3 ตอน ตอนที่ 3 สำรวจ
โดย YukiCoCo
ตอนที่ 3 สำรวจ
ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นสู่ฟากฟ้า แสงอันเจิดจ้ากำลังกระทบตึกขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางเกาะที่แวดล้อมไปด้วยพงไพร ป่าไม้มากมาย ภายในตึกนั้นดูสะอาดผิดตาไปจากเดิม ตามพื้นทางเดินมีการเก็บกวาดเศษหินเล็กจ๋อยออกไปจากทางเดิน เมื่อเข้ามาข้างในสุดท้ายเดินจะมีทางแยกอยู่สองทางแล้วตรงหน้าของคุณจะมีสวนกว้างที่รกมากๆ อยู่ เดินไปตามทางขวามือ จะมีห้องหนึ่งที่เปิดค้างไว้แล้วในห้องนั้นมีกองผ้าห่มที่ทับถมกันจนเป็นภูเขา กองผ้านั้นมีการขยับเกิดขึ้น แล้วมีบางอย่างโผล่ออกมาจากกองผ้านั้น
“อ๊าาาาาาา~”
มิรารีโผล่หัวออกมาจากห้องผ้าอย่างงัวเงีย
“งึมงำ...”
ทรงผมอันยุ่งเหยิงจากการนอนในกองผ้าคลุมตัว ทำให้เธอเหมือนคนไม่ได้อาบน้ำมานาน เธอค่อยๆ พยายามออกมาจากกองผ้า พอเธอออกมาเสื้อใส่เสื้อผ้าแค่ เสื้อกล้ามกับกางเกงในหนึ่งตัวเท่านั้น เธอค่อยๆ ยืดตัวเองไปข้างขวาทีข้างซ้ายที
“นอนในกองผ้านี่ดีจริงๆ อุ่นอย่างที่ต้องการจริงๆ คงเพราะเรามีพลังหิมะเลยไม่รู้สึกว่าหนาว แต่...เราอยากได้ความอุ่นแทนนี่สิ...”
มิรารีพึ่งรู้ว่าตัวเองนั้นต้องการความอุ่นมากๆ เพราะร่างกายเธอมีแต่ความหนาว ถ้ามีอะไรทำให้อุ่นก็จะดีต่อร่างกายของเธอ มิรารีเดินไปแถวๆ หน้าต่าง ข้างนอกกำลังมีแสงแดดขึ้นเรื่อยๆ
“เช้าแล้วสินะ...ความอุ่นจ้า ทำให้วันนี้ฉันสนุกหน่อยนะ!”
มิรารียืดเส้นยืดสายอีกครั้ง เธอออกกำลังกายก่อนจะเตรียมตัวไปอาบน้ำ
“น้ำแข็งน่าจะละลายหมดแล้วมั้ง...”
มิรารีออกกำลังกายเบาๆ ตอนเช้าเสร็จ เธอเตรียมตัวเดินออกจากห้องแล้ว ตรงไปที่ห้องน้ำ ดีที่ว่าเธอแค่เดินไปทางซ้าย เลี้ยวขวาอีกที และเลี้ยวซ้ายอีกนิดก็ถึงห้องน้ำแล้ว ตอนแรกที่มานั้นห้องน้ำหญิงโคตรสกปรก เพราะทิ้งร้างมานานจุดต่างๆ จึงมีอะไรเกาะเยอะไปหมด มิรารีเลยต้องหาน้ำยามาทำความสะอาด ส่วนเรื่องน้ำ เธอก็เอาน้ำแข็งมารอให้มันละลายเป็นน้ำ แล้วค่อยหาเวลามาขัดห้องน้ำ เธอเดินมาตรงจุดที่เธอวางน้ำแข็งไว้ในถังสีฟ้ามีฝาปิดสีดำ ตอนแรกเธอสงสัยว่ามันคือถังสารเคมีไหม แต่ข้างในไม่มีอะไรเธอเลยเอามาล้างแล้วใส่น้ำแข็งกองใหญ่ไว้ พอมาดูก็ได้เห็นน้ำแข็งกลายเป็นน้ำไปแล้ว พอเห็นแบบนั้นก็อาบน้ำในทันที
“สบายตัวจริงๆ ดีนะที่มีพวกน้ำยาสระผมกับสบู่อาบน้ำด้วย ไม่งั้นคงได้อาบน้ำเปล่าอย่างเดียวแน่ๆ”
มิรารีทำความสะอาดร่างกายอย่างสบายใจพร้อมกับฮัมเพลงไปด้วย
“ฮือออ ฮือออ~”
อาบน้ำจนสะอาด ตัวเธอขาวอยู่แล้วก็ยิ่งขาวไปอีก เธอมองผิวตัวเองแล้วคิดว่าผิวเธอนั้นเหมือนกับสีขาวหิมะจริงๆ ขาวและก็ขาว ครั้งแรกในชีวิตของเธอที่จะได้มีโอกาสมีผิวสีนี่จริงๆ แต่ก็ดูแปลกตาอยู่ดี เธอแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่หามาได้ในห้องที่เธออยู่ ถึงมันจะมีเสื้อผ้าที่ขนาดใหญ่กว่าเธอ แต่ก็พอใส่ได้นั้นล่ะ ในห้องที่เธออยู่นั้นน่าจะเป็นผู้ชายที่เคยอยู่ แต่เป็นผู้ชายที่มีระเบียบและไม่สนใจของตัวเองเลย เพราะเขาทิ้งเสื้อผ้าของตัวเองไว้หมด เพื่อไปกับตัวและแค่ของสำคัญแน่ๆ ระหว่างที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำนั้น เธอได้กลิ่นของเจ้าของคนเก่า มันช่างเป็นกลิ่นที่หอมมากๆ สำหรับเธอ
“หอมจัง...อยากรู้จังว่าชายคนนี้เป็นคนยังไงนะ...”
มิรารียืนอึ้งกับความคิดเธอก่อนจะส่ายหัวทันที
“เราเป็นบ้าอะไรเนี่ย! เผลอคิดอะไรบ้าๆ กัน นี่ฉันสนคนที่เคยใส่เสื้อตัวนี้เนี่ยนะ บ้าจริงๆ!”
มิรารีรีบใส่เสื้อให้เสร็จก่อนจะเดินไปยังสถานที่ที่เธอจะไปคือห้องอาหาร เธอย้อนกลับแถวๆ ห้องที่เธอพัก มันเป็นทางที่จะผ่านเพื่อไปยังโรงอาหาร
“เอาล่ะวันนี้ก็...ทำอะไรดีนะ ตลอดหนึ่งสัปดาห์เราเอาแต่กินเล็กกินน้อย เพราะไม่ค่อยทำอะไร...งั้นวันมือหนักหน่อยละกัน!”
มิรารีคิดเมนูสำหรับหนักท้องของเธอทันที ตั้งแต่ที่เธอตื่นขึ้นมาตอนนี้ก็ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์ เวลามันช่างผ่านไปไวแท้ ตลอดสัปดาห์มิรารีทำแค่ทำความสะอาดพื้นหรือไม่ก็ห้องน้ำที่เธอต้องใช้บ่อยๆ ตอนนี้คงถึงเวลาที่เธอต้องสำรวจข้างในตึกแบบจริงๆ จังๆแล้ว มิรารีหยิบวัตถุดิบออกมามากมาย ตั้งแต่ ไข่ ไส้กรอก ขนมปังที่ทำเอง และผักต่างๆ วันนี้เธอจะทำมือข้าวแบบคนอเมริกันชอบทาน
เธอเริ่มจากตั้งกระทะลงบนเตาจุดไฟ ใส่น้ำมันลงไปให้ร้อน นำวัตถุดิบที่เตรียมไว้ มาจัดการล้าง หั่นตามที่ตัวเองต้องการ เมื่อกระทะร้อนดีก็ปรับความร้อนของเตาให้เบาลง แล้วตอกไข่ลงไปในกระทะ เสียงฉ่าของน้ำมันดังขึ้นเมื่อไข่กระทบกับน้ำมัน เสียงของน้ำมันทำให้มิรารีนั้นรู้สึกหิวขึ้นมาเลยทีเดียว ไข่ขาวเริ่มสุกในพริบตา มิรารีจับกระทะให้ไข่ขยับ ไข่ไม่ติดกระทะแต่อย่างใด เธอใช้ตะหลิวนำไข่ค่อยๆ วางลงบนจานที่เตรียมไว้ จากนั้นก็นำขนมปังที่หั่นเป็นชิ้นสักสองชิ้นนำลงใส่เตาอบที่อยู่ใต้เตาแก๊ส จากนั้นก็มาย่างไส้กรอกต่อ เมื่อนำไส้กรอกสองชิ้นที่หั่นหัวและหางแล้วนำลงบนกระทะ มันก็เริ่มบานขึ้นจนเป็นรูปปู
“น่ารักจัง คิกๆ”
เธอใช้ตะหลิวพลิกไส้กรอกไปมาให้มันสุกจนทั่ว พอไส้กรอกได้ทีแล้วก็นำมาลงใส่ในจาน กระทะก็นำมาล้างในทันที นำชามเตรียมใส่ผักที่ล้างไว้เรียบร้อยใส่ในชาม ข้างในชามนั้นมีตั้งแต่ผักสลัด แครอท กะหล่ำม่วง ก็มีเท่านี้ เพราะบางอย่างมิรารีก็ไม่ค่อยชอบผักหลายอย่างที่เธอมีไม่ชอบก็เยอะเหมือนกัน บางอย่างก็กินได้ถ้าสุกแล้ว พอจัดจานเสร็จเธอก็มองอาหารอันแสนน่าทานของเธอ
“เสร็จแล้ว!!”
มื้อเช้าของมิรารีก็เสร็จเรียบร้อย มื้อเช้าแสนง่ายและอิ่มท้องอย่างเต็มที่ เธอเติมซอสที่จะทานลงไปในจานด้วยก่อนจะยกจานออกจากโซนทำอาหารแล้วมานั่งที่เก้าอี้และโต๊ะที่ถูกจัดไว้โดยตัวเธอ พอวางลงแล้วนั่งลงเธอพนมมือขึ้นมาทันที
“ทานล่ะนะคะ”
มิรารียกส้อมจิ้มลงไส้กรอกชิ้นหนึ่งพร้อมกับจิ้มซอสที่ใส่ไว้ข้างจาน แล้วกัดเข้าไปคำหนึ่งจนชาติอันเปรี้ยวของซอสมะเขือเทศกระจายไปทั่วปากของเธอ
“อร่อยยยยย~”
พอได้ลิ้มรสชาติของไส้กรอก ทำให้เธอหยุดการกินไม่ได้เลย เก้าอี้กับโต๊ะที่มิรารีใช่นั้นได้มาจากห้องเก็บของภายในโรงอาหาร เนี่ยจากเธอลองค้นหาดูตอนแรกไม่เห็นนอกจากเครื่องปรุงที่อยู่ข้างในนั้น แต่มันแอบซ่อนอยู่ข้างในข้างใน เมื่อนำเอาออกมาก็เห็นสภาพมันพอใช้ได้เลยเอาออกมาใช้ซะเลย ระหว่างที่มิรารีกำลังทานอาหารอย่างมีความสุข เธอกำลังคิดว่าตัวเองจะสำรวจที่ไหนต่อดี
“อืมสัปดาห์ก่อนทำข้างในนี้ รอบหนึ่งแล้ว คงต้องตรวจสอบชั้น1กับชั้น2ให้หมด...”
มิรารีนึกถึงสัปดาห์ก่อนที่เธอทำงานคนเดียวอย่างไม่สนใจอะไรสนทำให้พื้นทางกับห้องน้ำหญิงสะอาดหมดจด
“เราคนเดียวเก็บกวาดจนสะอาดได้นี่...เหมือนจอมเวทที่ใช้เวทมนตร์เลยแฮะ ฮ่าๆ”
เธอทานอาหารไปเรื่อยๆ พอดื่มน้ำส้มที่นำเอามาจากตู้เย็น พออิ่มอย่างเต็มที่แล้วเธอกับมีความคิดอีกอย่างที่รู้สึกหงุดหงิดมาหลายวันแล้ว
“อ๊ากกกกกกกก!! ทำไมที่นี้ไม่มีข้าวสารเลยนะ!! อยากกินข้าว ทำข้าวไข่เจียวก็ยังดี! หรือทำข้าวหน้าไข่หมูทอดสไตล์ญี่ปุ่นก็ยังดี! คนไทยแบบฉันต้องทานข้าวนะ!!”
คำบ่นโวยวายเรื่องอาหารของเธอนั้น ได้พูดแบบนี้มาตลอดสัปดาห์ ถ้าให้นึกๆ ว่าอยากทานข้าวก็คงไม่มีให้ เพราะที่นี้มันป่าคงไม่มีข้าวขึ้นมาแน่ๆ แล้วที่นี้ไม่ได้อยู่แถวๆ เมืองที่จะลงไปหาของขายได้ ที่นี้มันเกาะที่ไหนก็ไม่รู้ พอมิรารีคิดว่าเธอคงไม่มีโอกาสได้ทานข้าว คงต้องทำใจเรื่องข้าวสารไปนั้นล่ะ แต่ตอนนี้คงต้องหาทางข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ว่าที่นี้คือที่ไหนและดูว่ามีอะไรที่จะสามารถพาเธอออกจากเกาะนี่ได้ไหม
“คงต้องหาข้อมูล แต่...ไม่มีไฟฟ้าเลยนี่สิ...คงต้องหาแบบเอกสารดูก่อนล่ะนะ...”
ตลอดสัปดาห์มิรารีค้นหาทุกช่องทางที่จะทำให้ไฟฟ้ากลับมาใช้งานได้ แต่ก็หาไม่เคยเจอเลย ทำให้เธอสงสัยว่าไฟฟ้าของที่นี้ทำงานด้วยอะไรแน่ ถึงจะไม่มีอะไรที่ใช้ได้ ต้องขอบคุณร่างกายของเธอที่เป็นแบบนี้เธอไม่ต้องห่วงหนาวเลย แต่ห่วงคือเธอต้องการความอบอุ่นมากกว่าความหนาวซะอีก
“เฮ้อ...อิจฉาคนปกติที่มีร่างกายปกติจริงๆ ไม่ต้องห่วงว่าร่างกายจะไม่อบอุ่น...”
อีกด้านหนึ่ง ณ เกาะแห่งความหวัง สภาพแวดล้อมภายในเกาะช่างเงียบสนิท ไม่มีผู้คนออกมาเดินเล่นเลย ต่างจากครั้งก่อนที่ยังมีคนมาเดินเล่นหรือมีรถขับไปมาอยู่ตามทาง ผู้คนมากมายต่างพากันอยู่แต่ตึกอาคาร ในบ้าน เนื่องจากว่าไฟฟ้าภายในเกาะลอยฟ้าเกิดดับ ดีที่เกาะลอยฟ้านั้นทำงานด้วยหินบางอย่างที่ทำให้ลอยฟ้าได้โดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้าแต่อย่างใด แต่ในสภาพแบบนี้แต่ละคนคงรู้สึกถึงความร้อนที่ไฟยังไม่กลับมาถึงสองชั่วโมง
ณ ฐานบัญชาการเหล่ายอดมนุษย์ ห้องพักผ่อน
“อ๊ายยยยยยยยย~ ร้อน! ทำไมกัน ทำไมต้องเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของปีด้วย!” เมียบ่นออกมาดังๆ เธอเอาพัดมาพัดตัวเองเพื่อให้หายร้อน
เพื่อนสาวอีกสามที่อยู่รวมตัวกันมองเมียที่บ่นจนน่ารำคาญ พวกเธอแต่ละคนใส่เสื้อหาน้อยชิ้นเนื่องจากความร้อนที่กำลังเล่นงานพวกเธออย่างสุดๆ ซาร่าได้ยินคำบ่นของเมียเธอก็บ่นเมียทันใด
“นึกว่าเธอร้อนคนเดียวเหรอ? เมีย ตอนนี้ทุกคนก็ร้อนหมดล่ะ ยิ่งไฟฟ้าดับมาสองชั่วโมงล่ะ!”
“ก็ฉันร้อนอ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!” เมียยังตะโกนทำเอาคนอื่นๆ หงุดหงิดเข้าไปอีก
“เลิกบ่นเลยเมียมันน่ารำคาญอ่ะ พวกฉันยิ่งร้อนกว่าไหมนะ เธอเป็นมนุษย์ไฟ ยังมาบ่นร้อนอีกนะ!”
“มาเป็นฉันไม่ไหม! พีบี!! ฉันนะร้อนทั้งข้างในทั้งข้างนอกเลยล่ะ!” เมียยิ่งเขยิบเข้าหาพีบีในทันใด
“อ๊ากกกกกกกกกกกกก! ออกไปเลยยัยบ้า ตัวก็ร้อนยังจะเข้ามาใกล้ฉันอีก!!” พีบีรีบดันเมียออกจากตัวเธอทันที
สาวๆ ต่างมองสองคนทะเลาะ เหมือนกลายเป็นเรื่องประจำที่สองสาวคู่นี้จะหาเรื่องทะเลาะแบบสาวๆ ทะเลาะกัน ซาร่ามองอย่างส่ายหัว เธอกำลังปรับสภาพตัวเองที่เป็นต้นไม้ เธอต้องปรับตัวเหมือนต้นไม้ในเขตร้อนที่สนความร้อนได้ หญิงสาวข้างๆ ซาร่ามองเธอที่กำลังปรับสภาพตัวเองอยู่
“อิจฉาซาร่าแฮะ...ที่ไม่ต้องห่วงเรื่องความร้อนนะ”
“อิจฉาทำไมกัน? อเล็กซ์ ฉันต้องใช้เวลาปรับสภาพของพันธุ์ไม้ในร่างกายของฉันเลยนะ”
“เหรอ? ลำบากแย่เลยนะ” อเล็กซ์ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกอึ้งทึ่งกับคำพูดของอีกฝ่าย
“อืม แต่ฉันฝึกมาตั้งหลายปีกว่าจะทำได้น่านะ”
“ก็ถือว่าเก่งนะ ไม่เหมือนฉัน…” อเล็กซ์พูดจบตัวของเธอลอยขึ้นอย่างช้าๆ แล้วไปกระทบกับเพดาน “ทำได้แค่ลอยตัวน่านะ...เพราะแรงโน้มถ้วนน่านะ”
“ฉันก็ถือว่าพลังเธอก็เจ๋งไปอีกอย่างนะ อเล็กซ์”
อเล็กซ์ค่อยๆ ลอยลงมาช้าๆ ก่อนจะนั่งลง “งั้นเหรอ...แต่ว่า...ฉันไปเที่ยวแช่แอร์ช่ำๆ เลยนะ แต่ว่า...”
“ตอนนี้ไฟดับทั้งเกาะ...คงต้องรอยาวๆ ล่ะ”
“คงสักพักใหญ่ ได้ยินว่าช่างไฟกำลังไปซ่อมไฟฟ้าที่ชั้นใต้ดินอยู่นะ”
“อยากให้ไฟกลับมาไวๆ จริงๆ อยากจะนอนแช่แอร์เย็นๆ จะตายอยู่แล้ว!”
อเล็กซ์ได้ยินสิ่งที่เมียพูด เธอก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “หือ!? จริงสิ...กลุ่มเราไม่มีใครที่มีพลังหิมะหรือน้ำแข็งสักคนเลยสินะ”
“เอ๋?” พวกสาวๆ ต่างมองหน้ากันแล้วนึกดูว่าแต่ละคนมีใครมีพลังอะไรมั้ง
“จริงด้วยนะ ไม่มีใครมีพลังหิมะเลยสักคนเลยนะ”
“พออเล็กซ์พูดแบบนี้มันช่างน่าแปลกใจจังเลยนะ”
“ไม่น่าแปลกหรอก!” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมา
สาวๆ ต่างหันไปมองต้นเสียงที่พูดขึ้น เสียงนั้นคือ เอวา หญิงสาวตัวน้อยนั้นเอง
“เอวา!”
เอวาเดินมาทั้งเสื้อกล้ามโขว์กับกระโปรงสั้นถึงต้นขา “พวกเธอรู้สึกแปลกใจที่ไม่มีใครเป็นเมต้าฮิวแมนหิมะ ก็มีคนหนึ่งที่มีสิทธิ์ที่จะเป็นอยู่นะ”
“ใครเหรอ!!”
“มีด้วยเหรอ?”
“ถ้ามีพามาเลยสิ!!”
“คนที่โดนแช่แข็งอยู่ไงล่ะ!”
เอวาพูดประโยคนั้นออกมา ทำเอาทุกคนที่กำลังมองเอวาถึงกับนิ่งไปเลย พวกเธอหันกลับไปนั่งบนโซฟาเหมือนเดิม
“ขอโทษค่ะ...” สี่สาวต่างพูดพร้อมกันอย่างรู้สึกผิด
“จะพูดอะไร ก็คิดถึงไอ้คนข้างบนหน่อย เดียวพวกเธอจะโดนหางเลขไปด้วยหรอกนะ!”
“เข้าใจแล้วล่ะ...เอวา...”
“แต่...พอนึกถึงก็สงสาร มิรารีนะ...เธอไม่สามารถฟื้นกลับมาได้...ถึงแม้พวกเราจะช่วยกันเพื่อให้เธอฟื้นขึ้นมาก็ตามที...” ซาร่านึกถึงมิรารีที่เธอได้รู้จักได้ไม่ถึงวัน แต่เหมือนรู้สึกว่ารู้จักเธอมานาน
“ใช่...แต่ก็ดีแล้วล่ะที่เธอไม่ต้องมาเห็นโลกที่เปลี่ยนไปมากแบบนี้...ถ้าเธอฟื้นขึ้นมา...คงมีเรื่องปั่นป่วนเพิ่มขึ้นอีกแน่”
เอวากล่าวออกมาแบบนั้น เธอหารู้ไหมว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นจริงแล้วและมันกำลังจะมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นอีกมากในอนาคต
เกาะปริศนา ข้างในซากตึกปรับหักพัง ตึกที่ 1
มิรารีกลับมาเดินอยู่ข้างหน้าแถวๆ เคาน์เตอร์ เธอกำลังจะเตรียมตัวสำหรับตรวจภายในตึกของชั้นหนึ่ง ตอนนี้เธอวาดจากโซนแรกก่อนว่ามีบริเวณว่าง มีเคาน์เตอร์ และบันไดสองทาง ทางที่เธอลงกับทางด้านหน้า แต่รู้สึกบันไดสองอันนี้หักเหมือนกันจริงๆ พอวาดอะไรเสร็จ ก็เตรียมตัวตรวจสอบทางด้านซ้ายก่อน พอเดินไปตามทางก็เจอแต่ห้องพัก บางห้องมีสองถึงสามเตียงที่นี้คล้ายๆ โรงเรียนประจำมากกว่าที่มีห้องพัก เดินไปตามทางมากมายก็เจอแต่ห้องพักจริงๆ ชั้นหนึ่งเหมือนถูกสร้างมาให้เป็นห้องพักและมีโรงอาหารด้านหลัง ระหว่างที่เดินวาดรูปไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกถึงอาการอยากจามออกมาทันที
“ฮัดชิ้ว!”
มิรารีขยี้จมูกของตัวเองอย่างคันๆ เธอรู้สึกคันจมูกไปหมด
“ใครนินทาเราหรือเปล่าเนี่ย?”
มิรารีเช็ดจมูกของตนเองเสร็จ เธอก็ก้าวเท้าเดินวนต่อพอดูรอบๆ ชั้นหนึ่ง มันไม่ค่อยมีอะไรนอกจากห้องพัก สวน โรงอาหาร และก็ห้องน้ำ แต่มันมีจุดหนึ่งที่แปลกประหลาดมันเป็นกำแพงสี่เหลี่ยมไร้ประตูหรือทางเข้าไปไหน มันมีแต่เส้นทางข้ามไปอีกฝั่ง นั้นทำให้มิรารีเห็นก็สงสัยว่าทางนี้มันมีอะไรแอบซ่อนหรือเปล่า จนมิรารีพยายามเคาะไปตามกำแพงเรื่อยๆ ตั้งแต่ด้านขวาสุดไปทางด้านซ้าย แต่พอเคาะมาถึงตรงกลางเธอก็ได้ยินเสียงที่แตกต่างกว่าจุดที่เธอเคาะ
‘กึกๆ’
มิรารีมองจุดที่เธอเคาะอีกครั้งอย่างสงสัยว่าทำไมมีเสียงที่แตกต่างกว่าจุดอื่นๆ เธอลองเคาะมันอีกครั้งก็ได้ยินเสียงกึกๆ เหมือนเดิม พอเข้าใจว่าจุดนี้คงเป็นทางเข้าแน่ๆ เธอเลยลองหาจุดที่จะเปิดประตูได้ จนเธอเจอจุดที่สัมผัสแล้วมันเกิดแสงขึ้น พอกดมันเข้าไป ประตูก็ทำงานถึงแม้จะไม่มีไฟฟ้าเป็นพลังงานก็ตาม ประตูได้เปิดออกทำให้เห็นขั้นบันไดลงไปข้างล่าง แต่ทางมันช่างมืดสุดๆ นั้นทำให้มิรารีไม่กล้าลงไปข้างเลยจริงๆ
“คงต้องหาไฟฉายหรืออะไรสักอย่างเป็นแสงไฟให้เราน่านะ...ตอนนี้ก็...อย่าพึ่งลงไปละกัน”
สีหน้าของมิรารีดูเจื่อนๆ เพราะเธอนั้นก็ไม่ชอบความมืดอยู่แล้วมาเจออะไรที่มืดกว่าเดิมยิ่งไม่ชอบเข้าไปอีก ปกติอยู่ที่นี้ไม่มีไฟก็แย่อยู่แล้ว มีแต่แสงจันทร์ส่องทางประตูอย่างเดียวก็พอโล่งใจอยู่บ้าง มิรารียื่นวาดภาพแผนผังจนเสร็จในชั้นหนึ่ง
“วาดเสร็จแล้ว งั้นต่อไปชั้นสอง”
มิรารีคิดเลยว่าชั้นสองนั้นมีอะไรบ้าง นอกจากห้องที่เธอเคยอยู่ แต่ตอนที่ปีนต้นไม้ในวันแรก เธอจำได้เหมือนเห็นอีกตึกที่เธอยังไม่เคยเข้าไปเลย มันน่าแปลกใจที่มีตึกหลังด้วย ทำให้เธอคิดว่าที่นี่ช่างเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่มากๆ เธอเดินตรงไปยังข้างหน้าตึกแล้วมาจ้องมองบันไดที่ตัวเองเคยกระโดดลงมาจนบาดเจ็บ เธอนึกคิดเลยว่าจะทำยังไงให้ขึ้นไปชั้นสองได้ ก่อนจะนึกถึงบางอย่างขึ้นได้
“สร้างน้ำแข็งเป็นบันไดก็ได้นี่น่า!”
มิรารีคิดขึ้นมาได้ทันที เธอได้ความคิดจากการ์ตูนมากมายที่สร้างน้ำแข็ง เป็นสิ่งต่างๆ เธอพยายามรวบรวมพลังไว้ที่มือ ก่อนจะปล่อยพลังใส่ที่พื้นให้มันก่อตัวขึ้นเป็นบันไดตามที่เธอต้องการ มันก่อตัวขึ้นเป็นบันไดหนาๆ ทีละขั้นทีละขั้นจนถึงชั้นสองสำเร็จ
“เท่านี้ก็จบ!”
พอได้เห็นขั้นบันไดที่ตัวเองสร้างขึ้นอย่างภูมิใจ มิรารีก็พอใจกับสิ่งที่ตัวเองสร้าง ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เธอจะทดสอบว่าบันไดนั้นแข็งแรงดีไหม เธอลองยกขาขึ้นไปเหยียบขั้นบันไดอย่างช้าๆ พอลองเหยียบแล้วว่าไม่มีการแตกหัก เธอก็ค่อยๆ เดินขึ้นไปข้างบนอย่างช้าๆ เหยียบจนมาถึงชั้นสองได้สำเร็จ
“เย้ เท่านี้ก็ตรวจชั้นสองต่อได้แล้วสินะ!”
มิรารีเริ่มตรวจสอบจากห้องขวามือก่อน เธอเปิดประตูเข้าไปอย่างช้าๆ เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็โผล่หน้าเข้าไปมองข้างในมีโต๊ะยาวเป็นวงรีคล้ายๆ โต๊ะประชุมในงานต่างๆ มิรารีคิดเลยว่าที่นี้เป็นประชุมแน่ๆ พอเข้ามาข้างในมันมีเศษกระดาษที่กระจายอยู่บนพื้นเต็มไปหมด มิรารีเห็นกระดาษใบหนึ่งอยู่ตรงเท้าของเธอ เธอย่อตัวลงแล้วหยิบเอกสารขึ้นมาดู
“การวัดพลังของเด็ก?”
มิรารีคิดอย่างสงสัยว่าการวัดพลังคืออะไร
“ที่นี่ทำอะไรกันแน่นะ?”
มิรารีชักสงสัยยิ่งกว่าเดิมว่าที่นี้มันเป็นสถานที่อะไรกันแน่ หรือเป็นสถานที่ทดลองเด็ก มีคำถามมากมายในหัวเต็มไปหมด เธอหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนแผนผังส่วนที่เธอเห็นอยู่ในตอนนี้ ก่อนจะลองเดินตามห้องอื่นต่อ ห้องที่เจอก็มีแต่ห้องทำงาน ห้องปฐมพยาบาล แล้วเจอห้องสี่เหลี่ยมที่เป็นห้องนั่งเล่น เห็นแค่ไม่กี่ห้องก็ทำให้สงสัยว่าชั้นสองนี่น่าจะเป็นชั้นสำหรับผู้ใหญ่ใช้งานหรือไม่ก็ทั้งตึกนี้เป็นโซนที่ผู้ใหญ่ใช้ มิรารีเดินจนมาถึงจุดที่เธอออกมาจากห้องนั้น มันยังเปิดค้างอยู่เหมือนพลังงานในห้องนี้หมดไปแล้ว เธอลองเดินเข้าไปข้างในห้องนั้น ข้างในเธอเห็นโต๊ะ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์มากมายที่ถูกจัดเรียง บางอันก็มีแตกหรือก็ยังสามารถใช้การได้อยู่ ไม่ต้องคิดเลยว่าห้องนี้ก็มีโดนแรงสะเทือนจากการโจมตีด้วยแน่ๆ
“ไม่มีจุดไหนที่จะรอดจากการโจมตีเลยสินะ...”
พอเดินเข้าไปตรงจุดด้านในสุดที่มีแทงค์มากมายที่เธอเคยอยู่ข้างในนั้น ถึงข้างในแทงค์จะมีน้ำอยู่แต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอะไรอยู่ข้างในเลย เธอเดินจนมาถึงแทงค์ที่ตัวเองเคยอยู่ เศษแก้วแตกยังอยู่ที่พื้น แต่น้ำได้แห้งหายไปหมดแล้ว เธอจ้องมองพื้นที่มีเศษแก้วอยู่ในหัวเธอมีแต่คำถามเต็มหัวไปหมด
“มีแต่คำถาม...แต่ไม่มีใครตอบเราได้เลยจริงๆ ...”
มิรารีส่ายหัวอย่างไม่ชอบใจเลยจริงๆ
“ออกจากนี้แล้วไปสำรวจต่อดีกว่า...”
มิรารีเดินออกจากจุดนั้นแล้วสำรวจห้องอื่นที่เหลือต่อ เพราะอยู่ในนั้นยิ่งทำให้เธอรู้สึกหดหู่ เพราะสีห้องมันคล้ายๆ ห้องผ่าตัดมากจริงๆ เธอเดินดูห้องอื่นที่เหลือก็เจอ ห้องทดลองเพิ่ม ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องสมุดและห้องสุดท้ายห้องเอกสาร พอได้เห็นห้องเอกสาร เธออยากเข้าไปหาข้อมูลมากๆ แต่ห้องนี้ก็มืดมากๆ เหมือนกับห้องลับที่เจอ เธอไม่กล้าเข้าไปจริงๆ แล้วไปห้องไหนๆ ก็ไม่เจอสิ่งที่ต้องการ
“ทำไมห้องไหนๆ ถึงไม่มีไฟฉายเลยนะ!?”
นั้นเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มิรารีสงสัยมาตลอดว่าทำไมอยู่ในที่โดนทิ้งร้างแต่ไม่เจอไฟฉาย ระหว่างที่กำลังสำรวจชั้นสองอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงที่เธอไม่คาดคิดดังขึ้น
‘เปรี้ยง!!’
มิรารีสะดุ้งตัวโหยงทันที เธอถึงกับหันไปมองทันทีว่าเสียงมาจากไหน แล้วรีบวิ่งไปที่กระจกที่มองข้างนอกเห็นสายฟ้ากำลังผ่าลงมา แล้วตามมาด้วยท้องฟ้าที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีเทา ทำให้เธอรู้เลยว่าฝนกำลังจะตกพอเห็นแบบนั้น เธอรีบวิ่งไปจุดต่างๆ ที่มีรูที่กำแพง เพดาน เธอใช้พลังของเธอสร้างน้ำแข็งปิดจุดต่างๆ ที่มีรูทั้งหมด เพื่อไม่ให้ฝนตกลงมาจนทำให้ที่นี้หนองไปด้วยน้ำได้ ถึงรู้ว่าน้ำแข็งละลายได้ แต่เธอก็จะสร้างเพื่อปิดกั้นมันไม่ให้ฝนเข้ามาข้างใน
“เท่านี้ก็น่าจะพอ...”
มิรารีมองข้างนอกว่าฝนนั้นจะตกเมื่อไร แต่พูดไม่ทันขาดคำ ฝนที่ว่าก็ตกลงมาแถมยังมีความรุนแรงอีก ทำให้ประตูข้างหน้าตึกพัดเข้ามาข้างใน มิรารีเห็นแบบนั้นเธอจึงรีบวิ่งไปที่ประตูพร้อมกับปิดมัน แต่แรงพัดของประตูช่างเยอะเหลือเกิน เธอจึงต้องพยายามดังมันแล้วใช้พลังแช่แข็งประตูในทันที พอประตูปิดสนิท มิรารีก็นั่งลงกับพื้น เธอเงยหน้ามองเพดานกระจก
“แฮ่ก แฮ่ก...คงกั้นไปได้สักระยะน่านะ...”
มิรารีรีบเดินไปที่ห้องที่เธอพัก เธอมุดตัวเข้ากับกองผ้าห่มด้วยความหวาดกลัวในเสียงของฟ้าร้อง
“ขอให้วันนี้ผ่านไปด้วยดีอีกวันทีเถอะ...”
จบตอนที่ 3 โปรดติดตามตอนที่ 4 ต่อไป
Comments (0)