ตอนที่ 6 ออกปฏิบัติการช่วยเหลือ

ข้อความที่ส่งไปนั้นไม่มีการตอบกลับมาแต่อย่างใด แต่ไม่รู้ทำไมกับรู้สึกแปลกๆ เธอรู้สึกถึงลางไม่ดีสุดๆ ว่าเธอควรส่งไปจริงๆ เหรอ สีหน้าของมิรารีเครียดจนท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด จนกู้ดนี่มองอย่างเป็นห่วงเป็นใย อยู่ๆ ก็มีเสียงดังออกมาจากหน้าจอ มิรารีเงยหน้าขึ้นมามองอย่างสงสัย สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันใด เธอเห็นข้อความนั้นก็รู้สึกโล่งใจที่อีกฝ่ายส่งข้อความแบบนี้มาให้เธอ

 

‘เราจะไปช่วยเธอ โปรดรอเฉยๆ ที่นั่น’

 

เมื่อเห็นแบบนั้นทำให้เธอค่อยโล่งใจที่อีกฝั่งนั้นจะมาช่วยเธอ แต่เธอยังรู้สึกถึงลางไม่ดีอยู่ เธอจึงคิดบางอย่างด้วยสีหน้าที่ซีเรียสมากๆ เธอใช้ความคิดอยู่นานจนคิดบางอย่าง ปลายนิ้วทั้งสองสัมผัสกับแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็วพร้อมกับกดแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว แล้วส่งข้อความดังกล่าวไปในทันที ระหว่างรอข้อความนั้นก็ตอบกลับมาอีกครั้ง บนใบหน้าของเธอกับมีรอยยิ้มขึ้นมาทันที

 

“โอเค...แล้วเจอกัน...”

กู้ดนี่ที่อยู่ข้างๆ ต่างมองด้วยสีหน้าที่แปลกใจว่าอีกฝ่ายนั้นมีสีหน้าที่แตกแต่งออกไปหลายต่อหลายครั้งทั้งดีใจ เศร้า เจ็บปวด จนกู้ดนี่หันไปเห็นสิ่งที่เป็นโลหะสะท้อนใบหน้าตนเองแล้วมองตัวเองอยากทำหน้ายิ้มหรือเศร้าก็ทำไม่ได้ เพราะตนเองเป็นต้นไม้

“กู้ด...”

น้ำเสียงของกู้ดนี่นั้นดูเศร้าจนมิรารีหันไปมองอย่างสงสัย

“เป็นอะไรนะ? กู้ดนี่”

“กู้ด...” กู้ดนี่เดินกลับมาพร้อมกับซบที่แขนอีกฝ่าย

เธอสัมผัสไม่ได้ว่ากู้ดนี่ต้องการบอกอะไรเธอเลย แต่น้ำเสียงของกู้ดนี่ช่างน่าสงสาร มิรารีลูบหัวกู้ดนี่เบาๆ

“เธอคิดอะไรอยู่นั้น อย่าไปคิดมากนะ สักวันอะไรๆ มันก็จะดีเองนะ”

“กู้ด...” กู้ดนี่เงยหน้ามองอีกฝ่าย เขาซบลูบใบหน้าบนแขนของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่

“เอาล่ะ...ไม่นานก็จะมีคนมาช่วยเรา ถ้าเกิดอะไรขึ้น กู้ดนี่จะช่วยฉันไหม?

“กู้ด!” กู้ดนี่ส่งเสียงอย่างฮึดสู้ กู้ดนี่จะไม่มีวันยอมให้ใครมาทำร้ายอีกฝ่ายแน่ๆ

“ขอบใจนะ” มิรารีลูบหัวกู้ดนี่อย่างเอ็นดู “เอาล่ะ ยังไม่ดึกมากเราไปตรวจสอบรอบๆ กัน”

 

มิรารีอุ้มเจ้าตัวเล็กไว้บนฝ่ามือ แล้วปิดอุปกรณ์ทุกอย่างในห้องนี้พร้อมกับไฟในห้องนี้ แล้วเดินพากู้ดนี่เดินชมที่ต่างๆ พร้อมกับปิดไฟในห้องต่างๆ ที่ยังมีไฟอยู่ สถานที่ในตึกหลังนี้มันช่างคล้ายกับตึกแรกที่มีทั้งห้องพัก ห้องเรียน ห้องเอกสาร ห้องสมุด ทำให้มิรารีข้องใจเลยว่าที่นี้ถูกสร้างมาเป็นสถานที่สำหรับเรียนหนังสือหรือเปล่า แต่มีป่ารอบๆ ตึกนี้ก็ไม่น่าจะใช่โรงเรียนหรอกมั้ง

 

“เฮ้อ...ถ้าที่นี้เป็นโรงเรียนจริง คงเป็นแบบโรงเรียนฝึกพวกเมต้าฮิวแมน...กู้ดนี้เคยเห็นพวกเมต้าฮิวแมนแบบฉันไหม?

“กู้ดด กู้ด… (ไม่เคยนะ...)" กู้ดนี้ส่ายหน้าอย่างไม่รู้อะไร

“ไม่เคยเหรอ? ทำไมล่ะ?มิรารีสงสัยในคำพูดของกู้ดนี่

“กู้ดดด กู้ดดด กู้ดด (กู้ดนี่พึ่งตื่นหลังเกิดเรื่อง...)"

“ซะงั้น?มิรารีถึงกับเออเลยที่เจ้าตัวเล็กพึ่งเกิดมาตอนที่หลังจบเหตุการณ์ต่างๆ ไปแล้ว “แบบนี้...เธอก็เหงาแย่เลยสิ...”

“กู้ดดดด กู้ดดด (แต่ไม่เหงาแล้ว เพราะแม่อยู่ข้างๆ แล้ว)"

“แม่?มิรารีงุนงงเลยที่กู้ดนี่พูด ก่อนที่เธอจะชี้ที่ตัวเอง “แม่เหรอ?

กู้ดนี่พยักหน้าอย่างร่าเริง มิรารีเห็นก็แอบเขินหน่อยๆ ที่เจ้าตัวเล็กคิดว่าเธอเป็นแม่ของเขา เธอยิ้มให้เจ้าตัวเล็กพร้อมกับหอมแก้มเจ้าตัวเล็กเบาๆ

“ไปสำรวจกันต่อเลยนะ”

“กู้ด!”

มิรารีเดินดูรอบอีกครั้ง ระหว่างที่เดินอยู่นั้นก็มีเสียงของประตูกำลังเปิดออกดัง แอ๊ด เป็นเสียงที่ยาวมากๆ จนมิรารีหันไปมองช้าๆ เธอเห็นผนังที่เปิดออกจนทั้งสองต่างขนลุกขนพองกันเลย

“คง...คงไม่มีอะไรเดินออกมานะ...”

“กู๊ด...” กู้ดนี่ก็กลัวเหมือนมิรารีไม่มีผิด

 

ทั้งสองจ้องมองอย่างสงสัยอยู่สักครู่ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่อย่างใดทำให้มิรารีโล่งใจไปอย่างหนึ่ง มิรารีก้มมองกู้ดนี่ที่ยังกลัวๆ แต่เธอก็ยิ้มให้แล้วเดินไปที่ประตูบานนั้น พอเปิดผนังนั้นออกก็เห็นบันไดลงไปด้านล่างสภาพของมันเหมือนกับที่ตึกแรกเลย ชักสงสัยเลยว่าข้างล่างนั้นจะมีเป็นอะไรกันแน่ ดีที่ครั้งนี้นั้นไฟสว่างไปทั่วทั้งบันไดและข้างล่างนั้น

 

“ลองไปดูไหมกู้ดนี่”

“กู้ด! (ไป!)"

“คิกๆ ไปกัน!” มิรารีพากู้ดนี้ลงบันไดในทันใด

ในหัวของเธอนั้นกำลังคิดอย่างเดียวว่าข้างล่างนั้นคงมีเครื่องทำความร้อนให้เธอมั้งก็ดี

 

โรงเก็บยานยนต์ต่างๆ เขตสถานวิจัย

โจเซฟวิ่งมาที่โรงเก็บยานยนต์ เพื่อตามหาเครื่องบินที่เขาต้องการใช้ จนเจอกับยานลำหนึ่งที่เหมาะสมกับภารกิจครั้งนี้ โจเซฟเดินเข้าไปตรวจเครื่องบินในทันที ส่วนเอวานั้นกำลังเตรียมของหลายๆ อย่างตั้งแต่อาหาร ของใช้ เครื่องปฐมพยาบาล เพื่อมิรารีที่อยู่บนเกาะนั้น ถึงแม้เรื่องอาหารจะไม่ต้องห่วง เพราะเธอจำได้ว่าตู้เย็นของที่นั่นเป็นแบบที่ดีที่พวกเหล่านักวิจัยสร้างขึ้น แต่ก็อดห่วงมิรารีไม่ได้จริงๆ พอเตรียมของเสร็จ เธอก็ยกกระเป๋าใบใหญ่ที่โรงเก็บยานยนต์ทันที

 

โจเซฟกำลังตรวจยานอยู่ด้านบนหลังคาก็เห็นสิ่งที่เอวาค้นมา

“เห้ย!! ขนอะไรมาล่ะนั้น!!” โจเซฟเห็นกระเป๋าใบใหญ่ขนาดกว่าตัวอีกฝ่าย ทำให้โจเซฟสงสัยสุดๆ

“ของเสบียงและของจำเป็นนะสิ!”

“เราไปช่วยนะไม่ได้ไปอยู่!!”

“ฉันรู้ยะ! แต่การไปที่นั่นต้องใช้เวลาไปอีกนะ!”

“เฮ้อ...เธอเนี่ยนะ...” โจเซฟเซ็งกับอีกฝ่ายจริงๆ

เอวาเดินเข้าไปข้างในเครื่องในทันที โจเซฟก็ปีนลงมาจากเครื่องก่อนจะเตรียมตัวปิดด้านหลังของเครื่องในทันที

“แล้วเตรียมเครื่องเสร็จแล้วเหรอ?

“ใช่ แล้วเธอมีอะไรอีกไหม?

“ไม่!”

“โอเค” โจเซฟหันไปตรวจสอบบางอย่างในเครื่องบินต่อสักครู่

 

เอวาที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่คนขับ เธอจ้องไปที่แผงควบคุมสักพักเธอหันไปจ้องโจเซฟที่ไม่สนใจเธอแล้ว เธอยื่นมือไปที่แผงควบคุมเพื่อปิดบางอย่างโดยไม่ได้บอกโจเซฟแต่อย่างใด พอปิดจบก็นั่งอยู่เฉยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่อย่างใด โจเซฟเดินกลับมานั่งที่นั่งคนขับ เอวาเห็นอีกฝ่ายก็เลยถามบางอย่าง

 

“ใบอนุญาตนำมาแล้วใช่ไหม?

โจเซฟสะดุ้งทันทีที่อีกฝ่ายพูดขึ้น แล้วค่อยๆ หันไปถามอีกฝ่าย “นี่ยังจะให้ฉันเอามาอีกเหรอ?

“อย่าหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ!”

พอโดนพูดแบบนั้นโจเซฟวิ่งไปแวบหนึ่งแล้วกลับมาพร้อมใบอนุญาตการขับเครื่องบินในมือของเขา

“พอใจนะ!”

“จ้า!” เอวาทำหน้ายิ้มเยาะออกมา

 

โจเซฟขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายนั้นจู้จี้กับเขา เขาสตาร์ทเครื่องบินในทันที ดีที่เครื่องบินของพวกเขานั้นเป็นเครื่องที่สตาร์ทได้ง่ายกว่าเครื่องบินปกติทั่วไป เอวาหยิบรีโมทขึ้นมาแล้วเปิดประตูโรงเก็บยานยนต์ ประตูกำลังเปิดช้าๆ โจเซฟกำลังจับคันเร่งทำให้เครื่องบินกำลังออกตัวช้าๆ เพื่อตั้งลำเตรียมตัวออก

 

“ออกตัวได้!!”

 

โจเซฟเคลื่อนคันเร่งให้เครื่องบินเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเร็วพร้อมกับทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงเครื่องบินดังไปทั่วทั้งเกาะแห่งความหวัง ทำให้ชายหนุ่มสองคนที่กำลังดื่มด่ำกับเครื่องดื่มมึนเมาอยู่นั้น คาร์เตอร์เห็นเครื่องบินนั้นเขาลุกขึ้นอย่างตกใจที่มีเครื่องบินออกในเวลาแบบนี้ ทำให้เขาต้องรีบกลับเข้าตึกเพื่อไปสถานที่แห่งหนึ่ง มิเกลเห็นเพื่อนชายเดินไปไหนก็ไม่รู้ แต่เขาก็รีบลุกขึ้นตามอีกฝ่ายทันที

 

“คาร์เตอร์รอด้วย!!” มิเกลพยายามลุกขึ้นอย่างมึนเมา ตัวเขาเซไปเซมาจนเกือบทรงตัวไม่อยู่ แต่ก็ยังวิ่งตามอีกฝ่าย

 

คาร์เตอร์เดินก้าวเท้าอย่างรวดเร็วจนไปถึงห้องหนึ่งที่มีเหล่าเจ้าหน้าที่มากมายกำลังปฏิบัติการอยู่ ห้องนั้นคือห้องบัญชาการสำหรับเวลาสั่งการต่างๆ เมื่อคาร์เตอร์เปิดประตูเข้าไปจนเสียงดัง ปัง! ทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่ทุกคนต่างตกใจแล้วหันไปมองว่าใครทำ แต่พอเห็นคนที่ทำเสียงนั้นทุกคนต่างลุกขึ้นยืนทำความเคารพกันทุกคน

 

“สวัสดียามดึกค่ะ! ท่านหัวหน้า!”

คาร์เตอร์เข้ามาพร้อมกับเดินมาจุดที่เขายืนบัญชาการทุกครั้ง “ตรวจสอบเดียวนี่!! เครื่องบินที่ออกไปไม่นานมานี่ เป็นเครื่องบินหมายเลขอะไรและใครเป็นคนขับ!!”

“รอสักครู่ครับ!!” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งหันไปที่เครื่องพร้อมกับตรวจสอบโดยทันที เมื่อผลได้เขาก็เริ่มพูดในทันที “ตรวจสอบแล้วครับ! เครื่องบินที่ออกไปเป็นรุ่นทดลองที่ยังไม่ได้จดทะเบียนลงในระบบของเราครับ!!”

“ห๊า! ทำไมพวกช่างกลถึงไม่ทำการลงทะเบียนเครื่องบินที่ว่านั้น!!”

“เนื่องจากเป็นรุ่นทดลองเกี่ยวกับอุปกรณ์ล่องหน จึงยังไม่ได้ทำการลงทะเบียนในระบบนะคะ”

“ชิ!! แล้วสามารถติดต่อคนขับได้ไหมว่าใครขับ!!”

“ตรวจสอบแล้วค่ะ แต่ไม่สามารถติดต่อได้เนื่องจากทางนั้นปิดเครื่องสื่อสารนะคะ!!”

“บ้าฉิบ!! ตรวจสอบว่ามันจะไปไหน เดียวนี่!!”

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งลุกขึ้นทันที “ลำนั้นกำลังตรงไปที่เกาะเซอร์ไวครับ!”

“เกาะเซอร์ไว!! ทำไมมีแต่คนอยากไปเกาะนั้นกันจริง!!”

“คงเพราะไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว ระบบไฟฟ้าของบนเกาะเกิดทำงานขึ้นมานะคะ!!”

“ว่าไงนะ!?เมื่อได้ยินแบบนั้น ความโกรธของคาร์เตอร์เริ่มพุ่งมากขึ้น “แล้วทำไมไม่มีคนบอกฉันสักคน!!”

เจ้าหน้าที่แต่ละคนต่างพากันหวาดกลัวมากขึ้นไม่กล้าพูดอะไร แต่แล้วเจ้าหน้าที่ก็เดินออกมาพูดขึ้น

“ขออภัยที่เราไม่บอกค่ะ หัวหน้า”

คาร์เตอร์หันไปมองเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอมีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์ แต่ร่างกายของเธอเป็นสีม่วงไปหมด ผมสีเขียวมินต์ สวมชุดของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานของห้องนี้

“อามิกะ! เธอเป็นหัวหน้าของพวกนี้คงจะบอกได้นะ!”

“ค่ะ! เนื่องจากเอ...ไม่ใช่สิ ศาสตราจารย์เอวาส่งข้อความมาทางเราว่าที่ระบบที่เกาะเซอร์ไวเกิดความผิดพลาดแค่นั้นนะคะ”

“แล้วพวกเธอก็เชื่องั้นเหรอ!?

“ไม่ค่ะ! ฉันเลยขอให้ลูกน้องตรวจสอบอีกครั้งเลยรู้ว่าระบบไฟฟ้าที่เกาะนั้นเกิดทำงานขึ้นมาจริงๆ เลยคิดว่าน่าจะมีใครสักคนหรือคนของดาร์คเนสอาจจะเปิดระบบไฟฟ้าสำรองเราขึ้นนะคะ!!”

ระหว่างที่หญิงสาวที่ชื่ออามิกะกำลังอธิบายเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับคาร์เตอร์ มิเกลก็เดินมาถึงที่นี้แล้วพร้อมกับเดินเข้ามาข้างในอย่างช้าๆ คาร์เตอร์ฟังเรื่องทั้งหมดจนจบ คิ้วของเขาก็ขมวดกันจนเป็นปมไปแล้ว

“งั้นตรวจสอบกล้องทุกตัวในเกาะเซอร์ไวโดยทันที”

“เสียใจด้วยค่ะ...หัวหน้า...”

“เธอหมายความว่าไง? อามิกะ”

เจ้าหน้าที่ชายคนหนึ่งลุกขึ้นในทันที “พวกเราตรวจสอบแล้วครับ แต่กล้องทุกตัวถูกพวกดาร์คเนสทำร้ายตั้งแต่เมื่อตอนที่พวกมันบุกมาครั้งก่อนแล้วนะครับ!”

“ชิ!!” คาร์เตอร์ไม่สบอารมณ์ที่ไม่สามารถติดต่อใครได้เลยจริงๆ

“ให้ฉันออกไปไหนช่วยไหม? คาร์เตอร์” มิเกลถามอย่างสงสัย

“หุปปากไป! มิเกล!” มิเกลถึงกับเงียบกริบทันที “ขอโทษคร้าบ...”

มิเกลถึงกับยืนร้องไห้ เพราะโดนเพื่อนดุ ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดกล่าวขึ้น

“มีปัญหาแล้วค่ะ!!”

“!!” คาร์เตอร์หันไปทางเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น “เกิดอะไรขึ้น!?

“มีเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งกำลังตรงไปที่เกาะนั้นเช่นเดียวกันค่ะ แล้วตรวจสอบได้ว่าเป็นของพวกดาร์คเนสค่ะ!”

“ว่าไงนะ!!” คาร์เตอร์ถึงกับอึ้งไปเลยว่าเหตุการณ์นี้มันอะไรกัน

“ให้ตามไปไหม!!” มิเกลเปลี่ยนอารมณ์อย่างเร็ว แล้วถามอีกฝ่ายขึ้นมาแบบนั้น

“ยัง! เราจะดูสถานการณ์ไปก่อน ถ้าเราส่งคนไปช่วยเยอะเกินไปอาจจะเป็นแผนลวงให้ล่อเราออกไป แล้วโจมตีที่นี้ก็ได้!”

“มันก็จริงนะ...” มิเกลนึกถึงภาพที่อีกฝ่ายพูดขึ้น “แต่...คนที่กำลังไปที่เกาะนั้นล่ะ...คนของเรานะ!”

“ฉันรู้!!” คาร์เตอร์ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ

“แล้วทำไม?มิเกลเอียงคออย่างสงสัย

“นายก็น่าจะรู้นะ...ฉันไม่ต้องการเสียใครไปอีก!” คาร์เตอร์นึกถึงเหตุการณ์ที่เกาะนั้นที่เขาเสียงทั้งเพื่อนและคนที่เขารู้จัก “เราจะไม่เอาคนหมู่มากไปเสี่ยงกับคนที่ออกไปทั้งนั้น!”

“มันก็...”

“ไม่ต้องห่วงถ้าเกิดอะไรขึ้น! เราจะขอให้อามิกะเปิดประตูไปที่เกาะนั้นได้ใช่ไหม? อามิกะ”

“ได้ค่ะ! หัวหน้า ฉันจะรอรับสั่งจากหัวหน้าเลยค่ะ!” อามิกะเตรียมตัวรอรับคำสั่งจากหัวหน้าที่เคารพรักอย่างใจรอ

“ดี!” คาร์เตอร์จ้องมองทุกคน ก่อนที่เขาจะสั่งเจ้าหน้าที่ทุกคนทันที “งั้นเปิดระบบสเปชั่น ณ เกาะเซอร์ไวเดียวนี้!”

*ระบบสเปชั่น เป็นระบบตรวจจับตำแหน่งตัวบุคคลหรือสิ่งต่างๆ ที่อยู่บนเกาะ

“รับทราบ!!” เจ้าหน้าที่ทุกคนรีบไปที่หน้าจอคอมของตนเองทันที

คาร์เตอร์นั่งลงบนเก้าอี้ในทันที มิเกลมายืนข้างๆ อย่างตั้งใจดูภาพตรงหน้า

“กี่เดือนแล้วนะที่เราไม่ได้ลุยแบบนี้ในห้องนี้นะ”

“ฉันไม่อยากเห็นภาพแบบนี้ด้วยซ้ำ...มันน่ารำคาญ ถ้าไม่ใช่ภารกิจดีๆ”

“พูดได้นะ เราไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้วนะ”

“ถึงไม่ใช่มนุษย์แต่จิตใจเราก็ยังเป็นมนุษย์ มิเกล ไม่งั้นเราไม่ช่วยผู้คนมากมายหรือไง”

“ก็จริงของนาย...ตอนนี้ฉันรอดูคนโดยนายเล่นงานตอนกลับมาดีกว่า”

คาร์เตอร์จับจ้องหน้าจอขึ้นภาพสีดำของเกาะเซอร์ไว พร้อมกับจุดสีแดงหนึ่งตำแหน่งบนเกาะนั้น ทำให้คาร์เตอร์สงสัยว่าคนที่อยู่บนเกาะนั้นเป็นใคร

“คุณคือใครกัน...บุคคลสีขาว”

 

ช่องแคบที่เป็นทางเดินผ่านที่มืดมิดกลายเป็นเส้นทางที่มีแสงสว่าง เพราะไฟที่เริ่มทำงานแล้ว ประตูที่เปิดไว้นั้นก็เริ่มทำงานเปิดไว้เหมือนมีคนเดินขึ้นมายังประตูลับที่ตึกแรก เสียงกึกๆ จนเห็นผมสีขาวของมิรารีกำลังเดินขึ้นมาจากบันได บนใบหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันมีความสุขอย่างน่าสงสัย บนหลังของเธอมีกระเป๋าใหม่ใหญ่สะพายขึ้นมาด้วย ตอนที่มิรารีลงไปข้างล่างนั้น เธอกับต้องตกใจที่ข้างล่างนั้นกว้างใหญ่มากๆ และมีหลายชั้นข้างล่างนั้น แต่ที่เธอเห็นมีตั้งแต่ สนามประลองขนาดใหญ่ สถานที่เก็บยานยนต์มากมายหลายแบบเช่น รถยนต์ มอเตอร์ไซต์ เรือลำเล็กใหญ่ จนกระทั่งยานบินขนาดเล็กและใหญ่มากๆ ทำเอามิรารีอึ้งสุดๆ ที่ของบางอย่างมาอยู่ในที่แบบนี้ได้ด้วยเหรอ จนเธอไปเจอห้องห้องหนึ่งที่มีอุปกรณ์มากมายที่น่าสนใจ เลยเก็บออกมาด้วยบางอย่างที่น่าสนใจใส่กระเป๋าที่เจอ

 

“ข้างล่างนั้นมีแต่ของที่น่าสนใจจริงๆ เนอะ กู้ดนี่!”

“กู้ด!”

มิรารีเดินจนมาถึงห้องนอน แล้วพากู้ดนี่ลงที่ตะกร้าที่เธอทำให้

“พักซะนะ กู้ดนี่”

“กู้ด!” กู้ดนี่นอนลงบนตะกร้าอย่างสบายใจ

มิรารีเห็นเจ้าตัวเล็กนอนอย่างสบายใจ เธอนั่งลงบนพื้นตรวจสอบของที่ตัวเองเอามาจากข้างล่าง ว่ามันมีอะไรมั้งเธอเห็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆ อย่างเครื่องควบคุมคล้ายๆ กางเกง

“ว้าว...น่าสนใจแฮะ...”

มิรารีลองสวมดูอย่างสงสัยว่ามันทำอะไรมั้ง พอสวมใส่แล้วรู้สึกแปลกๆ กับสิ่งที่ใส่หน่อยๆ ก่อนที่เธอจะเห็นปุ่มบางอย่างข้างสะโพก นิ้วจิ้มลงไปกดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อืม...ไม่เห็นมีอะไรเลยแฮะ...”

มิรารีกำลังจะเดิน จู่ๆ ตัวเธอก็ไปข้างหน้าอย่างเร็วจนชนกับกำแพง

“เอ๊ะ!?

มิรารีถึงกับตกใจกับสิ่งที่ตัวเองเจอ แต่ระหว่างที่กำลังจะเดินก็รู้สึกเจ็บที่ขาในทันที

“อึ้ก!! เจ็บๆ”

มิรารีซุกลงกับพื้นทันที ความเจ็บไปทั้งขาของเธอ แต่อยู่ๆ ก็หายเจ็บ

“หายเจ็บล่ะ...”

 

พอเป็นแบบนี้ทำให้มิรารีสงสัยล่ะว่าตัวเองมีพลังในการรักษาด้วยเหรอ มันช่างแปลกว่าการเป็นเมต้าฮิวแมนที่มีพลังเดียวจริงๆ เธออยากถามพวกนักวิทาศาสตร์ที่สร้างพายุหมุนที่เธอเข้าไปจริงๆ เธอค่อยๆ พยุงตัวขึ้นถึงแม้ว่าขายังสั่นอยู่ก็ตามที เธอก็เดินออกจากห้องอย่างช้าๆ เธอแอบปล่อยให้กู้ดนี่นอนอยู่ในห้องคนเดียวแล้วออกมาจากห้องนอน เมื่อออกมาแล้วเธอก็อยากทดลองต่อว่าเธอจะวิ่งได้เร็วแค่ไหน เมื่อออกมาจนถึงถึงทางเดิน เธอก็เตรียมตัวตั้งท่าวิ่ง

 

“เอาล่ะ งั้นเตรียมวิ่ง!!”

มิรารีวิ่งไปอย่างเร็วทั่วทั้งตึกแรกแล้ววิ่งไปยังข้างในตึกหลังอย่างสนุก

“ว้าววววววววว!!”

 

มิรารีกำลังมีความสุขกับการวิ่งอย่างสนุกนั้น ไม่รู้อะไรเลยว่ามีสิ่งที่เลวร้ายกำลังบินตรงมาหาเธอ ท้องทะเลอันดำมืดและกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด เฮลิคอปเตอร์กำลังบินตรงไปยังเกาะที่อยู่ใจกลางทะเลที่ไม่มีเกาะอื่นอยู่รอบๆ บนเฮลิคอปเตอร์มีคนจำนวนมากกำลังเตรียมตัว ชายที่อยู่บนหลังคาได้เห็นสิ่งที่พวกเขาต้องการจะเจอ เขาค่อยๆ ลงมาจากหลังคาแล้วมาที่ตัวเฮลิคอปเตอร์ที่มีช่องว่างอยู่ เขาลงมาจนถึงหน้าผู้หญิงที่มีหนามตามตัว

 

“หัวหน้า ฉันเห็นเกาะแล้วล่ะ”

“ดี จำที่ท่านเคสเนอร์บอกด้วยล่ะ จับตัวมาเป็นๆ แต่...” หญิงสาวหนามเต็มตัวเอ่ยขึ้น แล้วมองลูกน้องทุกคนด้วยรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจ” ไม่ได้บอกว่าห้ามทำร้าย ถ้าขัดขืนก็ทำให้สงบซะ เข้าใจไหม? ทุกคน”

รอยยิ้มของลูกน้องทุกคนนั้นคล้ายกับตัวหัวหน้าที่ดูไม่น่าไว้ใจกันมากๆ ก่อนที่พวกเขาจะขานตอบหัวหน้า

“เข้าใจครับ/ค่ะ!!”

 

จบตอนที่ 6 โปรดติดตามตอนที่ 7 ต่อไป