​          ณ แดนสวรรค์ ดึกสงัด ค่ำคืนหนึ่ง หากไม่นับรวมส่วนของป่าหิมพานต์ เวลานี้เป็นช่วงที่หลาย ๆ ชีวิตเริ่มหลับใหลกันไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความเงียบงัน เงียบจนรู้สึกสงบเหมือนจมดิ่งลงไปในห้วงแห่งกาลเวลา ทุกอย่างหยุดนิ่ง แม้แต่เสียงแมลงหรือเสียงลมก็มิมีให้รู้สึกกวนใจ เว้นแต่ในเวลานี้ ณ ที่นี้ ... วิมานที่ดูเหมือนจะตั้งรกรากไว้ได้ห่างไกลจากผู้อื่น อยู่อย่างโดดเดี่ยวมิใกล้ชิดกับผู้ใด

​          เงาดำทะมึนของชายร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ ย่างกรายไปตามแนวโถงของทางเดินเพื่อตามหาต้นตอของเสียงแปลกประหลาดที่มารบกวนการนอนของเขาในยามค่ำคืน เสียงที่ดังครวญครางขึ้นมาเป็นระยะ ๆ ให้ฝืนตาหลับก็ยังยาก พอเงี่ยหูฟังก็เหมือนเป็นคำที่ฟังไม่ได้ศัพท์ พยายามอดทนอดกลั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ข่มตาหวังให้เสียงนั้นสงบลงไปเอง แต่เหมือนพระอรหันต์จะมิเข้าใจ

​          หลังจากที่ถกเถียงกับตัวเองเป็นเวลานานเนิ่นนาน ท้ายที่สุดเขาก็ได้ตัดสินใจลุกออกจากแท่นบรรทมที่แสนสุขสบายแต่หลังจากนี้มันจะตรงกันข้ามหากว่ามิทำอันใดกับต้นตอของเสียงที่ว่านั้นเลย

​          แสงจันทราที่สาดส่องเข้ามาเผยให้เห็นผิวสีเขียวละมุนอันเป็นเอกลักษณ์ เห็นแล้วรู้สึกผ่อนคลายสดชื่นต่างจากใบหน้าที่เห็นแล้วไม่ว่าใครก็ต้องหลีกหนีไปให้ไกลที่สุด 

​          เสียงที่เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ยามที่เดินเข้าใกล้กลับต้นตอของเสียง ฝีเท้าที่รีบเร่งในคราแรกบัดนี้หยุดชะงัก และก้าวช้าลงเรื่อย ๆ เจ้าของฝ่าเท่านั้นเริ่มมีความสับสนลังเลเล็กน้อยว่าตนคิดถูกหรือเปล่าที่เลือกเดินออกมาเช่นนี้

​          เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าชัด ๆ ยิ่งใกล้มากเท่าไหร่ผู้ที่ได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกใจเต้นระรัวดังกลองรบ ลุ้นระทึกยิ่งกว่าตอนที่พระนารายณ์มาตามพบที่วิมานเพราะไปทำเขาพระสุเมรุทรุดเสียอีก

​          เพราะเหตุนี้ถึงได้มีคำสอนที่ว่าการยุ่งเรื่องของชาวบ้านมันมิใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่สินะ แต่หากมิเป็นเพราะชาวบ้านที่ว่าทำเสียงดังจนทำให้เจ้าของร่างกายกำยำนั้นมิเป็นอันนอนเช่นนี้ละก็ เขาคงมิต้องออกมาลงมือด้วยตนเองเช่นนี้เป็นแน่ ถึงห้องที่เป็นต้นตอของเสียงนั้นแล้ว หากไม่โง่เขลาพอก็คงจะทราบได้อย่างง่าย ๆ ว่าข้างในนั้นเกิดเหตุอันใดขึ้น

​          เสียงที่หวานหยดย้อยแต่ก็แหบต่ำดังขึ้นเป็นระยะตามจังหวะที่ถูกกระทำซ้ำไปซ้ำมา น้ำเสียงน่าอายแต่เจ้าตัวก็ดูเหมือนมิได้กระทบกระเทือนอะไรสักเท่าไหร่เหมือนว่า ณ ที่แห่งนี้นั้นมีแค่พวกเขาที่เสพสมกันอยู่

​          และพวกเขาคงลืมกันไปแล้วว่าวิมานยังมีผู้ร่วมอาศัยอีกหนึ่งด้วย และที่นี่ก็มิได้กว้างใหญ่ไพศาลพอที่จะมิมีเสียงอันใดเล็ดลอดหลุดออกไปได้เลย หากแค่ครั้งสองครั้งตนจะทำเป็นมิรู้มิเห็นให้อยู่หรอก

​          “ช้าก่อนนายท่าน คงมิได้คิดจะเดินเข้าไปในห้องนั้นจริง ๆ หรอก ใช่หรือไม่ ขืนทำเช่นนั้นได้เป็นเรื่องใหญ่แน่ และโปรดเก็บมือของท่านที่จะจับเสานั่นด้วย มันมีแนวโน้มสูงที่เสามันจะยุบลงไปหากท่านแตะมันน่ะ”

​          ยังมิทันได้ก้าวต่อไปก็มีมือหนึ่งเข้ามาคว้าจับแขนของเขาไว้รามสูร รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ผู้ที่มาใหม่นี้เป็นชายรูปร่างสมส่วนพอ ๆ กับเมขลา รามสูรแน่ใจว่ามิเคยพบเห็นเขามาก่อน แต่ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือแม้กระทั่งน้ำเสียงก็ช่างคล้ายคลึงกลับเมขลาเสียเหลือเกิน

​          “เจ้าเป็นใคร” ใบหน้าของรามสูรเต็มไปด้วยความสงสัยเต็มไปหมด

​          ชายหนุ่มแปลหน้าแค่นยิ้มเล็กน้อย “หนึ่งในคู่นอนของท่านเมขลา”

​          รามสูรชะงักไป เจ้าเทพนั่นมีคู่แบบนี้อีกเท่าไหร่กัน ไหนจะพวกเทพน้อยใหญ่ที่เข้ามาสารภาพรักหน้าวิมานทุกวันมิได้ขาดอีก เป็นเทพหรือผู้เฒ่าหัวงูกันแน่ มิใช่ว่าพอเปิดประตูไปแล้วจะพบภาพเมขลาที่รายล้อมไปด้วยหนุ่มน้อยทั้งหลายหรอกนะ

​          “ฮ่า ๆ ไม่ต้องตะลึงขนาดนั้นก็ได้ ข้าเหย้าท่านเล่น ท่านเทพมิใช่แบบที่ข้าชอบเท่าไหร่ ข้าชอบแบบบึกบึนน่ะ แล้วท่านเทพก็มิได้มีรสนิยมแบบที่ท่านคิดหรอกนะ” เหมือนสีหน้าของรามสูรจะแสดงชัดเจนเกินไปจนแม้แต่ชายหนุ่มตรงหน้ายังดูออก

​          ชายแปลกหน้าดึงรามสูรเดินออกไปที่อื่น บางทีที่ตรงนี้อาจจะมิค่อยเหมาะกับการสนทนากันสักเท่าไหร่ ซึ่งรามสูรก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก ร่างที่เล็กกว่าเล็กน้อยเมื่อมายืนใกล้กับรามสูรเดินนำหน้าไปก่อนจะหันมาพูดด้วยอีกครั้งด้วยประโยคที่แสนยาวเหยียด

​          “เป็นข้าที่ควรถามท่านมากกว่า ว่าท่านเป็นใคร ดูเหมือนจะเป็นยักษ์เถื่อนแล้วเหตุใดถึงมาเดินเข้าออกที่วิมานนี้ได้"

​          "แต่ตอนนี้มิต้องบอกข้าก็พอจะเดาได้แล้วล่ะ ข้าหลับใหลไปเสียนานตื่นขึ้นมาก็มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นมากมายเลย ในตัวของท่านมีแต่กลิ่นอายของเจ้านายข้าเต็มไปหมด... เป็นแขกที่สำคัญของท่านเทพสินะ อืม ใช่ที่เรียกว่ารักแรกหรือเปล่า หืม นี่ จนถึงตอนนี้ท่านก็ยังเป็นหนุ่มที่บริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่หรือนี่ ช่างหายากยิ่งนัก ไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้านายข้าจะปล่อยให้ท่านหลุดรอดและเก็บมาไว้ได้ถึงขนาดนี้ กำลังอดเปรี้ยวไว้กินหวานหรือไง ไม่ค่อยเข้าใจเขาเท่าไหร่เลย"

​          "ว่าแต่ นายท่านเคยเห็นผู้นั้นอาละวาดหรือไม่ เมขลาตอนที่หน้าบิดเบี้ยวสุด ๆ เพราะโกรธจัดนั่นน่ะ ปกติเคยเห็นแต่ตอนที่เขายิ้มจนน่าหมั่นไส้หรือไม่ก็บีบน้ำตาเสแสร้งจนอยากลุกไปถีบยอดหน้าใช่หรือไม่ ท่านคงโดนแกล้งจนรู้สึกอยากเอาคืน แต่มิว่าจะทำเช่นไรก็ไม่สามารถทำอะไรเจ้าเทพนั่นเลยใช่ไหมเล่า อยากรู้จังเลยนะว่าถ้าข้าลองทำอะไรสนุก ๆ นิดหน่อยจะได้เห็นท่านเทพโกรธเป็นครั้งที่สองในชีวิตหรือเปล่า"

​          "นี่ นายท่าน ให้ข้าสอนให้ท่านมั้ย วิธีกำราบเจ้านายของข้าน่ะ สอนแบบตัวต่อตัวเป็นอย่างไร ข้าน่ะคิดราคามิแพงหรอก เห็นว่าท่านดูจะสำคัญกับเจ้านายของข้ามาก ๆ ข้าจะดูแลนายท่านเป็นอย่างดีมิให้ขาดตกบกพร่องเลยล่ะ รับรองเจ้านายของข้าต้องอกแตกตายไป ทั้งที่ยังเป็นอมตะอยู่แน่ ๆ"

​          ชายผู้นี้พูดโดยมิได้เว้นจังหวะให้รามสูรเอ่ยแทรกได้สักคำ ถึงมิได้เร็วแต่ถึงกระนั้นรามสูรก็พูดมิทันผู้นี้จริง ๆ ตกลงจะคุยกับรามสูรหรือคุยกับตัวเองกันแน่ ระหว่างที่พูดก็เดินสำรวจรอบตัวรามสูรไปมาเหมือนตรวจสินค้าที่ข้ามผ่านชายแดนอย่างไรอย่างนั้น สรุปแล้วเป็นพันธมิตรของเมขลาหรือเป็นศัตรูกันแน่ ประโยคแต่ละประดูเหมือนอยู่คนฝ่ายเสียมากกว่า คำที่พูดถึงเมขลาก็ดูห่างเหินเกินกว่าที่จะเป็นญาติกัน ถึงหน้าตาจะละม้ายคล้ายคลึงกันก็เถอะ แต่ดูอย่างไรก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง “ข้าไม่รู้ว่าประโยคทั้งหมดที่เจ้าเอ่ยมานั้นเป็นประโยคคำถามหรือประโยคบอกเล่าข้าเลยมิรู้ว่าจะตอบเจ้าว่าอะไรดี”

​          ชายแปลกหน้าสำหรับรามสูรยังคงพูดต่อมิหยุด และเดินวนไปมาเป็นวงกลมจนรามสูรชักจะลายตา “นั่นคือคำตอบของนายท่านสินะ จะว่าไปแล้วก็ช่างน่าแปลก ไหนบอกว่าตกแต่งกันแล้วเหตุใดถึงแยกห้องกันอยู่ เหตุใดถึงยังมิเข้าร่วมหอกันอีกเล่า แต่งงานการเมืองหรืออย่างไร”

​          รามสูรกล่าว “เจ้านั่นบอกว่าข้าน่าเบื่อ หลังจากนั้นเจ้านั่นก็ออกไปตรวจตรามหาสมุทรเลยมิได้คุยกันจนวันนี้”

​          รามสูรทำท่ายักไหล่และเอียงหัวนิดหน่อย อันที่จริงแล้วการกระทำของเมขลานั้นค่อนข้างเข้าใจยาก ยิ่งรามสูรพยายามใช้สมองทำความเข้าใจมากเท่าไหร่ก็มีแต่จะยิ่งปวดหัวเปล่า ๆ เลยมิได้ใส่ใจเท่าไหร่ในคราแรก แต่ดันลืมไปว่ายังมีแก้วมณีเป็นของประกันอยู่ หากภายในหนึ่งเดือนตนมิสามารถทำให้มขลามาสนใจตัวเองได้ คราวนี้รามสูรจะไม่มีทั้งแก้วมณีและวิมานอยู่เป็นแน่ ซึ่งเจ้าตัวเมขลาก็ใช่ว่าจะอยู่ติดวิมานสักเท่าไหร่ นึกจะไปก็ไปนึกจะมาก็มาถึงจะอาศัยอยู่ใต้หลังคาเดียวกันแต่ก็ใช่ว่าจะพบเจอตัวได้ตลอด แล้วพอกลับมาแต่ละครั้งก็มักจะทำอะไรประเจิดประเจ้อเช่นนี้ อยากด่าว่าหน้ามิอายแต่เจ้านั่นต้องเป็นประเภทที่ยิ้มรับแล้วพูดว่าขอบคุณสำหรับคำชมเป็นแน่แท้

​          “อะไรกัน ๆ นี่มันผิดปกติที่สุดเลยนี่นา และที่ท่านเดินออกมาคงมิพ้นเป็นเพราะได้ยินเสียงดังจนรบกวนใช่หรือไม่ น่าสงสารยิ่งนัก ทำอย่างไรดี นี่มันอย่างกับปัญหาของคู่รักข้าวใหม่ปลามันเลยนี่ ให้ทายนายท่านคงปล่อยมันผ่านไปแล้วเพิ่งมานึกได้ว่ายังมีสิ่งที่สำคัญ ๆ อยู่สินะ แถมพอได้รู้ซึ้งก็ยังต้องมาพบเจอสิ่งที่มันแทงใจดำเข้าอีก อย่างกับสามีที่จับได้ว่าภรรยานอกใจแต่ก็ทำอะไรมิได้เลย"

​          เจ้าผู้ที่มีแต่ปริศนานี่ปากก็บอกว่ามิรู้อะไรแต่ที่พูดมานี่อย่างกับรู้หมดทุกความเลื่อนไหวภายในวิมานนี้ด้วยซ้ำ คงมิได้เป็นเสาเอกแปลงกายมาหรอกกระมัง

​          “เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยว่าเจ้าเป็นใคร” รามสูรทวนถามสิ่งที่เขายังมิได้คำตอบเลยในคราแรก

​          “หืม ถ้านายท่านอยากรู้ก็ลองเข้าไปถามเอาจากเจ้านายของข้าหลังจากนี้ดูสิ แต่ว่าตอนนี้ถ้าท่านอยากนอนหลับอย่างสบายใจแนะนำให้เดินกลับห้องตัวเองไปแล้วล้มตัวลงนอนเสียจะดีกว่านะ ยังไงท่านก็ง่วงจวนจะตาจะปิดอยู่แล้วนี่นา” 

​          ถึงจะมิรู้ว่าเหตุผลที่แน่ชัดคืออะไร แต่คำที่พ่อหนุ่มแปลกหน้าบอกก็ดูสมเหตุสมผลอยู่บ้าง เพราะเพลานี้รามสูรก็เริ่มง่วงมากเกินกว่าที่จะไปเสวนากับผู้ใดต่อแล้วจริง ๆ การสนทนากับชายผู้นี้ทำให้รามสูรรู้สึกเหมือนใช้พลังยกภูเขาทั้งลูก เพลียจนมิได้สังเกตว่าชายแปลกหน้าผู้นั้นได้หายไปจากครรลองสายตาตั้งแต่เมื่อใด จำได้รางๆ ว่า เจ้าหนุ่มน้อยนั้นทิ้งท้ายไว้ว่าอีกสามวันให้หลังสหายของตนจะมาหา ราหูน่ะหรือ จะมาหาตน หาเรื่องชวนเที่ยวอีกหรืออย่างไร เขารู้กันได้อย่างไรเป็นพนักงานส่งจดหมายหรือ แต่ตอนนี้เริ่มง่วงแล้วต่อให้คิดไปตื่นมาตนก็คงลืมอยู่ดี ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตแล้วกัน

​          เสียงที่ดังรบกวนในคราแรกครั้นเดินกลับมาที่เดิมก็เงียบสนิทราวกลับว่ามิมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าเทพผู้นั้นจะเป็นอมตะแต่รามสูรก็ภาวนาลึก ๆ ว่าเจ้าตัวจะขาดใจตายคาเตียงแล้วทั้งแก้วมณี วิมาน ทั้งศฤงคารและที่ดินจะได้ตกเป็นของรามสูรเสียทั้งหมด แค่คิดรามสูรก็รู้สึกได้ว่าคืนนี้ต้องเป็นคืนที่ได้หลับฝันดีแน่ ๆ

 

​          ฮัดชิ่ว!

“ไม่สบายหรือขอรับ ไหวหรือเปล่า” หนึ่งในบริวารของเมขลาเอ่ยทักหลังจากที่เห็นเจ้าตัวจามมาเป็นพัก ๆ เพราะตนบาดเจ็บจากการออกไปปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ดึกดื่นป่านนี้ครั้นจะไหว้วานผู้อื่นก็คงมิทันการ จะมีก็แต่เทพเมขลาที่รู้จักคุ้นเคยสนิทสนมเป็นอย่างดี ทักษะการรักษาก็มิแพ้เทพที่เป็นหมอ และอยู่ใกล้มากที่สุดจึงได้มาขอร้องให้ช่วย

​          เมขลาส่ายหน้า “เสร็จแล้วล่ะ คราวหน้าเจ้าก็ควรที่จะระมัดระวังตัวบ้าง แบบนี้มันทำให้ข้าลำบากนะ”

​          แผลฉกรรจ์เช่นนี้แม้มิถึงตาย แต่ตอนที่ทำแผลให้นั้นใครเห็นก็จะคิดว่าตนทารุณกรรมเทพด้วยกันเองเสียก่อน

​          พ่อเทพหนุ่มยิ้มร่าหัวเราะคิกคักเหมือนก่อนหน้ามิได้บาดเจ็บมาก่อน “ท่านเมขลาทำข้ารุนแรงขนาดนี้ หนหน้าข้ามิกล้าทำให้ตนเองบาดเจ็บแล้วขอรับ”

​          “รู้ตัวก็ดีแล้ว ยานี่ข้ายกให้เจ้าหมดเลย คราวหน้าจะได้มิต้องมาหาข้าอีก แล้วก็ข้ามิส่งเจ้านะ” เมขลาไสหีบขนาดใหญ่ที่ข้างในนั้นเต็มไปด้วยอุปกรณ์การรักษาและยาเต็มไปหมด เทพน้อยกล่าวขอบคุณก่อนจะล่ำลาและเดินหายลับออกจากห้องไป

​          ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่พอลองได้ส่องกระจกดูหน้าของตนเองแล้วก็พบว่าจมูกแดงจนแทบจะใกล้เคียงกับสีของทับทิมอยู่แล้ว มัวแต่ไปรักษาผู้อื่นจนลืมดูตัวเอง พ่อขวานเพชรคงมิได้บ่นคิดถึงตนจนมิเป็นอันกินอันนอนหรอกนะ

​          แม้เมขลาจะอยากเถลไถลแค่ไหนแต่ ณ ตอนนี้คงมิสามารถทำได้ ลำพังช่วงนี้ตนก็แทบจะมิได้พักผ่อนเลย เร็ว ๆ นี้ก็ยิ่งจะมีเรื่องหนักให้น่าปวดใจขึ้นมาอีก เป็นงานที่สร้างความวุ่นวายให้กับเมขลามากเป็นที่สุด ให้ไปตรวจตรามหาสมุทรเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนยังไม่ท้อใจเท่างานนี้เลย

​          เมขลาเปรย “ถ้าได้เห็นเขี้ยวคม ๆ ก่อนออกมาก็คงจะดีมิน้อย”

​          "ใบหน้าที่ดูนิ่งเฉยไปในคราแรกอยู่ ๆ ก็ฉีกยิ้มขึ้นมาเหมือนสาวน้อยที่ทำการสารภาพรักสำเร็จ

***โปรดติดตามตอต่อไป***

เอ๋~~ พ่อหนุ่มน้อยนิรนามคนนั้นเป็นใครกันน้าาา นึกออกกันมั้ย ติ้กต่อก ๆ กับตัวละครใหม่ที่ทุกคนคุ้นเคย (รึเปล่า)

พ่อเทพโดนใส่ร้ายแล้วค่ะล่าสุด ทรงงานหนักมาก มิได้ไปมิกิ๊กที่ไหนจริง ๆ นะ ลูกพี่แค่มือหนักไปหน่อยขอรับ

 

Twitter:@jantrawayo