1 ตอน ตอนที่ 1 ออกเดินทางสู่ต่างประเทศ
โดย YukiCoCo
ตอนที่ 1 ออกเดินทางสู่ต่างประเทศ
คุณเคยคิดไหมว่าคุณพิเศษรึเปล่า คุณหลายคนคงคิดว่าตัวเองนั้นช่างแสนพิเศษ แต่เด็กคนหนึ่งกลับไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษเลยสักนิด เนื่องมาจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อเด็กสาวคนหนึ่งได้ส่งชื่อตัวเองชิงรางวัลผู้โชคดีไปเที่ยวเทศกาลวิทยาศาสตร์เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ มันคือความฝันมากมายของเหล่าผู้ชื่นชอบวิทยาศาสตร์ งานนี้ถูกจัดงานขึ้นที่นิวยอร์ก วัยรุ่นนับพันต้องการไปงานนี้แต่มีแค่ผู้โชคดีแค่ร้อยคนที่จะได้ไปชมงานที่ว่า นั้นก็เลยทำให้เด็กสาวที่ชื่นชอบวิทยาศาสตร์ต้องออกโรงเพื่อเป็นหนึ่งในร้อยคนให้ได้
จนเวลาผ่านไปสองเดือน
รถตู้สีดำคันใหญ่กำลังเลี้ยวเข้าผ่านประตูบานใหญ่สู่บ้านใหญ่อันโอ่อ่าที่รองรับสมาชิกในบ้านได้ถึงยี่สิบคน เมื่อรถตู้จอดลง ณ ทางเข้าบ้าน เหล่าผู้ใหญ่ต่างพากันออกมาพร้อมประคองผู้สูงอายุลงมา เด็กสาวคนหนึ่งก็รีบลงมาช่วยประคองผู้สูงอายุที่เป็นถึงคนในครอบครัว
“คุณย่าเดินระวังนะคะ” เด็กสาวยิ้มให้แก่ผู้เป็นย่า
เธอมีรูปร่างอวบ ใบหน้ากลม ดวงตาสีน้ำตาลกับแว่นกลมโต ผมสีน้ำตาลที่ทำทรงมัดขึ้นสูงเหมือนหางม้า การแต่งกายที่สบาย ๆ สมกับเป็นเด็กสาวที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องเสื้อผ้าเท่าไร เธอประคองหญิงชราขึ้นบันได
“อะไรกันหลานย่า ย่าก็ระวังอยู่นี้ไง” หญิงชราผู้มีร่างผอมบางสมส่วนตบมือหลานสาวเบา ๆ
“ย่าบอกระวังแต่ก็เกิดเรื่องตลอดนี่ค่ะ เดียวหนูพาขึ้นห้องนอนแล้วพาอาบน้ำนะคะ”
“จ้าๆ หลานย่านี้น่ารักจริง ๆ”
“มิรารีดูแลยายด้วยสิจ๊ะ” หญิงชราร่างท้วมพูดขึ้น
เด็กสาวผู้สวมแว่นหันหน้าไปตามต้นเสียงที่เรียกเธอ “เดียวหนูดูแลคุณย่าแล้วหนูจะไปหาค่ะ คุณยาย”
“พวกคุณแม่นี่น่า หลานมีแค่คนเดียวหรือคะ ลูกหลานคนอื่นก็มีนะ”
“ไม่เอา! มิรารีดูแลพวกแม่ดีกว่านี่น่า!” หญิงชราหันไปมองลูกสาวของตนที่เป็นแม่ของเด็กสาว
เด็กสาวพยุงผู้เป็นย่าขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน แล้วพาไปยังห้องนอนของท่านแล้วดูแล เปลี่ยนเสื้อผ้าให้จนกระทั่งพาท่านนอน เธอก็ต้องไปดูแลคุณยายและคุณตาอีก เด็กสาวเป็นหลานสาวที่เหล่าผู้ใหญ่ของบ้านรักและเอ็นดู เธอเป็นลูกสาวคนที่สามของลูกชายคนโต ชื่อของเธอมีชื่อว่า มิรารี เครือเพชร หรือชื่อเล่น มิรา
ตอนนี้เธอนั้นกำลังออกมาจากห้องของคุณยายคุณตา เธอเตรียมตัวไปเข้านอนหลังจากกลับมาจากไปเที่ยวต่างจังหวัดระหว่างที่กำลังขึ้นบันไดอยู่นั้นก็มีชายวัยกลางคนเดินออกมาจากห้องโถงของบ้าน เขาเห็นผู้เป็นหลานสาวกำลังขึ้นชั้นสองของบ้านไปอย่างเงียบ ๆ เขาเลยทักเด็กสาวขึ้นมา
"อ้าว หลานลุง จะไปนอนแล้วเหรอ? "
มิรารีได้ยินเสียงอันคุ้นเคย เลยค่อย ๆ หันหัวไปมอง จนเห็นชายที่มีรูปลักษณ์อันหล่อเหลาเหมือนชาวต่างชาติ เธอยิ้มก่อนจะเอ่ยพูดออกมา
“ใช่ค่ะ ลุงวอล...ตอนนี้มันดึกแล้วนี่น่า และอีกอย่างหนูก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนี่ค่ะ”
“ฮ่า ๆ จริงด้วยนะ ดึกแล้วพักผ่อนเยอะ ๆ ล่ะ”
“ค่า~”
เด็กสาวพูดจบก็เดินขึ้นข้างบนไป แล้วตรงดิ่งมาที่ประตูห้องที่มีป้ายเขียนว่า ‘ห้องมิรารี’ เธอเปิดประตูเข้าไปเธอก็นั่งลงกับเตียงทันที เธอรู้สึกเหนื่อยไปทั้งร่างกาย คงเพราะเดินขึ้นเนิน ไปไหว้พระ แล้วก็เที่ยวทะเลในวันเดียวหลังจากไปเที่ยวตั้งหนึ่งอาทิตย์มันช่างเหนื่อยกว่าที่คิด เพราะต้องดูแลพวกคุณย่าและน้อง ๆ ที่เป็นพี่น้องและญาติตลอด หลายคนคงสงสัยว่าเธอทำหน้าที่นี้ทำไม คงเพราะตัวเธอนั้นสัญญากับพ่อที่เสียไปว่าจะดูแลทุกคนในบ้านให้ถึงที่สุด นั้นเลยเป็นเหมือนโซ่ตรวนที่ทำให้เธอทำดีมาตลอด จนกระทั่งวันนี้ที่เธอพึ่งนึกออกบางอย่าง
“วันนี้นี่น่า!!”
เด็กสาวรีบลุกขึ้นจากเตียงตรงไปที่คอมพิวเตอร์ที่อยู่บนโต๊ะคอม เธอรีบเปิดเครื่องรอ ใจตอนนี้ของเธอกำลังสูบฉีดอย่างรวดเร็ว ใจที่เต้นแรงกำลังตื่นเต้นว่าชื่อของเธอจะมีในรายชื่อผู้โชคดีหรือไหม พอเครื่องบูตตัวเองจนมาเปิดหน้าแรง เธอก็รีบเข้าเว็บไซต์ของกิจกรรมนี้ จนได้เห็นรายชื่อมากมายบนหน้าจอ เธอยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ จอพร้อมกับใช้เมาส์กดเลื่อนรายชื่อไปเรื่อย ๆ ใจของเธอก็เต้นตุ๊บ ๆ ต่อม ๆ อย่างกังวล จนกระทั่งบริเวณด้านล่าง เกือบเลขสุดท้ายเธอก็ได้เห็นชื่อหนึ่งทันที
“มิรารี...เครือเพชร...” เธอค่อย ๆ ลุกจากเก้าอี้ ใบหน้าของเธอนั้นชาไปหมด ก่อนที่เธอจะมีสติกลับมาอีกครั้ง ใบหน้านั้นเริ่มมีรอยยิ้มทันที “เย้!! ฉันมีชื่ออยู่ในผู้โชคดี!! ฉันกำลังจะได้ไปนิวยอร์กแล้ว!!”
เสียงดีใจของเด็กสาวดังไปทั่วทั้งบ้าน ผู้เป็นแม่นั้นได้ยินเสียงลูกสาวก็พอรู้ว่าลูกสาวนั้นดีใจเรื่องอะไร ก่อนที่จะเห็นลูกสาวที่วิ่งมาหาตนเองที่ยังไม่ได้นอน ลูกสาวได้บอกถึงความโชคดีที่มีชื่อติดหนึ่งในร้อยคน ผู้เป็นแม่ดีใจที่ลูกสาวได้สมหวังกับสิ่งที่ตัวเองส่งไป เด็กสาวมีความสุขมาก ๆ ที่เธอจะได้ไปนิวยอร์ก แต่ตอนนี้เธอต้องรอเวลาตามกำหนดที่จะได้ออกเดินทาง
ณ สนามบินสุวรรณภูมิ
สถานที่ที่มีผู้คนต่างรอการออกเดินทางไปยังประเทศหรือที่ไหน ๆ ก็ตามที่พวกเขาอยากจะไปกัน ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาตามจุดต่าง ๆ ในสนามบิน ในหมู่ผู้คนมากมายมิรารีกำลังนั่งรอ คนที่จะมารับเธอตามรายละเอียดที่ทางเอกสารบอกมาทั้งหมดว่าให้รอที่ไหนอะไรยังไง แต่เธอมองซ้ายมองขวาว่ามีใครที่เป็นผู้โชคดีเหมือนเธอไหม แต่ไม่มีใครมาตรงจุดที่เธอรออยู่เลย นอกจากมิรารีที่กำลังรอคนมารับ ก็ยังมีครอบครัวที่มารอเป็นเพื่อนอยู่ แต่ว่าก็ยังมีคนกังวลที่มิรารีจะออกเดินทางไปที่อันห่างไกลนั้นก็คือผู้เป็นแม่
“ลูกไม่ลืมอะไรแน่นะ ของใช้ส่วนตัว ยาสีฟัน สบู่ ยาโรคหอบของลูกอีกล่ะ!”
“หนูเอามาครบทุกอย่างที่แม่ถามทุก ๆ 2 นาทีแล้วค่ะ!” เด็กย้ำคำตอบเดิมที่ผู้เป็นแม่จะถามทุกครั้ง
“เฮ้อ...แม่ห่วงแกนะรู้ไหม แกไม่เคยออกจากแกแม่มานาน นี่แกจะไปอยู่ต่างที่ต่างแดนเชียวนะ!”
“หนูรู้แม่” เด็กสาวกอดผู้เป็นแม่พร้อมหอมแก้ม “ไม่ต้องห่วงหนูนะ หนูไปแค่หนึ่งอาทิตย์เดียวก็กลับมาแล้วนะคะ”
แม่กอดลูกสาวอย่างแนบแน่น “แม่คงคิดถึงลูกใจจะขาด ไปแค่หนึ่งอาทิตย์ เหมือนลูกหายเป็นปี”
“โธ่! แม่” เด็กสาวส่ายหน้าเปล่า ๆ “หนูไม่หายไปเป็นปีแน่ ๆ ค่ะ”
“จ๊ะ แล้วของมีค่าเก็บดีแล้วนะ”
“ค่ะ เก็บไว้หมดใกล้ตัวและที่ซ่อนเร้นจากตาผู้คนด้วยค่ะ”
“ดีแล้ว แล้วเงินที่พวกคุณย่าให้เอาไปด้วยใช่ไหม?”
“ค่ะ เงินทั้งหมดอยู่ในธนาคารแล้วค่ะ”
“ดีจ้ะ”
ผู้เป็นแม่ลูบใบหน้าของลูกสาว เธอนึกถึงสมัยก่อนที่ลูกสาวยังเป็นแค่เด็กตัวน้อยท่ยังช่วยตัวเองไม่ค่อยได้ แต่ตอนนี้ลูกสาวคนนั้นกลับโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว นั้นทำให้น้ำตาของแม่ไหลซึมออกมา ก่อนที่จะมีชายแปลกหน้าสวมชุดสูทเธอตรงมาทางพวกเขาแล้วหยุดยืนก่อนจะกล่าวพูดขึ้น
“Excuse me. Are you Miss Mirari? (ขอโทษครับ คุณคือคุณมิรารีใช่ไหม)”
“อ๊ะ...YES! (ใช่ค่ะ!)”เด็กสาวได้ยินคนเรียกชื่อของตน เธอหันหลังไปมองคนที่ถามเธอโดยทันที
“Could you follow me, please? (เชิญตามผมมาเลยครับ)"
“Yes… (ค่ะ...)" เด็กสาวตอบรับทันที
**ถ้าภาษาอังกฤษของเราผิดพลาดก็ขออภัยด้วยนะคะ เราไม่ค่อยเก่งเท่าไรนะคะ**
มิรารีรู้เลยว่าชายตรงหน้าเป็นคนที่มารับ เธอหันกลับไปหาแม่พร้อมกับโอบกอดแม่แล้วบอกลา เธอรีบเดินตามชายชุดสูทคนนั้นไป เธอก็หันกลับมาหาทุกคน พร้อมกับโบกมือลาครอบครัว ทุกคนต่างโบกมือลามิรารีที่กำลังเดินจากไป ชายชุดสูทพาเธอเดินไปตามทางในสนามบินจนออกมาจนถึงจุดที่เธอไม่คิดว่าควรออกมา มันเป็นแค่ลานกว้างที่ไม่มีเครื่องบิน
“เอ่อ...” เธออยากจะถามชายชุดสูทก่อนจะมีรถกอล์ฟมาจอด
“เชิญขึ้นมาเลยครับ”
พนักงานพูดเป็นภาษาไทย ทำให้ฉันเข้าใจได้จุดหนึ่ง ฉันเลยเดินไปที่รถกอล์ฟ แล้วยกกระเป๋าไว้ข้าง ๆ ตรงที่ตัวเองจะนั่ง แล้วเธอก็ขึ้นนั่งบนรถกอล์ฟทันที ชายชุดสูทก็เดินขึ้นมานั่งอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่พนักงานขับรถจะกล่าวพูด
“ไปแล้วนะครับ!!”
รถกอล์ฟเริ่มเคลื่อนตัวไปทันที มิรารีสงสัยเลยว่ารถกอล์ฟนี้จะพาเธอไปส่งที่ไหน เมื่อรถกอล์ฟออกมาจากบริเวณสนามบินสู่ลานกว้างของสนามบิน มิรารีหันหน้าไปมองข้างหน้าก็ได้เห็นกับจุดที่เธอกำลังจะไปมันคือเครื่องบินลำเล็กที่เล็กกว่าเครื่องบินลำใหญ่ที่บรรจุได้หลายคน นั้นทำให้เธอสงสัยว่านั้นคงไม่ใช่เครื่องบินส่วนตัวใช่ไหม เธอหันกลับมานั่งดี ๆ แล้วหันไปหาชายชุดสูทข้าง ๆ
“ขอโทษนะคะ!” เด็กสาวพูดเป็นภาษาอังกฤษเพื่อเรียกชายต่าง ๆ
“ว่าไงครับ! ?”
“นอกจากหนูแล้วมีคนอื่นอีกไหมคะ! ?”
“ไม่มีครับ! คุณเป็นคนเดียวในประเทศนี้ที่เป็นผู้โชคดีครับ!”
“ว้าว...”
มิรารีอึ้งไปทันทีที่เธอนั้นเป็นเด็กสาวที่โชคดีมาก ๆ ที่จะได้เป็นคนที่จะได้ไปร่วมงานเทศกาลวิทยาศาสตร์คนเดียวในประเทศ เมื่อรถกอล์ฟจอดลงมิรารีรีบลงจากรถทันที เธออยากขึ้นไปบนเครื่องเร็ว ๆ ชายชุดสูทนั้นกำลังให้ทิปกับพนักงานขับรถอยู่ มิรารีไม่รอช้าเธอยกกระเป๋าขึ้นบันได พอขึ้นมาถึงบนเครื่องก็เจอพนักงานรอต้อนรับกันอยู่
“ยินดีต้องรับผู้โชคดีนะคะ!”
มิรารีถึงกับยืนอึ้งอยู่สักระยะ ก่อนที่จะมีแอร์โฮสเตสเข้ามาหยิบกระเป๋าของเธอ
“ขอนำกระเป๋าไปไว้ในห้องนอนนะคะ”
“ค่ะ...” มิรารีส่งกระเป๋าให้แอร์โฮสเตส ก่อนจะนึกคำพูดเมื่อกี้ของแอร์โฮสเตสคนนั้น “ห้องนอนเหรอ?”
“ที่นี้มีห้องนอนสำหรับผู้โชคดีไว้พักช่วงรอเวลากว่าจะถึงนิวยอร์กนะคะ” แอร์โฮสเตสอีกคนออกมากล่าวพูด
“แบบนี้เอง...” มิรารีพยักหน้าเข้าใจทันที
ที่นี้มีเธอคนเดียวที่จะได้อยู่บนเครื่องบินส่วนตัวนี้ เธอค่อย ๆ นั่งลงบนเก้าอี้นุ่ม เธอรู้สึกสบายใจมากขึ้น รอบ ๆ จุดที่เธอนั่งมีตั้งแต่ทีวี เกม ขนมมากมายให้ทาน มิรารีคิดเลยว่านี้ช่างเป็นการเดินทางที่สะดวกสบายมาก ๆ ระหว่างที่รอเครื่องขึ้นอยู่นั้น ชายชุดสูทก็เดินเข้ามาหาเธอ
“จะขึ้นเครื่องเลยไหมครับ?”
มิรารีหันไปหาชายชุดสูท ถามเธอตอนนี้พอเข้าใจภาษาอังกฤษมากขึ้น เธอก็เอ่ยตอบออกไป “เอ่อ...จะออกเลยก็ได้ค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วนะคะ”
ชายชุดสูทได้รับคำตอบ เขาหันไปพยักหน้าให้แอร์โฮสเตส เธอก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้น
“ขอให้ท่านโดยสารทุกท่านโปรดนั่งกับที่ของท่าน แล้วรัดเข็มขัดเพื่อความปลอดภัยของท่าน แล้วกำลังจะออกเดินทางจากกรุงเทพไปยังนิวยอร์กในไม่ช้า ระหว่างรอโปรดอ่านคู่มือความปลอดภัยระหว่างทานเดินทางด้วยนะคะ”
เมื่อแอร์โฮสเตสกล่าวออกมา มิรารีได้ฟังเสียงของแอร์โฮสเตส ทำให้รู้สึกน่าฟังกว่าเวลาขึ้นเครื่องบินทั่วไปที่จะพูดยาวและน่าเบื่อทุกครั้งเลยจริง ๆ แต่ก็ต้องฟังเพราะเป็นหน้าที่ของพวกเขา
แอร์โฮสเตสคนหนึ่งเดินมาเด็กสาวก่อนจะโค้งตัวถามบางอย่าง “คุณผู้โดยสารอยากได้อะไรหลังขึ้นเครื่องไหมคะ?”
มิรารีจ้องมองแอร์โฮสเตสที่เข้ามาใกล้ ๆ เธอกำลังอ้ำอึ้งไม่รู้จะพูดอะไรดี ก่อนจะเผลอถามอะไรที่ดูน่าอายสุด ๆ
“ต้องจ่ายเงินด้วยไหมคะ?”
ในความคิดของมิรารีนั้นตอนนี้โคตรอายกับคำถามของตนเองมาก ๆ แอร์โฮสเตสยิ้มออกไปแล้วตอบคำถามของเด็กสาว
“ไม่ต้องค่ะ นี่เป็นบรรณาการสำหรับผู้โชคดีนะคะ”
“คะ...ค่ะ” มิรารีหันไปหยิบเมนูเธอจ้องมองเมนูมากมาย ก่อนจะสั่งอาหารที่ต้องการ “เอ่อ...หนูขอเบอร์เกอร์ หอมใหญ่ทอด โคล่าค่ะ”
“รับทราบค่ะ รอเครื่องขึ้นแล้วดิฉันจะนำมาเสิร์ฟค่ะ” พนักงานรับเมนูแล้วเดินออกจากตรงนั้น
“ค่ะ...” มิรารีนั่งรอเวลา ระหว่างที่รอนั้นร่างกายเธอก็รู้สึกแปลกขึ้นมา เธอหันซ้ายหันขวา แล้วแอร์โฮสเตสคนหนึ่งก็เดินมา มิรารีก็เรียกเธอทันที “ขอโทษนะคะ!”
“ค่ะ คุณผู้โดยสารมีอะไรหรือคะ?”
“คือ...จะเข้าห้องน้ำนะคะ”
“อ๋อ...โปรดรอสักครู่นะคะ เครื่องจะขึ้นแล้ว รอเครื่องขึ้นแล้วค่อยเข้านะคะ”
เด็กสาวถึงกับหน้าซีดทันใด เนื่องจากตอนนี้ข้าศึกกำลังบุกเข้ามาเรื่อย ๆ จนเธอเริ่มทนไม่ไหวแล้ว เสียงเครื่องยนต์เริ่มทำงาน เครื่องบินกำลังเคลื่อนตัวออกจากที่ช้า ๆ จนกระทั่งเครื่องบินออกตัวทะยานสู่ฟากฟ้า พอเครื่องทรงตัวเรียบร้อยเด็กสาวก็รีบลุกออกจากที่นั่งแล้วตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำ ไม่กี่นาทีเธอก็ออกมาพร้อมใบหน้าสบายใจที่ปลดปล่อยทุกข์เบาไปแล้ว เธอก็เดินกลับมานั่งที่อาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟทันที อาหารที่เธอสั่งนั้นออกมาน่าทานมาก ๆ ทำเอาน้ำลายไหลออกมาจากปาก เด็กสาวรีบเช็ดน้ำลายก่อนจะรับประทานอาหารตรงหน้าอย่างสบายอารมณ์ เวลาผ่านไปไม่กี่นาทีอาหารบนโต๊ะก็หมดไป มิรารีอิ่มจนเริ่มง่วงนอนจนอ้าปากฮ้าวซะกว้างจนรถสามารถผ่านเข้าไปได้เลย
ชายชุดสูทเมื่อเห็นแบบนั้นเขาเลยกล่าวพูดกับเด็กสาว “ถ้าจะนอนก็สามารถนอนได้เลยนะครับ อีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงนิวยอร์ก”
“คะ...ค่ะ”
เมื่อชายชุดสูทพูดแบบนั้น พนักงานสาวก็พาเธอไปอีกห้องภายในเครื่องบินมีห้องสำหรับนอนพัก แล้วกระเป๋าเดินทางของเธอก็อยู่นี่อย่างปลอดภัย เมื่อเห็นแบบนั้นก็รู้สึกว่างานนี้ช่างวิเศษสุด ๆ เธอนอนลงไปกับเตียงนอนทันที
“อ๊ายยยยย สบายจังเลย ช่างเหมือนฝันที่ดีจริง ๆ” เมื่อเธอมองเพดานข้างบน ดวงตาของเธอก็ค่อย ๆ ปิดตาลงจนพล่อยหลับไป
เมื่อนอนไหลสู่ห้วงนินทาอย่างสบายใจ ภายในฝันนั้นเธอมีความสุขกับครอบครัวมาก ๆ จนกระทั่งพวกเขาเริ่มลุกขึ้นแล้วเดินจากตัวเธอไป เธอเห็นแบบนั้นรู้สึกกังวลจนรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามพวกเขาไป มือที่กำลังจะเอื้อมไปหาพวกเขา อยู่ ๆ มือของเธอจากสีน้ำตาลกำลังกลายเป็นสีขาว ความรู้สึกเธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทำให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมา เธอหอบหายใจสองสามครั้งรอบ ๆ ตัวเธอนั้นมีเหงื่อเต็มไปหมด เธอรู้สึกกังวลหน่อย ๆ ที่ฝันแบบนั้น
“เป็นฝัน...บอกเหตุที่ไม่ดีเอาซะเลย...”
มิรารีลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับลุกไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา เธอมองตัวเองในกระจกใบหน้าอันกลมผิวสีน้ำตาลอ่อน ๆ จากการเป็นลูกครึ่ง มิรารีนั้นเป็นลูกเสี้ยวของเสี้ยวมาก ๆ สายเลือดของครอบครัวมีตั้งแต่ ไทย จีน ลาว ยุโรป อเมริกัน ทำให้เธอมีผิวสีน้ำตาลที่ควรจะมีผิวสีขาวเหมือนพ่อเธอ แต่เธอก็ไม่สนใจอะไรเท่าไร เธอเดินไปหยิบมือถือแล้วมองเวลาในตอนนี้ว่ากี่โมง เวลาตอนนี้คือ2ทุ่ม เมื่อนึกย้อนไปตอนเครื่องออกคือเวลา 10:05 นาที เธอส่ายหน้าเบา ๆ เธอไม่คิดว่าตัวเองจะหลับไปนานแบบนี้ พอเดินออกมาจากห้องเหล่าแอร์โฮสเตสที่กำลังพักผ่อนก็ลุกขึ้นหันมาทางเธอเพื่อบริการเธออีกครั้ง
“สายัณห์สวัสดิ์ยามเย็นค่ะ” เหล่าแอร์โฮสเตสกล่าวทักทายขึ้นมา
มิรารีที่ได้ยินก็ยิ้มแห้ง ๆ ออกมา “สายัณห์สวัสดิ์ค่ะ...”
“คุณหนูอยากรับประทานอาหารเลยไหมคะ?” แอร์โฮสเตสคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
มิรารีจ้องมองสักพักก่อนที่เธอรู้สึกหิว เพราะเธอยังไม่ได้ทานอาหารกลางวัน แต่เธอก็ทานอาหารข้ามเกี้ยวข้าวเช้ากับข้าวกลางวันมาแล้วด้วย
“ทานค่ะ ขอฝากด้วยนะคะ” มิรารีพูดจบก็เดินมานั่งเก้าอี้ที่ตัวเองต้องนั่ง
“รับทราบค่ะ!”
แอร์โฮสเตสเดินไปข้างในโซนที่พวกเธอต้องทำอะไรกัน มิรารีหันมองข้างนอกที่ตอนนี้มืดไปหมด เวลานั้นผ่านไปตั้ง 10 ชั่วโมงแล้วยังเหลือการเดินทางอีก 9 ชั่วโมงกว่าจะถึงนิวยอร์กทำเอามิรารีรู้สึกเซ็ง ๆ กับการเดินทางอันยาวนานนี้จริง ๆ จนเธอต้องหาอะไรทำอย่างเล่นเกมที่บนเครื่องบินมีระหว่างนั่งคิดอยู่นั้นอาหารก็ถูกนำเสิร์ฟที่โต๊ะ เมื่อมิรารีเห็นอาหารตรงหน้านั้นเธอรู้สึกหิวทันที กลิ่นหอมของเครื่องแกงมัสมั่นและกลิ่นหอมของแป้งโรตี ถึงเป็นการอบของเครื่องไมโครเวฟมันก็หอมมาก ๆ เธอเริ่มกินอาหารตรงหน้าทันใด จานที่ใส่นั้นว่างเปล่าไม่กี่นาที มิรารีอิ่มอย่างพอดีเธอรู้สึกอร่อยดีสำหรับอาหารมื้อนี้ เธอหาอะไรทำต่อระหว่างรอเดินทางไปยังนิวยอร์ก เธอเดินตรงไปนั่งเล่นเกมอย่างสบายอารมณ์
เวลาผ่านไปจนถึงเช้าวันถัดไป ขณะนี้เครื่องบินกำลังร่อนลงสู่ลานกว้างในสนามบิน มิรารีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เธอหลับไปหลายรอบจนเต็มอิ่ม ครั้งนี้เป็นการเดินทางที่สนุกและสบายมาก ๆ สำหรับเธอ พอเครื่องลงสู่พื้นชายชุดสูทก็พาเธอลงจากเครื่องแล้วขึ้นรถลีมูซีนคันยาวมาก ๆ ครั้งแรกที่เธอเคยเห็นรถแบบนี้นอกจากในหนัง ชายชุดดำเปิดประตูรถให้เธอเข้าไปเธอเดินเข้าไปข้างในทันใด เมื่อเข้าไปก็เห็นกับขนมเต็มไปหมด แล้วเธอก็เห็นขนมที่เธอคิดถึงมาก ๆ ขนมรูปคล้าย ๆ ถาดหยัก ๆ สอดไส้ถั่วลิสงบดข้างใน
มิรารียื่นมือไปหยิบเข้าปากขึ้นมาทันที “อืมมมมม คิดถึงจัง! กินกี่ครั้งก็อร่อย!”
ชายชุดสูทเข้ามาภายในรถพร้อมกับหยิบเอกสารบางอย่างขึ้นมา
“เอาล่ะครับ เดียวผมจะอธิบายเกี่ยวกับงานนี้นะครับ ผู้โชคดีจะถูกพาตัวไปยังโรงแรมที่เป็นจุดพักของผู้โชคดีทุกคน แล้วทุกบริการฟรีหมดไม่ต้องห่วงเรื่องเสียเงิน”
“เอ๋? แปลว่าสามารถซื้อของฝากได้ด้วยเหรอคะ?”
“ครับ แต่อยู่ในจำนวนเงินที่ทางเรากำหนดไว้นะครับ”
“ว้าววววว!!”
พอได้รู้แบบนั้นมิรารีจะซื้อของโดยไม่แตะเงินตัวเองสักแดงด้วย เธอกำลังดีใจมาก ๆ ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมา
“จริงสิคะ ผู้โชคดีส่วนใหญ่จะเป็นคนอเมริกันสินะคะ”
“ครับ ส่วนใหญ่จะพวกอเมริกันกับยุโรปนะครับ หนูนะเป็นคนเอเชียก็ระวังหน่อยละกันนะ คนจำพวกก็ไม่ชอบคนเอเชีย ถ้าโดนรังแกหรือทำร้ายร่างกายสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ทันทีเลยนะครับ”
“มีความปลอดภัยที่ดีเลยนะคะ ได้ค่ะ ถ้ามีใครมาแกล้งหรือทำร้าย เดียวหนูจะแจ้งไปค่ะ”
“ดีครับ”
เมื่อชายชุดสูทคนนั้นพูดจบมิรารีไม่รู้จะพูดอะไรดีต่อ เธอก็ออกมาไปข้างนอก รถที่เธอนั่งนั้นออกเดินทางมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว จนเข้ามาสู่ตัวเมืองเธอเห็นผู้คนต่างเดินกันตามท้องถนนเต็มไปหมด ทำให้เธอนึกถึงผู้เป็นพ่อของเธอที่เคยพาเธอมาเที่ยวที่นิวยอร์ก เธอคิดถึงพ่อจริง ๆ จนกระทั่งรถจอดนิ่งสนิท มิรารีได้สติเธอเห็นประตูทางเข้าของโรงแรม ทางเข้าช่างหรูหรามาก ๆ เธอไม่ได้มองตอนที่เข้ามาเลยไม่รู้ว่าที่นี้หรูแค่ไหน เธอเปิดประตูลงจากรถทันที ชายชุดสูทนำทางเธอเข้าไปข้างในโรงแรมและเช็คอินสำหรับผู้โชคดี ทางโรงแรมบริการอย่างดี ตอนนี้มีผู้คนมาใช้บริการเยอะมาก ๆ มิรารีคิดว่าที่นี้คงเป็นโรงแรมใหญ่ที่รองรับนักท่องเที่ยวและลูกค้าเยอะแน่ ๆ พอเช็คอินเสร็จชายชุดดำก็พาเธอเดินไปตามทางพร้อมกับขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นชั้นหนึ่งที่ดูจะเป็นชั้นบนสุดของโรงแรม เมื่อออกมาจากลิฟต์มันก็เข้าสู่โถงใหญ่ที่เป็นห้องนั่งเล่น มิรารีเห็นก็อึ้งจนกะพริบตาหลายครั้ง
“ที่นี้คือชั้นของคุณ ที่นี้มีห้องโถงส่วนกลาง ห้องครัว ส่วนห้องน้ำจะอยู่ในห้องนอนนะครับ ห้องนอนแยกถึง 10 ห้อง ห้องหนึ่งนอนได้ 2 คน ชั้นนี้จะบรรจุผู้โชคดีถึง 20 คน คุณหนูต้องการอะไรหรือจะสั่งขนมก็สามารถสักทางโรงแรมได้ ส่วนอาหารตามเวลาที่โรงแรมจัดแต่ถ้าหิวอีกก็โทรหารูมเซอร์วิสได้นะครับ”
“ขอบคุณค่ะ...”
มิรารีหมุนตัวมองรอบ ๆ เธอค่อย ๆ เดินไปที่กระจกใหญ่ที่มองเห็นทะเล เมื่อเธอเห็นถึงกับอุทานอย่างชอบใจออกมา
“ว้าวววววววววววว!”
โรงแรมที่เธออยู่นั้นเป็นโรงแรมใหญ่เชื่อมต่อกันยาวมาก ๆ แล้วมีสวนลานกว้างใหญ่ สนามเด็กเล็ก ห่างไม่ไกลนักก็เห็นโดมใหญ่ที่มีป้ายใหญ่นั้นก็คือสถานที่จัดเทศกาลวิทยาศาสตร์ ณ โดมของสถานวิจัยอันดับหนึ่งของโลก
“นี่มันสุดยอดจริง ๆ เป็น...เป็นโรงแรมที่ดีจริง ๆ”
“ใช่ครับ ถ้าคุณหนูชอบพวกเราก็ดีใจที่ผู้โชคดีชอบ”
“มิรา...” มิรารีเอ่ยชื่อตัวเองออกไป
“อะไรครับ?”
“หนูชื่อมิรารีค่ะ หรือจะเรียกมิราก็ได้ค่ะ เรียกว่าคุณหนูแล้วมันแปลก ๆ”
“ครับ คุณมิรารี ผมซีวาครับ”
“คิก ๆ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณซีวา”
ชายชุดสูทยิ้มที่มีคนเรียกชื่อเขา “ถ้ามีอะไรเรียกกระผมนะครับ กระผมขอตัวลาครับ”
“ค่ะ ถ้ามีเรื่องหนูจะเรียกนะคะ”
พอคุณซีวาเดินออกไปแล้ว มิรารีก็เดินดูรอบ ๆ ตั้งแต่ห้องโถงใหญ่ ห้องครัว ห้องน้ำ จนกระทั่งเดินมาถึงห้องนอน เธอมองหาห้องนอนดี ๆ จนมาถึงห้องห้องหนึ่ง ภายในห้องมีสองเตียงให้นอนกัน แถมยังมีห้องน้ำที่มีอ่างน้ำอีก มิรารีชอบใจสุด ๆ เธอเดินไปที่ระเบียบข้างนอกที่เห็นวิวข้างนอกด้วย ช่างเป็นวิวที่ดีงามสุด ๆ
“อ๊า~~ ช่างเป็นกิจกรรมที่ดีงามจริง ๆ ต้องใช้เวลาให้คุ้มซะแล้วสิ!!”
มิรารีเดินตรงที่เตียงที่เธอเลือกจะนอน เธอปล่อยกายลงกับเตียงอย่างมีความสุข เธอไม่นึกว่าจะได้กลับมายังบ้านเกิดของพ่ออีกครั้ง ทำให้เธอมีความสุขมาก ๆ ระหว่างที่นอนอยู่นั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าลืมส่งข้อความหาแม่ เธอหยิบมือถือขึ้นมา พิมพ์ข้อความไปหาแม่ เพื่อบอกว่าตัวเธออยู่ไหนแล้ว พอส่งข้อความเสร็จเธอก็มองเวลาในมือถือว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว
“ตอนนี้ 6 โมงเช้าแล้วเหรอ? ตอนนี้ที่ประเทศไทยคงจะประมาณ 1 ทุ่มล่ะมั้ง...สักพักแม่ก็คงส่งข้อความมา...”
เมื่อเธอพูดแบบนั้นออกไม่ทันขาดคำเสียงมือถือก็ดังขึ้นเป็นเสียงรอสาย ทำให้มิรารีตกใจแล้วทำตัวไม่ถูกก่อนจะกดรับทันที
“ค่ะ! มิรารีค่ะ!”
“ถึงนิวยอร์กแล้วสินะ ลูกรัก!”
“แม่...” มิรารีได้ยินเสียงอันอบอุ่นของแม่ก็ทำให้เธอสบายใจขึ้นทันที “ถึงแล้วค่ะ ตอนนี้อยู่ที่โรงแรมที่นี้สวยมาก ๆ เลยล่ะ แถมห้องนอนยังกว้างมาก ๆ เลยล่ะ”
“แม่ดีใจที่ลูกได้อยู่ที่ดี ๆ อย่าลืมถ่ายรูปดี ๆ ให้น้อง ๆ ได้ดูมั้งนะ”
“ได้เลยค่ะ จะถ่ายกลับไปให้ดูเยอะ ๆ เลยล่ะ แล้วจะซื้อของฝากกลับไปให้ด้วยนะคะ”
“จ๊ะ...แล้วนี่เจอผู้โชคดีคนอื่นมั้งหรือยังจ๊ะ?”
“ยังนะคะ รู้สึกในห้องที่อยู่หนูเป็นคนแรกที่มานะคะ”
“งั้นเหรอจ๊ะ จริงสิ ระวังพวกผู้ชายด้วยนะ ลูกอยู่ที่นั่นตั้งสัปดาห์หนึ่งเลยนะ”
“ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะ หนูดูแลตัวเองได้นะคะ ของป้องกันตัวก็มีครบแล้ว”
“จ๊ะ แต่ถ้าไม่ดีก็โทรบอกพวกพี่ ๆ ก็ได้นะ พวกเขาอยู่ที่นิวยอร์กนี่น่า”
“อ๊ะ...พวกพี่ ๆ เหรอ?” มิรารีนึกถึงพี่ทั้ง 3 ของเธอพวกเขาทำงานอยู่ที่นิวยอร์กพอดี “ค่ะ ถ้ามีเรื่องที่หนูทำไม่ได้เดียวหนูโทรบอกพี่ ๆ นะ”
“โอเคจ๊ะ แม่ค่อยเบาใจหน่อย ๆ เอาล่ะเดียวแม่จะนอนล่ะ พรุ่งนี้ต้องเตรียมของสำหรับขายของอีก”
“ค่ะ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ อย่าหักโหมนะคะ”
“จ้า ๆ ลูกนี่เป็นแม่ของแม่หรือไงล่ะเนี่ย”
“คิก ๆ ไม่ขนาดนั้นค่ะ”
“หึ ๆ เอาล่ะ งั้นแม่จะวางก่อนนะ แม่รักลูกนะจ๊ะ”
“หนูก็รักแม่ค่ะ...บาย ๆ นะคะ”
“บาย ๆ จ๊ะ”
มิรารีได้วางสายจากผู้เป็นแม่ การได้คุยกับแม่นั้นก็ทำให้เธอสบายใจมากขึ้นว่าถึงจะอยู่ไกลก็ยังได้คุยกับแม่ แต่ตอนนี้เธอต้องสนุกกับวันเวลาที่เธอรอคอยมานาน ช่วงนี้ไม่ต้องดูแลคนในบ้านสักระยะก็ต้องปล่อยกายปล่อยใจให้สบาย ระหว่างที่เธอนั่งคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงคนข้างใน ทำให้เธอลุกขึ้นเดินไปดูเลยว่าผู้โชคดีคนใหม่อีกใช่ไหม พอออกไปก็เจอชายชุดสูทกับเด็กผู้ชายที่สูงประมาณ 130 เซนติเมตร อายุของเด็กชายน่าจะประมาณญาติเธอคนหนึ่ง
“งั้นผมขอตัวนะครับ”
“ครับ!”
พอชายชุดสูทเดินออกไป เด็กชายกำลังคิดว่าตัวเองควรทำอะไรต่อดี จนกระทั่งมิรารีเดินออกมาจากห้องของเธอ
“ไง...” มิรารีทักทายออกไป
“อ๊ะ! ?” เด็กชายได้ยินเสียงทักทายเขาเลยหันไปมองต้นเสียง “ไง...เธอมาเป็นคนแรกเหรอ?”
“ก็น่าจะใช่นะ” มิรารีเดินออกมาทำให้เห็นว่าตัวเธอนั้นสูงกว่าเด็กชาย
“โอ้...ผมคงต้องเรียกเธอว่าพี่สาวแทนล่ะมั้ง”
“ฉันอายุ 18 ปี ก็เรียกพี่สาวก็ได้น่านะ ฉัน มิรารี เครือเพชร”
“ชื่อแนว ๆ คนเอเชียนะครับ...คนไทยใช่ไหมครับ?”
“ถูกต้องจ๊ะ! ทำไมเดาว่าฉันเป็นคนไทยเหรอ?”
“ก็...ผมมีญาติเป็นคนไทยเลยพอรู้ว่าชื่อแบบไหนออกไปแนวประเทศไหนนะครับ แถมสำเนียงของพี่สาวยังดูไม่ค่อยเป็นคนเชื้อชายติไทยสักนิด เพราะสำเนียงดีมาก ๆ นะ”
“แหม ๆ ก็พ่อของฉันเป็นคนนิวยอร์กนะ ท่านเกิดที่นี้แต่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่เมืองไทยแทนนะ”
“งั้นเหรอ น่าสนใจนะเนี่ย” เด็กชายเท้าคางอย่างสนใจ
“แหม ๆ ก็นะ แล้วเธอชื่อ…?”
“ผมโจเซฟ...โจเซฟ แบร์นาร์ด บ้านเกิดผมอยู่ปารีสนะครับ”
“ว้าวววว ปารีสสถานที่แห่งความรัก”
“ก็ถูกนะครับ” เด็กชายยิ้มอย่างชอบใจที่คนคิดว่าประเทศเขาเป็นแบบนั้น “เอาล่ะ ผมต้องเลือกห้องสินะครับ”
“ใช่แล้ว เขามีป้ายเขียนอยู่นะว่าฝั่งไหนฝั่งชายหรือหญิงนะ”
โจเซฟหันไปมองตามจุดที่อีกฝ่ายพูด เขาก็เข้าใจทันที “โอเคครับ งั้นผมขอเอากระเป๋าไปไว้ในห้องนะครับ”
“ตามสบายเลย”
เด็กชายเดินตรงไปยังห้องพัก เขาจ้องมองว่าจะเอาห้องไหนดีให้ตัวเอง ระหว่างที่เด็กชายเลือกห้อง ก็มีวัยรุ่นคนอื่น ๆ เดินตามกันเข้ามา มิรารีเห็นก็ยิ้มให้ทุกคนที่เข้ามา ตอนแรกหลายคนอื่น ๆ ก็เก้ ๆกัง ๆ บางคนก็เข้ามาทักทายและแนะนำตัว บางคนดูเป็นมิตรทำให้สนิทกันไม่กี่นาที พอทุกคนเลือกห้องของตัวเองกันเสร็จก็ออกมานั่งที่ห้องโถงกันเพื่อพูดคุยกัน
“งั้นทุกคนก็ชอบงานวิจัยที่ตัวเองอย่างมาดูสินะ”
“ใช่เลย มิรา ส่วนฉันชอบการปะทุของภูเขาไฟมาก ๆ เลยล่ะ”
หญิงสาวผมสีแดงได้พูดขึ้น เธอมีชื่อว่า เมีย อดัมเลอร์ ตอนแรกที่มิรารีได้ยินชื่ออีกฝ่าย ทำเอานึกถึงคำที่เรียกหญิงที่มีสามีทันที ทำเอามิรารีเกือบหลุดขำออกไป ตอนนี้พวกเขาทั้ง 20 คน กำลังนั่งคุยรอเวลาที่จะไปทานอาหารกัน
“ว้าว ฉันก็สนนะ การปะทุของภูเขาไฟ เป็นอะไรที่คาดกาลลำบากมาก ๆ เลยเนอะ”
“ใช่ ฉันเลยอยากเป็นคนแรกที่สามารถบอกได้ว่าเมื่อไรจุดไหนจะมีการปะทุของภูเขาไฟน่านะ”
“ขอให้สมหวังกับสิ่งที่จะทำนะ แล้วเธอล่ะซาร่า ฉันว่าเธอต้องชอบอะไรที่เกี่ยวกับพันธุ์พืชแน่ ๆ” มิรารีหันไปหาเด็กสาวที่มีผมเปียสองข้าง
ซาร่าตกใจนิดหน่อย เธอหันไปมองทุกคน “ก็...ใช่แล้วล่ะ...ฉันชอบพวกพันธุ์พืชนะ พืชหลายชนิดสามารถรักษาหรือทำอะไรได้มากกว่าที่พวกเราคิดน่านะ”
“แม่สาวธรรมชาติสินะแบบนี้” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้น
“ไม่ ๆ ต้องชื่อนี้ แม่สาวเอลฟ์ไงล่ะ!”
“ทุกคน...ฉันไม่ได้เหมาะกับชื่อนั้นเลยนะ!” ซาร่าเขินอายที่ทุกคนต่างเรียกเธอด้วยสมญานามที่เธอคิดว่าไม่เหมาะกับเธอเลย
“ฉันว่าเหมาะนะ เพราะซาร่าเหมือนเอลฟ์ที่งดงามที่ได้อยู่กับธรรมชาตินะ” มิรารีพูดออกไป ทำเอาซาร่าหน้าแดงขึ้นมาทันที
“ถ้า...ถ้ามิราพูดแบบนั้นฉันก็ไม่ขัดนะ...”
“อืม ๆ ” มิรารีพยักหน้าอย่างดีใจ
แต่บางคนต่างขำหน่อย ๆ ทำเอามิรารีสงสัยว่าทุกคนหัวเราะอะไรกัน ก่อนที่จะมีเสียงชายหนุ่มพูดแซงขึ้นมา
“วันนี้เป็นวันแรกที่จะได้ไปชมงานเทศกาลสินะ ฉันรอไม่ไว้แล้วล่ะ ฉันจะได้ดูทุกงานให้ครบเลยล่ะ เพื่อไปทดลองบางอย่างที่อลังการน่านะ หึ ๆ”
เสียงหัวเราะของชายหนุ่มทำเอาสาว ๆ ต่างขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจที่ชายผมทองพูดออกมา มันเหมือนเป็นเรื่องอันตราย จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งโผล่เข้ามาแล้วเอาสันหนังสือตีไปที่กลางหัวของชายผมทอง
“แอ๊ก!!”
“นายเลิกทำอะไรระเบิดเลยนะ มิเกล!”
เสียงของชายหนุ่มที่เข้ามาเตือนชายผมทอง ทำให้มิรารีสนใจจนเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองชายที่เข้าไปหามิเกล เธอเห็นตั้งแต่เขาเข้ามาเขามีรูปร่างผอมบาง ใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวน่าสัมผัส ดวงตาสีน้ำตาลควบคู่กับแว่นหนา ๆ ผมสีน้ำตาลยุ่ง ๆ เซ่อ ๆ การแต่งกายที่ดูเซ่อ ๆ เสื้อเชิ้ตแขนยาว เสื้อสเวตเตอร์หนา ๆ กางเกงขายาว ทำเอามิรารีรู้สึกสนใจเขาจนอยากรู้จักเขามาก ๆ ตลอดที่พวกเธอคุยเล่นกันก็เห็นเขาอ่านหนังสือตลอดจนอีกฝ่ายลุกมาตีหัวมิเกล ชายหนุ่มหันมามองมิรารีที่จ้องมองเขาอยู่ เขาขมวดคิ้วและจ้องมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ ก่อนที่เขาจะพูดบางอย่างออกมา
“มองฉันทำไมยัยอ้วน!!”
ช่วงเวลานั้นเหมือนได้ยินเสียงฟ้าผ่าลงมาตรงกลางนั้น ทำเอาทุกคนหันไปมองชายหนุ่มพูดที่พูดแบบนั้นออกไป มิรารีนั้นถึงกับหน้าชาไปเลยที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย แต่เธอกำลังคิดในแง่ดีว่าตัวเองคิดไปเอง ก่อนจะถามอีกฝ่าย
“เมื่อกี้นายพูดอะไรนะ! ?”
“หูหนวกหรือไง? ฉันถามว่ามองฉันทำไมยัยอ้วน!!!”
มิรารีถึงกับอึ้งไปทันที พวกสาว ๆ มองเพื่อนสาวที่นิ่งไปทันที
มิเกลรีบเข้าไปห้ามเพื่อนของเขาทันที “เห้ย ๆ นายพูดบ้าอะไรนะ คาร์เตอร์!!”
“ก็ยัยนั้นเอาแต่จ้องฉันนี่ ฉันเลยถามไปไงล่ะ!!”
“ไม่ใช่แบบนั้นเว้ย! คำพูดที่นายเรียกเธอนะ!!”
“ทำไมว่ะ! ?”
เสียงคนกำลังลุกขึ้น ทุกคนหันไปมองมิรารีที่กำลังลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปหาชายหนุ่ม ชายหนุ่มมองมาที่เธอที่กำลังเดินมาก่อนจะเห็นมือของหญิงสาวกำลังยกขึ้นสูงแล้วตบไปที่หน้าเขาอยากแรง ทำเอาตัวเขานั้นเซไปด้านข้างทันที ใบหน้าของมิรารีนั้นดูโกรธมาก ๆ เธอเกลียดคนที่มาว่าเธอว่าอ้วน แถมยังเรียกว่ายัยอ้วนอีก ยิ่งทำให้เธอโมโหอย่างรุนแรงอีก
“ไปตายซะ ไอ้บ้า!!” มิรารีตะโกนด่าอีกฝ่ายด้วยภาษาไทย เธอก็เดินกลับไปที่ห้องนอนของเธอในทันที พร้อมกับทิ้งท้ายด้วยเสียงปิดประตูอย่างดัง
ทุกคนมองมิรารีที่เข้าไปในห้องเสียงประตูทำเอาพวกเขาสะดุ้ง พวกเขาก็หันไปมองชายหนุ่มที่โดนตบ ชายหนุ่มคนนั้นยังยืนอึ้งว่าตัวเองโดนผู้หญิงตบ
“ยัยนั้น! กล้าตบหน้าฉันเหรอ? แล้วเมื่อกี้เธอพูดอะไรนะ!!” คาร์เตอร์พูดขึ้นเขาขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ เขาหันมาถามทุกคน
“ใช่ ก็สมน้ำหน้าแล้วล่ะ ฉันเชื่อว่าสิ่งที่มิรารีพูดคงเป็นคำด่าของประเทศเธอน่านะ” เมียพูดขึ้นก่อนจะหันไปนั่งเล่นเกมที่เล่นกับเพื่อนอีก 3 คนที่เล่นกันอยู่ตั้งนานแล้ว
“ใช่ ปากพาจนมาเพื่อน ใครสั่งสอนนายให้พูดแบบนั้นกับผู้หญิงกันว่ะ! ?”
“อะไร ฉันแค่พูดว่าเธอเป็นยัยอ้วนแค่เนี่ย!?”
“คุณนี้ไม่มีไหวพริบเลยนะคะ คุณเซอร์วิส!” ซาร่าพูดขึ้นมาทันที เธอขมวดคิ้วอย่างโมโห “ผู้หญิงนะ ถ้าโดนใครก็ตามมาด่าว่าอ้วนนะ มันก็ทำร้ายจิตใจมาก ๆ เลยนะคะ”
“ห๊า ทำร้ายจิตใจตรงไหน? ก็เธออ้วนจริง ๆ นี่น่า” คาร์เตอร์สงสัยว่าเขาพูดผิดอะไร
ทุกคนต่างกุมหัวขมับทันทีว่าคาร์เตอร์นั้นเป็นพวกสมองตื้อใช่ไหม มิเกลตบไหล่เพื่อนชายเบา ๆ
“คาร์เตอร์...สมควรล่ะที่นายไม่มีแฟนกับเขาสักทีนะ!”
“ทำไมว่ะ?”
คาร์เตอร์สงสัยกับคำพูดของเพื่อนว่าเพราะอะไรเขาถึงยังไม่มีแฟนกับเขาสักที พวกสาว ๆ ก็คิดว่าถ้ามีแฟนก็คงไม่เอาคาร์เตอร์เป็นแฟนเด็ดขาด เพราะอีกฝ่ายโคตรซื่อบื้อเรื่องคนรอบข้างจริง ๆ ทุกคนต่างพากันไปทำธุระของตนเองกัน ซาร่าก็เดินไปที่ห้องที่ตนเองนั้นอยู่กับมิรารี เธอเข้าไปเจอเพื่อนสาวที่กำลังนอนขดอยู่ที่เตียง
“มิรา...เธอร้องไห้เหรอ?”
“เปล่า...ฉันจะร้องไห้ทำไม...ก็แค่...โกรธนะ...”
ซาร่าเดินมานั่งข้าง ๆ เตียงอีกฝ่าย ก่อนจะลูบไปที่บริเวณศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ “ไม่ต้องไปคิดกับชายคนนั้นหรอกนะ”
“จ้า ๆ”
ซาร่ามองเพื่อนสาวที่ยังดูอารมณ์ยังไม่ค่อยดี ก่อนที่เธอจะคิดบางอย่างได้ "โอมเพี้ยง! สิ่งแย่ ๆ จงออกไป สิ่งดี ๆ จงเข้ามา"
“เอ๋ เธอร่ายมนตร์เหรอ?”
“ใช่ มิรารีจะได้สบายใจขึ้นไงล่ะ”
มิรารีได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะออกมาพร้อมกับยิ้มให้ซาร่า “ขอบคุณนะ ซาร่า เดียวสักพักฉันจะลุกเพื่อรอไปทานข้าวน่านะ”
พอมิรารีพูดจบก็มีเสียงประกาศออกมาถึงผู้โชคดีว่าถึงเวลาทานอาหารขอให้ผู้โชคดีทุกท่านลงลิฟต์ยังลงมาเพื่อไปยังห้องอาหารที่พวกเขาต้องไปรับประทานอาหารกัน พอได้ยินแบบนั้น ทุกคนต่างดีใจกันสุด ๆ ก่อนจะเตรียมตัวรอลิฟต์กันลงไป มิรารีค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นมา
ซาร่าได้เห็นมิรารีเธอก็ยิ้มขึ้นมาทันที “ไปทานอาหารกันเนอะ มิรารี”
“อืม ไปกัน ซาร่า” มิรารีฉีกยิ้มให้แก่หญิงสาว
พวกเธอค่อยลุกขึ้นจากเตียง ซาร่าก็รีบเข้ามากอดแขนแล้วพาออกไปข้างนอกห้อง ทุกคนกำลังรอขึ้นลิฟต์กัน พวกสาว ๆ ก็หันไปเห็นสองสาวเดินมาคู่กัน ทำเอาเมียเกิดขึ้นพูดอะไรแผลง ๆ ออกมา
“สองคนนี้กอดแขนกันมาอย่างกับแฟนเลยนะ”
“เอ๋!” ทั้งสองคนต่างหน้าแดงกันทันที
“จะบ้าเหรอ! เมียพูดอะไรนะ!”
“จริงด้วยนะคะ พวกเราแค่เพื่อนสาวนะ อย่าคิดเยอะกันสิ”
“ล้อเล่นน่า ๆ” เมียยิ้มขำๆ ที่แกล้งสองคน
“แต่ว่านะ มิราหายโกรธไอ้บ้านั้นแล้วเหรอ?” หญิงสาวผมน้ำเงินถามมิรารีขึ้นมา
“ยังนะ พีบี แต่ไม่ขอคุยกับหมอนั้นจนจบงานเทศกาลเลยล่ะ!”
“ดีแล้วล่ะ นี่ ๆ พวกเรา ฉันได้ยินจากเพื่อนที่อยู่เลขแรก ๆ เธอบอกว่ามีคนหล่อ ๆ เต็มไปหมดเลยล่ะ”
“จริงดิ อยากเห็นหนุ่มหล่อ ๆ แล้วสิ”
“ฉันด้วย!”
“หนุ่มหล่อ ๆ ! หนุ่มหล่อ ๆ !”
สาว ๆ ต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวกันโดยไม่สนใจหนุ่ม ๆ หน้าตาดีจำนวนหนึ่งที่กำลังยืนรอลิฟต์อยู่เหมือนกัน หนุ่ม ๆ จ้องแบบเซ็ง ๆ ที่สาว ๆ ไม่สนใจพวกเขาเลย ส่วนคาร์เตอร์ก็ลงไปก่อนหน้า เพราะโดนมิเกลลากลงไปเพื่อไม่ให้ทะเลาะกับมิรา คาร์เตอร์นั้นยังงุนงงว่าเขาทำอะไรผิด มิเกลก็สั่งสอนอีกฝ่ายจนอีกฝ่ายเข้าใจกับคำพูดของเขาเมื่อเพื่อนเปรียบกับสิ่งที่พ่อแม่เคยพูดกับเขา ทำให้เขารู้สึกแย่เขาก็เข้าใจล่ะว่าเขาทำให้มิรารีรู้สึกแย่เช่นกัน ทำให้เขาอยากหาโอกาสขอโทษเธอ
เหล่าผู้โชคดีไปทานบุฟเฟต์กันอย่างอิ่มหนำสำราญกัน กำหมดการต่อไปก็มาถึง เวลาได้ไปงานเทศกาลวิทยาศาสตร์ทำให้ทุกคนต่างพากันเฮฮาอย่างดีใจที่จะได้ไปงานที่อยากไปกัน มิรารีก็ดีใจที่จะได้ไปงานที่ว่าแล้ว ระหว่างที่รอกันกลุ่มสาว ๆ ต่างมองหนุ่ม ๆ หน้าตาดีที่กำลังส่งยิ้มให้พวกเธอกันยกใหญ่ มิรารีก็จ้องมองชายคนหนุ่มที่กำลังมองมาที่เธอ เขามีผมสีดำ ผิวขาว ใบหน้าก็หล่อเหลา เขาจ้องมองแล้วฟันมายิ้มทางที่มิรารีอยู่ สาว ๆ รอบ ๆ ต่างกรี๊ดกัน แต่มิรารีนั้นคิดอย่างเดียวว่าเขาไม่ได้สนใจเธอแน่ ๆ คาร์เตอร์นั้นจ้องมองมิรารีอยู่ เขาอยากเข้าไปหาเธอ แต่แล้วเสียงประกาศก็ดังขึ้นว่ารถบัสมารอรับแล้ว ทุกคนก็รีบลุกขึ้นกันไปยังรถบัสกันทันที ทุกคนต่างขึ้นรถกันแล้วนั่งที่ที่ตัวเองอยากจะนั่งกัน พอผู้โชคดีนั่งครบกันทุกคนรถบัสก็ออกเดินทางกันทันที ระหว่างนั่งอยู่กันในรถบัสทุกคนก็คุยกันอย่างสนุก
"อยากให้ถึงงานเร็ว ๆ จริง ๆ ฉันอยากไปชมงานเกี่ยวกับแรงโน้มถ้วนจริง ๆ แล้วมิรารีล่ะ"
หญิงสาวคนหนึ่งถามมิรารีขึ้นมา หญิงสาวคนนี้ที่มีผิวสีออกเหลือง ๆ หน่อย ๆ เธอดูมีเชื้อสายจีนหน่อย ๆ เธอเห็นว่ามิรารีไม่ได้ฟังเธอจนเธอต้องเรียกเธออีกครั้ง
“มิรารี!!”
มิรารีสะดุ้งทันที เธอหันไปมองหญิงสาวที่เรียกเธอ “อะไรเหรอ? อเล็กซ์”
“เธอไม่ได้ฟังฉันเลยสินะ”
“อ๊ะ...เอ่อ...เมื่อกี้พูดอะไรเหรอ?” มิรารีเหงื่อแตก เธอเอาแต่เหม่อนึกถึงชายผมดำที่จ้องมองเธอจนไม่ได้ฟังเพื่อนเลยสักนิด
“เหม่อลอยอะไรล่ะเธอเนี่ย? อเล็กซ์เขาถามเธอนะว่าเธอจะไปชมงานอะไรนะ?” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“อ๋อ...คงไม่พ้นงานวิจัยการหมุนของพายุหิมะนั้นล่ะ” เมียพูดแทนมิรารีทันที
มิรารีขมวดคิ้วมองเพื่อนสาวที่พูดขึ้น
“ว้าว มันช่างหนาวเย็นนะนั่น” ซาร่าได้ยินก็เอามือจับตัวทำเหมือนหนาวสั่น
“จริงด้วยนะ”
เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้สาว ๆ ต่างขมวดคิ้วกันอย่างไม่ชอบใจทันที แล้วหันไปต้นเสียงที่ว่า
“ทำไมพวกผู้หญิงถึงชอบไปดูอะไรที่ไม่เหมาะกับตัวเองกันเลยนะเนี่ย”
คาร์เตอร์นั่งอยู่ริมหน้าต่าง เขาพูดไปอ่านหนังสือไป มิเกลที่เห็นสีหน้าสาว ๆ เขาก็เอาข้อศอกกระแทกเพื่อนทันที
“เห้ย! คาร์เตอร์ ไม่มีคนว่าหรอกนะ ถ้านายไม่พูดมากนะ เดียวโดนสาว ๆ เล่นงานหรอกนะ”
“หือ!?”
คาร์เตอร์ยกคิ้วอย่างสงสัยก่อนจะหันไปเจอสายตาจ้องเขม็งของสาว ๆ เหมือนอย่างจะกินเลือดกินเนื้อเขา เขาสะดุ้งเมื่อเห็นใบหน้าอันไม่พอใจของสาว ๆ ทำให้คาร์เตอร์ต้องหลบตาหนีทันที
โจเซฟที่อยู่เบาะหน้าต้องลุกขึ้นมากล่าวบางอย่าง “ขอโทษแทนพี่เขาด้วยนะครับ พี่ ๆ เขาแค่เป็นพวกสมองช้าเรื่องเล็ก ๆ น้อยนะครับ”
โจเซฟยิ้มกว้างให้แก่สาวๆ ทำให้สาว ๆ ต่างใจเย็นลงกัน ด้วยรอยยิ้มอันแสนวิเศษของโจเซฟ
“แหม ๆ โจเซฟไม่ต้องมาขอโทษแทนก็ได้นะ”
“จริงด้วยนะ พวกเราไม่เอาคำพูดบ้า ๆ มาให้รกสมองหรอก เนอะสาวๆ”
“เนอะ!” สาว ๆ ต่างยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
สาว ๆ เลิกสนใจชายหนุ่มแล้วหันมาคุยกันต่อ จนกระทั่งรถบัสเดินทางกันมาถึงงานเทศกาลเป็นที่เรียบร้อย วัยรุ่นทุกคนต่างพากันมองออกไปนอกหน้าต่างกันเห็นโดมขนาดใหญ่ที่เป็นจุดเด่นของงานนี้ ทำให้ทุกคนต่างชอบใจกันมาก ๆ เมื่อรถทำการจอดกับที่แล้ววัยรุ่นต่างรีบลงมาจากรถบัส มิรารีก็ลงตามมาเธอได้เห็นสถานที่ตรงหน้ามันช่างอลังการจริง ๆ เธอคิดในประเทศไทยคงไม่มีงานที่อลังการแบบนี้แน่ ๆ แถมยังเป็นงานที่ฟรีทุกอย่าง ทางเจ้าหน้าที่ต่างพากันประกาศเกี่ยวกับเวลาและแล้วก็กำไลข้อมือสำหรับจ่ายค่าอาหารและค่าน้ำทุกอย่างที่พวกเขาจะจ่ายกัน กำไลข้อมือนั้นมีเงินจำนวนอยู่หนึ่งหมื่นดอลลาร์ ทำเอาทุกคนต่างอึ้งไปเลย พอเจ้าหน้าที่พูดจบทุกคนก็ต่างพากันแยกย้ายกันทันที มิรารียังไม่ไปไหนเธอกำลังส่องดูใบปลิวที่มีแผนที่ในงานอยู่ โจเซฟเห็นพี่สาวยังไม่ไปไหนเลยเดินไปหาอีกฝ่ายทันที
“พี่มิรารีจะไปดูอะไรก่อนเหรอครับ?”
“เอ๋?” มิรารีหันไปหาโจเซฟที่เข้ามาถามเธอ “พี่ว่าจะไปดูการหมุนของพายุหิมะนะ แล้วโจเซฟล่ะ?”
“ผมว่าจะไปที่งานวิจัยความเร็วเหนือแสงนะ จะไปลองดูว่ามีอะไรให้เล่นมั้งไหมนะครับ”
“น่าสนใจนะ ถ้าพี่ดูของพี่เสร็จจะตามไปนะ”
“โอเคครับ งั้นผมไปนะ”
“จ้า โชคดีล่ะ”
“ครับ!!”
โจเซฟเดินออกไปจากตรงนั้นทันที มิรารีนั้นกำลังดูใบปลิวอยู่ว่าจะไปตรงไหนมั้งดี โจเซฟหยุดเดินแล้วหันกลับมามองมิรารี เขารู้สึกแปลก ๆ เหมือนรู้สึกว่าจะไม่ได้เจออีกฝ่ายอีก แต่โจเซฟก็ส่ายหน้าว่าตัวเองคิดอะไรแปลกออกมา ก่อนจะเดินต่อไปทันที
มิรารีดูใบปลิวเสร็จ เธอก็เตรียมตัวไปสถานที่ที่เธอจะไปทันที เดินไปตามทางเรื่อย ๆ นั้นก็มีชายคนหนึ่งเดินตามเธอมาตั้งแต่จุดที่เธอนั้นดูใบปลิว แต่ว่ามิรารีกับรู้ว่ามีคนตามอยู่แต่เธอกับไม่สนใจแล้วเดินต่อไปเรื่อย ๆ ทางเส้นทางที่ยาวตรงไปยังโดมใหญ่ รอบ ๆ ก็มีเต็นท์มากมายที่มีขายอาหารและเครื่องดื่ม มิรารีเห็นของทุกอย่างแล้วอยากกินทุกอย่าง แต่ตอนนี้เธอขอเดินไปยังจุดที่เธออยากจะไป เลยตรงดิ่งไปยังโดมใหญ่ทันที ภายในนั้นมีจุดบริการและป้ายมากมาย มิรารีเห็นป้ายที่เธออยากไป เธอก็เข้าเครื่องสแกนแล้วเดินเข้าไปข้างในแล้วตรงดิ่งไปยังงานวิจัยการหมุนของพายุหิมะทันที พอเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่งเธอก็ต้องตะลึงกับภายในที่มีเครื่องสร้างพายุหิมะที่อยู่ในแทงค์กระจกใหญ่ แล้วผู้คนที่ใส่เครื่องป้องกันความหนาว พวกเขาเข้าไปพายุหิมะเทียมก็หมุนรอบ ๆ ตัว นั้นทำให้เธอตาลุกวาวเป็นประกายอย่างปลื้มใจ
ระหว่างที่ผู้คนมากมายนั้นกำลังสนุกกับงานเทศกาลข้างนอกอยู่นั้น ข้างในโดมใหญ่ที่มีห้องวิจัยขนาดใหญ่อยู่ก็มีชายสองคนกำลังแอบทำบางอย่างกันโดยที่ไม่สนใจเลยว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นประชาชนภายนอกจะเสี่ยงต่อสิ่งที่พวกเขาทำกัน ชายหนุ่มอีกคนจ้องมองชายที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าของตน ก่อนที่เขาจะเตือนชายคนนั้น
"คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ ดอกเตอร์ ข้างนอกมีคนอยู่กันเยอะนะครับ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา เราจะทำไงครับ!! "
"แล้วทำไมล่ะ!! " ชายวัยกลางคนหันหน้าไปมองชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าตนทันที “อย่าลืมว่าฉันเป็นดอกเตอร์แล้วนายเป็นแค่ผู้ช่วย ตอนนี้ฉันกำลังได้ผลวิจัยที่ฉันต้องการ อย่าเข้ามาสอดเด็ดขาด!!”
ดอกเตอร์หันไปทำการวิจัยของตนเองด้วยเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่ต้องใส่สารเคมีเข้าไปในเครื่อง ผู้ช่วยคนนั้นเห็นอีกฝ่ายไม่ฟังเขาทำให้เขาต้องเรียกเพื่อเตือนสติอีกฝ่ายอีกครั้ง
"ดอกเตอร์ครับ! "
"คุณโน่!! “ ดอกเตอร์ตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายทันที ” ถ้าคุณไม่อยากโดนผมไล่คุณออกก็อยู่เงียบ ๆ ไป!! "
ชายหนุ่มถึงกับก้มหัวโดยทันที "ครับ ดอกเตอร์..."
ดอกเตอร์ทำการวิจัยต่อโดยไม่สนใจอะไร เขาอยากทดลองสิ่งที่เขาได้ข้อมูลมาใหม่ ๆ ในหัวของเขานั้นคิดอย่างเดียวว่าจะต้องเป็นผลงานชิ้นเอกที่เขาจะทำให้ตัวเองโด่งดังอีกครั้ง ผู้ช่วยคนนั้นเอาแต่จ้องมองดอกเตอร์ว่าอีกฝ่ายไม่คิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเลยจริง ๆ
พาออกมาด้านในงานเทศกาลต่าง ๆ ที่ไม่รู้ว่ามีชายบ้างานวิจัยกำลังทำอะไรแปลก ๆ อยู่ ทางด้านมิรารีกำลังจับจ้องไปที่เครื่องสร้างพายุหิมะโดยไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากเป็นภาพที่ประทับใจมาก ๆ กับการหมุนของมันถึงแม้มันจะเป็นสิ่งที่อันตราย แต่เธอก็ชอบที่จะเห็นการเคลื่อนไหวของพายุหิมะนี้
“น่าประทับใจจังเลยนะ แรงเหวี่ยง แรงหมุนของมัน ถ้ากำหมดได้ก็สามารถช่วยผู้คนที่อยู่ในที่หนาว ๆ ได้เลยนะเนี่ย”
ระหว่างมิรารีกำลังปลื้มกับภาพตรงหน้าก็มีคนเข้ามาแตะไหล่ของเธออย่างกะทันหันจนทำให้เธอตกใจ
“กรี๊ดดดดดด!!” มิรารีตกใจจนหันไปมองว่าใครกันที่มาแตะไหล่
“โทษทีสาวน้อย!” ชายที่แต่งกายเหมือนนักวิจัยยกมือขึ้นพร้อมกับสีหน้าตกใจเสียงเด็กสาว “โทษทีทำให้ตกใจนะ ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลงานวิจัยพายุหิมะนะ”
“ค่ะ...ขอโทษนะคะ หนูกำลังสนใจงานจนไม่ได้สนใจใคร...หนูเกะกะเหรอคะ?”
“เปล่านะ ๆ ฉันก็ผิดนะที่เข้ามาวุ่นวายตอนเธอดูงานนะ”
“แล้วมีอะไรเหรอคะ?” มิรารีสงสัยว่าอีกฝ่ายมีอะไรกับเธอ
“ฉันเห็นว่าเธอสนใจงานนี้ เลยมาถามนะว่าเธอสนใจเข้าไปข้างในเครื่องหมุนของพายุหิมะไหมนะ?”
“เข้าไปได้เหรอคะ!?” มิรารีได้ยินก็ตาวาวทันที
“ได้สิ ตามมาเลย!”
มิรารีได้ยินก็รีบตามชายหนุ่มไปทันที พวกเขาให้เธอแต่งชุดเครื่องป้องกันความหนาวพอแต่งกายเสร็จ พวกเขาก็พาเธอไปยังแทงค์ใหญ่ที่มีเครื่องหมุนพายุหิมะเทียม เธอเดินเข้าไปข้างใน ทางเจ้าหน้าที่ก็เปิดเครื่องพายุหิมะก็เริ่มทำงานหมุนรอบตัวเธอ มิรารีชอบใจมาก ๆ ที่ความหนาวกำลังเข้ามาในร่างกายเธอ มันช่างหนาวได้ใจเธอจริง ๆ ชายหนุ่มที่แอบมองหญิงสาวอยู่นั้น เขาก็ค่อย ๆ โผล่หน้าออกมานั้นก็คือ คาร์เตอร์ เขาตามเธอมาเพื่อจะมาขอโทษอีกฝ่ายแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังยิ้มอย่างสนุกอยู่นั้น ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นเธอยิ้มและงดงามในพายุหิมะนั้น เขาส่ายหน้าทันทีอย่างงุนงงว่าเขาถึงคิดแบบนั้นกับอีกฝ่ายได้ไง แต่ใบหน้าของเขานั้นกับแดงระรื่นขึ้นที่แก้มของตนเอง จนไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรไป
ย้อนกลับมาที่ดอกเตอร์กำลังถือหยอดสารเคมีบางอย่างหยดเข้าไปในเครื่องทดลองหนึ่งหยด พอสารเคมีนั้นเข้าไปในเครื่อง กลไกของเครื่องเริ่มทำงานอย่างราบรื่นนั้นทำให้ดอกเตอร์ตะโกนดีใจทันที ผู้ช่วยนั้นจ้องมองดอกเตอร์กำลังดีใจกับงานของเขา แต่แล้วเครื่องยนต์ก็เริ่มมีเสียงเตือนดังขึ้นมา ดอกเตอร์เห็นแบบนั้นก็รีบเข้ามาแก้ไขทันที ผู้ช่วยนั้นเห็นแบบนั้นก็รีบตรงไปหาดอกเตอร์ทันที
“ดอกเตอร์! เครื่องมันกำลังจะระเบิดแล้วนะครับ ผมบอกแล้วว่าอย่าทำ!”
“ไม่! มันไม่ระเบิดอยู่แล้ว ฉันแก้ก็กลับมาเป็นปกติแล้ว!! มันแค่กำลังเข้าสู่กระบวนการของมัน แกจะทำให้งานฉันพัง!! ? ไสหัวออกไปเลย!!”
ดอกเตอร์ดันตัวผู้ช่วยของเขาออกไปจากห้องนั้นโดยทันที เขาก็กลับไปแก้ไขงานเขาต่อ
“ดอกเตอร์!! ดอกเตอร์ไม่นะครับ!! มันกำลังจะระเบิดจริง ๆ นะครับ”
เมื่อผู้ช่วยโดนอีกฝ่ายไล่ออกมานั้น สัญญาณภายนอกก็ดังขึ้น ทำให้ตัวเขานั้นต้องรีบวิ่งออกจากตรงนั้นโดยทันที เพียงไม่กี่นาทีที่ผู้ช่วยวิ่งหนีออกมาเสียงระเบิดก็ดังขึ้นในทันที ตัวของผู้ช่วยกระเด็นไปข้างหน้าอย่างรุนแรง เสียงระเบิดทำให้โดมทั้งโดมสั่นสะเทือนพร้อมกับการระเบิดที่ขึ้นสู่ฟากฟ้า ทำให้ผู้คนนั้นแตกตื่นทันที มิรารีที่อยู่ในเครื่องสร้างพายุหิมะตกใจกับเสียงระเบิดนั้น เธอรีบหันกลับไปที่ประตูแต่ประตูนั้นกลับไม่เปิดให้เธอ เธอหันไปมองเหล่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายนอก
“ช่วยเปิดประตูให้หนูด้วยค่ะ!!” มิรารีตะโกนออกมาจากแทงค์นั้นทันที “ช่วยด้วยประตูมันล็อก!!”
เจ้าหน้าที่ชายรีบวิ่งตรงไปที่แทงค์ที่เด็กสาวอยู่ เขาพยายามดึงประตูอย่างสุดแรงแต่มันไม่ออกเลยจนหันไปหาเพื่อนของตนเอง
“มันเปิดไม่ออก พวกนายกู้ระบบได้ไหม! ?”
“ไม่ได้ ระบบล้มหมด เครื่องก็รัดวงจรหมดเลย!!”
“ว่าไงนะ!! แล้วเด็กในนั้นล่ะ!?” เจ้าหน้าที่หนุ่มถึงกับตื่นตระหนกถ้าช่วยเด็กออกมาไม่ได้พวกเขาคงซวยแน่ ๆ ชายหนุ่มจับที่ประตูแล้วดึงมันเหมือนให้เปิด
มิรารีไม่อยู่เฉย เธอกระทืบประตูใหม่มันเปิดประตูให้เธอ คาร์เตอร์รีบวิ่งออกมาจากที่ซ่อน เขาหาแท่งเหล็กแล้วยกขึ้นมาเพื่อตรงไปหาแทงค์ที่มิรารีติดอยู่ภายใน มิรารีเห็นอีกฝ่ายตรงมาหาเธอพร้อมกับแท่งเหล็ก
“หลบไป!!”
มิรารีทำตามที่ชายหนุ่มพูด เขาง้างมือขึ้นสูงแล้วตีไปที่แทงค์กระจกนั้น เขาตีไปครั้งแรกมันไม่มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด เขาเลยตีไปหลายครั้ง แต่มันก็ไม่แตกเลยสักนิด
“แทงค์บ้านี่!! มันอะไรกัน! ? แตกซะทีสิเว้ย!!”
พอคาร์เตอร์กำลังจะตีแทงค์นั้นอีกครั้ง การระเบิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แรงระเบิดทำให้คาร์เตอร์ตกลงจากจุดที่เขายืนสู่พื้น
“คาร์เตอร์!” มิรารีตกใจที่อีกฝ่ายตกลงจากจุดที่ยืนเมื่อกี้ “นายไม่เป็นอะไรนะ!!”
“โอ๊ยเว้ย!!” คาร์เตอร์เจ็บตัวไปหมด เขาค่อย ๆ ลุกขึ้น เพื่อจะไปช่วยอีกฝ่ายอีกครั้ง
แต่แล้วพนักงานคนหนึ่งก็เข้ามาจับตัวคาร์เตอร์ทันที “พอได้แล้วเจ้าหนู เธอจะไปตีมันเท่าไรก็ไม่ได้ผลหรอกนะ มันทำจากวัตถุกันกระแทกที่แข็งมาก ๆ เลยนะ”
“ว่าไงนะ แล้วเพื่อนผมล่ะ!!”
“เราทำอะไรไม่ได้แล้ว ริชาร์ด!! นายออกมาเดียวนี้เราช่วยเด็กไม่ได้แล้ว ช่วยเท่าที่ช่วยได้เร็ว!!”
มิรารีได้ยินคำพูดของชายคนที่ตะโกนในหัวเธอกับขาวโพลนไปหมด
“หัวหน้า! แต่ว่า!!” เจ้าหน้าที่หนุ่มที่กำลังช่วยเด็กสาวถึงกับอึ้งไปทันที
“ไม่มีแต่! ออกมาเดียวนี้ พวกนายลากเด็กชายคนนี้ออกไป ตอนนี้ตึกจะถล่มแล้ว เร็ว!!”
เจ้าหน้าที่คนอื่นรีบเข้ามาลากตัวเด็กชายออกไปจากตรงนั้น
คาร์เตอร์พยายามดิ้นสุดชีวิต “ไม่นะ!! ปล่อยผม!! ผมจะไปช่วยเธอ มิ...มิรารี!!”
“คาร์เตอร์!!”
เจ้าหน้าที่หนุ่มหันไปมองเด็กสาวด้วยความรู้สึกผิด มิรารีมองเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัวพร้อมกับส่ายหัว
“ไม่นะ...”
“ฉันขอโทษ!” เจ้าหน้าที่หนุ่มรีบนำตัวคนอื่น ๆ ออกจากสถานที่แห่งนั้นทันที
“ไม่!! อย่าทิ้งหนูไว้ที่นี้!! ได้โปรด!!”
มิรารีรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเห็นคนนอนตายอยู่บริเวณที่เธออยู่ นั้นทำให้เธอหวาดกลัวการที่จะตาย แล้วความหนาวก็ยิ่งทวีคูณเข้าไปอีก นั้นทำให้ร่างกายของเธอหนาวขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายเธอทรงตัวไม่อยู่ ตัวเธอไปชนกันกระจก เธอมองไปที่พายุหิมะเทียมที่กำลังหมุนอยู่ นิ้วของเธอเริ่มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรยอมแพ้ เธอพยายามชนไปที่กระจกแต่เธอชนมันเบามาก ๆ เพราะเธอรู้สึกร่างกายนั้นไม่มีพลังในการออกแรงเลย การหายใจเธอก็เริ่มติดขัด ดวงตาของเธอกำลังจะหลับลง แต่แล้วก็มีเสียงตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง
“มิรารี!! อย่าพึ่งหลับ!” เสียงตะโกนนั้นเป็นของคาร์เตอร์ เขารีบมาจากเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยเธออีกครั้ง
“คาร์...เตอร์...”
มิรารีพยายามลืมตามองอีกฝ่าย เขาเข้ามาใช้แท่งเล่นที่ทำมาจากเหล็กที่แข็งแรงมาก ๆ มาตีไปที่แทงค์นั้นอีกครั้ง แต่ตีกี่ครั้งมันก็ไม่แตกเลย มิรารีเห็นแบบนั้นเธอรู้แล้วว่าตัวเองไม่รอบแน่ ๆ เธอยกมือของเธอที่เริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งสีขาวเกาะขึ้นมาแตะที่กระจกของแทงค์นั้น
“พอ...เถอะ...”
“มิ...รา...”
“ฉัน...ไม่รอดแน่ ๆ ...นาย...ออกไปเถอะ...”
“ไม่! ไม่ฉันไม่ยอม ฉันต้องช่วยเธอออกมาแล้วพูดในสิ่งที่ฉันจะพูด!!” คาร์เตอร์ใช้แรงสุดกำลังตีไปที่กระจกนั้นอีกครั้ง
จนเจ้าหน้าที่ชายที่ลากคาร์เตอร์ออกมาครั้งแรก พาเพื่อนเข้ามาช่วยลากเด็กหนุ่มออกอีกครั้ง
“เจ้าหนูเลิกดื้อได้แล้ว เพื่อนเธอไม่รอดแล้ว”
“ไม่!! ฉันจะช่วยเธอ!! มิรารี!!” คาร์เตอร์โดนลากพาออกไปอีกครั้ง
“คาร์...เตอร์...”
มิรารีมองชายหนุ่มที่โดนลากออกไป เสียงระเบิดก็ดังเรื่อย ๆ ตัวของเธอค่อย ๆ ซุกลงกับพื้น ขาของเธอเริ่มเย็นและแข็งจนเกล็ดหิมะคลุมขาแล้วเริ่มลามไปตามส่วนต่าง ๆ อวัยวะต่าง ๆ ก็เริ่มทำงานช้าลง ตอนนี้ไม่มีอะไรช่วยเธอได้เลย ในหัวตอนนั้นเธอนึกถึงแต่แม่ของเธอ ถ้าไม่มีเธอแม่คงต้องช้ำใจแน่ ๆ แต่ไม่รู้ทำไมเธอกับนึกถึงพ่อของเธอขึ้นมา แล้วภาพตรงหน้าเธอเห็นพ่อเดินมาหาเธอนั้นทำให้เธอรู้สึกแปลกใจที่พ่อมาหาเธอตอนนี้ แปลว่าเธอกำลังจะตายจริง ๆ ภาพของพ่อเลือนรางไปเมื่อดวงตาของเธอนั้นพร่ามัวแล้วดับลงด้วยเกล็ดหิมะสีขาวที่ปกคลุมไปทั้งร่างกายของเธอ
จบตอนทา 1 โปรดติดตามต่อตอนที่ 2 ต่อไป
Comments (0)