3 ตอน เรื่องราวของผมกับแฟน
โดย APCQ
หนึ่งปีผ่านไป
เหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ท้องฟ้าสว่างวาบ แรงดันลมมหาศาลกลายเป็นคลื่นมรณะทำลายล้างกวาดทุกตารางพื้นที่ของโลก ซ้ำร้ายผู้เสียชีวิตกลับลุกขึ้นมาเป็นซากศพเดินได้ไล่ล่าผู้มีชีวิตรอด
นั่นเป็นสิ่งที่เหล่าผู้ยังมีชีวิตรอดรับรู้มาตลอดช่วงเวลาที่ตะเกียกตะกายดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากโลกที่ล่มสลายไปในพริบตาเดียว
วันสิ้นโลกจริงๆ แฮะ
เอสเทลคิดพลางหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ขณะที่ร่างของชายหนุ่มอีกคนซึ่งอยู่ข้างๆ กำลังดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมาไม่หยุด โดยที่แขนทั้งสองถูกมัดไพล่หลัง สวมใส่ผ้าปิดปากสีดำ ที่ภายในริมฝีปากยัดผ้าเช็ดหน้าเอา ดวงตาขาวขุ่นเหลือกถลน ผิวขาวซีดจนเกือบเทาทำให้เส้นเลือดปูดโปนจนเห็นได้ชัดตามลำคอ และร่างกายส่วนอื่นๆ
เอกลักษณ์ที่บ่งบอกชัดว่าได้กลายสภาพเป็นซอมบี้
และนอกจากนั้นยังเป็นแฟนหนุ่มของเอสเทลด้วย
ตลอดเวลาที่ผ่านมาหนึ่งปี เอสเทลพาเชสไปด้วยไม่เคยห่าง ไม่เคยทอดทิ้ง แม้การมีซอมบี้จะทำให้ไม่สามารถร่วมกลุ่มเอาชีวิตกับคนอื่นๆ หรือบางทีก็โดนไล่ล่าทำร้ายเพื่อแย่งชิงอาหารที่เขามี หรือเพื่อฆ่าเชส
เอสเทลก็เอาชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้
“ท้องฟ้าแจ่มใสเป็นอีกวันที่ยอดเยี่ยมเนอะ เชส” เอสเทลเอ่ยขึ้นหลังจากมองท้องฟ้าสีครามสดใสที่นานๆ ทีจะได้เห็น เพราะช่วงแรกๆ หลังเกิดวันสิ้นโลก ท้องฟ้านั้นแดงฉานอยู่หลายเดือน
“ผลึกเลือดใกล้จะหมดแล้ว บางทีพวกเราคงต้องไปล่าซอมบี้แล้ว”
เอสเทลสำรวจกระเป๋าสะพายประจำตัวที่มีสิ่งของจำเป็นที่เขาเก็บรวบรวมมา และถุงหูรูดสีดำที่บรรจุผลึกคริสตัสสีแดงสดขนาดเท่านิ้วโป้ง
ผลึกเลือดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ได้มาจากซอมบี้ ในช่วงแรกเอสเทลก็ไม่รู้ว่ามันมีหรอก จนกระทั่งเชสทำท่าดุร้ายดึงดันจะชำแหละร่างซอมบี้ที่โดนทุบหัวจนเละ
ผลึกเลือดมีอยู่สองที่ในร่างกายซอมบี้ หนึ่งคือที่สมอง สองคือที่หัวใจ ดังนั้นซอมบี้หนึ่งตัวได้ผลึกเลือดสองชิ้น
เชสกินผลึกเลือดเป็นอาหาร เอสเทลเลยจำเป็นต้องออกล่าซอมบี้ อันที่จริงช่วงแรกแค่ขยับไปไหนก็เจอแต่ซอมบี้ทั้งนั้น ทำให้ยังรู้สึกเสียดายอยู่เลยที่ไม่ได้เก็บผลึกเลือดพวกนั้นมา
“นายหิวหรือยัง เชส”
“ฮือ”
“หิวสินะ ช่วงนี้นายกินจุเลยน้า”
เอสเทลว่าด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ หยิบผลึกเลือดขึ้นมาก่อนจะเปิดผ้าปิดปากกับผ้าที่ให้เชสงับไว้ออกมา ทันทีที่ทำแบบนั้นอีกฝ่ายก็คำรามพุ่งเข้าใส่เขา
“แฮ่!”
“ไม่เอาน่า เชส” เอสเทลดุแฟนหนุ่มที่พอถึงเวลากินก็ชอบซนอยากงับอยากกัดเขาตลอด ก่อนจะโยนผลึกเลือดใส่ปากที่อ้ากว้าง
“หม่ำๆ นะ”
พอโดนป้อนด้วยก้อนเลือด เชสก็สงบลงอีกครั้ง เอสเทลมองแล้วอมยิ้มอดไม่ได้ที่จะลูบหัวแฟนหนุ่มอย่างเอ็นดู อีกฝ่ายพอโดนลูบก็เอียงคอกลอกตาขาวขุ่นมองท่าทีแบบนั้นยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่ในสายตาคนหลงแฟนแบบเอสเทล
“อย่าน่ารักมากได้ไหมเนี่ย มันยิ่งทำให้ฉันชอบนายมากขึ้นอีกแล้วนะ” เอสเทลบ่นอุบอิบด้วยความจนใจ ถึงอีกฝ่ายจะกลายเป็นซอมบี้ แต่ยังเป็นแฟนของเขาไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ใครจะว่ายังไงก็ช่าง
ขอแค่พวกเรายังมีกันและกันก็พอ
เอสเทลเป็นนักพเนจร นั่นเป็นคำเรียกที่มีต่อผู้รอดชีวิตซึ่งไม่มีหลักแหล่ง หรือเป็นคนของฐานที่มั่นใดๆ ซึ่งเขาก็ไม่มีปัญหาอะไร
เหนื่อยก็พัก นอนที่ไหนก็ได้
แต่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายและอันตราย จึงไม่ค่อยมีผู้รอดชีวิตคนไหนทำตัวแบบเอสเทลกันหรอก
ผลัวะ
ท่อนเหล็กในมือของเอสเทลฟาดใส่ซอมบี้ตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามาอย่างแรง ศีรษะที่ถูกฟาดอัดกระแทกกับผนังจนทำให้แน่นิ่งไปในทันที ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบใช้มีดพกในมือควานหาผลึกเลือดที่สมอง จากนั้นก็ที่หน้าอกข้างซ้ายที่มีหัวใจอย่างช่ำชอง
“เม็ดใหญ่นะเนี่ย” เอลเทสพึงพอใจ เขาเห็นซอมบี้ตัวนี้ดูแปลกๆ กว่าตัวอื่นนิดหน่อย ขณะที่เชสส่งเสียงแฮ่ฮ่าขยับตัวส่ายดุ๊กดิ๊กอย่างทำอะไรไม่ได้
ฉับพลันเอสเทสก็ชะงัก นัยน์ตาวาวโรจน์ คว้าเศษหินขวางออกไป
“โอ้ ยังสบายดีกับสัตว์เลี้ยงอยู่เหมือนเดิมนี่” เศษหินกระแทกเข้ากับผนัง เฉียดร่างของชายคนหนึ่งที่เบี่ยงหลบ เรือนผมตัดสั้นรองทรงสีทอง ตาสีฟ้า พร้อมรอยยิ้มยียวนที่คนมองอยากกลอกตาถอนหายใจ
“บอกไปกี่รอบแล้วดีน ว่านี่แฟนฉันเว้ย!” เอสเทลฉุนเฉียว แต่รู้ดีว่าไร้ประโยชน์ที่ฝ่ายนั้นจะฟังเข้าสมอง
“เหอๆ ผ่านมาตั้งขนาดนี้แล้ว นายยังดื้ออยู่เหมือนเดิมจริงๆ ” ชายหนุ่มนามว่าดีนส่ายหัวเห็นใจ ก่อนจะแบมือกระดิกนิ้วเอ่ยต่อ “ที่นี่เขตล่าของฐานฉัน นายก็รู้ใช่ไหม”
เอสเทลทำเสียงเฮอะในลำคอ โยนผลึกเลือดชิ้นหนึ่งออกไป ดีนรับมันไว้ได้อย่างสบายๆ เขาหมุนมองผลึกเลือดในมือพร้อมยกยิ้ม
“ชิ้นใหญ่กว่าปกติ นายนี่หาเก่งจริงๆ นั่นแหละ” นัยน์ตาสีฟ้าสะท้อนสีแดงจากผลึกเลือด ดีนเหลือบสายตามองเอสเทลแล้วยกยิ้มถาม
“ยังไม่คิดเปลี่ยนใจมาอยู่ที่ฐานฉันสักหน่อยเหรอ”
“ขอปฏิเสธนั่นแหละ”
“จะเอาสัตว์เลี้ยงมาอยู่ด้วยเป็นกรณีพิเศษก็ได้นะ”
“แฟน ไม่ ขอบคุณ” เอสเทลกดเสียงต่ำแสดงชัดถึงความไม่พอใจ ดีนยักไหล่ไม่ใส่ใจเอ่ยต่อ
“ช่วงนี้มีข่าวซอมบี้กลายพันธุ์ใหม่ๆ ระวังหน่อยก็แล้วกัน”
“ขอบใจ”
“อ้อ แล้วก็นะ ดูนี่สิ”
เอสเทลอยากกลอกตารำคาญกับการตื้อของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ถึงขั้นเกลียด เนื่องจากพวกเขาเคยใช้เวลาเอาตัวรอดมาด้วยกันอยู่สองสามครั้ง แน่นอนว่าเป็นการร่วมมือจำเป็นเฉพาะหน้าเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น
พอมองตามการเรียกร้องความสนใจของดีน เอสเทลก็พบว่าที่ปลายนิ้วของอีกฝ่ายมีเปลวไฟปรากฏขึ้นราวกับนิ้วนั่นเป็นไฟแช็กจุดไฟ
“เห็นไหม ดูเหมือนมนุษย์อย่างเราๆ ก็กลายพันธุ์แล้วนะ”
คำกล่าวนั้นทำให้เอสเทลมุ่นหัวคิ้ว วันสิ้นโลกยังคงมีอะไรให้ประหลาดใจได้ไม่หยุด
“หลายๆ คนพลังพิเศษเริ่มตื่นขึ้นมา เหมือนพวกหนังภาพยนตร์หรือนิยายที่เคยเห็นเลยเนอะ” ดีนยังเอ่ยต่อพลางสังเกตปฏิกิริยาของคนตรงหน้า “ว่าแต่ แล้วพลังพิเศษของนายละ”
“ไม่มี”
“โอ้ น่าเสียดาย ฉันค่อนข้างลุ้นว่าพลังพิเศษนายจะตื่นไวกว่าเพราะพเนจรอยู่ข้างนอกเสียอีก” ดีนเผยสีหน้าค่อนข้างผิดหวังปนเสียดาย อีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉยไม่มีพิรุธอะไร เขาก็เลยยักไหล่ “ไม่ใช่ทุกคนจะใจดีเหมือนฉันน้า เอสเทล”
“อ้อ นายนึกว่าฉันไม่รู้เหรอ”
เอสเทลย้อนกลับไปทันที ผู้คนมากมายที่ได้เจอ เพื่อที่จะเอาชีวิตรอด การเห็นแก่ตัวก็เป็นเรื่องปกติทั่วไปที่พบเจอได้ตลอด ดังนั้นเขาถึงไม่สุงสิงอะไรมากไปกว่าแค่การแลกเปลี่ยนสิ่งของ แต่แค่นั้นยังเกิดเรื่องได้เลย
“ฉันยังรอนายตอบรับคำชวนเสมอนะ”
ดีนทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม ที่จริงแล้วอีกฝ่ายก็หน้าตาดีเป็นทุนเดิม พอยิ้มก็ทำคนมองหัวใจเต้นระรัวได้ ยกเว้นเอสเทลที่นิ่วหน้า ส่วนเชสส่งเสียงฮือฮาแฮ่ๆ ไม่หยุดตั้งแต่ฝ่ายนั้นมาชวนคุย