บทที่ ๑

 

ความรักเหมือนโรคา          บันดาลตาให้มืดมน

ไม่ยินและไม่ยล               อุปสรรคคะใดใด

 “มัทนพาธา” - พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

 

-----------------------------------------

 

            ศาลาหลังเล็กนั้นตั้งอยู่ในสวนที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างประณีตงดงาม ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านปกคลุมจนทำให้แม้ในวันที่อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว ภายในศาลาก็ยังคงเต็มไปด้วยความรื่นรมย์

            หม่อมราชวงศ์ชิติพัทธ์ฮัมเพลงเบา ๆ ในลำคออย่างอารมณ์ดีระหว่างนั่งอ่านรายงานบนโต๊ะหินอ่อนตรงหน้า นอกจากงานประจำในตำแหน่งสถาปนิกของกรมโยธาเทศบาลแล้ว ชายหนุ่มยังควบตำแหน่งอาจารย์พิเศษของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์อีกด้วย และมักจะใช้เวลาในวันหยุดที่ศาลาในสวนแห่งนี้เพื่อตรวจทานการบ้านของนักศึกษา

ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายกวาดไปตามตัวอักษรทีละบรรทัดด้วยความตั้งใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเมื่อรับรู้ได้ว่ามีใครบางคนกำลังก้าวเข้ามาในศาลา

            “พี่ชายใหญ่” หม่อมราชวงศ์ชนเทพเรียกชายหนุ่มเป็นเชิงทัก ก่อนที่เจ้าตัวจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขา ในขณะที่หม่อมราชวงศ์ชนัดพลที่เดินตามมาติด ๆ นั่งลงที่ด้านข้างผู้เป็นน้องชาย

            ชิติพัทธ์วางรายงานในมือลงบนโต๊ะ ริมฝีปากบางคลี่เป็นรอยยิ้มเล็กน้อยยามเอ่ยทัก

            “มากันพร้อมหน้าเชียว มีอะไรหรือเปล่า?”

            ใบหน้าของชนเทพค่อนข้างซีดเซียว หากดวงตาสีดำสนิทคมเข้มอันเป็นเอกลักษณ์ของศิวาดลกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างน่าประหลาด

            “ผมมีเรื่องอยากปรึกษาพี่ใหญ่กับพี่กลาง”

อะไรบางอย่างในสีหน้าและแววตาของน้องชายคนเล็ก ทำให้ชายหนุ่มต้องหันไปมองชนัดพลเป็นเชิงถาม หากเจ้าตัวส่ายกลับหน้าเบา ๆ แทนคำตอบ

“มีเรื่องอะไรเหรอชายเล็ก ทำไมทำหน้าเครียดเชียว” ชิติพัทธ์ถามด้วยความสงสัย

“ไม่เชิงเป็นเรื่องใหญ่หรอกครับ”

เสียงของคนเป็นน้องชายเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ ทำให้คนถามต้องเอ่ยต่ออีกครั้งอย่างอารมณ์ดี

“ครั้งที่แล้วที่พูดแบบนี้ นายเอารถไปเฉี่ยวมา หวังว่าครั้งนี้คงไม่มีอะไรแบบนั้นอีกนะ”

เป็นเรื่องน่าประหลาดที่เสียงหัวเราะเบา ๆ นั้นดังมาจากน้องชายคนกลางผู้เงียบขรึมของเขาอย่างชนัดพล ในขณะที่ชนเทพผู้แจ่มใสและมีชีวิตชีวามาตลอดกลับเป็นฝ่ายเงียบแทน

ความเงียบของน้องชายคนสุดท้องทำให้คุณชายแห่งวังศิวาดลทั้งสองต้องมองหน้ากันอีกครั้ง ชิติพัทธ์ขมวดคิ้ว เริ่มรับรู้ได้ว่าบางที่เรื่องที่ชนเทพกำลังจะเอ่ยออกมาอาจจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่พวกเขาคาดหมายเอาไว้นัก

“ผมอยากอนุญาตพี่ใหญ่เรื่องการหมั้นหมาย”

ดวงตาของคนฟังทั้งสองเบิกกว้างขึ้นอย่างคาดไม่ถึง ชิติพัทธ์อ้าปากค้าง ชายหนุ่มต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง หากสิ่งที่ออกมากลับมีแต่ความเงียบเท่านั้น

เขาเพิ่งรู้สึกตัวยามที่น้องชายคนกลางเอ่ยทวนเสียงฉงน

“หมั้นหมาย?”

“นายเริ่มชอบพอกับท่านหญิงมัทตั้งแต่เมื่อไรกัน? หม่อมแม่รู้เรื่องนี้บ้างไหม” ชิติพัทธ์ถามรัวเร็ว ความตื่นเต้นแผ่กระจายไปทั่วร่างของชายหนุ่ม

ตั้งแต่ยังเยาว์ คุณชายทั้งสามรู้ดีว่า ชนเทพนั้นถูกคาดหวังให้หมั้นหมายกับหม่อมเจ้าหญิงมัญชุภา แห่งวังวิกรานนท์ ตามคำมั่นสัญญาที่ผู้ใหญ่เคยมีให้กันและกันไว้

หากชนเทพและท่านหญิงมัทกลับไม่เคยมีวี่แววที่จะชอบพอกันแต่อย่างใด แม้ทั้งสองครอบครัวจะมีโอกาสพบปะกันอยู่บ้าง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่เคยคืบหน้าเลยแม้แต่น้อย

แล้วนี่... น้องชายของเขาต้องการหมั้นหมายงั้นหรือ

“ไม่ใช่ท่านหญิงหรอก” ชนัดพลขัดผู้เป็นพี่ชายขึ้นมา ดวงตาคมกริบหันไปจ้องผู้เป็นน้องชายเขม็ง “ใช่ไหมล่ะชายเล็ก”

“ไม่ใช่ท่านหญิงมัทครับ” ชนเทพรับเสียงแผ่ว ก่อนที่น้ำเสียงของชายหนุ่มจะจริงจังขึ้นมา  “ผมต้องการหมั้นหมายกับคุณวิรัลพัชร”

“วิรัลพัชร?”

ชิติพัทธ์ทวน ชื่อนี้คุ้นหูของเขาอย่างน่าประหลาด แวบหนึ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกเกือบ ๆ จะหวาดกลัวกับสิ่งที่ผู้เป็นน้องชายจะพูดออกมาต่อ

ชั่วขณะที่เขาคลับคล้ายคลับคลาถึงสาวน้อยท่าทางสดใสคนหนึ่งที่เคยมีคนสะกิดให้มองแบบผ่าน ๆ

หากผู้หญิงคนนั้นคงจะเป็นคนสุดท้ายในโลกที่เขาจะนึกถึงในตอนนี้

ทว่าลางสังหรณ์ของเป็นจริงชิติพัทธ์ในวินาทีต่อมา

วิรัลพัชร พงศ์ศุลีครับ”

ถ้าการขออนุญาตหมั้นหมายนั่นเป็นการโยนระเบิดลงกลางวงสนทนา ชนเทพก็ไม่รีรอที่จะปาระเบิดอีกลูกที่ใหญ่กว่านั้นใส่พี่ชายทั้งสองอย่างไม่ยอมให้มีใครได้ตั้งตัว

คุณชายใหญ่แห่งศิวาดลนั่งนิ่ง ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองคงหูฝาดไป ดวงตาสีดำสนิทยังคงจับจ้องไปยังน้องชายอย่างคาดหวัง และรอคอยคำเฉลยว่าเจ้าตัวเพียงแค่โกหกไป

แต่ดวงตาที่มองตอบกลับมากลับเต็มไปด้วยความแน่วแน่และซื่อตรง

ชิติพัทธ์เม้มปากแน่น ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามเขา ชนัดพลก็มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก หากดูเหมือนคนเป็นน้องชายอาจจะควบคุมมันได้ดีกว่าเขา

“ตรองดีแล้วใช่ไหมชายเล็ก” ชนัดพลถามด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเข้ม “นายก็รู้ว่าหม่อมแม่ไม่มีวันยอม”

“ผมถึงต้องมาคุยกับพี่ชายใหญ่ก่อนไงครับ” ชนเทพหันไปหาพี่ชายคนกลางบ้าง “ตอนนี้หัวหน้าครอบครัวเราคือพี่ชายใหญ่ ถ้าพี่ใหญ่อนุญาต หม่อมแม่ก็คงไม่สามารถคัดค้านได้”

ตั้งแต่หม่อมเจ้าชวัลกรผู้เป็นบิดาของพวกเขาสิ้นชีพิตักษัยด้วยอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน ชิติพัทธ์ที่เพิ่งเรียนจบจากอังกฤษจึงต้องรับหน้าที่หัวหน้าครอบครัวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

“นายประเมินประหม่อมแม่ต่ำไปรึเปล่า” เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่พยายามสงบสติอารมณ์ “แล้วทำไมถึงคิดว่าพี่จะอนุญาต”

“ผมรักคุณพัชร” ชนเทพเอ่ยอย่างหนักแน่น

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนของพงศ์ศุลี”

ศิวาดล และ พงศ์ศุลี

มีใครในพระนครบ้างที่ไม่รู้เรื่องความบาดหมางระหว่างพวกเขาทั้งสองตระกูล แม้จะเรื่องราวความไม่ลงรอยนั้นจะไม่ได้เกิดขึ้นในรุ่นเขา แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าในฐานะศิวาดล ไม่มีใครที่จะสามารถญาติดีกับพงศ์ศุลีได้ทั้งนั้น

“ผมไม่สนใจ”

สีหน้ามุ่งมั่นของคนเป็นน้องชายทำให้ชิติพัทธ์ร่ำ ๆ จะยกมือขึ้นมากุมศีรษะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชนเทพยืนยันต่อด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

“ผมต้องการหมั้นกับคุณวิรัลพัชร พงศ์ศุลีครับ”

           

-----------------------------------------

 

จิรัตรู้สึกราวกับโลกทั้งใบกำลังหมุนย้อนกลับ

            ชายหนุ่มยังคงนิ่งงัน และมองหน้าวิรัลพัชรราวกับเขาไม่เข้าใจว่าเธอเพิ่งเอ่ยอะไรออกมา

            “น้องกำลังคบหาอยู่กับหม่อมราชวงศ์ชนเทพค่ะ

            ประโยคสั้น ๆ ที่ทำให้ทุกเสียงในห้องรับประทานอาหารของบ้านพงศ์ศุลีเงียบหายไปในพริบตา นอกจากพี่ใหญ่อย่างจิรัตแล้ว สีหน้าของทุกคนที่นั่งอยู่ก็เต็มไปด้วยความตกตะลึกไม่ต่างกัน

            ชายหนุ่มมองหน้าผู้เป็นน้องสาวอีกครั้ง และคราวนี้โลกของจิรัตไม่เพียงแค่หมุนย้อนกลับ หากถล่มลงมาตรงหน้าเลย ยามที่วิรัลพัชรเอ่ยต่อ

“คุณชายและน้องต้องการหมั้นหมายกันค่ะ”

คนที่เพิ่งพูดจบไปหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย

            ถ้ามีใครสักคนเดินผ่านโต๊ะอาหารในตอนนี้ คงจะต้องมีรอยยิ้มขบขันกับสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของบรรดาพี่ชายของเธอเป็นแน่

            รอยยิ้มนั้นจางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อสีหน้าของพี่ชายคนโตเปลี่ยนจากความตกตะลึงเป็นเรียบเฉยราวกับพยายามข่มอารมณ์อยู่

            “ไม่ได้... พูดเล่นใช่ไหมยายพัชร”

วิปัศ พี่ชายคนรองของเธอถามขึ้นมาเบา  ๆ ดวงตาที่มองมาหาเต็มไปด้วยความหวัง

แม้ลึกลงในใจจะเต็มไปด้วยความเศร้าและหวาดกลัว แต่วิรัลพัชรก็ทำลายความหวังนั้นอย่างไม่เหลือเยื่อใย

“น้องพูดจริง” หญิงสาวย้ำ “น้องต้องการหมั้นหมายกับคุณชายชนเทพ”

คำยืนยันที่ทำให้จิรัตต้องเหลือบตามองน้องชายคนเล็ก

ในบรรดาพี่ชายทั้งหมด วิรัลพัชรสนิทกับศิวัฒน์ที่อายุใกล้เคียงกันมากที่สุด ดังนั้นเขาจึงคาดไว้ว่าเจ้าตัวน่าจะรู้เรื่องนี้บ้างไม่มากก็น้อย

หากสายตาของคนเป็นน้องกลับเต็มไปด้วยความตกตะลึงไม่ต่างจากเขา หรือบางที... อาจจะมากกว่าเขาด้วยซ้ำไป

“ผู้ชายคนนั้นคือศิวาดล” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างคุกรุ่น พยายามเน้นย้ำให้คนเป็นน้องสาวรู้สึกตัวให้ได้

วิรัลพัชรจะคบหากับใครในพระนครนี้ก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่คนของศิวาดล

พวกเขาทั้งสองตระกูลเป็นดังเส้นขนานที่แม้จะถูกขีดเขียนให้เป็นเส้นตรงไปพร้อมกัน อาจจะมีบ้างที่มองหาข่าวคราวของกันและกัน แต่ก็ไม่มีวันจะมาบรรจบกันได้

ทว่าดูเหมือนว่าน้องสาวของเขาและหม่อมราชวงศ์ชนเทพกำลังต้องการขีดเส้นขึ้นมาใหม่เพื่อนำพวกเขาทั้งคู่มาพบกันให้จงได้

“น้องรู้”

หญิงสาวตอบเสียงแผ่ว

“รู้แล้วก็ยังจะ...” วิปัศพึมพำ ก่อนจะเงียบไปเมื่อเห็นสีหน้าของคนถูกพูดถึง

วิรัลพัชรมีอาวุธที่พวกเขาไม่สามารถต้านทานได้เสมอ นั่นคือ น้ำตา

สายตาตัดพ้อกับน้ำใส ๆ ที่คลออยู่ในดวงตาของคนเป็นน้องสาว ทำให้จิรัตต้องถอนหายใจออกมา

“ตั้งแต่เมื่อไรกัน” ชายหนุ่มถาม

“เกือบ 6 เดือนได้ค่ะ”

แสดงว่าหลังจากงานเลี้ยงครั้งนั้น ทั้งคู่ก็ยังพบปะกันสม่ำเสมอโดยที่พวกเขาไม่รู้เลย

คิดแล้วจิรัตก็อดไม่ได้ที่อยากจะทุบตัวเองที่ชะล่าใจในตอนนั้นเหลือเกิน

“ไม่เร็วไปหน่อยหรือยายพัชร” เขาค้าน “เธอกับคุณชายชนเทพก็ยังเรียนไม่จบทั้งคู่”

วิรัลพัชรกำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นปีสุดท้ายแล้วก็จริง หากก็ถือว่ายังเรียนไม่จบ ส่วนหม่อมราชวงศ์ชนเทพ เท่าที่ได้ยินมาแม้จะอยู่ชั้นปีเดียวกันก็ต้องเรียนต่ออีก ด้วยเจ้าตัวเลือกที่จะศึกษาในคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล

“ก็แค่หมั้นไว้ ยังไม่ได้แต่งงานเสียหน่อยนี่คะ”

จิรัตมองคนเป็นน้องสาวตรง ๆ ก่อนถาม “เรื่องนี้เกี่ยวกับการดูตัวของน้องใช่ไหม”

ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มารดาของพวกเขาได้แนะนำวิรัลพัชรให้รู้จักกับลูกชายของเพื่อนสนิทหลายต่อหลายคน เนื่องด้วยเห็นว่าเจ้าตัวใกล้จะถึงวัยอันสมควรที่จะมีคู่แล้ว

“ใช่ค่ะ” หญิงสาวยอมรับ ก่อนอธิบายเพิ่ม “และน้องก็ไม่อยากปิดบังเรื่องคุณชายเล็กอีกต่อไปแล้ว”

“คุณพ่อกับคุณแม่รู้เรื่องนี้บ้างหรือยัง”

บิดามารดาของพวกเขาเดินทางไปท่องเที่ยวรวมถึงดูลู่ทางธุรกิจที่เชียงใหม่ และมีกำหนดการจะกลับมาถึงบ้านในวันพรุ่งนี้

“ยังค่ะ น้องอยากบอกพวกพี่ ๆ ก่อน”

“คิดว่าตัวเองเป็นจูเลียตเหรอยายพัชร”

ศิวัฒน์ที่เงียบไปนานเอ่ยขึ้นมาบ้าง เรียกให้วิรัลพัชรต้องหันไปมอง ดวงตาของหญิงสาววาววับขึ้นมาเล็กน้อยกับคำค่อนขอดของพี่ชาย

“พี่วัฒน์แช่งน้องกับคุณชายหรือคะ?”

ทว่าก่อนที่สงครามย่อย ๆ จะบังเกิดขึ้น พี่ใหญ่ของบ้านก็ขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดเสียก่อน

“เธอรักหม่อมราชวงศ์ชนเทพหรือวิรัลพัชร”

น้อยครั้งนักที่เขาจะเรียกชื่อคนเป็นน้องเต็มยศ หากหญิงสาวมองตอบกลับมาด้วยดวงตาจริงจังและแน่วแน่

“ใช่ค่ะ น้องรักคุณชายเล็ก”

คำตอบที่ทำให้ทุกคนที่เหลือบบนโต๊ะอาหารสบตากันอย่างหนักใจ โดยเฉพาะพี่ชายคนโตแห่งบ้านพงศ์ศุลีที่มีสีหน้ากังวลกว่าใครเพื่อน

ท้องฟ้าภายนอกหน้าต่างนั่นแจ่มใสและเป็นประกายด้วยแสงอาทิตย์ หากในสายตาของจิรัต ชายหนุ่มกลับมองเห็นเงาของเมฆฝนที่เริ่มตั้งเค้าทะมึน

มรสุมลูกใหญ่ที่พร้อมจะโหมกระหน่ำพงศ์ศุลีและศิวาดลให้สั่นสะเทือนจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ กำลังจะมาถึง

จิรัตรู้ดี

และพายุลูกแรกก็เริ่มพัดขึ้น ยามที่ข่าวลือเรื่องการหมั้นหมายกระจายออกไปทั่วจนกลายเป็นที่สงสัยและตกตะลึงไปทั่วพระนคร

ม.ร.ว. ชนเทพ ศิวาดล ต้องการหมั้นหมายกับวิรัลพัชร พงศ์ศุลี!

 

-----------------------------------------

 

Talk: ช่วงเวลาในเรื่องนี้ที่คิดไว้จะเป็นยุค 50s หรือช่วงต้นรัชกาลที่ 9 หลังสงครามโลกครั้งที่สองค่ะ (ช่วงเดียวกับวนิดา, ปริศนา, ตะวันเบิกฟ้า ;-; ) เราไม่ค่อยแม่นเรื่องประวัติศาสตร์หรือช่วงเวลาเท่าไร ถ้ามีอะไรแปลกๆ สามารถแย้งหรือแนะนำได้เลยนะคะ ><

 

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

Mianami