เยว่ชื่อนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะกะพริบตาปริบ ๆ เอ่ยถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ

"ลี่หยาง? เจ้าคือกระบี่ของข้าหรือ?"

"ถูกต้อง" ลี่หยางพยักหน้ารับแล้วยิ้มออกมา ทว่าภายในถ้ำตอนนี้มืดสนิท เยว่ชื่อจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา

"เจ้าล้อข้าเล่นหรือ เหตุใดกระบี่ของข้าถึงกลายเป็นคนไปได้เล่า!?" เยว่ชื่อขมวดคิ้ว เขาคิดว่าคนตรงหน้าพูดจาเหลวไหล กระบี่ของเขาไม่มีทางกลายเป็นคนไปได้ แม้จะเคยมีตำนานเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ว่ากระบี่ของเขาหาใช่กระบี่ในตำนาน ความน่าเชื่อถือจึงแทบไม่มีอยู่เลย

"งั้นให้ข้าพิสูจน์ให้เจ้าดูดีหรือไม่?" ลี่หยางยิ้ม สาวเท้าเข้าไปใกล้เยว่ชื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสายตาประสานกันในความมืด

"เจ้าจะพิสูจน์อย่างไร กลับไปเป็นกระบี่ให้ข้าดูหรือ?"

"ข้ากลับไปเป็นกระบี่ไม่ได้อีกแล้ว" เขากล่าว

คำพูดของเขายิ่งขัดแย้งกับตำนานกระบี่ไป๋หลงและเฮยหลง ตามตำนานกล่าวไว้ว่ากระบี่สองเล่มนี้สามารถแปลงร่างกลายเป็นคนได้ และแปลงกายกลับไปเป็นกระบี่ได้เช่นกัน

เยว่ชื่อขมวดคิ้วยุ่งจนแทบผูกกันเป็นปม มันเกิดอะไรขึ้นกับกระบี่ของเขากันแน่? ไม่สิ คนตรงหน้าจะใช่กระบี่ของเขาจริง ๆ น่ะหรือ?

"แล้วเจ้าจะพิสูจน์อย่างไร?"

"เรามีความลับร่วมกันอย่างหนึ่ง เจ้าลืมแล้วหรือ?"

เยว่ชื่อเลิกคิ้ว ลี่หยางจับมือเขา เยว่ชื่อสะดุ้งเล็กน้อยเพราะตกใจ แต่พอรู้ว่าเป็นมือของลี่หยางเขาก็ไม่ได้สะบัดมันทิ้งไป

รอยยิ้มของลี่หยางในตอนนี้ช่างดูเจ้าเล่ห์ เหมือนสุนัขจิ้งจอกกำลังล่อลวงลูกแกะตัวน้อย เขาขยับเข้าไปใกล้เยว่ชื่อแล้วกระซิบ

"เรื่องของเราที่ป่าตะวันตก…"

พูดมาเท่านี้ร่างกายของเยว่ชื่อก็แข็งทื่อ ความทรงจำอันน่าอับอายที่เขาลืมเลือนไปแล้วถูกฉายซ้ำอีกครั้งในหัวสมอง

กระบี่ลี่หยางของเขาถูกใช้สนองความใคร่เพราะถูกพิษราคะของปีศาจจิ้งจอก โชคดีที่เจ้าปีศาจตัวนี้พอจะมีความเห็นใจหลงเหลือให้เขาอยู่บ้างจึงช่วยบอกวิธีแก้พิษให้ ทำให้เยว่ชื่อไม่ต้องทรมานกับความกระสันที่ปลดปล่อยเท่าไรก็ไม่หมดจนตายได้ ทว่าวิธีมันช่าง…

"เจ้าถูกพิษราคะของปีศาจจิ้งจอกจนร่างกายร้อนรุ่ม ในป่าตะวันตก ใต้ต้นเฟิงต้นนั้น เจ้าได้นำข้าไป…"

เยว่ชื่อหน้าแดงเถือก ความทรงจำที่น่าอับอายเหล่านั้นทำให้เขาอยากแทรกแผ่นดินหนี เขาดันตัวลี่หยางที่กระซิบใส่หูเขาจนลมจากริมฝีปากปะทะเข้าที่ส่วนอ่อนไหวออกไป แล้วตวาดออกมา

"เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว! ข้าเชื่อแล้ว!!"

ลี่หยางยิ้ม "เชื่อข้าแล้ว?"

"เชื่อแล้ว"

เยว่ชื่อเผลอมองต่ำโดยไม่รู้ตัว แม้ทุกอย่างจะมืดสนิททำให้เขามองอะไรไม่เห็น แต่ความอับอายที่ทำให้หน้าเขาแดงไปหมดทำให้เขาเผลอก้มหน้าอย่างช่วยไม่ได้

ลี่หยางเห็นอาการของเยว่ชื่อและปลายหูที่แดงเถือกก็รู้สึกเอ็นดูขึ้นมา อย่างจะรังแกปรมาจารย์ผู้นี้อีกหน่อย แต่เยว่ชื่อกลับเอ่ยออกมาก่อน

"แล้วเหตุใดเจ้าถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้"

"ข้าไม่รู้"

ลี่หยางไม่สนใจด้วยซ้ำว่าปัจจัยอะไรทำให้เขาเป็นแบบนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาได้กลายเป็นคนแล้ว

เยว่ชื่อได้ยินคำตอบก็ถอนหายใจ หันหลังเดินออกไป

"กลับสำนักกันเถอะ"

"อืม" ลี่หยางครางรับ เดินตามเยว่ชื่อไปก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

"เจ้ามองเห็นหรือ?"

"ข้าจำทางได้" เยว่ชื่อตอบแล้วเดินตรงไปเรื่อย ๆ แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวลี่หยางก็ร้องออกมา

"เดี๋ยว! เยว่ชื่อ ข้างหน้านั่น…"

"มีอะไ- โอ๊ย!!"

ไม่ทันขาดคำหน้าผากของเยว่ชื่อก็กระแทกเข้ากับผนังถ้ำอย่างจัง เขาถอยออกมา ใช้มือกุมหน้าผากที่แดงเถือกเอาไว้

ลี่หยางรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาดูเยว่ชื่อทันที

"ไหน ให้ข้าดูหน่อย เจ็บหรือไม่?" ลี่หยางดึงมือเยว่ชื่อออก ทำให้เขาเห็นหน้าผากแดง ๆ ชัดเจน

"เจ็บ…" เยว่ชื่อตอบ

ลี่หยางทั้งสงสารทั้งเอ็นดู เขย่งเท้าเป่าหน้าผากเยว่ชื่อเหมือนอีกคนเป็นเด็ก

"ฟู่ ไม่เจ็บแล้ว"

"...เห็นข้าเป็นเด็กหรืออย่างไร?"

ลี่หยางหัวเราะ เยว่ชื่อไม่รอคำตอบก็บ่นออกมา "ข้าจำได้ว่าทางออกอยู่ตรงนี้"

"เจ้าต้องเดินไปทางขวาอีกสองก้าว"

"..."

ลี่หยางเห็นหน้าเยว่ชื่อก็หัวเราะออกมา สีหน้าของอีกคนดูก็รู้ว่าอับอายไม่น้อย เดินไปทางขวาอีกแค่สองก้าวก็จะออกจากห้องได้แบบปลอดภัยแล้วแท้ ๆ

"ให้ข้านำทางเจ้าดีหรือไม่?"

"เจ้ามองเห็นหรือ?" เยว่ชื่อถามก่อนนึกขึ้นได้ จากที่อีกคนพูดมา ทั้งที่บอกเขาว่า 'เดี๋ยว! เยว่ชื่อ ข้างหน้านั่น…' ทั้ง 'เจ้าต้องเดินไปทางขวาอีกสองก้าว' และไหนจะเป่าหน้าผากเขาได้อีก แค่นี้ก็แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าลี่หยางสามารถมองเห็นได้ในถ้ำที่ไร้แสงแห่งนี้

แต่เขามองเห็นได้อย่างไร…?

"เห็นสิ เจ้าตามข้ามา" ลี่หยางคว้าจับมือของเยว่ชื่อ ความแตกต่างของอุณภูมิผิวทำให้เยว่ชื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย

"มีอะไรหรือ?"

"มือของเจ้าเย็นมาก"

แม้มันอาจจะดูเหมือนคำพูดธรรมดา ทว่าร่างกายของลี่หยางเย็นมากเหมือนกับเป็นศพเดินได้มากกว่าคนอุณหภูมิต่ำ

ลี่หยางยิ้มตอบ "คงเพราะข้าเป็นกระบี่กระมัง รีบกลับสำนักกันเถอะ ข้าหนาว"

เยว่ชื่อไม่ถามอะไรเพิ่มเติมแล้วปล่อยให้ลี่หยางจับมือพาตัวเองไปที่ปากถ้ำ

พอมาถึงปากถ้ำก็เป็นยามจื่อแล้ว ท้องฟ้าสีน้ำหมึกถูกประดับประดาด้วยหมู่ดาวและมวลเมฆ ดวงจันทร์ที่ถูกวลาหกปกปิดค่อย ๆ ทอแสงนวลตาออกมา แสงสว่างอ่อนโยนจากบุหลันทำให้เยว่ชื่อเห็นคนข้างกายชัดมากขึ้น

สายลมโชยอ่อนพัดพาให้เส้นผมสีดำดุจท้องฟ้ายามราตรีพลิ้วไหวตามแรงลม เส้นผมเป็นสีดำเงางามราวกับแพรไหม ใบหน้างดงามเกินจะกล่าว ดวงตาหงส์ ผิวกายขาวซีด รูปร่างสมส่วน

เยว่ชื่อมองลี่หยางอย่างตกตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ เกิดมาเขาพึ่งเคยพบเจอบุรุษที่งดงามมากขนาดนี้เป็นครั้งแรก สายตาของเยว่ชื่อเผลอไล่ต่ำสำรวจร่างกายอีกฝ่าย ทั้งไหปลาร้า หน้าอก หน้าท้อง ไปจนถึง…

เยว่ชื่อย้ายสายตาไปทางอื่นเงียบ ๆ

ลี่หยางถามขึ้นมา "ไม่มองข้าแล้วหรือ?"

"ไม่มองแล้ว"

"เพราะเหตุใด?"

"เสียสายตา"

ลี่หยางหัวเราะ "กระบี่ของกระบี่หาได้พบเห็นง่ายไม่"

"ใครจะไปอยากเห็นของเจ้ากัน ต้องเป็นของบุรุษตัวเล็กน่ารักสิถึงจะน่าชม"

"ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่กล้ามองเพราะของข้าใหญ่กว่าหรือ"

"ไร้สาระ!"

ลี่หยางหัวเราะ "เจ้าจะวัดก็ได้นะ ข้าไม่ติดใจอะไร"

"เจ้าผายลมทางปากหรืออย่างไร หากไม่มีอะไรจะพูดก็อยู่เงียบ ๆ เสียบ้าง"

"เยว่ชื่อ เจ้าอย่าดุข้านักสิ เห็นแบบนี้หัวใจของข้าบอบบางยิ่งนัก"

"..."

เยว่ชื่อไม่พูดอะไรเพิ่มเพราะพูดไปคงมีแต่จะหงุดหงิดมากกว่าเดิม เขาเงยหน้ามองฟ้า ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเรียกกระบี่อีกเล่มมา

"เราจะกลับกันอย่างไร?"

"ขี่เป่าเป้ยไป ข้าเรียกมาแล้ว รอสักพักก็คงมา"

"เยว่ชื่อ"

"อะไร?"

"ถ้าข้าเป็นบุรุษตัวเล็กน่ารักเจ้าจะมองของข้าจริง ๆ หรือ?"

"ข้าจะจับเจ้าสมสู่หน้าปากถ้ำด้วย เลิกถามได้แล้ว"

ลี่หยางทำหน้าเศร้าเล็กน้อย "แล้วเหตุใดข้าเป็นแบบนี้ถึงทำไม่ได้เล่า"

"เพราะเจ้าไม่ใช่แบบที่ข้าชอบ จริงอยู่ที่ข้าไม่เกี่ยงบุรุษสตรี แต่ข้าก็เลือกว่าจะนอนกับใครแบบไหนด้วย"

"น่าเสียดาย" ลี่หยางพึมพำเบา ๆ

"เจ้าว่าอะไรนะ?"

"ข้าบอกว่าน่าเสียดาย" ลี่หยางถอนหายใจออกมา "ตอนข้าเป็นกระบี่ข้ายังเข้าไปในตัวเจ้าได้ แต่พอข้าเป็นคนแล้วเจ้ากลับเอาแต่ผลักไสข้า"

"ถ้าตอนนั้นไม่ใช่เพราะพิษราคะเจ้าคิดหรือว่าข้าจะทำเรื่องบัดสีเช่นนั้น?"

ลี่หยางหัวเราะ "เจ้าชอบแบบไหนมากกว่า ชอบข้าตอนเป็นกระบี่หรือเป็นคน"

"ข้าชอบตอนเจ้าเป็นกระบี่เพราะเจ้าไม่พูดมาก ส่วนตอนเป็นคนหากเจ้าหุบปากเสียบ้างจะดีไม่น้อย"

"ข้าก็ชอบเช่นกัน เพราะตอนข้าเป็นกระบี่เจ้าจูบข้าบ่อย ๆ แล้วเรายัง…" ลี่หยางทำท่าทางเขินอายแทนการพูดออกมา เยว่ชื่อเห็นแล้วเส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ อยากเตะสักที

"..."

"อ๊ะ เป่าเป้ยมาแล้ว" ลี่หยางเปลี่ยนเรื่องราวกับอ่านใจเยว่ชื่อได้ เยว่ชื่อหันไปมองบนท้องฟ้าก็เห็นกระบี่อ่อนของตนเองกำลังบินมาทางนี้แล้วเช่นกัน

เขาหันไปมองลี่หยาง พอเห็นอีกคนเปลือยเปล่าเช่นนี้ก็รู้สึกอุจาดตา ถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วโยนให้อีกฝ่าย

"ใส่เสีย!"

ลี่หยางใช้สองมือหอบเสื้อตัวนอกของเยว่ชื่อแล้วกล่าว "ข้าเป็นกระบี่ ข้าใส่ไม่เป็น"

"..."

เยว่ชื่อหมดคำจะพูด เขาถอนหายใจแล้วจัดการใส่เสื้อผ้าให้ลี่หยางแบบขอไปที

"ข้าใส่ให้เจ้าแล้วก็จำด้วยว่าใส่อย่างไร ครั้งหน้าจะได้ใส่เองได้"

"เจ้าใส่ให้ข้าอีกไม่ได้หรือ?"

"ไม่ ข้าไม่ใช่ภรรยาเจ้า และเจ้าไม่ใช่บุรุษตัวเล็กน่ารัก มาช่วยเจ้าใส่เสื้อผ้าเช่นนี้หัวใจข้าบอบช้ำยิ่งนัก"

ลี่หยางหัวเราะ ในตอนนั้นเองเยว่ชื่อได้เห็นว่ามือของลี่หยางกำบางสิ่งบางอย่างอยู่

"กำอะไรไว้?"

ลี่หยางแบมือออกมา ข้างในคือหยกดำชิ้นหนึ่งที่ก่อนหน้านี้อยู่กับพู่ห้อยกระบี่ แต่ตอนนี้เหลือแค่ตัวหยกแล้ว

"หยก"

"เจ้าชอบมันหรือ?"

"อื้อ"

"ข้ามีสร้อยอยู่เส้นหนึ่ง เดี๋ยวร้อยให้เจ้าใส่ได้ ถือไว้แบบนี้เดี๋ยวหาย"

สำหรับเยว่ชื่อแล้วเขาไม่สนใจหยกดำเท่าไรนัก อีกอย่างลี่หยางก็เป็นกระบี่ที่มีหยกนี้ผูกติดไว้ตั้งแต่เขาจำความได้ การจะยกหยกชิ้นนี้ให้ลี่หยางที่กลายเป็นคนแล้วจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

ลี่หยางยิ้มออกมาแล้วกล่าวเสียงเบา

"ขอบคุณ หยกนี้สำคัญกับข้ามาก"

"หืม เจ้าพูดอะไรนะ?"

"ไม่มีอะไร" ลี่หยางยิ้ม

เยว่ชื่อไม่สนใจถามต่อ เขาก้าวขึ้นไปยืนบนกระบี่แล้วจับมือดึงลี่หยางขึ้นมา กระบี่อ่อนเล่มนั้นสั่นเล็กน้อย

ลี่หยางขมวดคิ้ว "ข้าไม่ได้หนักขนาดนั้นเสียหน่อย"

'เจ้าตัวหนัก ลงไปเลย!'

"ไม่หนัก"

'หนัก!!'

"เจ้าพูดอยู่กับใคร?" เยว่ชื่อหันมามองพร้อมขมวดคิ้ว ลี่หยางรีบฟ้องเยว่ชื่อทันที

"ข้าพูดกับเป่าเป้ย เยว่ชื่อ เป่าเป้ยนิสัยไม่ดี หาว่าข้าตัวหนัก"

"เช่นนั้นก็คงหนักจริง ๆ กระมัง ว่าแต่เจ้าคุยกับกระบี่รู้เรื่องด้วยหรือ?"

"ใช่ คงเป็นเพราะข้าเป็นกระบี่มานานจึงฟังเสียงของจิตวิญญาณที่อยู่ในกระบี่ได้ และพูดคุยกับมันได้"

"น่าสนใจ เป่าเป้ยคิดว่าข้าเป็นคนเช่นไร" เยว่ชื่อก้มถามกระบี่ใต้เท้าตนเอง

'นายท่านเป็นคนเก่งที่สุด!! เป็นคนดี เป็นหนึ่งในใต้หล้า!!'

"นางบอกว่าเจ้าเป็นคนกะล่อนที่สุดในใต้หล้า"

"นางพูดแบบนั้นจริงหรือ?" เยว่ชื่อทำหน้าเศร้า เขาคิดว่าเป่าเป้ยจะชอบเขาเสียอีก แต่ดูท่าเขาจะคิดผิด

'นายท่านอย่าไปฟังลี่หยาง! เขาโกหก ข้าไม่ได้ว่าท่านเลยสักประโยค!!'

"นางบอกว่าหากนางเป็นคนคงถูกเจ้าเกี้ยวเช้าเย็น"

'ลี่หยาง! เจ้าคนเลว! ข้าเกลียดเจ้า ข้าจะไม่พูดกับเจ้าแล้ว!!'

"นางบอกว่าจะไม่พูดกับเจ้าแล้ว"

เยว่ชื่อเศร้ามากกว่าเดิม เขาสะกิดเท้าให้กระบี่ลอยขึ้นสูง มุ่งหน้าสู่สำนัก สักพักเยว่ชื่อก็เอ่ยออกมาอย่างน่าสงสาร

"ข้าดูแลนางไม่ดีหรือนางถึงเกลียดชังข้าถึงเพียงนี้?"

ลี่หยางรีบเอ่ยปลอบ "เจ้าดูแลพวกเราดียิ่งนัก แต่เป่าเป้ยพึ่งมีจิตวิญญาณไม่นานจึงดูเหมือนเด็กน้อยสันดานเสียคนหนึ่ง เจ้าไม่ต้องเอาเรื่องนางมาคิดมากหรอก เจ้ายังมีข้าอยู่ สำหรับข้าแล้วเจ้าดีที่สุดในโลก"

คำพูดนี้พอออกมาจากปากของคนตัวเท่ากับเขาทำให้เยว่ชื่อทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง สุดท้ายเขาก็แค่คราง "อืม" ตอบรับคำหนึ่งเท่านั้น

'ลี่หยาง เจ้าคนชั่ว เอาดีเข้าตัวเอาชั่วใส่คนอื่น! ขอให้เทพลงโทษเจ้าอย่างหนัก!!'

"ไปเอาคำพูดแบบนี้มาจากไหน?" ลี่หยางถามด้วยน้ำเสียงปกติ แต่รังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาทำให้เป่าเป้ยไม่กล้าพูดอะไรอีกเหมือนแกล้งตายไปแล้ว

"อะไรหรือ?"

"คำพูดเป่าเป้ยไม่น่าฟัง เจ้าไม่รู้แหละดีแล้ว"

"นางว่าข้าอีกแล้วหรือ?"

"เป็นเช่นนั้น"

เป่าเป้ย '...'

เจ้าเดรัจฉานลี่หยาง หากข้าคุยกับเยว่ชื่อได้เมื่อไหร่ข้าจะฟ้องให้หมด เจ้าคนเลว เจ้าใส่ร้ายข้า!!

ใช้เวลาสักพักกระบี่เป่าเป้ยก็ร่อนลงที่หน้าสำนัก เพราะมีกฎสำนักห้ามขี่กระบี่บินไปบินมาภายในสำนัก นอกจากเป็นเวลาเรียนฝึกขี่กระบี่เวลาอื่นล้วนห้ามทั้งสิ้น

ตรงทางเข้ามีซุ้มประตูและป้ายชื่อสำนักเด่นหราอยู่ ข้างบนนั้นเขียนคำว่า 'เลี่ยงหรง' ด้วยตัวอักษรสีแดงมงคล ทั้งทรงพลังและงดงาม

ทันทีที่เท้าของเยว่ชื่อแตะพื้นดิน ลูกศิษย์ของเยว่ชื่อคนหนึ่งก็รีบวิ่งมาหาเขาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ

"อาจารย์!!"

"โหวกเหวกโวยวายอะไรของเจ้า ดึกดื่นเช่นนี้เหตุใดยังไม่นอนอีก นอนดึกแล้วโง่ ไม่รู้หรือ?" น้ำเสียงของเยว่ชื่อติดจะดุน้อย ๆ เพราะเขาไม่ชอบให้ลูกศิษย์นอนดึก หากออกไปทำภารกิจติดพันจนอดนอนก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่ในวันธรรมดา ๆ ที่ควรได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

"ข้านอนแล้วนะ แต่แล้วข้าก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ข้านอนต่อไม่หลับเลยออกมาเดินรับลมข้างนอก ไม่คิดว่าจะเห็นเป่าเป้ยบินผ่านฟ้าไป อาจารย์ เกิดอะไรกับท่านหรือ บาดเจ็บที่ใดหรือไม่ เหตุใดถึงเรียกเป่าเป้ย แล้วลี่หยางของอาจารย์เล่า?"

เล่อหนิงเหอถามแทบไม่เว้นจังหวะให้เยว่ชื่อตอบคำถาม สีหน้าและท่าทางของเขาเป็นห่วงเยว่ชื่อมากจริง ๆ จนเยว่ชื่อรู้สึกผิดที่ดุไปก่อนหน้านี้

เขาถอนหายใจ หันไปมองลี่หยางอย่างไม่รู้จะอธิบายให้ลูกศิษย์ฟังอย่างไรดี

เล่อหนิงเหอพึ่งเห็นลี่หยางจึงรู้ว่ามีแขกมา เขาเปลี่ยนท่าทีเป็นคนสำรวมค้อมกายขออภัยที่เสียมารยาทก่อนเอ่ยทักทาย

"ข้าเล่อหนิงเหอ แล้วท่านคือ…"

"เขาเป็นสหายข้า" เยว่ชื่อตอบ "...ชื่อลี่หยาง เจ้าเรียกเขาว่าคุณชายลี่ก็ได้ ไหน ๆ เจ้าก็มานี่แล้วฝากพาเขาไปส่งที่เรือนด้วย ข้ามีเรื่องต้องพูดคุยกับเจ้าสำนักสักหน่อย"

ลี่หยาง "ดึกดื่นเพียงนี้ยังจะคุยอีกหรือ?"

เยว่ชื่อ "เรื่องเร่งด่วน เจ้าก็รู้" เขาถอนหายใจออกมาแล้วเดินไปหาเจ้าสำนักที่หอ ส่วนเล่อหนิงเหอก็พาลี่หยางกลับเรือนพร้อมกับตนเอง

ความจริงแล้วไม่ต้องให้เล่อหนิงเหอนำทางลี่หยางก็เดินมาเองได้ เขาอยู่กับเยว่ชื่อมาตั้งเท่าไร เห็นเขาเดินผ่านเส้นทางนี้กี่พันครั้งแล้วไม่อาจนับได้ ให้เขาหลับตาเดินยังสามารถเดินไปถึงเรือนได้อย่างปลอดภัยเลย

ระหว่างเดินกลับเรือนมีแต่ความเงียบงันเข้าปกคลุม เล่อหนิงเหอเหลือบมองลี่หยางอยู่หลายครั้ง คล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา

"มีอะไรหรือ?" เล่อหนิงเหอสะดุ้งเล็กน้อยเพราะถูกถาม เขาเกาแก้มตนเองไปมา อ้ำอึ้งอยู่นานก็เอ่ยออกมา

"คือ… ท่านมาจากที่ไหนหรือ เหตุใดถึงอยู่กับอาจารย์ ที่ผ่านมาข้าไม่เคยเห็นเขาพาใครเข้ามาในสำนักเลย ซ้ำยังใส่เสื้อตัวนอกของอาจารย์ด้วย" พอถามจบเขาก็รู้สึกเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมา ดวงตาเบิกกว้าง อ้าปากค้างเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

"ระ...หรือว่า!?"

เขารู้แล้วหรือว่าข้าคือกระบี่ลี่หยาง ฉลาดเฉลียวสมกับเป็นเล่อหนิงเหอจริง ๆ

ลี่หยางเอ่ยชมอีกคนในใจ ไม่รอให้เล่อหนิงเหอพูดสิ่งที่คิดออกมาเขาก็เอ่ย "ถูกต้อง เป็นอย่างที่เจ้าคิด"

"ไอหยา อาจารย์ข้า… เหตุใดถึงทำเรื่องเช่นนี้" เขากล่าวกับตนเองแล้วหันมามองลี่หยาง สีหน้าดูเวทนานัก "คุณชายลี่ ชีวิตของคุณชายช่างน่าเห็นใจนัก โดนอาจารย์ข้าขืนใจ บังคับให้ท่านสวมใส่แค่เสื้อตัวนอกทั้งที่อากาศเย็นเพียงนี้ แล้วยังถูกลักพาตัวมาอยู่ร่วมชายคาที่สำนักอีก เหตุใดอาจารย์ข้าถึงทำเรื่องเช่นนี้ได้"

ลี่หยาง "..."

"แต่คุณชายลี่ไม่ต้องห่วง ถึงเขาจะเป็นอาจารย์ข้า แต่หากทำเรื่องไม่ถูกต้องข้าก็ไม่อาจรับได้ ข้าจะพาท่านหนีออกไปให้ได้"

ลี่หยางพูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่ ความแน่วแน่ในดวงตาของเล่อหนิงเหอทำให้เขาหนักใจ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องพูดออกมา

"เล่อหนิงเหอ"

"ขอรับ?"

"เจ้าไปเอาความคิดเช่นนี้มาจากที่ไหน?"

"ข้าเอามาจากนิยาย" เล่อหนิงเหอตอบเสียงอ้อมแอ้ม เขินอายเล็กน้อย

"แล้วตอนจบในนิยายเป็นอย่างไร?"

"นางเอกฆ่าพระเอกตายเพราะแค้นที่ถูกขืนใจ จากนั้นก็ฆ่าตัวตายเพราะทนรับความอัปยศไม่ไหว"

"แล้วเจ้าอยากให้ข้าฆ่าอาจารย์เจ้าหรือ?"

"ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าแค่…" เล่อหนิงเหอโบกมือปฏิเสธพัลวัน เขาอยากอธิบายแต่ก็อธิบายไม่ถูก สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา "ช่างมันเถอะ"

เล่อหนิงเหอเดินคอตกนำทางต่อไป ลี่หยางเห็นแล้วนึกอยากรังแกเด็กคนนี้ขึ้นมาจึงเอ่ยถามต่อระหว่างทาง

"เยว่ชื่อเคยบอกเจ้าหรือไม่ว่าให้อ่านนิยายน้อยลงหน่อย"

"อาจารย์เคยพูดอยู่บ้าง เหตุใดอยู่ ๆ ถึงถามหรือ?"

"เจ้าควรฟังอาจารย์เจ้า จะได้ไม่มาคิดว่าชีวิตข้าจะเป็นดั่งนิยายที่เจ้าอ่าน"

"เอ๊ะ!? แต่เมื่อครู่ท่านบอกว่า…"

"เป็นเรื่องเข้าใจผิด" ลี่หยางหัวเราะ "อาจารย์เจ้าเลวถึงเพียงนั้นเลยหรือ?"

"ย่อมไม่ใช่ แต่จิตใจคนผันแปรไม่แน่นอน ข้า…"

"ฮ่า ๆ ๆ เยว่ชื่อสอนศิษย์มาดีจริง ๆ แต่ว่าเขาต้องเป็นคนเช่นไรลูกศิษย์ถึงคิดว่าจะทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นได้"

"อย่าว่าอาจารย์เลย เป็นความผิดข้าคนเดียว"

"ไม่ต้องคิดมากหรอก ข้าไม่ได้ว่าอะไรเจ้า แต่เห็นเจ้าแล้วสนุกดี"

จากนั้นทั้งสองคนก็พูดคุยกันอย่างสนิทสนมจนมาถึงเรือนซูเซียว

เรือนซูเซียวมีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีต้นไม้ใบหญ้าและดอกไม้ปลูกเรียงรายให้กลิ่นหอมสดชื่นตลอดปี มีสระน้ำเลี้ยงปลาหลี่เก้าตัว ที่สระน้ำมีน้ำตกจำลองเล็ก ๆ มีน้ำไหลออกมาตลอดเวลา ข้างกันมีศาลาปลูกอยู่ใต้ต้นหลิ่ว ใช้สำหรับนั่งพักผ่อนหย่อนใจ กินข้าว เดินหมาก เล่นดนตรี หรือแม้แต่วาดภาพเขียนบทกวี สำหรับสำนักแล้วเรือนซูเซียวไม่ใช่เรือนที่ใหญ่โตที่สุด หรูหราโอ่อ่าที่สุด แต่เยว่ชื่อก็พึงใจกับมันไม่น้อย

เล่อหนิงเหอไม่รู้จะพาลี่หยางไปที่ใด เขาจึงพาไปที่เรือนของเยว่ชื่อ ส่วนเรื่องที่ว่าจะให้พักตรงไหนให้เยว่ชื่อเป็นคนจัดการเอง ระหว่างนี้เขาก็พูดคุยกับลี่หยางไปเรื่อยเพื่อไม่ให้อีกคนต้องเหงาเกินไปนัก

เมื่อยามโฉ่วเยว่ชื่อก็กลับเรือน พอเห็นว่าเล่อหนิงเหอยังสนทนาพาทีกับลี่หยางไม่เลิกก็เอ็ดเขาอีกรอบ

"หนิงเหอ เหตุใดยังไม่นอนอีก นอนดึกแล้วโง่ไม่รู้หรือ?"

"ข้ารู้แล้ว แต่จะให้ข้าทิ้งสหายอาจารย์ไว้คนเดียวได้อย่างไร"

"ทิ้งเขาไว้คนเดียวลี่หยางก็หาได้เฉาตายไม่ ไปนอนได้แล้วไป เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า" เยว่ชื่อไล่ เล่อหนิงเหอจึงรีบวิ่งกลับห้องของตัวเองก่อนจะโดนเอ็ดอีกรอบ พอเล่อหนิงเหอไปแล้วเยว่ชื่อก็หันมาหาลี่หยางแล้วถอนหายใจ

ลี่หยาง "..."

ท่าทางแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร?

"ตามมา ข้าจะพาเจ้าไปที่ห้อง"

"ข้าไม่ได้นอนกับเจ้าหรือ?"

"ถูกต้อง"

ลี่หยางนั่งอยู่กับที่ไม่ยอมลุกไปไหน "ข้าไม่ไป"

"ลี่หยาง"

"ตอนข้าเป็นกระบี่เจ้านอนกีบข้าทุกคืน เหตุใดพอเป็นคนแล้วนอนด้วยกันไม่ได้?"

"..." เยว่ชื่อหมดคำจะกล่าว วันนี้เขาเหนื่อยมากเหลือเกินจึงยอม ๆ ลี่หยางไปไม่ให้ตัวเองต้องเหนื่อยมากกว่าเดิม

"ก็ได้ เจ้านอนกับข้าก็ได้ ตามข้ามา"

ลี่หยางยิ้มแล้วเดินตามเยว่ชื่อไปเหมือนลูกเจี๊ยบตามแม่ไก่ ในห้องของเยว่ชื่อไม่มีของตกแต่งมากนัก ทั้งเรียบง่ายและเป็นระเบียบเรียบร้อย บ่งบอกได้เลยว่าเจ้าของห้องเป็นคนอย่างไร

"อย่าทำห้องรก เข้าใจหรือไม่?"

"เข้าใจแล้ว"

เยว่ชื่อพึงพอใจกับคำตอบยิ่งนัก เขาเปิดลิ้นชักหาสร้อยมาร้อยกับหยกดำให้ลี่หยางใส่ จากนั้นก็หาเสื้อผ้าให้อีกคนได้ผลัดเปลี่ยน เพราะขนาดร่างกายและส่วนสูงเท่ากัน ลี่หยางจึงใส่เสื้อผ้าของเยว่ชื่อได้ไม่มีปัญหา แต่ก่อนที่ลี่หยางจะถอดชุดเก่าออกและใส่ชุดใหม่ไปแทน เขาก็เห็นว่าเยว่ชื่อเตรียมจะเดินออกไปข้างนอก

"เจ้าจะไปไหนหรือ?"

"ข้าจะไปอาบน้ำ"

"ข้าไปด้วย!" ลี่หยางลุกขึ้นจากเตียงมาหาเยว่ชื่อ

"เจ้าจะไปทำไม ร่างกายเจ้าหาได้สกปรกไม่"

"แต่ข้าอยากอาบ"

"...ตามใจเจ้า แต่เจ้าอาบน้ำเป็นหรือ?"

"ไม่เป็น" ลี่หยางยิ้ม "เจ้าอาบให้ข้าสิ"

เยว่ชื่อถอนหายใจอีกรอบ "ได้ แต่แค่ครั้งเดียวนะ หลังจากนี้เจ้าต้องอาบเอง"

ลี่หยางยิ้มรับแต่ไม่ได้ตอบกลับว่ามันจะเป็นครั้งเดียวหรือไม่ แล้วเยว่ชื่อก็เดินนำลี่หยางไปยังโรงอาบน้ำ โดยมีลี่หยางเดินยิ้มกรุ้มกริ่มตามไม่ห่าง