ ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวอะไร ทำเพียงชำเลืองมองข้า ก่อนจะนั่งลงข้างหน้าเตาผิง
“ข้าชื่อกรันฟอร์ธ ที่นี่คือหมู่บ้านอูแบร์วิลล์” เขาแนะนำตัว “ข้าเก็บพวกเจ้าได้ตอนออกไปตัดฟืน โชคดีที่ข้าเจอเจ้าพอดี! ”
ข้าไม่รู้จักสถานที่แห่งนี้ “อูแบร์วิลล์….ยังอยู่ในเขตจักรวรรดิลินเดเรียหรือไม่”
ชายตัดฟืนมองข้าเหมือนเห็นคนประหลาด “ลินเดเรีย? จักวรรดิเก่าน่ะหรือ สิบกว่าปีที่แล้วก็อาจใช่ แต่ตอนนี้อูแบร์วิลล์ขึ้นตรงกับท่านลอร์ดสักคนที่จักรวรรดิส่งมากระมัง”
หัวใจข้าเต้นโลกขึ้นในอกในพริบตา ข้ายืดตัวขึ้น เบิกตามองเขา
“จักรวรรดิ? เจ้าพูดราวกับว่าจักรวรรดิลินเดเรียยังไม่ล่มสลาย! ”
ชายหนุ่มยกมือเกาแก้ม
“เอาจริงๆ จักรวรรดิลินเดเรียจะล่มหรือไม่ล่มแล้วอย่างไร” เขาพึมพำ “ถึงอย่างไรชีวิตแถบนี้ก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายเสียหน่อย ก็แค่เปลี่ยนคนถืออำนาจ ตอนนี้พวกอาเบอร์ดีนครองราชสำนักอยู่ แต่เจ้าจะสนใจเรื่องนั้นไปทำไม มันก็แค่การแก่งแย่งดินแดนของพวกเหนือหัวนู่น ชาวบ้านอย่างพวกเราใช้ชีวิตไปก็พอแล้ว ชีวิตตอนนี้ยังสบายกว่าแต่ก่อนเสียด้วยซ้ำ ไม่ต้องโดนลากไปเป็นทหาร”
ข้ามองเขาด้วยใบหน้าซีดเผือด
อาเบอร์ดีน…..
นั่นคือนามสกุลของตระกูลฝั่งพระบิดาไม่ใช่หรือ
ตามธรรมเนียมแล้ว มีเพียงจักรพรรดิและผู้สืบราชสันติวงศ์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ใช้นาม ลินดาริเนีย ต่อท้าย สื่อถึงเกียรติยศระดับสูง พระบิดาไม่ได้โชคดีเหมือนกับข้า พระองค์ต้องแก่งแย่งชิงดีกับองค์ชายคนอื่นๆ เหยียบย่ำเลือดเนื้อพี่น้องมาไม่รู้เท่าไหร่จนกว่าจะได้เป็นรัชทายาท มีเพียงพระปิตุลาเพียงคนเดียวที่อยู่ข้างเขา จนในที่สุดพระบิดาก็เถลิงราชสมบัติได้สำเร็จ พระองค์จึงเปลี่ยนนามสกุลเป็นลินดาริเนียได้สมใจปรารถนา ข้าที่เป็นเจ้าชายรัชทายาทเพียงคนเดียวก็ได้นามนั้นตามไปด้วย
แล้วใครกันที่ครองราชสำนักอยู่ตอนนี้...หรือว่าจะเป็น….
ชายคนนั้นมองข้าด้วยความสนใจ
“เจ้าหน้าซีด เป็นอะไรหรือ” เขาพูด “ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว”
“ข้าต้องการรู้ว่าใครปกครองจักรวรรดิลินเดเรียอยู่ตอนนี้” ข้าพูดเสียงแผ่ว ชายคนนั้นขยับกายเข้ามาใกล้ ชะรอยว่าเขาคงไม่ได้ยิน
“เจ้าว่าอะไรนะ”
“ใคร-” ข้าเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก “-คือ-กษัตริย์! ”
ชายคนนั้นมองข้า นิ่งอึ้ง
“เจ้าไม่ได้ฟังที่ข้าพูดหรือ” เขาพูดอย่างงุนงง “พวกอาเบอร์ดีน ตอนนี้ไม่มีกษัตริย์อะไรทั้งนั้น ราชสำนักวุ่นวายมานานแล้ว ตั้งแต่พวกนายพลทำรัฐประหารเมื่อห้าปีก่อน -- เรื่องนี้แม้แต่เด็กอายุห้าขวบยังรู้”
จู่ๆ ชายคนนั้นก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรออก
“โอ้ แต่ว่า…” เขาพึมพำ “ดูเหมือนไม่นานมานี้มีข่าวใหญ่ จักรวรรดิลินดาริเนียประกาศว่าพบตัวเจ้าชายรัชทายาทที่หายตัวไปแล้ว”
เลือดทั้งหมดในตัวข้าพลันกลายเป็นน้ำแข็ง ข้าคล้ายได้ยินเสียงอื้ออึงอยู่ในหู ข้าพึ่งรู้ตัวนี่เองว่ามือของข้า--ไม่สิ--ทั้งร่างของข้าสั่นสะท้านไปหมด ข้าจ้องมองไปที่เขาอย่างงงัน ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดออกมา
“เจ้าชาย...รัชทายาท? ”
“ใช่” ชายหนุ่มทำหน้านึก “ดูเหมือนจะมีพระนามว่าซีริล ลินดาริเนีย? ”
เป็นไปไม่ได้!
“โกหก” ข้าได้ยินเสียงตัวเองพูดออกไป “โกหก ไม่จริง เจ้าโกหก…”
ข้ายกมือขึ้นปิดหน้า นึกได้ว่าเวลาไหลผ่านไปแล้ว เส้นผมข้ากลายเป็นสีขาว ใครจะจำข้าได้อีก -- บางอย่างที่มีรสชาติเค็มปร่าเปียกชื้นสัมผัสริมฝีปาก ข้ายิ่งกดฝ่ามือเข้ากับเปลือกตาแน่นเข้า ราวกับหวังให้ความมืดมิดเบื้องหน้ากลบฝังสิ่งที่ได้ยิน
ข้าคือเจ้าชายรัชทายาท!
...ไม่ใช่หรือ?
“เขาอายุเท่าไหร่” ข้าถามออกไป เสียงแหบพร่า
“น่าจะยังหนุ่มแน่นกระมัง” ชายหนุ่มสังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของข้า เขาตอบอย่างระมัดระวัง เสียงก็เบาลงทุกที ข้าไม่รู้ว่าในหัวของเขามีจินตนาการเพ้อฝันอะไรอยู่ แต่ใครๆ ก็คงนึกไม่ถึงกระมังว่าเจ้าชายรัชทายาทผู้สูงส่งจะมานอนหมดสภาพอยู่ในกระท่อมกลางป่าเช่นนี้ “ได้ข่าวว่าก่อนหน้านี้เขานำทัพไปสู้กับอนารยชนทางใต้ด้วยนี่นา ก็ไม่น่าจะเด็กแล้ว”
ข้าแค่นหัวเราะเสียงขื่น
นั่นสินะ ใครจะเชื่อกันว่าข้าคือรัชทายาท
ข้าที่ไม่ได้แก่ลงเลยแม้แต่วันเดียว!
ข้ายังคงยกมือปิดใบหน้าตนเองไว้ ชายหนุ่มสังเกตได้ถึงสภาพอารมณ์ที่ไม่มั่นคงของข้า ข้าได้ยินเสียงของเขาพูดเบาๆ “...ข้าจะไปต้มน้ำ เดี๋ยวกลับมา” จากนั้นก็มีเสียงแง้มประตูเบาๆ ข้ารอจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในนั้นแล้ว จากนั้นจึงงอตัวลง
หยดน้ำตาไหลพรั่งพรูลงมาอาบหน้า ข้ามองเข้าไปในกองไฟอย่างเหม่อลอย
อะไรบางอ่อนนุ่มสัมผัสมือ ข้าก้มหน้าลง เห็นลูกสุนัขป่าตัวนั้นขยับเข้ามาใกล้ข้าเหมือนจะปลอบประโลม ข้าผลักมันออกไป ก้มลงกอดตัวเอง รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดทั้งภายนอกและภายใน ร่างกายของข้าสั่นสะท้านไปหมด
ข้ายกข้อนิ้วขึ้นกดที่ดวงตาอีกครั้ง กดจนเห็นดวงดาวสีขาววาบแล่นอยู่หลังเปลือกตา ข้าพยายามควบคุมลมหายใจ แต่ทำอย่างไรก็ทำไม่ได้เสียที ความปวดร้าวลึกๆ ในอกแทบจะกระจายไปทั่วร่าง เปลวไฟเบื้องหน้าให้ความอบอุ่นข้าไม่ได้แม้แต่น้อย
ซีริลที่รักของข้า ใครคนนั้นจุมพิตเรือนผมของข้า ไม่ว่าใครก็แทนที่เจ้าไม่ได้ เจ้าคือรัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิลินเดเรีย นคราเลอค่าแห่งสรวงสวรรค์ ทุกหนทุกแห่งสายตาเจ้าทอดมองไปคือดินแดนของเจ้า!
เขาทำได้อย่างไร
“ข้าจะตามหาท่าน” ข้าพึมพำกับตัวเอง ซบหน้าลงกับพื้น “ข้าจะแก้แค้น ข้าจะ…”
ทุกคำสัญญาของข้าส่งไม่ถึงพระปิตุลา มีแต่พื้นสกปรกท่านั้นที่ได้ยิน
นัยน์ตาข้าแห้งผาก ร้อนผ่าว จะเค้นน้ำตาออกมาอีกก็คงทำไม่ได้แล้ว มีเพียงข้าที่นอนหลั่งเลือดอยู่ตรงนี้กล้ำกลืนกับความอัปยศที่ข้าไม่ได้เป็นผู้ก่อ แต่จะให้ทำอย่างไร...
โลกที่เขาเคยกล่าวว่าเป็นของข้า...กลายเป็นของคนอื่นไปเสียแล้ว
Comments (0)