ดั่งแสงตะวันที่ปลายขอบฟ้า

 

2

 

ไม่มีใครที่สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ 100 เปอร์เซ็นต์

 

หลิววางน้องที่ร้องไห้โยเยไม่ยอมหยุดลงกับพื้น เขามองแม่ที่รีบวิ่งเข้ามาโอ๋น้องชาย หัวเราะเบาๆ แบบขอไปทีเมื่อดวงตาดุๆนั่นกวาดมองมา ก่อนจะรีบวิ่งหนีขึ้นไปบนห้อง ความจริงก็ไม่ใช่ความผิดอะไรของเขา แต่หากจะบอกว่าเขาไม่ผิดเลยนั้นก็คงจะไม่ใช่เช่นเดียวกัน เขารู้ว่าไม่ว่ายังไง น้องห็คงจะงอแงแน่นอนหากรู้ความจริง วันนี้ยังไงมันก็ต้องมาถึง แต่ก็นั่นล่ะ เขาแค่ไม่อยากให้มันมาถึงอย่างรวดเร็วจนเกินไปนัก เพราะก็อย่างที่เห็น การรับมือกับเด็กที่กำลังร้องไห้เป็นสิ่งที่ดูจะยากที่สุดในโลก

 

หากจะบอกว่าหลิวทำใจได้ที่จะย้ายออกจากบ้านแบบไร้เยื่อใย ทำใจได้แบบไม่เหลือความเสียใจหรือความรู้สึกใดๆ เลยก็เป็นเรื่องโกหก ความรู้สึกไม่มั่นคงและไม่แน่ใจยังมีหลงเหลือในหัวใจของเขา คงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะออกห่างจากอกแม่ และไปไกลจากบ้าน แม้ว่ามันจะเป็นแค่เพียงการเดินทางไปที่เมืองข้างๆ เท่านั้น แต่นั่นก็มากพอให้เด็กที่เพิ่งอายุแค่สิบห้า เกิดความหวั่นไหวในใจขึ้นมาได้ ต่อให้เขาจะทำเป็นเข้มแข็งมากเท่าไหร่ก็ตาม ลึกๆ แล้วหลิวรู้สึกได้ว่าเขาเองก็ไม่ได้ต่างไปจากน้อง ในใจของเขาเบาหวิว เหตุผลและอารมณ์ตีกันยุ่งเหยิง และต่อให้เขาจะยังยิ้มอยู่ก็ตาม แต่ในบางคราวหัวใจของเขาก็ร้องไห้โยเยไม่ต่างไปจากเฟยเอ๋อ และอยากจะเข้าไปออดอ้อนแม่ให้โอบกอดเขาสักหน่อย แต่อาจเพราะอายุที่มากขึ้น และความรับผิดชอบที่หนักอึ้งอยู่ในใจ ทำให้หลิวไม่ได้ทำเช่นนั้น

 

มันคงแปลกประหลาดไม่น้อยหากวันหนึ่งเขาพบคนที่สามารถโอบกอดตัวของเขาเอาไว้ได้ทั้งหมด ทั้งความรัก ทั้งความทุกข์ ความคาดหวัง สิ่งที่ดีและสิ่งที่แย่ ทุกสิ่งที่เป็นตัวตนของเขา คงแปลกประหลาดไม่น้อยหากวันหนึ่งคนคนนั้นปรากฏตัวขึ้น เหมือนดั่งเช่นเทพนิยายทั่วไปที่หาได้ตามท้องตลาด โอเมก้าที่ค้นพบอัลฟ่าของตัวเอง หากอยากได้ที่ดูเว่อกว่านั้นสักหน่อย ก็อาจจะบอกว่าเป็นคู่แห่งโชคชะตาของกันและกัน ตกหลุมรัก ร่วมรัก และร่วมชีวิตกัน ยอมรับกันและกันโดยไร้ข้อเงื่อนไข เอาจริงๆ แล้วมันสุดแสนจะไร้สาระและเป็นไปแทบไม่ได้ หลิวไม่คิดว่าจะมีคนที่สามารถตกหลุมรักกันโดยที่ไม่รู้จักกันมาก่อนได้หรอก อย่างน้อยๆ ก็ควรจะรู้ว่าคนที่เราจะฝากชีวิตเอาไว้ด้วย ทั้งสองฝ่ายเป็นคนอย่างไรไม่ใช่เหรอ ความเข้ากันได้ของเราคือเท่าไหร่กันแน่ หากรักกันแต่เข้ากันไม่ได้เลย จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดไปได้จริงๆ เหรอ แต่อาจเพราะเป็นเช่นนั้นก็ได้ มันถึงได้เรียกว่าเทพนิยาย

 

แม่ของเขาเองก็ได้พบกับอัลฟ่าของแม่แล้ว แม้ว่าจะไม่ใช่คู่แห่งโชคชะตาหรืออะไรก็ตาม แต่อัลฟ่าของแม่ก็เป็นคนดี คนที่รักแม่ และเข้าใจในตัวตนของแม่ เพราะฉะนั้นแล้วหลิวเองก็คิดว่านั่นก็ดูไม่แย่สักเท่าไหร่หรอก ต่อให้มันจะไม่เหมือนในเทพนิยายก็ตาม ..

 

ความจริงแล้วหลิวไม่เคยคิดถึงเรื่องของอัลฟ่าของเขามาก่อน แต่คงเพราะอายุที่มากขึ้น เข้าสู่ช่วงการเตรียมตัวเป็นผู้ใหญ่ มีบางครั้งเหมือนกันที่สมองของเขาจะเผลอไผล คิดไปถึงเรื่องเก่า ที่ผ่านมาเนิ่นนาน ในความยาวนานคล้ายกับภาพฝันอันเลือนราง หลิวคล้ายกับจะพบว่าเขามีอัลฟ่าของตัวเองแล้วคนหนึ่ง เด็กน้อยที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะอายุเกินสิบขวบคนนั้น คนที่เป็นฮีโร่ของเขา และสามารถโอบกอดตัวตนของเขาได้ตลอดเวลา แต่สิ่งเดียวที่หลิวจำได้จากความทรงจำ กลับไม่ใช่หน้าตา ไม่ใช่นิสัย หรือเสียง แต่กลับเป็นกลิ่นหอมของอีกฝ่าย เพราะเขาชอบมันเหลือเกินนั่นเอง

 

นั่นเพราะไม่มีใครอีกแล้วที่จะให้ความรู้สึกปลอดภัยและน่าโอบกอดเข้าไปเช่นเขา ไม่มีใครอีกแล้วที่ให้ความรู้สึกราวกับว่าพร้อมจะทอดทิ้งโลกทั้งโลกไปได้ มีเพียงเด็กชายคนนั้นเท่านั้น คนมที่เขาจะสามารถมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ และแบ่งปันความสุข แบ่งเบาความทุกข์ หรือความสนุกในแต่ละวันไปด้วยกัน คนที่สามารถทำให้เขารู้สึกเช่นนี้อาจมีเพียงแค่เด็กคนนั้นเท่านั้น บางทีหลิวก็คิดว่าเขาเพียงแค่ฝันไปตื่นหนึ่ง ไม่มีทางที่จะมีคนแบบนั้นอยู่ในโลกได้หรอก เขาอาจจะนำเอาละครที่แม่ชอบดู และนิทานที่เฟยเอ๋ออ่านตอนเด็กๆ พวกนั้นมาปั่นรวมกัน ถึงได้ให้กำเนิดเด็กชายที่เพียบพร้อมสำหรับเขาออกมา ซึ่งนั่นดูจะเป็นได้มากกว่าที่จะบอกว่าคนแบบเขาเคยพบกับอัลฟ่าเช่นนั้นจริง

 

ตั้งแต่จำความได้ หลิวไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากใครทั้งนั้น ส่วนมากแล้วเขาจะเป็นคนที่เข้าไปช่วยเหลือคนอื่นมากกว่า เขายังเคยช่วยเด็กที่กำลังจมน้ำอยู่ด้วย จำได้ว่าเด็กคนนั้นขอบคุณเขาใหญ่ และพ่อแม่ของเด็กคนนั้นก็ส่งของขวัญมาให้เขาไม่ขาดสายอยู่ตั้งเป็นเดือน เพราะฉะนั้นแล้วหากจะบอกว่าเขาได้พบกับอัลฟ่าที่เคยช่วยเหลือเขาในตอนเด็กนั้น หลิวคิดว่านั่นอาจเป็นเพื่อนในจินตนาการของเขาเองมากกว่า ไม่น่าจะใช่คนที่มีอยู่จริงในช่วงชีวิตใดของเขาหรอก เป็นเรื่องเพ้อเจ้อของเด็กหนุ่มที่กำลังจะโตล่ะนะ

 

เขาจ้องมองไปที่เงาสะท้อนในกระจก เด็กหนุ่มหน้าตางดงาม ที่มีดวงตาดอกท้อสุกสกาวจ้องมองกลับมา บางทีเด็กหนุ่มคนนั้นที่เขาเฝ้าฝันถึง คนที่พร้อมจะเข้าใจในตัวตนของเขา อาจเป็นคนตรงหน้านี่ ไม่ใช่ใครที่ไหนไกลเลยก็ได้

 

วันเวลาผ่านไปเช่นนั้น แม้ไม่รวดเร็วหากแต่ก็ไม่เชื่องช้า เฟยเอ๋อ อาละวาดบ้างในบางเวลา และบางครั้งก็ซึมเซาจนน่าใจหาย ท่าทางของน้องทำให้จิตใจของหลิวสั่นคลอนไปด้วยความโลเล หลายครั้งที่เขาเผลอคิดไปว่าไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องออกไปจากบ้านหลังนี้จริงๆ แต่เมื่อสบตาเข้ากับสายตาคมของพ่อเลี้ยง ในใจของเขาก็ชัดแจ้งขึ้นมา ว่าต่อให้เฟยเอ๋อจะเป็นน้อง และแม่จะเป็นแม่ของเขา แต่คุณลุงไม่มีทางที่จะเป็นพ่อของเขาได้ และเขาเองก็ไม่มีทางเป็นลูกของคุณลุงได้เช่นกัน ราวกับน้ำและน้ำมันที่ไม่มีวันเข้ากันได้ การมีตัวตนของเขาจะทำให้ครอบครัวนี้มีรอยร้าวในที่สุดไม่วันใดก็วันหนึ่ง และตัวเขาเองคงไม่มีทางรับได้หากตนเองเป็นคนที่ทำลายครอบครัวของคนที่เขารักลงกับมือ เพราะฉะนั้นแล้วความโลเลจึงโดนปัดออกไปจากสมอง น้ำตาของน้องไม่มีผลต่อการตัดสินใจของเขาอีกต่อไป ชีวิตของเขาพวกเขาดำเนินต่อไปเช่นนั้น เพียงแค่รอวันที่เขาจะเก็บกระเป๋าออกไปจากบ้านหลังนี้

 

สัมภาระของเขาค่อนข้างมากและแม่ก็ไม่เห็นด้วยที่เขาจะขนพวกมันไปทั้งหมด บางทีนี่อาจเป็นการยืนยันความคิดของแม่ และอาจเป็นการแสดงออกว่าไม่ว่าอย่างไรบ้านหลังนี้ก็จะยังมีที่ให้เขากลับมาเสมอ และเขาไม่ใช่นกไร้ขา ที่ไร้รังและต้องบินถลาไปตามลมกระทั่งตกตายไป แต่เป็นนกที่มีรังอันแสนอบอุ่นเพียบพร้อมให้เขากลับมาซุกนอนในวันที่เขาต้องการ หลิวเข้าใจแม่ และหัวใจของเขาก็แช่มชื่นไปด้วยความยินดีที่ได้รับรู้ความรู้สึกเช่นนั้น ถึงขนาดที่เขาเผลอคิดไปว่าเขาไม่ควรเติบโตเลย ยังอยากจะเป็นเพียงเด็กน้อยที่ซุกซบอยู่กับอกของแม่ แต่เมื่อคิดว่าหากมันเป็นเช่นนั้น เจ้าก้อนเฟยเอ๋อจะไม่มีทางได้เกิดมาดูโลก หลิวก็คิดว่าเขาเติบโตขึ้นมานั้นก็ดีแล้ว

 

ในวันที่หลิวก้าวเท้าออกจากบ้าน เขาแบกกระเป๋าเป้ไปเพียงแค่ใบเดียวเท่านั้น ในนั้นบรรจุเสื้อผ้าตัวเก่งของเขาที่แม่เป็นคนเก็บให้กับมือ อ้อ ยังมีถุงใส่รองเท้าสำหรับกระโดดที่เขาใส่เป็นประจำ หลิวกอดแม่ที่มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เขาส่งตัวน้องที่เอาแต่ร้องไห้ไปให้แม่อุ้มเอาไว้ และกล่าวคำอวยพร เสียงผู้คนในสนามบินค่อนข้างดังและวุ่นวาย เขายิ้มเมื่อเห็นว่าดวงตาของแม่แดงและบวม แต่ก็ไม่ได้ทักอะไรออกไป เขาไม่อยากให้แม่ร้องไห้กลางสนามบินเช่นนี้ เดี๋ยวจะมีคนกล่าวหาว่าเขาเป็นลูกที่แย่เอาได้ แน่นอนว่าความจริงแล้วเขาแค่จะไปเรียนมัธยมปลายที่เมืองข้างๆ เท่านั้น ไม่ได้จะจากไปไหนไกล แต่ทั้งแม่และเขาอาจจะรับรู้ได้ด้วยความรู้สึกลึกๆ ว่าหลังจากที่เขาจากไปในวันนี้ ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปและไม่มีอะไรที่จะกลับมาเป็นแบบเดิมได้อย่างแน่นอน

 

ต่อให้ไม่พูดอะไรกันตรงๆ แต่เราทั้งสองต่างก็รู้ว่าช่วงเวลาแห่งการเติบโตนั้นดำเนินมาถึงแล้ว หลิวไม่ใช่เพียงแค่เด็กน้อยคนเดิมอีกต่อไป แต่กลายเป็นเด็กหนุ่มที่กำลังจะออกไปมีชีวิตของตัวเอง ต่อให้หลังจากนี้จะกลับมาที่บ้านบ่อยขนาดไหน แต่เขาจะไม่มีทางกลับมาอยู่ในบ้านหลังนั้นอย่างถาวรอีกต่อไป สุดท้ายแล้วนกน้อยก็บินถลาออกจากรัง แม้ว่าในใจของมันนั้นจะรู้สึกเช่นไรก็ตาม ไม่มีนกตัวใดที่จะอยู่ที่รังเดิมตลอดไป ไม่มีนกตัวใดที่ไม่เติบโตและโผบิน หลิวเองก็เป็นดั่งเช่นนกน้อยตัวนั้น แม้ว่าในสายตาของแม่ เขาอาจเป็นเพียงนกตัวน้อยที่ยังไม่เติบโตมากพอ และยังไม่ควรที่จะออกไปจากอ้อมอก แต่แม่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ากำลังกายและกำลังใจของหล่อน ไม่เพียงพอสำหรับลูกนกมากมาย และใช่ ทั้งเขาและแม่เองก็รู้ดี ว่าหลิวโตเกินกว่าที่จะปรับตัวเข้ากับครอบครัวใหม่แบบแนบสนิท

 

ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาบอกว่ามีใครถูกหรือใครผิด เพราะไม่มีใครที่ผิดเลย เพียงแค่บางครั้ง เราก็ต้องเสียสละเพื่อคนบางคน เพื่อความถูกต้อง เพื่อความพอใจของเราเอง หรือความพอใจของคนที่เรารัก คราวนี้หลิวก็เพียงแค่เลือกคนที่เขารักมากกว่าที่จะสร้างปัญหาให้แม่ต่อไปเท่านั้นเอง

 

คงทำได้เพียงคาดหวัง ว่าวันหนึ่ง เขาจะได้พานพบกับบ้านของตัวเอง ไม่ว่าบ้านนั้นจะเป็นบ้านที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองคนเดียว หรือเป็นบ้านที่เกิดจากใครอีกคนด้วยก็ตามที

 

“ไปแล้วนะฮะแม่”

 

หลิวกล่าวอำลา อำลาแม่ อำลาน้องชายของเขา อำลาเมื่องที่เขาอาศัยอยู่กว่าห้าปี และอำลาวัยเยาว์ของตัวเอง