งั้นถ้ามีตรงไหนที่หนูทำไม่ได้ บอกพี่นะ เดี๋ยวพี่สอน

         เทียร์อยากเขกหัวตัวเองกับคำตอบที่ตอบน้องไปหลังจากที่ในสมองของเธอมีแต่คำที่เยอะแยะมากมายในหัวไปหมด ทั้งคำที่บอกให้น้องมาฝึกจูบกับเธอเลยมั้ย หรือจะเป็นคำที่บอกว่าพี่จะช่วยฝึกเรื่องจูบเอง แต่ไม่ว่าคำไหนก็ชวนให้อิ๋งตกใจกันทั้งนั้น สุดท้ายเพราะคำในสมองตีกันยุ่งเหยิง คำที่ออกมาจากปากของเทียร์มันเลยทำให้เทียร์และอิ๋งแยกย้ายกันหลังจากนั้น

         กระทั่งวันต่อมาก็ยังเสียดายไม่หาย แล้วถ้าน้องเกิดไปเรียนกัคนอื่น เพื่อจะได้เข้าฉากกับเธอแบบมืออาชีพ แบบไม่เคอะเขินขึ้นมาจะทำยังไง แถมน้องอาจจะมีคนพร้อมจะสอนให้ด้วยซ้ำ น่ารักขนาดนั้น ใครจะไม่อยากสอน เธอยังอยากเลย

         “เห้อ”

         เทียร์ถอนหายใจอย่างรู้สึกเสียดายกับเหตุการณ์เมื่อวานนี้ อย่างน้อยถ้าบอกน้องว่า เรียนจูบกับเธอ อะไรทำนองนั้นก็ยังดี

         มัวแต่ตื่นเต้นกับที่น้องยังไม่เคยจูบกับใครมาก่อนเลยกังวล สุดท้ายเลยทำเอาเสียโอกาสเสียเองอย่างน่าเสียดาย แถมไม่รู้เมื่อไหร่พี่อ๊อฟจะให้ถ่ายฉากจูบด้วย เธอเองก็ยังไม่ได้ถามเรื่องนี้เลย

         หงุดหงิดเป็นบ้า

         เทียร์ทิ้งตัวลงบนโซฟาก่อนจะก่ายหน้าผาก พยายามบอกตัวเองว่ามันผ่านไปแล้ว จะมานึกเสียดายย้อนหลังก็คงไม่ได้ แถมวันนี้น้องก็คงเอาชุดมาคืนด้วยตัวเอง หมดโอกาสไปส่งที่หอพักอีก

         หรือจะหาเรื่องเลี้ยงข้าวอีกสักรอบเพื่อไปส่งดีมั้ยนะ

         ก๊อกๆๆ

         เสียงเคาะประตูทำให้เทียร์เหลือบมองไปที่ต้นเสียงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองนาฬิกาที่ฝาผนัง ยังไม่ถึงเวลาซ้อมฉากเลย ทีมงานรีบตามเธอไปไหนก่อน

         “คุณเทียร์คะ”

         น้ำเสียงอันแสนคุ้นเคยทำให้เทียร์นิ่งงันไปชั่วครู่เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินผิดไปหรือเปล่า

         ส่วนคนที่มาเรียกก็ไม่ได้คำตอบรับ เลยไม่แน่ใจว่าตัวเองเข้าไปได้หรือเปล่า แต่ได้ยินทีมงานบอกว่าเทียร์อยู่ในห้อง กำลังตั้งใจซ้อมบท

         “เอ่อ คือ...อิ๋งเข้าไปปรึกษาเรื่องบทได้มั้ยคะ”

         “ได้สิ เข้ามาเลย”
         เทียร์เอ่ยตอบรับ น้ำเสียงไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม ยังคงนิ่งและโทนเดียวกัน ทั้งที่ความจริงแล้วในใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้น เมื่อวานเธอเสียโอกาสไปเพราะมัวแต่ดีใจที่น้องพูดเรื่องจูบขึ้นมาก่อน หวังว่าที่น้องมาในตอนนี้ก็เพราะเรื่องจูบอีกครั้ง

         ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับคนตัวเล็กยกมือไหว้เหมือนเคย นอบน้อมจนเทียร์รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นญาติผู้ใหญ่อย่างไงอย่างงั้น

         “อิ๋งมารบกวนหรือเปล่าคะ”

         “ไม่รบกวนเลย อย่างที่บอกว่าหนูกับพี่ต้องร่วมงานกันบ่อย ยังไงก็ต้องซ้อมเข้าคู่กันอยู่แล้ว”

         เจ้าตัวเอ่ยเพื่อไม่อยากให้อิ๋งเข้าใจผิด ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ตัวเองด้วย กลัวว่าอิ๋งจะหาโอกาสเข้าหาเธอไม่ได้ เธอเลยต้องเปิดโอกาสให้ตัวเองก่อนเลย

         “พอดี...อิ๋งจะมาปรึกษาเรื่องคิวซ้อมวันนี้ค่ะ คิวที่เราต้องทะเลาะกัน”

         เจ้าตัวเอ่ยพร้อมกับเปิดบทของตัวเองไปที่บทของวันนี้ ส่วนเทียร์ก็นิ่งงันไปเมื่อพบว่าการซ้อมจูบของตัวเองที่คาดหวังไว้เมื่อวาน กลายเป็นการซ้อมคิวทะเลาะกับน้องไปเรียบร้อยแล้ว

         “คือว่ามันจะต้องมีการผลักกันค่ะ แล้ว...อิ๋งกลัวคุณเทียร์เจ็บ”

         อิ๋งเอ่ยอย่างหนักใจ ขณะที่สีหน้าของเทียร์เองก็ดูหนักใจเหมือนกัน แต่หนักใจคนละแบบ เพราะคิวที่เธอซ้อมไม่ได้อยากได้คิวทะเลาะ แถมเธอไม่อยากทำร้ายน้องเลยสักนิด

         “ตรงนี้อิ๋งเลยคิดว่าผลักคุณเทียร์เบาๆ แล้วล้มลงไปเองดีกว่ามั้ยคะ ถ้าอิ๋งผลักให้ล้มลง คุณเทียร์ต้องเจ็บแน่เลยค่ะ”

         หลังจากเอ่ยถึงบทของตัวเองพร้อมกับยื่นให้กับเทียร์แล้ว เจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ดวงตาของเทียร์วูบไหวแม้ใบหน้าจะคาดเดาอารมณ์ได้ยาก แบบนี้แปลว่ายังไง คุณเทียร์เห็นด้วยหรือเปล่า

         “เอ่อ หรือคุณเทียร์ไม่โอเคคะ”

         “เปล่า พี่เห็นด้วย”

         เทียร์เอ่ยพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ สีหน้าหนักใจราวกับต้องเล่นฉากบู๊ระห่ำล้างโลก ทั้งที่ความจริงแล้วคือฉากที่ต้องทะเลาะกัน แล้วอิ๋งต้องผลักเธอ ในขณะที่เธอฉุดแขนของอิ๋งเอาไว้ แต่ให้ตายเถอะ แค่คิดถึงต้นแขนของอิ๋งที่แดงเพราะแรงกระชากวันก่อน เธอจะเอาใจที่ไหนมาฉุดน้องได้

         “งั้นที่พี่ต้องฉุดแขนหนู พี่จับไว้หลวมๆ นะ”

         “มันจะดูออกมั้ยคะ เอ่อ อิ๋งคิดว่าคุณเทียร์จับเต็มแรงได้เลยค่ะ อิ๋งไม่เป็นไร”

         เทียร์ปฏิเสธในใจทันที แต่ถึงน้องบอกว่าไม่เป็นไร เธอเป็นแน่ๆ ไม่ได้เด็ดขาด แขนของอิ๋งห้ามมีรอยอีกเป็นอันขาด นั่นจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเธอที่จะรุนแรงกับน้อง

         “งั้นลองมาซ้อมกัน ถ้าพี่จับหนูเบาๆ แล้วไม่เนียน ก็ค่อยเพิ่มแรง...แล้วหนูก็ลองผลักพี่ดูก่อน ว่าแบบไหนถึงจะดูเนียนมากกว่ากัน”

         “ได้ค่ะ”

         อิ๋งเอ่ยพร้อมกับวางบทเอาไว้ที่โต๊ะอย่างตั้งใจ ขณะที่เทียร์เดินไปเข้าคู่กับอิ๋ง ยื่นมือไปจับมือต้นแขนของอิ๋งเอาไว้หลวมๆ ต้นแขนนุ่มมาก คราวที่แล้วเธอกระชากได้ลงคอได้ยังไง แต่พอคิดว่าเข้าใจผิดว่าเป็นลิต้าก็พอจะเข้าใจตัวเองได้

         “เดี๋ยวอิ๋งผลักไปที่โซฟานะคะ คุณเทียร์จะได้ไม่เจ็บ”

         ผลักไปที่โซฟางั้นเหรอ...ทำไมฉากในหัวมัน ไม่เหมือนฉากทะเลาะกันเลย

         “ได้สิ”
         เทียร์เอ่ยตอบนิ่งๆ ทั้งที่ในใจตื่นเต้นจะแย่ ไม่เคยซ้อมบทแล้วเกร็งขนาดนี้มาก่อน กลัวว่าจะทำน้องเจ็บ และอีกใจคือ...จะพูดยังไงให้น้องยอมซ้อมบทจูบกับเธอดี (อันนี้น่าจะความต้องการหลักด้วย)

         แล้วอิ๋งก็พูดบทของตัวเองออกมา เป็นบทที่เหมือนจะท่องจำเอาไว้ก่อนหน้าที่จะเข้ามาหาเธอแล้ว ดูไหลลื่นและเก่งมาก เก่งจนอยากจะออกไปบอกพี่อ๊อฟว่าเปลี่ยนนางเอกเดี๋ยวนี้เลย

         แล้วก็ถึงจังหวะที่เธอต้องรั้งแขนของอิ๋ง แล้วอิ๋งก็ผลักเธอออก จังหวะที่เธอโดนผลักแทบจะไม่รู้สึก เลยคิดว่าให้ตายก็คงไม่สมจริง เพราะแทนที่เธอจะโกรธเหมือนในบท จะกลายเป็นโฟกัสที่มือน้องนุ่มมากแทน

         “ผลักแรงกว่านี้”

         “คะ ค่ะ”

         น้ำเสียงของเทียร์จริงจังจนอิ๋งใจหาย ทั้งที่ความจริงแล้วไม่รู้เลยว่าเทียร์ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการดึงโฟกัสของตัวเองมาอยู่ที่บทเพื่อตั้งใจซ้อม แต่มันก็ได้ผลมากทีเดียว อิ๋งผลักเทียร์ด้วยแรงที่มากขึ้น ส่วนคนที่โดนผลักก็จวนจะล้มของจริง แต่ดันลืมตัวคว้าเอวของอิ๋งเอาไว้ เป็นผลให้ล้มลงไปที่โซฟาด้วยกันทั้งสองคน

         “คุณเทียร์ เจ็บมั้ยคะ”

         อิ๋งเอ่ยถามอย่างกังวล เพราะดูเทียร์ตอนนี้นิ่งค้างไปเรียบร้อยแล้ว ผิวสีน้ำผึ้งมีริ้วแดงเล็กน้อย ซึ่งอิ๋งคิดว่าปกติแล้วเวลามีของหนักมาหล่นทับแบบไม่ได้ตั้งตัวก็จะหน้าแดงแบบนี้กันทั้งนั้น

         “คุณเทียร์คะ”

         อิ๋งเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเทียร์ยังนิ่งไป หรืออาจจะตกใจที่เธอผลักรุนแรงมากขนาดนั้น ใบหน้าของเทียร์ในตอนนี้คาดเดาอารมณ์ได้ยากมากทีเดียว

         “อิ๋ง เอ่อ อิ๋งลุกก่อนดีกว่าค่ะ คุณเทียร์คงหนัก”

         “ไม่หนัก พี่ไม่หนักเลย...พี่กำลังคิดว่าปกติแล้วในฉากมัน...จะต้องล้มมาทั้งคู่แบบนี้หรือเปล่า”

         อิ๋งเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นขมวดคิ้วเพราะแอบเห็นด้วย เพราะไม่ได้มีบรรยายฉากนี้โดยละเอียด แต่รู้แค่ว่าทั้งคู่ทะเลาะกันเลยมีฉุดกระชาก

         “ไว้พี่ค่อยถามพี่อ๊อฟอีกรอบ แต่พวกเราซ้อมแบบนี้ไปก่อน พี่ว่ามัน...เป็นบทที่โอเคมากเลย”

         โอเคมาก อย่างน้อยก็ลดความหงุดหงิดจากก่อนหน้านี้ที่เธอไม่ยอมชวนน้องซ้อมบทจูบ แต่ถ้าตอนนี้จู่ๆ จะมานึกอยากซ้อมบทจูบก็คงกระไรอยู่ ไม่วายคงตกใจพิลึก

         “ได้ค่ะ งั้น เอ่อ อิ๋งลุก...”

         “อ้อ”

         เมื่อเห็นอิ๋งก้มๆ เงยๆ เทียร์จึงได้รู้ว่าจับเอวน้องนานไปแล้ว แถมในบทมีแค่จับต้นแขน เล่นแบบทั้งจับต้นแขนทั้งจับเอว เป็นนักแสดงที่อินกับบทบาทมากทีเดียว

         ก่อนที่เทียร์จะปล่อยมือออกจากเอวของน้องเพื่อให้อีกฝ่ายลุกได้ถนัด

         “งั้นมาเริ่มซ้อมใหม่ เอาแบบเมื่อกี้...หนูผลักพี่แรงขึ้นได้อีกนิด พี่จะได้ล้มแบบไม่เงอะงะ”

         และจะได้จังหวะรวบเอวแบบไม่แปลกประหลาดชวนกระอักกระอ่วนด้วย ซึ่งอิ๋งก็พยักหน้าและตั้งใจซ้อมบทอีกครั้ง ท่องบทเมื่อครู่อย่างคล่องปร๋อ ส่วนเทียร์ก็มองน้องอย่างภูมิใจ ราวกับเป็นครูฝึกสอนการแสดงเสียเอง

         ก่อนจะเข้าสู่จังหวะนั้นอีกครั้ง เทียร์ลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าจะต้องจับแขนของอิ๋งก่อน ขณะที่ดวงตากลมโตมองเธอตาแป๋ว เทียร์ก็ลืมจังหวะของตัวเองในทันที

         “คุณเทียร์คะ...”

         มือคว้าเอวของคนตัวเล็กเอาไว้ในทันทีหลังจากน้องเอ่ยเรียก เลยกลายเป็นยังไม่ได้ล้ม เพราะเทียร์ไม่ได้จับแขน น้องก็เลยไม่ได้ผลัก แต่จังหวะคว้าเอวที่ต้องมาทีหลังดันมาก่อนซะอย่างนั้น

         “ไม่ผลักพี่เหรอ”
         “คะ เอ่อ ผลักค่ะผลัก”

         คนผิดคิวดันเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน อิ๋งเลยตามน้ำไปอย่างมึนงง และเพราะมือรวบเอวอิ๋งอยู่ก่อนแล้วมันเลยส่งผลให้ล้มลงบนโซฟากันไปทั้งคู่ ใกล้ชิดกว่าเดิมเพราะไม่ได้มีจังหวะฉุดกระชากเลยสักนิด ใบหน้าขาวนวลอยู่ห่างจากเทียร์เพียงแค่คืบ

         ขณะเดียวกันเทียร์ก็เอ่ยขึ้นมาราวกับลืมตัว

         “แล้วตอนพี่อ๊อฟส่งบทนี้มาให้ ได้บอกหรือเปล่าว่าคิวจูบเป็นคิวถ่ายที่เท่าไหร่”