ดั่งแสงตะวันที่ปลายขอบฟ้า

1

ทุกชีวิตย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลง

 

ฟ้าร้องครืดคราด ราวกับกำลังเจ็บปวดรวดร้าวจากภายใน ท้องฟ้ามืดมิด ก้อนเมฆลอยต่ำ แสงสว่างจากสายฟ้าวาบผ่านใบหน้าเรียวเป็นระยะ สะท้อนดวงตางดงามของโอเมก้าคนหนึ่งให้ชัดเจนขึ้นเป็นบางเวลา ฝนกำลังจะตกลงมาแล้ว และเมื่อสายฝนโปรยปราย ก็อาจจะทำให้ร่องรอยทุกอย่างรอบข้างเจือจางกระทั่งสลายหาย ราวกับไม่เคยมีอยู่ กลิ่นฝนระเหยขึ้นจากดิน กลบกลิ่นหอมหวานของโอเมก้าหนุ่มให้เจือจางลง กลิ่นของถังขยะเบาบางลง กลิ่นของอัลฟ่าที่กำลังนอนร้องโอดโอยตรงหน้านี้ก็ด้วย แม้มองออกชัดเจนว่ามันกำลังพยายามกระเสือกกระสนตัวเองให้ยืนขึ้น แต่เมื่อฝ่าเท้าหนักๆ ของโอเมก้าหนุ่มยันลงบนอกเป็นรอบที่สี่ เรือนร่างสูงใหญ่ก็ทิ้งตัวลง นอนนิ่ง ไร้สติ เหมือนกับตุ๊กตาเก่าๆ ที่แบตหมด

 

“ชิ”

 

ลู่ หลิวถอนหายใจแล้วสับเท้าถี่ยิบ วิ่งตรงไปยังทางตรงข้าม หูยังแว่วเสียงไซเรนของตำรวจดังมาไกล แม้รู้อยู่เต็มอกว่าบทลงโทษไม่ได้มากมายอะไร อย่างมากก็ตักเตือนเท่านั้น เพราะเขายังเป็นเพียงผู้เยาว์ แต่ถึงอย่างนั้นดวงตาผิดหวังของแม่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะมองเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง ทุกวันนี้ที่บานก็บรรยากาศแย่มากอยู่แล้ว หลิวไม่อยากจะทำให้มันแย่มากไปกว่าเดิม เพราะการกระทำของเขา พื้นฐานครอบครัวของหลิวไม่ดีนัก แม่มีเขาเมื่อยังสาว และนั่นทำให้หล่อนต้องแต่งงานกับพ่อของเขาอย่างเลือกไม่ได้ ที่ว่าเลือกไม่ได้นี่หมายถึงพ่อของเขาด้วยที่เลือกไม่ได้ ทั้งสองคนที่ไม่ได้มีความรักให้กันอย่างลึกซึ้งอะไรขนาดนั้น ไม่นานทุกอย่างก็พังทลายลง แม่พาหลิวย้ายเมือง ย้ายบ้าน ย้ายโรงเรียน ทิ้งความทรงจำเกี่ยวกับพ่อเอาไว้เป็นเหมือนเรื่องราวในไดอารี่เล่มเก่าที่เก็บล้อคเอาไว้ในตู้เซฟ ที่ไม่ต้องการเปิดมันออกมาอีกตลอดกาล

 

แกร้ก ๆ

 

เสียงล้อเหล็กกระทบไปกับพื้นดังแผ่วเบามาทางด้านหลัง หลิวเดินหลบไปทางซ้ายของถนน ไม่นานยายเฒ่าเมิ่งที่อยู่บ้านหลังถัดจากเขาไปไม่เท่าไหร่ก็ปั่นจักรยานผ่านไป สายลมพัดเอากลิ่นของทะเลที่อยู่ไม่ห่างจากที่นี่มากนักให้ลอยละลิ่วมากระทบจมูก หลิวชอบมัน ว่างๆ เขาจะแวะไปนั่งเล่นที่ริมฝั่งทะเลเสมอ ทอดสายตามองออกไปไกลยังที่ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา เฝ้าสงสัยว่าอีกฟากฝั่งหนึ่งของเส้นขอบฟ้าจะเป็นอย่างไร

 

“กลับมาแล้วครับ”

 

ร้องบอกออกไปเสียงเบา เขาปิดประตูลงแผ่วเบา เดินตรงไปที่ห้องน้ำ ล้างคราบเลือดของใครสักคนก่อนหน้านี้ออก สีแดงของเลือดไหลปะปนกับน้ำประปาลงท่อไปอย่างรวดเร็ว เขาล้างมือด้วยสบู่อีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีกลิ่นใดๆ หลงเหลือนอกจากกลิ่นของสายฝนที่ติดอยู่กับเสื้อผ้าก็เดินออกจากห้องน้ำไป

 

ครืด

 

“ลูกคิดเอาไว้หรือยังว่าม.ปลายจะไปที่ไหน”

 

ยังไม่ทันที่ก้นจะแตะถึงเก้าอี้ ผู้เป็นมารดา หลี่ หยางซิน ก็ถามออกมาทันทีท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของแม่ทำให้หลิวแย้มรอยยิ้มกว้างส่งไปให้หล่อนในทันที

 

“อีจง”

 

เขาตอบชื่อโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งของมณฑลออกไป ที่หลิวเลือกที่นี่ เพราะอีจงให้โควตานักกีฬาแก่เขา ไม่อย่างนั้นคนที่มันสมองระดับธรรมดาทั่วไปอย่างหลิว ไม่มีทางที่จะเข้าไปที่อีจงได้แน่นอน ความจริงโควตาที่อีจงให้มานี่ ทางโรงเรียนให้มาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแล้ว และเขาก็ต้องตอบรับภายในสามวันนี้เท่านั้น แต่ที่มันยังคาราคาซังกันอยู่ ก็เพราะว่าหลิวยังไม่ได้คุยกับหยางซินอย่างเป็นทางการ มารดามีสีหน้ากระอักกระอ่วน คล้ายจะไม่อยากให้ไปเท่าไหร่ หลิวรู้ดี แม่ไม่อยากให้เขาไปไกลจากบ้าน อีจงเป็นโรงเรียนที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การจะไปที่อีจงได้นั้น หลิวจะต้องออกไปอยู่ข้างนอก เพราะอีจงอยู่ที่เมืองข้างๆ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักสำหรับโอเมก้าเช่นเขา แม่มักจะกังวลเสมอว่าหลิวจะเกิดเหตุร้าย หรือถ้าให้พูดตรงๆ ก็คือแม่กลัวว่าวันหนึ่งหลิวจะท้องขึ้นมา และจะต้องอยู่กับอัลฟ่าที่เขาไม่ได้รักชอบขนาดนั้น เหมือนอย่างแม่ หลิวเข้าใจแม่ในเรื่องนี้ดี และเขาก็รู้ว่าแม่รู้ว่าเขามีความสามารถในการต่อยตีขนาดไหน แต่ไม่ว่าอย่างไร การเป็นโอเมก้าในโลกที่อัลฟ่าสามารถใช้ฮอร์โมนสำหรับการควบคุมทุกสิ่ง ก็เป็นทางเลือกที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก

 

แม่ก็แค่ไม่รู้ว่าเขาต่อยชนะอัลฟ่ามาแล้วกี่คนเท่านั้น ...

 

แต่ต่อให้เขาจะยืนยันว่าตัวเองสามารถดูแลตัวเองได้อย่างไร แม่ก็คงจะยังไม่สิ้นความเป็นห่วง และการไปอีจงของเขาก็อาจจะไม่ได้รับอนุญาต หลิวจึงเอ่ยปากบอกหมัดเด็ดออกไป

 

“ผมคิดมาแล้วฮะแม่ ว่าจะอยู่หอในของโรงเรียน ยังไงก็มีแต่โอเมก้าเหมือนกัน ปลอดภัยแน่นอน”

 

เมื่อได้ยินแบบนั้น สีหน้าของหยางซินก็ดีขึ้นมาก ดูแค่นี้ก็รู้ได้แล้วว่าแม่น่าจะอนุญาตอย่างแน่นอน เพราะต่อให้แม่จะเป็นห่วงเขามากขนาดไหน แต่ในชีวิตของแม่ก็มีอะไรมากมายให้เป็นห่วงมากกว่าตัวเขามากนัก

 

ครืด

 

“พี่ฮะ วันนี้เราไปซื้อไอติมกินกันได้มั้ย”

 

เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายเจ็ดขวบ หลี่ เฟยเอ๋อ ที่ดังขึ้นข้างๆ พร้อมๆ กับเก้าอี้ที่เลื่อนออกไปทำให้หลิวหลุดหัวเราะ เขาเอื้อมมือไปขยี้ผมนุ่มนิ่มของน้องชาย แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ เสียงของมารดาก็ขัดขึ้นมาก่อน

 

“ยังไม่ได้กินข้าวเลยนะ ทำไมถึงพูดเรื่องกินขนมขึ้นมาแล้วเนี่ย อีกอย่างเมื่อวานลูกก็กินไอติมไปแล้วไม่ใช่เหรอ กินวันนี้อีกเดี๋ยวก็เจ็บคอหรอก”

 

ประโยคยืดยาวที่มารดาบอกออกมานั้นบอกกับเด็กชายตัวกลมที่นั่งอยู่ข้างๆ หลิวนี่เอง เฟยเอ๋อเป็นน้องชายของหลิว ลูกชายคนเล็กของแม่ ที่เกิดจาก หลี่ เฟยชิน สามีใหม่ของแม่นั่นเอง

 

ความจริงแล้วหลี่ เฟยชินเป็นผู้ชายที่ดีมาก เขาอายุมากกว่าแม่ไม่เท่าไหร่ และทำงานในบริษัทการเงินชื่อดัง อาชีพมั่นคง และหน้าตาดี เขาตกหลุมรักแม่ทันทีที่พบ ทั้งสองตกลงคบกันและตัดสินใจแต่งงาน หลิวเองก็ไม่ได้ขัดอะไรเมื่อแม่จะแต่งงานกับเขา หลังจากที่โสดมายาวนานกว่าสิบปี ไม่นานแม่ของเขาก็ให้กำเนิดเด็กชายผิวแทนตัวอ้วนกลมที่หน้าเหมือนพ่ออย่างกับแกะ ดูแล้วเป็นครอบครัวสุดเพอร์เฟค ในนิทาน ที่ไม่น่าจะมีจุดด่างพร้อยใดๆ ได้

 

หลิวรู้ดีว่าที่แม่ตัดสินใจแต่งงานกับคุณลุง เพราะแม่รักคุณลุง และหลิวเองก็ดูไม่มีท่าทีคัดค้านใดๆ เขารู้ดีว่าแม่เลือกที่จะดูปฏิกิริยาของเขาก่อน และรู้ว่าที่แม่ทำไปทั้งหมดนั้นเพราะว่าแม่รักเขา แต่เขาก็รู้ดีว่าแม่ไม่รู้ว่าที่หลิวยอมให้แม่แต่งงานกับคุณลุง เป็นเพราะว่าเขามองว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เพราะเขามองว่าคุณลุงรักแม่มาก และแม่จะมีความสุขเมื่อได้แต่งงานกับคนคนนี้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่านั่นจะไม่ได้รวมถึงความสุขของเขาก็ตามที แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสักเท่าไหร่ เพราะคนที่สำคัญที่สุดในครอบครัวนี้ก็คือแม่

 

ตอนนี้ที่เหลือก็แค่ทำตัวดี ๆ เรียนให้จบ และเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ก็พอ ..

 

ทั้งสามคนกินข้าวด้วยกันหลังจากนั้นหลิวก็แอบพาน้องชายออกไปซื้อขนมที่ร้านสะดวกซื้อแถวบ้านเหมือนทุกวัน ท้องฟ้าหลังฝนตกยังส่งเสียงครืดๆ เหมือนฝนยังอยากจะตกลงมาอีกสักหน่อย เขาเลือกขนมหวานที่เฟยเอ๋อชอบออกมาสองสามชิ้น แล้วให้เด็กชายเลือกว่าจะกินชิ้นไหน เพราะถ้าหากเขาซื้อทั้งหมดให้กับน้องล่ะก็ แม่อาจจะพุ่งมาทึ้งหัวเขาเลยก็ได้ .. หลิวรักเฟยเอ๋อมาก อาจจะเพราะตอนที่เด็กชายเกิดนั้น น่ารักมาก ตัวกลมๆ นุ่มๆ ดูเหมือนโมจิ ช็อกโกแลต ถึงแม้ว่าหลิวจะไม่สนิทใจกับคุณลุงมากเท่าไหร่ แต่กับเฟยเอ๋อ หลิวมองว่าอีกฝ่ายคือน้องชายของเขาเสมอมา ตั้งแต่เด็กชายลืมตาขึ้นมาดูโลก

 

“พี่ชายจะไปเรียนที่อีจงเหรอ”

 

“..”

 

“ผมได้ยินที่แม่คุยกับพ่อเมื่อวันก่อน”

 

น้ำเสียงซึมเซาของน้องชายเอ่ยถามเช่นนั้น หลิวหันไปมองหน้าอีกฝ่าย เห็นว่าในตากลมๆ นั่นมีแต่ความทุกข์อย่างไม่ปิดบัง หลิวหัวเราะเสียงเบา เอื้อมมือไปจูงมือน้องชาย แล้วก้าวเท้าเดินช้าๆ ลมเย็นๆ พัดกระทบใบหน้าเป็นระยะ อากาศสดชื่น ไม่มีความอบอ้าวแม้แต่น้อย เฟยเอ๋อ กินไอติมไป ก็เดินตามเขาไป หลิวรู้ว่าไม่มีทางปิดบังน้องได้ตลอดไป แต่ไม่ได้คิดว่าเด็กอายุแค่นี้จะเรียนรู้เร็วขนาดนี้เท่านั้น

 

เขาคิดว่าใกล้ๆ วันที่จะออกเดินทางถึงจะบอกกับน้อง เฟยเอ๋อยังเด็กอยู่ ไม่นานความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการห่างจากพี่ชายน่าจะจางหายไปเอง และมันก็น่าจะง่ายสำหรับการจัดการของครอบครัวทางนี้ด้วย ถ้าหากว่าเฟยเอ๋อเกิดงอแงขึ้นมา ..

 

“มันจำเป็นน่ะ”

 

เขาบอกน้องออกไปแบบนั้น รู้สึกได้ว่ามือเล็กๆ ที่จับมือของเขาเอาไว้กระชับแน่นเข้ามา เดาได้ง่ายๆ ว่าอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนี้เฟยเอ๋อจะต้องงอแงอย่างแน่นอน หลิวไม่อยากให้น้องร้องไห้อย่างน้อยๆ ก็ตอนที่มีแค่เขาคนเดียวที่อยู่กับน้อง เพราะฉะนั้นแล้ว เรือนร่างบอบบางแต่แข็งแรงจึงย่อลง ให้ดวงตาอยู่ในระดับเดียวกัน ให้มันสบเข้าด้วยกันกับน้องชายของเขาเอง สิ่งเดียวที่เฟยเอ๋อได้มาจากแม่ก็คือดวงตา เพราะฉะนั้นแล้วดวงตากลมๆ ของเด็กน้อยถึงได้เหมือนของหลิวไม่มีผิด มันกลมโต และมีลักษณะคล้ายกับดอกท้อ เมื่อพร่างพราวไปด้วยหยดน้ำตาเช่นนี้ ดวงตาของเด็กน้อยก็กลายเป็นดวงตาที่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเอ่ยปฏิเสธ

 

“มานี่มา ...”

 

เขารั้งตัวเด็กน้อยเข้ามากอด ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในตัวของเขา เจ้าก้อนนุ่มนิ่มในอ้อมกอดเติบโตขึ้นมากแล้ว หลิวขยับตัวยืนขึ้น โอบอุ้มน้องชายที่กำลังสะอื้นฮึกฮักอยู่กับไหล่ของเขา แล้วก้าวเดินต่อไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้ายิ่งกว่าเดิม