3 ตอน Ep 02 : ไปซื้อข้าวที่ดาวอังคารเหรอพวกแก
โดย DarkFerrret
Ep 02 : ไปซื้อข้าวที่ดาวอังคารเหรอพวกแก
[POV 1 : อ๋อง]
โรงอาหารวิศวะคือหนึ่งในสถานที่สุดฮิตของมหาลัยเราเลยก็ว่าได้
ในช่วงพักเที่ยงของทุกวัน นักศึกษาจากหลายคณะชอบพากันมาเยี่ยมเยียน พวกนักเรียนที่อยู่รั้วใกล้เคียงก็มีแอบมากินข้าวเช่นกัน แน่นอนว่าของกินที่นี่ทั้งอร่อยและราคาไม่แพง ทว่าคนที่คับคั่งนั้นก็เป็นปัญหาพอตัว ต้องเบียดเสียดกันเพื่อตรงไปต่อแถวซื้ออาหาร ซ้ำร้ายแถวยังยาวเหยียดอย่างกับทางเดินจากขั้วโลกเหนือไปขั้วโลกใต้ไม่มีผิด
โชคดีที่มีคนจองที่นั่งชั้นบนไว้ให้แล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเราแย่แน่
“ไปซื้อข้าวที่ดาวอังคารเหรอพวกแก”
พีชเอ่ยถาม ขนาดสาวสวยร่างอวบอย่างเธอที่อยู่คณะนิเทศยังมากินข้าวเที่ยงที่วิศวะเลย ถึงคณะจะไกลกันเป็นโยชน์ก็เถอะ พีชเป็นคนที่ดูเผิน ๆ เหมือนจะตาตี่ แต่ที่จริงแล้วเธอมีตาสองชั้น และตอนนี้ก๋วยเตี๋ยวในชามของเธอเกือบหมดแล้ว สงสัยเราจะมาช้าไปจริง ๆ
“เปล่า พอดีแหวกมิติไปซื้อก็เลยช้า” เป็นปรกติที่ออยจะพูดประชดกับกลุ่มเพื่อนสนิท และระหว่างที่วางชามอาหารลงบนโต๊ะ เขาก็หันไปหานักศึกษาหนุ่มอีกคนที่กินมื้อเที่ยงจวนจะหมดจาน “... ส่วนมึงนี่ไม่รอเลยนะ นึกว่าเราจะมาจากคณะด้วยกันซะอีก”
“โทษทีค่ะมึง วันนี้อาจารย์กูปล่อยเร็ว ลืมบอกไปเลยว่ะ”
นายคนนั้นตอบหลังจากกลืนข้าวลงคอ เขาเองก็เรียนที่คณะเดียวกับผม ทว่าอยู่สาขาภูมิสถาปัตยกรรม ฮาร์ทเองไม่ค่อยแตกต่างจากตอนประถมสักเท่าไหร่เว้นเสียแต่ความสูงที่เพิ่มขึ้น เขาเป็นคนมีหน้าตาคมสัน รูปร่างสันทัด เขาก็มีพุงนิดหน่อย
“แต่ยังไงมึงก็เดินมากับอ๋องอยู่แล้ว กูเลยไม่อยากเป็นตัวขัดความรักพวกมึง” ฮาร์ทกล่าว “พวกหล่อนจะหาแฟนยากก็ไม่แปลก เพราะเขาคิดว่าพวกหล่อนเป็นแฟนกันไงยะ” เขาจริตจะก้านยังไม่เปลี่ยน
“ตลก ใครมันจะคิดแบบนั้นว้า”
ออยตอบน้ำเสียงเคือง ๆ อันที่จริงช่วงประถมก็เคยโดนเพื่อนแซวว่าเป็นแฟนกันนะ ตอนนั้นคงยังเด็กเลยไม่คิดอะไรมาก แต่พอโตมาผมก็เริ่มไม่ชอบใจเท่าไหร่ ออยเองก็คงคิดเหมือนกันนั่นแหละ
“เอาเป็นว่าอีกไม่นาน ไอ้อ๋องก็คงจะมีแฟนแล้วละ”
หลังจากออยพูดแปลก ๆ จบ พวกเพื่อนก็มองมาที่ผมเป็นสายตาเดียวกัน
“เอ๋ หล่อนมีคนที่หมายตาอยู่เหรอคะ” ฮาร์ททำตาโต
“เอ่อ ไม่มีนะ” ผมส่ายหัว “แต่ในคณะก็มีคนน่ารัก ๆ อยู่เยอะเลยแฮะ”
“แหม ๆ มีแฟนแล้วอย่าลืมเอามาอวดนะแก~” พีชหัวเราะคิกคัก
ดูท่าคงอยากจะให้เพื่อนคนนี้สละโสดสักทีสินะ ผมจินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้ามีแฟนแล้วจะเป็นยังไง ชีวิตผมคงต้องวุ่นวายน่าดูแน่ ๆ แต่ก็คงมีสีสันพอตัวเลยละ
พวกเราพูดคุยเรื่องไร้สาระไปอีกสักพัก แล้วไม่นานนักหญิงสาวอีกคนในกลุ่มที่ไม่ค่อยกล่าวอะไรก็เปิดปากบ้าง
“วันนี้เหมือนนัดรวมญาติเลยะเนอะ~”
คราวนี้เด็กเภสัชเป็นคนพูดขึ้นบ้าง สาวผิวน้ำผึ้งยิ้มอย่างรื่นเริงใจ ถึงจะไม่ได้อ้วนแต่แก้มของแนนนี่ก็แลดูนุ่มนิ่ม ตอนนี้จานอาหารของเธอก็เหลือเพียงข้าวนิดหน่อย และพอกล่าวจบประโยค แนนนี่ก้มกลับลงไปอ่านหนังสือหนา ๆ ที่หากปาใส่หัวหมา มันคงต้องสลบไสลไปหลายคืน
เด็กเรียนก็ยังเป็นเด็กเรียนวันยังค่ำจริง ๆ
“ปีสองนี้ไม่น่าจะมีเวลามาเจอกันแบบนี้บ่อย ๆ แต่ถ้ามีนัดกินข้าวเที่ยงกัน คราวหน้าอยากลองไปโรงอาหารของสถาปัตย์ดูบ้างจังเลย~” แนนนี่กล่าวโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากตำราเรียน
“เอาสิ คนนอกไม่ค่อยเข้าหรอก คนในก็แทบไม่มีเวลากิน แต่ถ้าจะนัดก็บอกมา” ออยบอกเช่นนั้น ผมกับฮาร์ทก็พยักหน้าหงึก ๆ เป็นการเห็นด้วย
“ดีเลย แล้ววันนี้เราดีใจมากนะที่ได้กินข้าวกับอ๋องอะ” แนนนี่กล่าวต่อโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากตำราเรียน
“เราก็ดีใจเหมือนกัน” ผมพูดพลางเขี่ยข้าวแกงกะหรี่หมูทอด “แต่เอาจริงนะ ถ้าออยไม่ได้บอกว่าพวกเธอมากินด้วย เราก็ไม่มาหรอก”
“ทำไมถึงไม่อยากมา”
“หึ ก็ไม่ได้จะมาส่องผู้หญิงแบบมึงไง !” ผมแขวะเจ้าแฝดน้องที่นั่งตรงข้ามกัน “ถ้ากูรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครจะเดินไปบอกเลยว่ามึงแอบมองเขาอยู่ !”
“จริง ๆ ต้องใช้คำว่าแอบชอบต่างหาก” พริกหยวกที่นั่งข้างกันพูดขึ้น “เอาแต่เขินอาย ไม่ยอมเข้าไปบอกชอบคนนั้นสักที” เธอแขวะ
“ก็เขาอาจจะไม่ได้ชอบเราก็ได้นี่นา” ออยกล่าวเสียงจ๋อย
“แต่นายส่องแบบนี้ก็ไม่ถูกหรอกนะ ถ้าผู้หญิงคนนั้นรู้เขากลัวนายแน่” โดนเพื่อนสาวสวดไป นัยน์ตาของออยก็ฉายแววรู้สึกผิดทันที “ไปบอกความในใจไม่ดีกว่าเหรอ รีบเลยเดี๋ยวเราช่วยเอง”
ถึงพริกหยวกจะเชียร์ แต่ออยกลับส่ายหัวพร้อมมองไปยังเธอ “... ไม่รู้สิ เราคงไม่คู่ควรกับเธอคนนั้นหรอก...” ว่าพลางคีบบะหมี่ร้อน ๆ ขึ้นมาเป่า
“หูย ใครกันนะที่ออยแอบชอบ” บทสนทนาเมื่อครู่ทำเอาแววตาฮาร์ทเป็นประกายใคร่รู้ ส่วนพีชรีบก็ละสายตาจากจอโทรศัพท์ทันที สีหน้าเธอดูประหลาดใจพร้อมถามทันควันว่า “สวยป่ะแก”
“สวยสิ”
“แล้วน่ารักป่ะ” พริกหยวกถามอีก
“อือ น่ารักมาก ๆ ด้วย ที่สุดในโลกเลยล่ะ” เขามองพริกหยวกพร้อมตอบเสียงแผ่ว แววตาเป็นประกาย แก้มแดงระเรื่อเมื่อถูกให้พูดถึงใครคนนั้น “... จริง ๆ ก็เป็นเพื่อนที่เคยเรียนมาด้วยกันนั่นแหละ...”
แค่ก ๆ ๆ
ผมถึงกับลำสักข้าวหลังจากออยกล่าวจบ ตอนนี้ผมกลายเป็นจุดสนใจของพรรคพวกและโดนถามไถ่ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า จึงได้แต่แสร้งส่ายหัวทั้ง ๆ ที่คำพูดของเจ้าแฝดน้องเมื่อกี้นั่นแหละที่เป็นตัวการ
ทำไมออยมันทำให้ผมนึกถึงตัวเองเลยนะ...
“ออยนี่ชอบคิดไปเองนะ นายอาจจะคู่ควรกับเธอก็ได้” พริกหยวกพ่มลมหายใจครืด “ไม่ลองสารภาพดูจะรู้ได้ยังไง”
“หยวกก็รู้นี่ว่าที่เราบอกรักกับ— เอ่อ เรื่องตอนนั้นน่ะ...” เป็นคำพูดที่ตะกุกตะกักที่สุดเท่าที่ผมเคยฟังจากปากออย “... รู้ใช่ไหมว่ามันเป็นยังไง”
“เออเนอะ” พริกหยวกผงกหัว “แต่นั่นมันนานแล้วนะ มันทำให้นายกลัวจนไม่กล้าสารภาพรักกับคนอื่นเลยรึไง”
“เดี๋ยวนะ นี่มึงเคยสารภาพรักด้วยเหรอ !?” ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าเจ้าแฝดน้องเองก็เคยบอกรักกับคนที่แอบชอบ แต่ดูจากท่าทางและน้ำเสียงเมื่อครู่เขาคงจะผิดหวังมาแน่ “กับใคร บอกกูมาเลยนะ !”
“เหอะ รู้ไปแล้วจะได้อะไรล่ะ ไม่บอกพี่หรอกน่า” ออยไหวไหล่พร้อมกระตุกมุมปากอย่างกวนประสาท จากนั้นก็คีบเส้นก๋วยเตี๋ยวในชามขึ้นมาเป่าอีก
เหอะ กวนโอ๊ยชะมัด
แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าแฝดน้องเองก็เคยอกหักมาเหมือนกัน แน่นอนว่าไม่ต่างกับกรณีของตัวผมเองสักเท่าไหร่ เมื่อตอนอยู่มอหกผมก็เคยบอกรักเพื่อนในห้องที่แอบชอบไป
เจ้าเด็กเนิร์ดแว่นหนาเตอะคนนั้น... ทำไมตอนนี้พอนึกถึงเขา ผมก็ยังรู้สึกเขินอยู่นะ ทั้งที่ผมพยายามจะทำใจให้หยุดชอบเขาแล้วแท้ ๆ เชียว
อยากจะลบเขาออกจากความทรงจำ ให้ทุกอย่างเลือนหายไปได้เลยยิ่งดี อีกอย่างจะให้ใครรู้ความลับนี้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะเขาคนนั้นเป็นผู้ชายเหมือนกัน
ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองไปหลงรักหมอนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ จำได้เพียงว่าเราเจอกันครั้งแรกตอนที่ไปสอบเข้าโรงเรียนมอปลายชื่อดัง พวกผมสอบห้องเดียวกัน และเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่หลังจากสอบเข้าได้แล้ว เราก็ได้เรียนอยู่ห้องเดียวกันตลอดสามปี
ที่จริงเขากับตัวผมก็อยู่คนละกลุ่มกัน ไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกันสักเท่าไหร่ มันอาจจะเป็นที่ตัวผมเองก็ได้ที่มักจะตีตัวห่างจากเขาและพยายามเก็บความรู้สึกชอบนั้นไว้ในใจ ทว่าสุดท้ายผมก็ทำให้เขารู้จนได้ ว่าผมคิดกับเขายังไง
และจริง ๆ แล้วที่ผมไม่อยากมาคณะวิศวะ ก็เพราะคนที่ผมเคยแอบชอบเรียนอยู่มหาลัยนี้และปัจจุบันก็อยู่วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ปีสอง ผมยังไม่อยากสู้หน้าเขาเลย ทั้งที่อีกใจหนึ่งก็อยากจะกล่าวขอโทษเรื่องที่ผมเคยสารภาพรักกับเขาเต็มประดา
บ้าเอ๊ย พอคิดถึงนายเนิร์ดคนนั้นแล้วผมก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยแฮะ
“เป็นอะไรไปอ๋อง เหาขึ้นหัวเหรอ”
คำถามนั้นทำให้ผมจ้องไปยังออยที่นั่งตรงข้างกันด้วยความงุนงง ก่อนจะเพิ่งตระหนักได้ว่าตอนนี้ตัวเองได้เอามือเกาศีรษะแครก ๆ อย่างลืมตัว สงสัยว่าผมจะคิดมากไปหน่อย
ให้ตายเถอะ ข้าวแกงกะหรี่ที่ซื้อมาเย็นชืดหมดแล้วมั้ง แถมผมยังกินไปได้ไม่กี่คำ แล้วไม่รู้ว่าเมื่อกี้ตอนขยี้หัวแรง ๆ จะมีรังแคร่วงลงไปใส่ข้าวบ้างรึเปล่า
“มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า”
“ไม่บอกมึงหรอกน่า !” ได้ทีผมก็กวนประสาทมันซะบ้าง
“แน่ใจเหรอว่าไม่อยากบอก” ออยเซ้าซี้พลางหรี่ตา “เครียดเรื่องเรียนอีกแล้วรึไง”
“อือใช่ เขียนแบบกูยังไม่เสร็จเลย แล้วต้องออกมากินข้าวเนี่ย”
แหม ๆ แถเก่งเหมือนกันนะตัวเรา ปล่อยให้เข้าใจกันแบบนี้แหละดีแล้ว
“โธ่ อย่าเครียดสิแก อุตส่าห์ได้เข้ามหาลัยที่ชอบแล้วนะ”
“นั่นสิ ๆ” แนนนี่เห็นด้วยกับพีช เธอเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเล่มหนาพลางขยับแว่นตา “ฉันไม่คิดเลยนะว่าแกจะซิ่วมาจริง ๆ แต่แบบนี้ก็หมายความว่าอ๋องก็ต้องเรียนจบพร้อมฉันเลยน่ะสิ”
“ใช่ นี่ไงบุคคลที่เรียนพร้อมน้องจบพร้อมหมอที่แท้ทรู” ประโยคของฮาร์ททำเอาคนรอบโต๊ะต้องพากันขำก๊าก
“เออนี่ ว่าแต่แกจะไม่เสียเวลาที่ซิ่วมาหรอกเหรอ” แนนนี่ถามขึ้นอีกครั้ง “ต้องเรียนปีแรกซ้ำอีกรอบเลยนะ”
“เสียเวลานิดหน่อยก็ดีกว่าเสียใจตลอดห้าปีนะ” ผมตอบอย่างไม่ลังเล
“เออ เข้าใจนะว่าเสียใจ ปีก่อนนายก็สิ้นหวังมากจนสภาพอย่างกับศพ แล้วได้ข่าวว่าชอบเพ้อเหมือนคนอกหักด้วยนี่เนอะ” พริกหยวกพูดแล้วก็หันไปหาออยที่นั่งข้างกัน เจ้าแฝดน้องส่งเสียงอือเบา ๆ พร้อมผงกหัวก่อนที่หญิงสาวจะพูดต่อ “แต่ให้เสียใจไปห้าปีนี่หนักไปหน่อยไหม— เอ๊ะไม่สิ ตอนนี้นายก็สอบติดแล้วนี่นา”
เหมือนพริกหยวกจะลืมว่าพวกเรานั่งอยู่ในมหาลัยเดียวกันใช่ไหม สงสัยเธออดนอนบ่อยไปหน่อยจนเบลอไปแล้ว
“นั่นดิ คนบ้าอะไรจะเสียใจจนเรียนจบวะ ไม่เคยพบไม่เคย— อ๊ะเดี๋ยวนะ” จู่ ๆ พีชก็เงยหน้าจากมือถือได้เสียที แต่ก็จ้องมาที่ผมพร้อมถลึงตากว้าง “เมื่อกี้หยวกบอกว่าแกชอบเพ้อเหรอ อย่าบอกนะว่าที่แกบ่น ๆ ในทวิตเหมือนคนอกหักก็คือเรื่องนี้”
“มึงตามอ่านด้วยเหรอวะพีช”
ไม่คิดเลยว่าไประบายในนั้นยังมีคนตามอ่านอีก อุตส่าห์หลีกหนีการโพสต์ระบายความเศร้าในสตอรี่ไอจีกับเฟซบุ๊กแล้วนะ หลังจากที่โดนเพื่อนของคุณแม่ถามว่าเป็นอะไรรึเปล่าผมถึงเปลี่ยนมาระบายทุกอย่างในทวิตเตอร์แทน หวังว่าจะไม่มีคนรู้จักพ่อกับแม่ตามผมในนั้นอีกก็แล้วกัน
“เราอ่านโพสต์อ๋องทีไรก็นึกว่าโดนแฟนทิ้งมาซะอีก” พีชก้มลงไปไถหน้าจอมือถือต่อ “จะว่าไปนี่เคยมีแฟนบ้างรึยังอะแก”
“ยัง”
“บอกเลยว่าแฝดคู่นี้โสดสนิท” พริกหยวกพูดขึ้น “หน้าตาก็ดี แต่ทำไมถึงโสดนะ ไม่เข้าใจจริง ๆ เลย” พูดแล้วเธอก็กระตุกยิ้มตรงมุมปาก
“ก็บอกแล้วว่ามันเหมือนแฟนกัน”
“เอาอีกแล้วนะฮาร์ท” ออยหรี่ตา
“ไม่เหมือนสักหน่อย” ค่อยดีหน่อยที่สาว ๆ คิดตรงกัน “เออ แต่ถ้าเรายังไม่มีแฟน แล้วก็ไม่ติดที่รู้ว่าพวกแกนิสัยปัญญาอ่อนแค่ไหน เราก็คงจีบไปแล้วล่ะ” พีชหัวเราะคิกคัก “สนใจให้ขายตรงไหมคะ เด็กนิเทศน่ารัก ๆ มีเยอะแยะเลยนะ~”
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกน่า— อ๊ะ ขอแป๊บนะ”
เจ้าแฝดน้องพูดไม่ทันจบ ก็ก้มมองโทรศัพท์ของตัวเองที่วางข้างชามก๋วยเตี๋ยวพลางปัดหน้าจอไปมา กวาดตามองบางอย่าง คงจะมีใครส่งแชทมาหา อาจจะเป็นเรื่องด่วนไม่ก็งานกลุ่มแหละมั้ง
“มีอะไรเหรอมึง ?”
ออยส่ายหัวให้กับคำถามของผม เขากดปิดหน้าจอไปก่อนจะเงยหน้าขึ้น “อ๋องช่วยอะไรหน่อยได้ไหม”
“ช่วยเรื่อง ?”
อยู่ ๆ ออยก็หัวเราะแหะ ๆ ออกมาก่อนจะล้วงกระเป๋าเอาแบงก์สีเขียวใบหนึ่งยื่นให้กับผม
“ฝากไปซื้อน้ำส้มร้านข้างล่างหน่อยสิครับพี่”
โธ่ คนกำลังกินข้าวอร่อย ๆ เลยนะเนี่ย
“ถูกตัดขาเหรอ เดินไปเองสิวะ”
“อย่าใจร้ายสิไอ้อ๋อง พอดีเราต้องคุยงานกลุ่มตอนนี้น่ะ ขอร้องเถอะนะ”
พูดจบเขาก็พนมมือขึ้นโดยมีแบงก์สีเขียวอยู่ระหว่างสองมือ ช่างเป็นคำขอร้องที่ชวนตงิดใจแปลก ๆ ปรกติคุยงานกลุ่มกันหลังกลับไปที่คณะก็ได้ไม่ใช่เหรอ หรือจะเป็นเรื่องเร่งด่วนจริง ๆ
แต่ก็นะ แค่แววตาออดอ้อนเหมือนลูกแมวตัวแสบ ผมก็ปฏิเสธมันไม่ลงแล้วล่ะ
“เฮ้อ เดี๋ยวจะไปซื้อให้ก็ได้” บ่นแล้วก็รับเงินมา เจ้าแฝดน้องขอบคุณอย่างซาบซึ้ง(?) แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก จากนั้นก็เดินจากโต๊ะไปยังบันไดทางลง
ตอนนี้ผู้คนที่ชั้นล่างซาลงแล้ว แต่ก็ยังมีบางบริเวณที่แถวยาวอยู่อย่างพวกร้านขายของหวาน โชคดีที่ร้านขายเครื่องดื่มยังไม่มีคนเข้าคิว ผมเลยเดินไปซื้อน้ำส้มคั้นใส่ขวดตามที่ออยขอได้ในทันที—
ปัก !
ผมเพิ่งเดินออกจากร้านเครื่องดื่มได้ไม่ทันไร ก็โดนใครบางคนชนอีกครั้งซะแล้ว นี่เป็นรอบที่สองของวันแล้วนะเฮ้ย แถมคราวนี้ยังรู้สึกเหมือนมีของเหลวมาโดนแผ่นอก พอก้มลงผมเลยได้รู้ว่าเนื้อผ้าขาวสะอาดบริเวณหน้าอกถูกย้อมด้วยสีส้ม กลิ่นชาไทยโชยขึ้นจมูก เนกไทสีเข้มเองก็เหนียวเหนอะหนะเช่นกัน
“ฉิบหาย !”
คนใส่ช็อปที่ชนเมื่อครู่ร้องลั่นด้วยความตกใจ เขาถือแก้วที่เหลือชาไทยไว้ไม่ถึงครึ่งเป็นหลักฐานอยู่คามือ
“ขะ ขอโทษนะครับ ขอโทษจริง ๆ”
ดีนะที่ไม่หาว่าผมเดินไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่อย่างนั้นอาจต้องมีเรื่องกันหน่อยแน่ เขาขอโทษรัว ๆ แล้วหาผ้าเช็ดหน้าอย่างลนลาน
“ไอ้เชี่ยกันต์ เกิดอะไร— เฮ้ย มึงเดินประสาอะไรวะถึงไปชนคนอื่นเขาแบบนั้น !”
“เอ่อ ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ขอตัว—”
“ไม่ได้นะครับ ถ้าเราไม่มัวแต่คิดแต่เรื่องเขียนโค้ดคงไม่เดินชนจนคุณเปียกแบบนี้หรอก !”
เดี๋ยว ๆ จะทำให้เหมือนเรื่องใหญ่โตทำไม แถมยังคว้าข้อมือผมไว้ก่อนจะหันไปหาเพื่อนหน้าตี๋ที่เดินมาสมทบ
“ไอ้มิว มึงมีผ้าเช็ดหน้าไหมวะ”
“ไม่มี กูลืมไว้ที่หอ” อีกฝ่ายตอบพร้อมกอดอก ที่จริงผมก็มีผ้าเช็ดหน้านะ ทำไมไม่หันมาถามผมก่อนล่ะเนี่ย “กูว่าพาเขาไปล้างเสื้อที่ห้องน้ำเถอะ”
“ไม่ต้องก็ได้—” ผมพยายามจะอธิบายว่าตัวเองมีผ้าเช็ดหน้า และต้องเอาน้ำส้มไปให้เจ้าแฝดน้องที่รออยู่ด้านบน ทว่าก็โดนขัดอีกครั้งจนได้
“ไปด้วยกันเถอะครับ อย่าให้เรารู้สึกผิดมากกว่านี้เลย” คนผิวแทนที่มาชนก็ยังไม่ยอมปล่อยข้อมือผมสักที “เดี๋ยวทิ้งไว้นาน ๆ ก็ซักไม่ออกหรอก”
“อ่า... ก็ได้...”
สุดท้ายผมก็ตกลงตามคำขอนั้นไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผมไม่อยากให้มีคราบเลอะบนเสื้อที่ซักไม่ออกเสียด้วยสิ ถ้าเป็นแบบนั้นมีหวังคุณแม่ไปถามใสว่าไปทำอะไรมาตามด้วยการบ่นจนหูชาแน่
สองคนนั้นพาผมขึ้นไปบนชั้นสองของตึกวิศวะ คนหน้าตี๋ให้เหตุผลว่าห้องน้ำชั้นแรกไม่ค่อยสะอาดสักเท่าไหร่ทั้งยังค่อนข้างแคบด้วย สุดท้ายพวกเขาเลยพาผมไปที่ตรงริมทางเดินของอาคารซึ่งมีแต่ห้องน้ำชาย ส่วนตัวผมรู้สึกว่าเวลานี้ที่นักศึกษาลงไปกินมื้อเที่ยง แถวนี้มันเปลี่ยวยังไงไม่รู้
ตอนนี้ดูเหมือนว่าในห้องน้ำจะไม่มีใครอยู่เลยสักคน มีเพียงประตูส้วมห้องสุดท้ายเท่านั้นที่ปิดอยู่ ผมรีบตรงไปยังอ่างล้างหน้า เอามือรองน้ำที่เปิดซ่ามาลูบไล้ทำความสะอาดเนกไทกับเสื้อบริเวณอกทันที สีของชานมจางลงแล้ว ล้างอีกนิดก็คงออกแหละ
“เฮ้อ เมื่อไหร่จะหายซุ่มซ่ามวะไอ้กันต์”
“ก็มันช่วยไม่ได้นี่หว่า”
สองคนนั้นสนทนาไประหว่างยืนรอผมล้างคราบสกปรก จะว่าไปก็หน้าตาพวกเขาก็ดูคุ้น ๆ เหมือนกันแฮะ
แล้วอยู่ ๆ หางตาผมก็เหลือบไปเห็นว่าประตูส้วมห้องสุดท้ายได้เปิดออก ที่คิดว่าไม่มีคนอยู่ในห้องน้ำในทีแรกดูท่าจะคาดการณ์ผิดเสียแล้ว ผมหันไปดูแวบหนึ่งก็เห็นร่างสูงสวมชุดช็อปก้าวออกมา
โอเคไม่ใช่ผี เห็นว่าเป็นคนก็ขอไม่ใส่ใจต่อแล้วกัน
แต่แล้วเสียงปิดประตูก็ดังเข้าโสตประสาท หันไปก็เห็นว่าหนุ่มหน้าตี๋ได้ถือวิสาสะปิดประตูทางเข้าออกห้องน้ำที่ปรกติต้องเปิดอ้าไปเสียแล้ว แถมเขากับเจ้าคนที่เดินชนผมก็มองมาด้วยสายตาแปลก ๆ
เดี๋ยวสิ นี่พวกเขาจะทำอะไรกันน่ะ...
“เยี่ยมมาก เป็นไปตามแผนเลย”
เสียงจากด้านหลังเอ่ยขึ้น อย่าบอกนะว่าไอ้คนที่เพิ่งเดินออกจากห้องส้วมก็มีเอี่ยวกับเขา—
“เฮ้ย !”
ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้โดยไม่ทันตั้งตัว แขนข้างหนึ่งจากด้านหลังก็โอบรัดตัวเอาไว้ แถมเจ้าบุคคลปริศนาก็เอามืออีกข้างมาปิดตาผมเสียอีก
“เซอร์ไพรส์ !”
คนข้างหลังกล่าวเสียงร่าเริง ทว่าผมที่ตกใจก็รีบดิ้นสุดฤทธิ์ ทีแรกก็เหมือนจะหลุดจากพันธนาการ ทว่าแรงเขาก็เยอะกว่าที่คาดไว้
“อะไรวะเนี่ย มึงเป็นใคร !?”
“ทายซิใครเอ่ย~”
โอ๊ย จะให้กูทายอี๊ก
ว่าแต่มันเป็นใครวะ และถึงผมจะโดนปิดตาอยู่ แต่ก็มีช่องจากนิ้วทำให้มองลอดออกไปได้ และจังหวะที่หน้าผมหันไปทางกระจกตรงอ่างล้างมือ ก็ทำให้ผมเห็นรูปโฉมของคนด้านหลังได้อย่างชัดเจน ซึ่งเขาก็คือคนที่เดินชนผมที่ลานเกียร์นี่นา และยังเป็นคนที่ผมเจอในฝันด้วย !
อันที่จริงผมคุ้นหน้าเขามาก ๆ อย่างกับเคยเจอกันก่อนหน้านั้นอีก น่าจะเคยเจอกันที่ไหนในชีวิตจริงแน่ ๆ แต่ก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าเขาคือใคร
“กูว่ามึงรีบ ๆ ทำให้เสร็จก่อนที่จะมีคนอื่นมาเข้าห้องน้ำดีกว่านะ”
“ใช่ เดี๋ยวก็อดหรอก”
อดอะไรวะนั่น ไอ้สองคนที่พาผมมาห้องน้ำมันหมายความว่ายังไง
“มึงคิดจะทำอะไรกูวะ !?”
“เอาเป็นว่าถ้าหยุดดิ้นแล้วจะบอกนะอ๋อง”
เดี๋ยวนะ เขารู้ชื่อผมด้วยเหรอ
แล้วเขาเป็นใครกันแน่วะ...
โปรดติดตามตอนต่อไป
#ถาปัดฟัดเกียร์
Comments (0)