5 ตอน ตอนที่ 5 ไฟฟ้าที่กลับมา
โดย YukiCoCo
ตอนที่ 5 ไฟฟ้าที่กลับมา
มื้อกลางวันอันหอมหวานกำลังโชยไปทั่วทั้งโรงอาหาร ถึงแม้มื้ออาหารวันนี้จะไม่ใช่อาหารแบบไทย แต่ก็เป็นทั้งมื้ออาหารเช้าและขนมหวานจากตะวันตกอย่างแพนเค้ก นอกจากส่วนผสมต่างๆ ยังมีของวัตถุดิบอื่นๆ ไว้เติมแต่งรสชาติอย่างผลไม้ อีกอย่างไซรัปหรืออีกชื่อน้ำเชื่อมนั้นเอง แพนเค้กหนาๆ กำลังตั้งอยู่บนจาน กู้ดนี่เดินมาแถวๆ จานพร้อมมองแพนเค้กอย่างสงสัย ก่อนจะเอามือแตะแล้วมันเด้งดึ๋งๆ ทำให้กู้ดนี่ตกใจทันที
“กู้ด!!!”
มิรารีได้ยินเสียงกู้ดนี่ตลกใจก็ขำทันที “มันเด้งได้นะ กู้ดนี่ แล้วอีกอย่างอย่าเอามือเล่นของกินนะ”
“กู้ด…” กู้ดนี่ยังจ้องมองอย่างสงสัย
มิรารีลองดึงแพนเค้กออกมาชิ้นเล็กๆ แล้วยื่นไปแถวๆ ปากของกู้ดนี่ “ลองชิมดูนะ”
กู้ดนี่มองชิ้นแพนเค้กตรงหน้าพร้อมกับมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย ก่อนจะลองชิมขนมตรงหน้า
“กู้ด! กู้ดดดด~ (อร่อยยยย~)”
“คิกๆ อร่อยสินะ รอแป๊บนะ”
มิรารีปิดแก๊สแล้วหันมาตกแต่งแพนเค้ก เธอหันเป็นชิ้นๆ แล้วใส่ผลไม้และเทไซรัปบนแพนเค้กก็เสร็จ เธอวางจานตรงหน้ากู้ดนี่ทันที
“ขอเธอนะ กู้ดนี่ รับประทานให้อร่อยนะ” มิรารียื่นส้อมเล็กๆ ให้เจ้าตัวเล็ก
กู้ดนี่เห็นก็รับส้อมมาแล้วทานแพนเค้กตรงหน้าทันที “กู้ดดดดดด!! (อร่อยยยยย!!)”
มิรารีได้ยินเสียงอันร่าเริงของกู้ดนี่ถึงกับรู้สึกดีมากๆ เธอหันไปเปิดแก๊สอีกครั้งแล้วก็จัดการในส่วนของตัวเองต่อ เธอรอให้ความร้อนละลายเนยที่ใส่ลงไป แล้วค่อยเทแป้งที่ผสมลงในกระทะเสียงฉ่าของแป้งกระทบกับเนยมันช่างน่าฟังสุดๆ หลังจากนั้นก็รอแป้งสุกจนเป็นสีน้ำตาล กลิ่นหอมเริ่มลอยขึ้นมา
“หอมจังเลย~”
พอกลิ่นหอมได้ที่มิรารีก็ตักแพนเค้กลงบนจาน พร้อมกับตกแต่งในส่วนของเธอถึงแม้ใส่แค่ไซรัปกับเนยก็ตามที เธอไม่ค่อยชอบใส่ผลไม้ลงบนแพนเค้ก เธอเลยเอาผลไม้ไว้กินเล่นแทน เธอเลื่อนเก้าอี้มานั่งแถวๆ เคาน์เตอร์ ก็เห็นเข้ากู้ดนี่น้อยนอนท้องโตจนอิ่มกับแพนเค้กแสนอร่อย
“หึๆ ดูเข้าๆ ท้องใหญ่แล้วนะเนี่ย”
“กู้ด~”
มิรารีเห็นสีหน้าอันสุขใจของเจ้าตัวน้อย ทำให้เธอขำออกมาเบาๆ “คิกๆ ดีใจที่เธอชอบนะ”
นิ้วอันเรียวยาวลูบบนหัวของเจ้าตัวเล็กเบาๆ เธอหันมาหยิบส้อมและมีดมาหั่นแพนเค้กพอดีคำ แล้วยกขึ้นใส่ปากรสชาติอันหอมหวานของไซรัปกับเนยที่ซึมเข้าตัวแพนเค้กมันช่างเข้ากันสุดๆ
“อ๊า~ อร่อยจังเลย” ใบหน้าของมิรารีเปี่ยมไปด้วยความสุข ในการทานแพนเค้กที่ตนชอบอย่างมากและมากกว่าที่ใครจะเข้ามาขัดเธอได้
ณ เกาะแห่งความหวัง ฐานบัญชาการยอดมนุษย์
ตึกอันใหญ่สูงโตที่ผู้คนจะเห็นเด่นชัดถึงแม้เดินไปหนใด หากขึ้นไปเกือบถึงยอดตึกระหว่างขั้นกลางจะมีสวนขนาดใหญ่อยู่ใจกลางตึกแห่งนี้ และมีขนาดต้นที่ใหญ่มากๆ เกินกว่าผู้ใดจะเคยเห็น เมื่อเข้าไปเห็นหญิงสาวที่มีผิวกาย สีผม นั้นเป็นสีเหมือนใบไม้ เธอกำลังแตะมือลงบนผิวไม้อย่างทุกทีที่เธอจะทำคือการสื่อสารระหว่างต้นไม้ใหญ่ เธอลืมตาขึ้นมองต้นไม้ด้วยใบหน้าอันข้องใจกับสิ่งที่ตนเองเห็น
“เป็นไปได้เหรอ?”
“เป็นอะไรเหรอ?” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงดังกล่าว ใบหน้าเธอเริ่มฉีกยิ้มอันอบอุ่นออกมา หันไปมองเจ้าของตนเสียง ชายหนุ่มผิวแทนยิ้มร่าให้แก่เธอ พร้อมกับเด็กหญิงตัวน้อยผิวสีเขียวอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม
“ไม่มีอะไรค่ะ ที่รัก” ซาร่าเดินเข้าไปหาชายหนุ่มพร้อมกับคุยเล่นกับลูกน้อย “มาหาแม่เหรอจ๊ะ คนดี”
ชายหนุ่มส่งคนเป็นลูกให้แก่ผู้เป็นแม่ ซาร่าหันไปคุยเล่นกับลูกสาวที่ยิ้มอย่างมีความสุข
“เธอพูดแบบนั้น แต่ก็แอบเก็บเงียบเรื่องที่เห็นจากต้นไม้เนี่ยนะ?”
ซาร่าได้ยินคนเป็นสามีพูดแบบนั้น เธอหันไปพร้อมกับถอนหายใจ “เฮ้อ...ฉันปิดคุณไม่ได้สินะ”
“แล้วเคยได้ไหมล่ะ?” เขาเข้าหาเธอพร้อมกับหอมลงบนศีรษะ "มันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ ซาร่า"
ซาร่ายิ้มพร้อมกับหอมแก้มคนเป็นสามี “คุณนี่น่า ฉันล่ะเชื่อเลย...ฉันแค่สงสัยว่าภาพที่ต้นไม้ส่งมาให้นั้นเป็นเรื่องจริงไหมนะ?”
“เห็นภาพแบบไหนนะ?”
“เป็นภาพ...ร่างคนผิวขาวซีดทั้งตัว...ฉันมองใบหน้าไม่ชัด...แต่ต้นไม้ที่ส่งภาพให้ฉัน...” ซาร่าเงยหน้ามองคนเป็นสามี “เป็นต้นไม้ที่อยู่บนเกาะเซอร์ไว!”
“เกาะที่ทิ้งร้างมาเป็นเกือบครึ่งปีแล้วเนี่ยนะ!”
“ใช่ค่ะ!”
“แต่บอกว่าเจอคนผิวขาวซีด...” ชายหนุ่มมองภรรยาก่อนจะหนีซีดขึ้นมา “คงไม่ใช่ผีใช่ไหม?”
“จะบ้าหรือไง!!” ซาร่าขนลุกจนหันไปตีแขนสามีไปหลายที ข้อหาทำให้เธอตกใจ “คนนะคะ ไม่ใช่ผี ทำเอาขนลุกหมด!”
“ป๊ะป๊าโดนม๊ะม๊าตี~ ป๊ะป๊าโดนม๊ะม๊าตี~” เด็กน้อยพูดวนไปมาอย่างขำๆ ที่ผู้เป็นพ่อโดยแม่ตี
“ไปเปอร์ ดูสิ ลูกแม่เขารังแกพ่อล่ะ!” ชายหนุ่มเดินเข้าไปอยู่ข้างๆ ลูกสาว
“หยุดเลยนะคะ!”
“จ้าๆ แล้วเห็นหญิงคนนั้นทำอะไรเหรอ?”
“ในภาพ...ฉันเห็นเธอกำลังขุดบางอย่างอยู่...แต่พอมองๆ ก็เห็นร่างพวกเลอร์วิงวู้ดลงในหลุมที่เธอขุด”
“เลอร์วิงวู้ด?”
“ต้นอ่อนที่ฉันสร้างให้มันมีชีวิตไงคะ”
“อ๋อ...พวกนั้นเหรอ?” ชายหนุ่มมองภรรยาอย่างสงสัย “มีสิ่งมีชีวิตแบบนั้นด้วยเหรอ?”
“คุณนี่มัน!!” ซาร่ารู้สึกเคืองขึ้นมาทันที ที่อีกฝ่ายไม่ใส่ใจรอบๆ เธอเลยจริงๆ “ช่างเถอะค่ะ!! ไปเถอะลูก แม่อยากไปทานอาหารกลางวันล่ะ!”
ซาร่าพาลูกสาวออกจากจุดนั้นทันที
“อ๊ะ!! เดียวสิ ซาร่า ฉันขอโทษ!!” ชายหนุ่มรีบตามไปง้อภรรยาทันที
ชายหนุ่มวิ่งตามภรรยาไปอย่างเร็ว ไม่นึกว่าตัวเองจะทำให้ภรรยาโกรธเข้าให้ ตัวเขาคิดเลยว่าตัวเองไม่รอบคอบเลยจริงๆ ที่พูดแบบนั้นออกไป แต่การได้ยินเรื่องแปลกๆ จากภรรยามันก็ทำให้เขาคิดว่าควรเอาเรื่องนี้ไปรายงานให้แก่เพื่อสนิทของเขาที่มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในที่แห่งนี้
เกาะเซอร์ไว ภายในห้องนอนที่มิรารีอยู่
หลังจากมื้ออันแสนอร่อย มิรารีพากู้ดนี่กลับมายังห้องนอนที่เธอพักผ่อนหลังทานอาหาร เมื่อก้มมองเจ้าตัวเล็กที่อยู่บนมือของเธอ มันนอนอย่างสบายใจที่ได้ทานของอร่อยกว่าดินและปุ๋ยที่เคยกิน มิรารียิ้มอย่างมีความสุขที่มีคนชอบของที่เธอทาน พอมาถึงห้องนอน มิรารีหาผ้าดีๆ พับเล็กๆ แล้วให้กู้ดนี่นอนลงบนผ้านั้น
“กู้ด~ กู้ด~”
“หือ?” มิรารีมองเจ้าตัวเล็กอย่างสงสัย ก่อนจะรู้บางอย่าง “หลับไปแล้วเหรอเนี่ย น่ารักจริงๆ นะ”
มิรารีนั่งลงบนเตียงของเธอ พอมองๆ ห้องนี้ช่างสะอาดกว่าห้องอื่นๆ เธอคิดอย่างเดียวว่าคนที่อยู่ที่นี้ต้องเป็นคนเจ้าระเบียบแน่ๆ ช่างแตกต่างจากเธอ
“ชุดที่ใส่ก็เป็นของเจ้าของห้องนี้ด้วยสิ...คิกๆ” มิรารีเผลอคิดแปลกๆ ว่าเธอกับเจ้าของห้องต้องเป็นเนื้อคู่หรือเปล่า “เฮ้อ...ความคิดบ้าๆ จริงๆ เรา”
มิรารีหงายตัวลงนอนกับเตียง เธอมองเพดานอย่างครุ่นคิดว่าทางด้านหลังก็มีทางเข้าแล้ว ตอนนี้คงต้องเข้าไปตรวจสอบว่าข้างในนั้นมีอะไรมั้งนอกจากสถานที่กลายเป็นซากปรักหักพัง แต่ตอนนี้เธออยากได้ของหลายอย่างที่ต้องการมากๆ อย่างเช่นสิ่งของที่จำเป็นมากๆ สำหรับเธอ
“เฮ้อ...ขอให้มีของที่เราต้องการนะ...เครื่องความร้อนและก็...และก็...ไฟฟ้า...”
กู้ดนี่ได้ยินที่มิรารีพูดก็ลุกขึ้นพรวดพราดขึ้นมาทันที “กู้ด? (ไฟฟ้า?)”
“ใช่...ไฟฟ้า...ไว้ใช้เวลาเปิดไฟ ฉันเข้าห้องน้ำต้องระวังสิ่งที่ไม่คาดคิดอีก เทียนอันสุดท้ายก็ใช้ตอนที่ขัดห้องน้ำเมื่ออาทิตย์ก่อน...เฮ้อ...”
“กู้ด! กู้ด! (มี! มี!)” กู้ดนี่ส่งเสียงอย่างร่างเริง
“มี? หมายความว่าไง?” มิรารีลุยขึ้นเอียงคอมองอย่างสงสัย
“กู้ด! กู้ดดดดด! (มี! ตึกหลัง!)” กู้ดนี่เข้ามาจับเสื้ออีกฝ่ายพร้อมกับชี้ไปด้านข้าง
“ตึกหลังเหรอ?” มิรารีมองไปด้านข้างกำแพง เพราะจุดที่ชี้ไปทางตึกหลังพอดี
กู้ดนี่พยักหน้าให้อีกฝ่ายก่อนลงจากเตียงแล้วเดินออกนอกห้อง
“อ๊ะ! กู้ดนี่!!”
เมื่อเจ้าตัวเล็กวิ่งออกจากห้องไป มิรารีก็ต้องก้าวเท้าเดินตามไปอย่างรวดเร็ว วันเดียวเธอต้องตามเจ้าตัวเล็กตลอดทั้งวันแน่ๆ คงได้ผอมแน่ๆ แต่พอเธอนึกเธอลืมไปว่าตัวเองนั้นผอมแล้ว แต่เธอไม่นึกว่าการที่เธอเป็นแบบนี้ไปจะทำให้ตัวเองผอมได้ขนาดนี้ เธอรีบก้าวเท้าตามสุดชีวิตจนมาถึงตึกหลัง แต่ไม่รู้ทำไมเธอกับรู้สึกเหนื่อยและหอบมากๆ ระยะทางระหว่างตึกหลังกับตึกหน้าก็ไม่ได้ห่างเยอะสักหน่อย
“แฮ่กๆ นี่ฉัน...ไม่ได้ออกกำลังกายจนเป็นแบบนี้สินะ...” มิรารียืนชิดกำแพงสักครู่ “ถ้า...ฉันเจอค้อนใหญ่ๆ นะ จะไปทุบให้หินตรงทางเชื่อมให้มันเดินผ่านได้เลยค่อยดู!”
มิรารีพูดคนเดียว ก่อนจะพยายามเดินไปต่อ กู้ดนี่รออยู่หน้าประตูทางด้านหลัง แล้วเดินนำหน้าไปต่อ มิรารีจะพูดอะไรกับกู้ดนี่ เจ้าตัวเล็กก็คงไม่ฟังเธอแน่ๆ นอกจากพาเธอไปไหนก็ไม่รู้ พอขึ้นมาถึงชั้นสองนั้น กู้ดนี่ก็นำทางไปยังด้านในของตึกมากๆ จนเดินมาผ่านทางเชื่อมระหว่างสองตึกที่เธอพูดขึ้น อีกด้านนั้นมีหินก้อนใหญ่กั้นทางไว้เลยทำให้ผ่านทางไม่ได้ และเธอก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ
“ก้อนใหญ่แบบนั้นมาจานไหนได้นะ สงสัยจริงๆ” มิรารีมองอย่างสงสัย ก่อนที่จะเห็นกู้ดนี่มองซ้ายขวาเหมือนมองหาบางอย่าง “กู้ดนี่ หาอะไรนะ?”
“กู้ด กู้ด! (ห้องปฏิบัติการ!)”
“ห้องปฏิบัติการเหรอ?” มิรารีเอียงคออย่างสงสัย “ห้องแบบนั้นไว้ปฏิบัติงานสินะ...อืม...ถ้าข้างล่างไม่มีก็ต้องข้างบน”
“กู้ดดด! กู้ดดด! (จริงด้วย! ไปกัน!)” กู้ดนี่เดินออกจากจุดนั้นทันที
มิรารีเห็นก็พอเข้าใจเลยว่าต้องตามไป “จ้าๆ ไปกัน”
การเดินตามไม่ใช่เรื่องยาก แต่เวลาขึ้นบันไดนี่สิ รู้สึกตึกหลังนี้มีน่าจะประมาณห้าชั้น มิรารีถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินขึ้นข้างบนไปในทันที เดินขึ้นมาจนถึงชั้นที่ห้าก็มาถึงทางเดินที่มีประตูแค่บานเดียว ทำให้สงสัยเลยชั้นนี้เป็นแค่ชั้นสำหรับห้องปฏิบัติงานอย่างเดียวสินะ
“กู้ดดด! (เข้ากัน!)” กู้ดนี่เดินไปที่ประตูพร้อมกับเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปข้างใน
“ข้างในคงเป็นห้องทำงานธรรมดาล่ะนะ” มิรารีตามเข้าไป
เมื่อเปิดประตูเข้าไปภาพตรงหน้าทำให้เธอตะลึงไปเลย ข้างในนั้นเป็นแผงวงจรมากมายที่ดูทันสมัยมากๆ จนมิรารีชักสงสารพวกเครื่องอิเล็กทรอนิกส์พวกนี้จริงๆ
“น่าสงสารจริงๆ นะ แต่ว่าสถานที่แบบนี้คล้ายๆ ห้องปฏิบัติการตามในหนังหรือการ์ตูนเลยแฮะ”
มิรารีลองเดินชมถึงจะมืดสักหน่อย แต่ให้แสงจากประตูเข้ามาสักเล็กน้อย รอบๆ ห้องนั้นมีแผงวงจร แล้วกลางห้องเป็นลานกว้างๆ มีแผงควบคุมอยู่หลายอันด้านหลัง พร้อมกับพลาสติกโปร่งใส่สี่เหลี่ยม
‘อันนี้คล้ายๆ จอคอมแบบในหนังเลยแฮะ...’ มิรารีคิดอย่างข้องใจ
“กู้ด!” กู้ดนี่กระโดดส่งเสียงให้อีกฝ่ายได้ยิน
มิรารีหันไปตามเสียงก็เห็นกู้ดนี่กระโดดอยู่แถวๆ แผงควบคุม “อย่ากระโดดสิ เดียวไปโดยอะไรเข้านะ!”
“กู้ด!” กู้ดนี่ชี้ไปที่แผงควบคุมที่มีปุ่มสีน้ำเงินอยู่
“ให้กดมันเหรอ?” โพรทาเลียขมวดคิ้วอย่างสงสัย “แล้วมันจะกดได้เหรอ?”
กู้ดนี่พยักหน้าอย่างมั่นใจว่าต้องกดได้ มิรารีจ้องไปที่ปุ่มนั้นอีกครั้ง ก่อนจะยื่นมือไปตกหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ เธอมืออีกข้างก็ยกมาปิดตาตัวเอง
“สิทธิ์ศักดิ์ทั้งหลายโปรดคุ้มครองลูกด้วยเจ้าค่ะ!”
เธอยกนิ้วกดลงไปดังกึก แต่แล้วกลับไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้นเลย มิรารีค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามอง ภายในห้องนั้นก็ยังมืดเหมือนเดิม
“เฮ้อ...ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่น่า ฮ่าๆ”
สิ้นคำพูดของมิรารีก็มีเสียงเหมือนเครื่องยนต์ทำงาน ทำให้มิรารีมองซ้ายมองขวาอย่างตกใจ ภายในห้องแผงควบคุมทั้งหมดเกิดมีแสงสว่างขึ้น รวมทั้งหน้าจอต่างๆ ที่อยู่ตามจุดของมันก็เปิดทำงานขึ้นด้วย มิรารีเห็นถึงกับรู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องเข้าให้แล้ว
“ซวยล่ะสิ!!”
เกาะแห่งความหวัง สถานวิจัย
เหล่านักวิจัยมากมายกำลังทำงานของตนเองกันอย่างขยันขันแข็ง แต่พอเข้าไปลึกๆ จะมีจุดทำงานอีกแห่งที่ถูกเรียกว่าลานเก็บยานพาหนะเช่นเครื่องบิน จะมีตั้งแต่นักวิจัยจนไปถึงช่างกลที่กำลังทำงาน พวกเขารวมตัวกันเพื่อวิจัยสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับยานบิน คนกลุ่มหนึ่งกำลังคุยกันถึงความเร็วของยานบิน หญิงสาวร่างเล็กกำลังเดินตรงมาหาพวกเขาอย่างเร่ง
“ดอกเตอร์ออสตินค่ะ”
ชายชราในชุดกาวหันไปมองหญิงสาวที่เรียกชื่อเขา “อ้าว เธอเองเหรอ? เอวา”
“ดอกเตอร์นะ ดอกเตอร์ วันนี้ฉันรอข้อมูลผลวิจัยอยู่นะคะ ทำไมคนของคุณไม่ส่งมาให้ฉันล่ะนะ”
“อ้าวเหรอ? งั้นเดียวฉันเตือนพวกนั้นได้นะ” ดอกเตอร์ชายชราหยิบเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ทันสมัยขึ้นมา ก่อนจะกดส่งข้อความไป “เรียบร้อยล่ะ ไปรอรับที่ห้องเธอได้เลย เอวา”
“ขอบคุณค่ะ...ดอกเตอร์” เอวากล่าวขอบคุณ ก่อนจะเดินออกจากตรงนั้น
ดอกเตอร์จ้องมองเธอด้วยสายตาไม่พึ่งประสงค์ เหมือนเขาโกรธเคืองอะไรเธอสักอย่าง เอวาเดินตรงกลับมาที่ห้องเธอ สีหน้าของเธอนั้นดูซึมไปเลยที่เจอกับดอกเตอร์ออสติน เพราะเธอกับเขามีเรื่องบางอย่างต่อกัน มันเป็นเรื่องที่ผ่านมาหลายตั้งแต่ที่เธออาสาจะดูแลมิรารีที่ถูกแช่แข็งในตู้นั้น หลายคนเอาแต่บอกเธอให้ปล่อยมิรารีไป แต่เธอเชื่อว่าอีกฝ่ายต้องฟื้นขึ้นมา จนตอนนี้เธอนั้นทิ้งอีกฝ่ายไว้ที่เกาะเซอร์ไว ทำให้ดอกเตอร์ออสตินโกรธ เพราะเขากับมิรารีนั้นมีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกัน
“เฮ้อ...เหนื่อยจริงๆ มิรารี...รอหน่อยนะ...ฉันจะพาเธอกลับมาที่นี้ ถึงแม้เธอจะอยู่ในสภาพโดนแช่แข็ง...พ่อเธอ...ทำฉันปวดหัวจริงๆ”
เอวามานั่งที่โต๊ะของเธอพร้อมกับซุกหัวกับโต๊ะทันที
“เฮ้อ...ไหนดูสิ...ผลวิจัย...หือ?”
ระหว่างที่ตรวจสอบผลวิจัย บนหน้าต่างจอของเธอกับมีสัญญาณเตือนบางอย่าง เธอขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“แจ้งเตือนอะไรกัน?”
เอวาลองเลื่อนเมาส์ไปกดตรงที่มีสัญญาณเตือน พอเธอกดมันสีหน้าเธอเปลี่ยนไปทันที
“เดียวนะ! ไม่จริงนะ...มันไม่น่าเป็นไปได้เหรอ?!”
ตึกหลังชั้นที่ห้า ห้องปฏิบัติการ
หลังจากไฟฟ้ากลับมาทำงาน ทำเอามิรารีตกใจไปเลยว่าไฟฟ้ากลับมาได้อย่างไร แต่ที่เธอใช้ความคิดปุ่มที่กู้ดนี่ให้กดคงเป็นปุ่มทำงานของระบบไฟฟ้า แต่ส่วนใหญ่มันน่าจะอยู่ที่ชั้นล่างกันไม่ใช่หรือไง มิรารีส่ายหัวอย่างไม่เข้าตัวเองจริงๆ พอระบบต่างๆ กลับมาใช้งาน เธอเริ่มค้นหาบางอย่างทันที
“เอาล่ะอย่างแรกอินเทอร์เน็ต!!” เธอลองตรวจสอบคลื่นเน็ต แต่มันไม่มีเลยสิ “แย่ที่สุด!! แล้วฉันจะหาข้อมูลได้ไง?”
“กู้ด!!” กู้ดนี่กระโดดมาอยู่ข้างๆ พร้อมกับใช้มือที่ยื่นออกมาชี้ตรงจุดหนึ่ง
“หือ?” มิรารีดูชื่อไฟล์ที่ถูกตั้งไว้หน้าจอ ไฟล์นั้นถูกเขียนว่า ภารกิจลับ “เขียนไว้ง่ายเกินไปไหมนั้น...”
มิรารีเห็นก็ลองคลิกเข้าไปดู เห็นไฟล์เกือบเจ็ดไฟล์ในนั้น และแต่ละไฟล์เขียนเป็นคริสต์ศักราช ทำเอาใบหน้าของเธอตึงไปหมด เธอลองเปิดเข้าไปดูในไฟล์แรกที่เป็นปีที่เธอเกิดระเบิดในตอนนั้น พอเข้าไปเจอแต่ข่าวที่บอกถึงการระเบิดและมีสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้นคือเหล่าผู้คนในจุดที่เกิดระเบิดกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์หรือที่ทุกคนเรียก
“เมต้าฮิวแมน...”
ความรู้สึกอัดอึดเริ่มมากขึ้นเมื่อเธอดูไฟล์ทั้งหมด ตั้งแต่สงคราม การตามล่าพวกแบบเธอ มันช่างน่าเวทนาที่สุดและข้อมูลสุดท้ายที่เธอย้อนกลับไปดูอีกในไฟล์แรกนั้นคือภาพที่พวกเขาเข้าไปในตึกนั้นอีกแล้วพยายามกู้ร่างคนคนหนึ่งที่อยู่ในตู้ที่ล้อมไปด้วยพายุหิมะนั้น มิรารีรู้ทันทีว่านั้นใคร
“ตัวฉัน...ในพายุหิมะนั้น...”
มิรารีปิดไฟล์พวกนั้นทันที เธอเอนตัวไปด้านหลังพร้อมกับความเหนื่อยล้านี้ แค่จ้องมองข้อมูลต่างๆ เธอกับรู้สึกอยากอ้วกออกมา แต่เธอก็ฝืนไม่ให้อ้วก ระหว่างที่เธอพักนั้นก็มีบางอย่างเด้งขึ้นมา มิรารีได้ยินก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมามองที่หน้าจอ
“นี่มัน...”
มิรารีเห็นภาพตรงหน้าเธอไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนส่งข้อความมาให้เธอ แล้วข้อความนั้นมีอยู่ว่า
‘คุณเป็นใคร?’
มิรารีเห็นแบบนั้นเธอไม่รู้จะพูดยังไง เธอตั้งสติว่าควรตอบไหม เพราะหลังจากอ่านข้อมูลพวกนั้นเธอรู้แค่ว่ามีสองกลุ่มที่ทั้งดีและไม่ดี เธอมานั่งนึกเลยว่าถ้าส่งข้อความไปอีกฝ่ายจะมาหาเธอไหม
“มิรารี นี่มันโคตรเสี่ยงเลยนะ...”
“กู้ด...” กู้ดนี่เกาะแขนอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วง...กู้ดนี่...ถ้าเกิดอะไรขึ้น เธอจะช่วยฉันได้ไหม?”
“กู้ด!! (ช่วย!!)” กู้ดนี่ส่งเสียงอย่างร่าเริง
ได้ยินเสียงเจ้าตัวเล็กก็ทำให้เธอมีกำลังใจมากขึ้น เธอจ้องมองไปที่หน้าจอคอมก่อนจะส่งข้อความตอบไปทั้งฝั่งนั้น ข้างนอกนั้นเริ่มมืดลงเรื่อยๆ พวกมิรารีไม่รู้เลยว่าตัวเองอยู่ในห้องนั้นตั้งหลายชั่วโมง แต่การส่งจดหมายนั้นไปให้อีกฝ่ายนั้นจะนำโชคดีมาให้หรือหายนะครั้งใหม่กันแน่
ดาดฟ้าฐานบัญชาการยอดมนุษย์
ตกเย็นแสงพระอาทิตย์กำลังตกลงสู่ฟากฟ้าอีกครั้งเหมือนทุกวัน ชายหนุ่มที่มีผมประกายสีเทากำลังจ้องมองแสงอาทิตย์ที่กำลังตกลงช้าๆ ด้วยใบหน้าอันหมองหม่นเล็กน้อย เขายกขวดเหล้าขึ้นมาดื่ม อยู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้ากำลังเดินมา ชายหนุ่มหันไปมองว่าใครกันที่มาหาเขา เมื่อเห็นบุคคลที่มาหาสีหน้าเขาเปลี่ยนจากจ้องเขม็งอย่างไม่พอใจเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายทันที
“นายเองเหรอ? มิเกล”
ชายหนุ่มได้เอยนามของอีกฝ่ายที่อยู่ในเงามืด บุคคลดังกล่าวค่อยๆ เดินออกมาร่างกายของเขาเต็มไปด้วยหินสีแดงทั้งตัวและตามซอกหินก็สิ่งที่มีสีแดงๆ คล้ายลาวาอยู่
“เดาถูกด้วยนะเพื่อนฉัน”
“อยู่ด้วยกันมาตั้งเกือบ10ปี ฉันไม่รู้ก็บ้าล่ะ!” เขายกขวดเหล้าดื่มก่อนจะเห็นอีกฝ่ายจะมานั่งข้างๆ
"หยุดเลย!!"
มิเกลถึงกับชะงัก แล้วมองอย่างสงสัยทันที “ทำไม?”
"ถ้าจะมานั่งข้างๆ โปรดใช้อุปกรณ์ควบคุมพลังด้วย ฉันขี้เกียจมาจ่ายเงินค่าข้าวของเสียหาย"
“โธ่ๆ ดูพูดเข้าได้เงินจากรัฐบาลก็เยอะ จะกลัวอะไร คาร์เตอร์!”
ดวงตาอำพันจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจ “ฉันขี้เกียจมาเขียนรายงานข้าวของนะว่าอะไรพังมั้ง เพราะความประมาทของเมต้าฮิวแมนอย่างเรา! ดีที่ทางรัฐบาลยอมตกลงกับเราดีกว่าเอาพวกเราไปทดลองเป็นอาวุธในสงครามนะ!”
“หึ! ทำสิ พวกเราคงลุกขึ้นสู้ แล้วหนีไปอยู่ที่ดีๆ” มิเกลยืนขึ้นแล้วกดปุ่มที่อุปกรณ์ตรงข้อมูล แล้วร่างกายกลายเป็นหนุ่มผิวแทน ผมสีทอง ดวงตาสีฟ้า เขานั่งลงข้างเพื่อนพร้อมกับถามอีกฝ่าย “พอใจนะ!”
“หึ!” คาร์เตอร์มองอีกฝ่ายแล้วขวดเหล้าขึ้นดื่ม
“แล้วนี่ฤดูนั้นยังไม่หมดสินะ”
“ไม่ต้องมายุ่ง! นั้นเรื่องของฉัน!”
“จ้าๆ พ่อมนุษย์หมาป่า!”
“แล้ว นายมีอะไรถึงมาหาฉัน!”
“ภรรยาฉัน...”
“ซาร่าเหรอ? เธอเป็นอะไร?”
“เธอเห็นภาพจากต้นไม้อีกแล้ว และครั้งนี้เป็นที่เกาะเซอร์ไว!”
“!!” คาร์เตอร์เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังทันที “เธอเห็นภาพอะไร?”
“เธอบอกมีคนผิวสีขาวซีดกำลังฝังเจ้าพวกเลอร์วิงวู้ดนะสิ”
“เจ้าพวกตัวเล็กที่เธอชอบพาไหนมาไหนด้วยน่านะ”
“นายสังเกตด้วยเหรอนั้น?”
“ทำไมนายไม่ได้สังเกตเลยหรือไง?”
มิเกลนั่งเงียบทันที คาร์เตอร์จ้องถึงกับรู้เลยว่าเจ้าหมอนี้ไม่ได้สังเกตภรรยาตัวเองจริงๆ
“เหอะๆ ชักสงสารซาร่าที่มีสามีไม่ใส่ใจเนี่ย!”
“เออ!! ภรรยายังโกรธฉันไม่หายเลย!! ฉันมันไม่ได้เรื่อง! ขอโทษละกัน!!”
“ขอโทษ...ขอโทษภรรยานายน่าจะดีกว่านะ”
“ฮืออออ!!” มิเกลนั่งร้องไห้ทันที
“แต่...เกาะนั้นไม่มีใครแล้วไม่ใช่เหรอ? ” คาร์เตอร์ถามอย่างสงสัย
เพราะเขาจำได้ดีว่าตอนนั้นพวกเขาหลายคนก็อยู่และพาเด็กๆ ไปฝึกที่เกาะนั้น จนพวกดาร์คเนสรู้เรื่องเลยตามมาโจมตี ดีที่เขาพาทุกคนกลับมาหมดถึงแม้บางคนจะกลับมาตายที่นี้ เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไว้ก็ตาม
“ใช่ไงล่ะ ฉันเลยอยากให้นายอนุมัติให้ ฉันออกไปสำรวจที่เกาะนั้น!!” มิเกลหันไปมองคาร์เตอร์อย่างมุ่งมั่นว่าเขาต้องไปให้ได้
คาร์เตอร์จ้องมองอีกฝ่ายที่มีสีหน้าจริงจัง เขาครุ่นคิดอยู่สักพักพร้อมกับแหว่งขวดเหล้าวนไปมา
“งั้นพรุ่งนี้เช้าพาเมต้าฮิวแมนไป 20 นาย เตรียมอาวุธให้พร้อม!!”
“พูดจริงเหรอ?” พอได้ยินคำสั่งของเพื่อน เขาถึงกับมีสีหน้าดีใจทันที
“จริง! แต่ถ้าไปแล้วกลับเป็นพวกดาร์คเนส จงจับกุมหัวหน้าใหญ่มันมาด้วยล่ะ!!”
มิเกลฉีกยิ้มในทันที “รับทราบ หัวหน้า!”
ทั้งสองคนยกขวดเหล้าชนกันอย่างมีความสุข ต่ำลงไปจากที่สองคนอยู่กันนั้น สถานวิจัยเงียบชะงัก เพราะเป็นช่วงที่ทุกคนกลับบ้านไปกันหมด ที่นี้ไม่มีให้ใครค้างที่สถานวิจัยนอกจากกลับบ้านไปพักอย่างเดียว แต่ตามทางกับมีบางอย่างวิ่งผ่านไปอย่างเร็วจนกล้องจับได้แค่ภาพที่แว๊บไปตามทาง สิ่งที่แว๊บๆ นั้นจะหยุดลงเป็นร่างคนยืนอยู่หน้าประตูหนึ่ง เขาจัดเครื่องแต่งกายและทรงผมที่ยุ่งเหยิงก่อนจะเดินเข้าไป
“เธอเรียกฉันมาคงมีธุระจริงๆ นะ เอวา”
เอวาเท้าคางกับมือทั้งสองข้างที่ประกบกันอยู่ เธอมีสีหน้าที่เคร่งเครียดมากๆ
“ฉันอยากให้นายช่วยพาฉันไปเกาะเซอร์ไวโดยด่วนที่สุด โจเซฟ!”
ชายตรงหน้าที่ยืนมองหญิงสาว เขาแต่งกายชุดสีดำทั้งตัว ผมดำที่ตั้งขึ้น และแว่นตากระจกหนาสี่เหลี่ยมโค้งยาวปิดทั้งตาของเขา เขาถอดแว่นออกทำให้ดวงตาสีดำสนิท
“ทำไมต้องไปเกาะนั้นด้วยล่ะ?”
“ถ้าเป็นนายจะไปไหมล่ะ? ถ้าเห็นข้อความนี้?”
เอวาใช้นิ้วสลับหน้าจอไปด้านหลังให้อีกฝ่ายเห็นข้อความดังกล่าว โจเซฟเดินเข้าไปใกล้ๆ ดวงตาเขาเปิดกว้างเหมือนเห็นข้อความบนจอ
‘ฉันชื่อมิรารี โปรดมาช่วยฉันด้วย!’
“เป็นไปไม่ได้แน่ๆ เธอหลับไปตั้งเกือบจะ 10 ปีแล้วนะ!!”
“ฉันรู้!! แต่ไม่กี่ชั่วโมงก่อน เกิดการแจ้งเตือนขึ้นว่าทั้งเกาะนั้น ไฟฟ้ากำลังทำงาน ฉันเห็นว่ามันแปลกๆ ก็เลยลองส่งข้อความไปดู...”
“ก็มีคนส่งข้อความนี้กลับมาให้เนี่ยนะ!”
“ใช้เวลา 8 นาทีกว่าจะส่ง ถ้าเป็นคนปกติทั่วไปก็ส่งทันที แต่นี่เหมือนคนที่กำลังใช้ความคิดว่าควรส่งไหม เป็นนายจะกล้าส่งไหมล่ะ?”
“ถ้าเป็นคนที่ตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างในคอมบนเกาะ...เป็นผมยังไม่กล้าส่งเลยด้วยซ้ำ...นี่พี่เขา...มีความกล้าที่จะส่งแบบนี้จริงๆ เหรอเนี่ย?”
“ฉันถึงขอไง! โจเซฟ ให้นายพาฉันไปช่วยมิรารีตอนนี้เลย!!”
โจเซฟจ้องมองอีกฝ่ายที่ตัวเล็กกว่าเขา ทำเอาเขาปวดคอขึ้นมาเลยทีเดียว “ได้! แต่ถ้าไม่ใช่พี่ ฉันขอจัดการให้คนที่แอบอ้างเป็นพี่มิรารีนะ”
“ตามใจนายฉันไม่เกี่ยว!”
เอวาไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร เธออยากไปช่วยมิรารีมากกว่า แต่ในใจก็แอบคิดว่าขอให้เป็นมิรารีจริงๆ ที่ส่งข้อความหาเธอทีเถอะ
“เหรออออ!!” โจเซฟพูดแบบประชด “งั้นไปกัน!!”
“อืม!! ไปกัน!!”
ห่างออกไปแสนไกลสู่เบื้องล่างที่มีเหล่ามนุษย์ปกติเดินกันยามราตรี ห่างออกจากตัวเมืองซากปรักหักพังมากมายอยู่เต็มไปหมด โกดังร้างใหญ่ที่เคสเนอร์พาพรรคพวกของตัวเองมาอยู่ในสถานที่ที่ใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะอยู่กัน ข้างในห้องห้องหนึ่งเคสเนอร์ได้เรียกผู้คนที่เขาต้องการมารวมตัวกัน พร้อมกลับหญิงสาวที่แต่งตัวเป็นแม่หมอนั่งบนตักของเขา
“เรียกพวกเราหน่วยฟูโร มีอะไรให้พวกเรารับใช้หรือคะ?”
หญิงสาวถามหัวหน้าอย่างสงสัย เธอมีรูปลักษณ์เป็นมนุษย์ แต่กับสิ่งที่คล้ายหนามออกมาจากแก้มและแขนด้านนอก
“มีสิ!” เคสเนอร์หยิบกระดาษบนโต๊ะตรงหน้ายื่นให้หญิงสาวที่ถามเขา “ตามหาหญิงคนที่ที่เกาะเซอร์ไว!”
หญิงสาวมองภาพที่เป็นภาพสเกลของหญิงสาวที่มีผมยาวประบ่าและทั้งร่างกายเป็นสีขาว
“ผู้หญิงคนนี้...” หญิงสาวมองอย่างสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร
“ไปพาเธอกลับมาอย่างเป็นๆ ฉันต้องการเธอมาอยู่ในแผนของฉัน!”
“รับทราบค่ะ! แล้วเรื่องเวลา”
“ตอนนี้! ก่อนที่จะมีคนดักหน้าเราไปหาเธอออกมา!”
“ค่ะ หน่วยฟูโรขอตัว!”
หญิงสาวทำความเคารพพร้อมกับเดินออกจากตรงนั้นทั้งหมด เคสเนอร์ยิ้มอย่างชอบใจ ก่อนที่แม่หมอจะยกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของเคสเนอร์
“ดูๆ พอฉันหานางเจอ ท่านก็เอาแต่ยิ้มนะ”
“อะไรๆ เธออิจฉาหรือไง แม่นางฟ้าของฉัน”
“หึ ฉันสำคัญกับท่านตอนที่ฉันใช้ดวงตาทำนายอนาคตเท่านั้นเองล่ะนะ”
“ไม่เลย” เคสเนอร์เปลี่ยนท่าของแม่หมอนอนลงบนโต๊ะตรงหน้าของเขา แล้วเขาคร่อมบนตัวของเธอ “เธอสำคัญต่อหัวใจของฉันมากเลยล่ะนะ เมดิสัน”
“ท่านเคสเนอร์…” แม่หมอรู้สึกเคลิ้มไปกับคำพูดของผู้เป็นนาย
เคสเนอร์ยื่นใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่ายก่อนที่ริมฝีปากของทั้งสองนั้นจะบรรเลงจูบอันเร่าร้อน ความคิดของเคสเนอร์ตอนนี้มีแต่คิดเรื่องของมิรารีว่าเขาได้เธอมา ทุกอย่างที่อยู่รอบๆ เขาก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เขาสนไม่ไว้ที่จะได้เสนอมาอยู่ข้างๆ กาย
จบตอนที่ 5 โปรดติดตามตอนที่ 6 ต่อไป
Comments (0)