สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้อง วันนี้พบกับจารวีเจ้าเก่าเจ้าเดิม เพิ่มเติมด้วยพายุอารมณ์!

CW : พูดถึงศาสนาพุทธในเชิงไม่เคารพ(?), สปอยล์เนื้อเรื่อง(?)

 

          "สวัสดีครับ"

          "ที่นี่... ที่ไหนครับเนี่ย"

          แหน่ะ บทละครตอนนางเอกตื่นมาในโรงพยาบาลสักหน่อย

          ก็ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลจริงๆ นั่นแหละ

          แต่พวกคุณยังจำได้ใช่ไหม ตั้งแต่ตอนที่แล้วที่ผมบอกไปว่าเจอคุณชายใหญ่ที่ไหนไม่รู้มานั่งจ้องหน้าผมน่ะ ผมมันก็คนมีมารยาท ยิ้มทักทายแถมพูดสวัสดีด้วย จนป่านนี้คุณชายเขายังไม่ตอบอะไรผมสักคำเลยครับ นั่งนิ่งเป็นรูปปั้น

          หรือจริงๆ เป็นรูปปั้นวะ...

          แต่ถ้าไม่ใช่ก็อย่าทำตัวเป็นอาจารย์ที่พอเด็กไหว้แล้วก็ทำเมินได้ไหมล่ะ รู้ไหมว่ามันน่าอายนะที่ไหว้แล้วพวกอาจารย์ไม่พยักหน้าตอบน่ะ แล้วยิ่งถ้ามากับกลุ่มเพื่อน.... ไม่อยากจะคิดถึงความน่าอับอาย

          โอ๊ะ ขยับแล้ว ขยับจากนั่งมองเฉยๆ มาเป็นขึ้นคร่อม

          ขอบคุณครับคุณชาย นี่เราจะผูกมิตรกันด้วยท่าทางแบบนี้จริงๆ ใช่มั้ยครับ?

          ผมติดเล่นแหละ แต่เอาจริง ๆ มันก็แอบเหงื่อตกนะ อึดอัดด้วย ขยับออกไปนั่งหมือนเดิมได้ไหม ไม่จำเป็นต้องใกล้ขนาดนี้เลยพ่อคุณขนุนหนัง นายจารวีไม่ได้หูตึงถึงขนาดจะต้องคุยกันแบบใกล้ๆ นะ คือพวกคุณเข้าใจใช่ไหม ขึ้นคร่อมแบบ เอามือมายันตรงข้างหมอนที่ผมหนุนอยู่น่ะ ตัวเขาบังแสงไฟในห้องนี้มิดเลย แล้วก็ก้มหัวลงมาใกล้จนผมเห็นตอหนวดเขาแล้วเนี่ย ช่วยด้วย!

          “เธอดูแปลกไปนะ”

          คุณชายพูดด้วยเสียงทุ้มมีเสน่ห์ สายตาเย็นชาตวัดลงมองผมนัยน์ตาสั่นระริกราวกับลูกกวางของผมจนผมขนลุกไปทั้งร่าง ทว่าเหนือสิ่งอื่นใด กลิ่นกายที่หอมสดชื่นราวกับอยู่กลางป่าต้นสนนั้นทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลายอยู่ในที

          พวกคุณจะให้ผมบรรยายอย่างงี้จริงๆ หรือ? ไม่ค่อยใช่ทางเท่าไรเลย นี่ยังดีนะที่ก่อนหน้านี้ผมเคยอ่านพวกนิยายรักมาบ้าง

          คือเขาก็แค่จ้องตาผมเฉยๆ นี่แหละครับ แต่ตัวเขาหอมจริงๆ นะ น้ำหอมยี่ห้ออะไรเนี่ย

          "เอ่อ... นั่งคุยกันดีๆ ก็ได้มั้งครับ แบบนี้ดูอึดอัดไปหน่อยนะ คุณไม่คิดว่างั้นหรือ"

          อีกฝ่ายกระตุกยิ้ม... กระตุกยิ้ม? กระตุกทำไม กล้ามเนื้อกระตุกหรือ พบแพทย์ไหม?

          "ฉันว่าอย่างนี้ก็ดูใกล้ชิดกันดี คู่สมรสควรจะใกล้กันไว้สิถึงจะดี"

          ออกไปเถอะจ้าพ่อคุณ กล้ามแน่นแขนเสื้อสูทขนาดนั้น ถ้าคุณชายท่านแขนอ่อนแรงกะทันหันขึ้นมา ไอ้จารวีไม่โดนก้อนกล้ามทับตายเลยหรือ

          แต่เดี๋ยวนะ เขาพูดว่าอะไรนะ อะไรชูรสๆ จะทำยำหรือ ผมชอบกินนะ แต่ซื้อกินบ่อยๆ ก็ไม่ไหว ราคากระเป๋าฉีกมาก

          “ชูรส? ”

          เขาหน้ากระตุกอีกแล้ว ไหวมั้ยวะ บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ไปพบแพทย์

          "คู่สมรส"

 

 

 

          ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อแล้วล่ะครับทุกคน ใช่ครับ ทุกคนได้ยินไม่ผิด คู่สมรส ฟอนต์ไทยสารบัญพีเอสเค ขนาด 120 กระแทกเข้าหน้าผมอย่างจังเลยครับ ถึงแม้จะน่าประหลาดใจไปหน่อยสำหรับสถานะใหม่ที่ได้รับ แต่สิ่งที่น่าทึ่งมากกว่านั้นคืออะไรครับ ผมให้เวลาพวกคุณสามวินาทีครับ

          ผมเป็นผู้ชาย

          (ผมคิดว่า) เขา (ก็น่าจะ) เป็นผู้ชาย

          เราเป็นคู่สมรสกัน

          ที่แห่งนี้มีการสมรสสำหรับทุกเพศครับบบบบ โอ้โห แม้แต่ดินแดนกะลาที่ผมจากมายังไม่มีเลยนะครับเนี่ย สุดยอดจริงๆ เลยโลกใบนี้

          แต่นี้แสดงว่าผมเข้ามาอยู่ในร่างสามีคนอื่น?

          ผมเป็นชู้???

          โอ้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์!!

          ในฐานะที่เป็นชาวพุทธตามศาสนาที่ถูกใส่ให้ตั้งแต่เกิดในบัตรประชาชน (โดยที่ผมไม่ได้เลือกเอง) ผมรับไม่ได้! ศีลข้อสาม กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณีสิกขา ปะทังสมาทิยามิ ห้ามประพฤติผิดในกาม โน้โน นี่เป็นเรื่องที่รับไม่ได้โดยเด็ดขาด ผมจะ ผมจะ!

          จะทำยังไงดีวะ ฮืออออ

 

 

 

          ในขณะที่ภายในหัวเล็กๆ ของจารวีกำลังคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้อย่างหนัก ใบหน้าของร่างที่เขาอาศัยอยู่ก็แสดงอารมณ์ตามที่คิดออกมาด้วย และใบหน้าราวโลกกำลังจะล่มสลายในตอนสุดท้ายก็ต้องย่อมถูกเห็นโดยบุคคลด้านบนอย่างเสียไม่ได้

          เมื่อดิศรณ์เห็นสีหน้าราวกับโลกถล่มของจารวีก็พลันคิดว่าเป็นเพราะคำที่ตนพูดไป

          คู่สมรส

          แสลงหูมากนักหรือที่ได้ยินว่าเขาคือคู่สมรส...

          เขาผละร่างของตนออกมาทันที รอยยิ้มสมเพชใครไม่อาจทราบได้ปรากฏบนใบหน้าอย่างยากจะเก็บซ่อน ในทีแรกหลังจากผละออกมา คนในชุดสูทคิดอยากจะเตรียมอาหารเย็นให้คนป่วยตามมารยาทที่ควรทำ แต่เมื่อเห็นสีหน้าโล่งใจพลางถอนหายใจ ความคิดนั้นก็ถูกเก็บเข้ากรุไปทันที

 

 

 

          จารวีลูบอกลูบหน้าบรรเทาอาการตกใจของตนเองทันทีหลังจากที่พายุอารมณ์ลูกโตพัดออกจากห้องไป

          เป็นใครจะไม่ตกใจบ้างล่ะ คุณชายท่านนั้นที่ผมก็ยังไม่รู้ชื่อสักที จู่ๆ ก็ลุกพรวดพราดไปยืนทำหน้าเบี้ยวสักครู่หนึ่งก็เหาะออกจากห้องไปทันที แถมกระแทกประตูเสียดังสนั่น

          นี่โรงพยาบาลนะคุณชาย....

          แต่อย่างแรกเลย อย่างแรก!

          เขาต้องการเห็นหน้าของร่างที่เขามาสิงอยู่เดี๋ยวนี้ ไหนกระจก! ไหนห้องน้ำ?!!

          ถึงจะลำบากนิดหน่อยที่ต้องลากเสาน้ำเกลือเดินไปมา แต่หลังจากคลำทางอยู่สักพักจารวีก็เจอกระจกสักที

          ขอร้อง นี่มันห้องพักผู้ป่วยจริงไหมเนี่ย ทำไมมันกว้างขนาดนี้วะ

 

 

          .................................

          ไอ้หนุ่มสุดหล่อในกระจกนี่มันใครกันครับเนี่ย หน้าตาดีเหมือนตอนผมยังมีชีวิตอยู่ไม่มีผิดเลย ขนาดมีผ้าก๊อซสีขาวพันศีรษะอยู่จนผมยุ่งเป็นรังนก ก็ยังไม่สามารถลดทอนออร่าคนหน้าตาดีของผมไปได้เลย ดูดี! ยอดเยี่ยม!

          ผมจับๆ ลูบๆ ใบหน้าของร่างกายนี้อยู่สักครู่ แล้วก็ทำใจได้เหมือนตอนที่หัวฟาดพื้นตาย

          แต่คือ เอาเลยหรอ เริ่มเลยหรอ พวกพล็อตเกิดใหม่สลับวิญญาณ บลาๆ อะไรพวกนี้เนี่ย อ๋อๆ อืมๆ

          ผมไม่ได้จะบอกว่ามันไม่ดีนะ มันก็ดีแหละ ก่อนจะตายผมก็อ่านนิยายแนวนี้เยอะ แต่ละเรื่องก็ดีๆ ทั้งนั้น แต่มันจะไม่น่าเบื่อมากเกินไปหรือที่ผมก็จะกลายเป็นแค่หนึ่งในคนที่ทะลุมิติมาเกิดใหม่

          แถมมันยังเดาได้เลยว่าวิญญาณเจ้าของร่างเก่าที่หน้าเหมือนผมแบบร้อยเปอร์เซ็นต์คนนี้ เขาจะต้องมีเรื่องให้ผมตามล้างตามเช็ดแน่นอน คู่กรณีคนที่หนึ่งก็คุณชายคนเมื่อกี้ที่เพิ่งออกจากห้องไปอย่างไรล่ะ

          ถ้าหากให้เดาย้อนกลับไปอีกหน่อยก็คง...

          โอ้ เกี่ยวกับไอ้คำว่า "คู่สมรส" นั่นแน่ๆ เลย

          พวกคุณอย่าหาว่าผมสปอยล์เนื้อเรื่องเลยนะ แต่ผมว่าพล็อตของคีย์เวิร์ดนี้มันก็มีอยู่แค่นี้แหละ

          พระเอกสองคนไม่ชอบหน้ากัน โดนคลุมถุงชนเพราะทางบ้านต้องการสานสัมพันธ์ ทะเลาะกัน พระเอกได้เจอคนที่เขารักจริงๆ ประกาศขอหย่า "ผมจะไม่ยอมทำตามที่ใครสั่งอีกแล้ว! เขาคือคนรักของผม!!" พระเอกอีกคนก็เลยกลายเป็นตัวร้ายคอยตามรังควานชีวิตรักของคู่ข้าวใหม่ปลามัน คนรักของพระเอกจะต้องโดนตัวร้ายทำร้ายทางไหนสักทาง แล้วก็ บู้ม! พระเอกปรี๊ดแตก แก้แค้นตัวร้าย ตัวร้ายตาย พระเอกและคนรักอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขบนกองเงินกองทองตลอดไป

          ลืมบอกไปว่าพระเอกจะต้องโคตรพ่อโคตรแม่รวย

          อ้าว นี่ผมเฉลยไปหมดแล้วหรอ แย่จังนะ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ มันเดาทางได้นี่นา

          แน่นอนว่าผมจะไม่พาตนเองเข้าไปอยู่ในสมการพวกนี้เด็ดขาด อยากทำอะไรทำเลยครับพี่ๆ ปล่อยผมนอนบนเตียงนุ่มๆ จากเงินพ่อแม่ก็พอ

          และโอ้ ฉากต่อไปจะต้องเป็น คุณท่านและคุณหญิงแม่จะต้องโผล่เข้ามาร่ำไห้เสียใจที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนได้รับบาดเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาล

          เริ่มในสาม

          สอง

          หนึ่ง...

          "ตาวีของแม่ วีลู๊กกกกกก โฮฮฮฮ"

          ทำไมผมเดาเก่งขนาดนี้วะ

 

 

          ผู้มาใหม่เปิดประตูพรวดเข้ามาโดยคาดหวังว่าจะได้เจอลูกชายคนเล็กของตนนอนพักอยู่บนเตียง เพียงแต่ผิดคาดไปเสียหน่อยที่ต้องมาเห็นเตียงโล่งว่างเปล่าไร้วี่แววของคนป่วย จึงห้ามตนเองไม่ให้ตะโกนเรียกหาไม่ได้เลย

          "ตาวีของแม่ วีลู๊กกกกกก โฮฮฮฮ"

          "..."

          และแน่นอนว่าบุคคลที่ต้องคอยอยู่เคียงข้าง ราตรี มารดาของร่างที่จารวีมาอาศัยอยู่ จะเป็นใครเสียไม่ได้นอกจากบิดาของร่าง จิรวัฒน์ ประธานบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ของประเทศ เมื่อเห็นภรรยาตกใจเจียนจะร่ำไห้ที่เห็นลูกชายหายไปก็ลูบไหล่พลางเอ่ยเตือน

          "ลูกอาจจะไปเข้าห้องน้ำก็ได้ ประตูห้องน้ำปิดอยู่นะคุณ"

          "ฮึก ตาวี... อยู่ในห้องน้ำใช่ไหมลูก ตอบแม่หน่อยค่ะลูกขา"

          พลันได้ยินคำพูดเรียกสติจากสามี เธอก็กระวีกระวาดเดินไปยังหน้าห้องน้ำพร้อมเอ่ยถามทันที

          ส่วนเจ้าตัวที่อยู่ข้างในน่ะหรือ...

          ยืนทำหน้าเบื่อโลกอย่างอดไม่ได้อยู่น่ะสิ

 

 

          ผม... ผมว่าผมไม่เข้าใจคนในโลกนี้ว่ะ คือถ้าไม่โอเวอร์ด้านอารมณ์จนสุดโต่ง ก็คือไม่มีความรู้สึกไปเลยใช่ไหม แล้วคุณแม่.... ใจเย็นๆ ก่อนได้ไหมล่ะ

          "อยู่ครับ"

          ผมตะโกนผ่านประตูห้องน้ำออกไป เตรียมตัวตนเองให้พร้อมเผชิญกับอีกสองความน่าลำบากใจ คุณหญิงแม่ คุณท่านพ่อ

          แต่พอเปิดประตูออกไปมันก็ค่อนข้างจะผิดคาดไปหน่อยนะ แบบว่าในทางที่ดี

          สองคนนี้หน้าเหมือนพ่อแม่ผมเปี๊ยบเลย แบบ เป๊ะร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เหมือนจนผมเผลอเรียกพ่อแม่ออกไปเลย

          "แม่..."

          โอเค ผมรู้ว่านี่มันซีนละครมากเกินไปหน่อย แต่พวกคุณก็ต้องทนให้ได้นะเข้าใจไหม เพราะว่าผมรู้สึกแบบนี้จริงๆ นี่นา ผมไม่โกหกพวกคุณหรอก

          "โฮ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะคะ เจ็บมากเลยหรือวี ไม่เป็นไรแล้วนะลูกแม่"

          อ้อมกอดพร้อมกลิ่นน้ำหอมผู้ดีโอบล้อมร่างนี้ในทันที คำพูดเอ่ยปลอบราวกับผมเป็นเด็กน้อยนี่ค่อนข้างทำให้ผมรู้สึกแปลกไปหน่อย

          แต่ก็อบอุ่นดี

          อ๊า คิดถึงแม่จัง ป่านนี้จะรู้รึยังนะว่าผมตายแล้ว พ่อด้วย

          ถึงผมจะไม่กลัวตาย แต่ใช่ว่าคนรอบตัวผมไม่กลัว คิดแบบเข้าข้างตนเองสุดๆ อย่างน้อยพ่อแม่และพี่ชายของผมก็น่าจะเสียใจอยู่ไม่น้อย ถ้าได้ข่าวว่าผมตายแล้ว...

          พอคิดอย่างนี้แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเสียดื้อๆ 

          "วีลูก ร้องไห้ทำไม ชู่ว ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวแม่ให้พ่อเรียกหมอมาให้นะคะ"

          โอ้ย คือผมไม่ได้อยากจะร้องไห้นะ แต่มันกลั้นไม่อยู่จริงๆ ตอนยังมีชีวิตอยู่ไอ้ผมก็ทำงานอยู่เมืองหลวง จากพ่อแม่กับบ้านเกิดมาตั้งแต่ตอนเข้ามหาลัย นานๆ ทีถึงได้กลับไปหาให้หายคิดถึง 

          ก่อนจะตายก็ไม่ได้กลับไปหามาเกือบเดือนแล้ว ได้เจอแค่ทางโทรศัพท์มือถือผ่านจอเล็กๆ สองสามวันครั้ง 

          'ว่างๆ ก็กลับบ้านบ้างนะวี พ่อเขาคิดถึง แม่ก็คิดถึง'

          'วีก็คิดถึงแม่เหมือนกัน แต่ไม่คิดถึงพ่อหรอก พ่อชอบปากแข็งว่าไม่คิดถึง'

          มันคิดถึง ความรู้สึกมันอึดอัดจนล้นอกผมไปหมดแล้ว

          คิดถึงแม่จัง...

          ปาดน้ำตาไม่ทันแล้ว ร้องแม่งเลยแล้วกัน 

          "นี่ก็จะยืนนิ่งทำไมล่ะ!! ลูกเจ็บจนร้องไห้หนักขนาดนี้ยังไม่รีบไปตามหมออีก! โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะวี"

          ผมได้แต่ยืนนิ่งในอ้อมกอดของคนที่หน้าคุ้นเคย รับความรู้สึกอบอุ่นที่พอจะทดแทนกันได้อย่างเงียบๆ พร้อมกับมองคนหน้าคุ้นเคยอีกคนเดินออกจากห้องไป

          เหมือนเกินไป ทั้งหน้าตา ทั้งท่าทางที่พวกเขาแสดงออกก็เหมือนเกินไป มันเหมือนจนผมรู้สึกว่าได้กลับบ้าน ได้กลับไปเจอพ่อแม่จริงๆ 

          โอ้ย น้ำตามันไหลอีกแล้ว

 

 

          โอเคพักซีนอารมณ์ ตอนนี้ตาผมเจ็บไปหมดแล้ว แถมลืมตาไม่ค่อยขึ้นอีก ตาบวมจนถึงพรุ่งนี้แน่ๆ เลย

          ผมจะสรุปให้ฟังแบบย่อๆ แล้วกันว่าหลังจากที่ผมปล่อยโฮมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

          คือหลังจากที่พ่อของวี (น่าจะชื่อของร่างนี้แหละ ผมเห็นพ่อกับแม่ของเขาเรียกผมแบบนี้) ออกจากห้องไปสักครู่ หมอกับพยาบาลอีกสองสามคนก็เข้ามา ตรวจร่างกายพร้อมกับเข็นผมไปห้องตรวจนู่นนี่นิดหน่อย แล้วก็เข็นผมมาส่งที่ห้องพักเหมือนเดิม (ผมจะไม่พูดหรอกนะว่าสภาพผมแย่ขนาดไหนหลังจากที่ร้องไห้เสร็จ ทั้งน้ำตาทั้งน้ำมูก… ส่วนพ่อกับแม่ของร่างนี้ หลังจากที่ได้ยินจากหมอว่าผมปกติดีก็ดูโล่งอกกันนะ 

          และตอนนี้ก็กำลังปอกผลไม้กับหาสารพัดเครื่องดื่มมาให้ผมกิน

          โอ้ แล้วก็อาหารเย็นด้วย

          "แล้วดิศรณ์เขามาเยี่ยมลูกบ้างรึยัง"

          "ดิศรณ์?"

          ดิศรณ์ไหนวะ คุณชายคนเมื่อกี้หรือ หรือใคร ตื่นมาผมก็เจอแค่คุณชายใหญ่นั่น แล้วก็พวกคุณสองคนเนี่ยคุณแม่

          "อะไรกัน ยังไม่หายโกรธพี่เขาอีกหรือไง แต่งกันมาตั้งสองปีแล้วจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักพี่เขาไปทำไม"

          พ่อของวีนี่บทจะเงียบก็เงียบ บทจะพูดครั้งหนึ่งก็พูดข้อมูลสำคัญออกมาเลยนะเนี่ย ตรงเข้าประเด็นเสียจนตั้งรับแทบไม่ทัน

          สรุปก็คือแต่งงานกับคุณชายใหญ่นั่นมาสองปีแล้วสินะ... โอ้ย ปวดหัว ก่อนตายก็ไม่มีแฟนเลยสักคน พอมาอยู่ร่างนี้ก็มีสามีเป็นตัวเป็นตนเลยเสียอย่างนั้น ผมตั้งตัวไม่ทัน

          แต่หลังจากที่พ่อพูดขึ้นมา แม่ก็เงียบไปเลยแฮะ... โอ้ แถมยังหน้ากระตุกนิดๆ ด้วย บรรยากาศมาคุมาเลย พายุเข้าแน่

          โชคดีละกันนะครับคุณพ่อ

          "ให้หายโกรธหรือคะ? หายโกรธที่โดนบังคับให้แต่งงานด้วย? หายโกรธที่โดนคลุมถุงชนแบบกะทันหันงั้นหรือ? คุณจิ ฉันให้คุณพูดอีกค่ะ จะให้ลูกหายโกรธครอบครัวนั้นจริงๆ หรือ?! ดีเท่าไรแล้วที่วันนี้ลูกยอมให้คุณนั่งอยู่ในห้องด้วยโดยที่ไม่บ่นสักคำ!"

          อู้ว โดนคลุมถุงชนด้วยหรือ นี่มันยุคไหนวะเนี่ย ทำไมยังมีเรื่องแบบนี้อยู่อีก แม่ค้าบ วีงงไม่ไหวแล้ว 

          "ราตรี... คุณใจเย็นๆ ตอนนั้นเราก็อยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝาไม่ใช่หรือ แล้วคุณก็.."

          "ตอนนั้นฉันอยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝาก็จริง แต่ไม่ใช่ไปจับลูกมาแต่งกับลูกเพื่อนคุณอย่างนี้ แต่งไปแล้วลูกมีความสุขไหมล่ะ ดูสิ"

          วู้วววว สนุกโคตรๆ เหมือนตอนพ่อแม่ตีกันก่อนผมตายไม่ผิดเลย บรรยากาศที่คุ้นเคย

          "..."

          อ้าว พูดไม่ออกไปเลยคุณพ่อ 

          "วี ไม่ต้องไปสนใจพ่อเขาหรอกลูก นี่โจ๊กเพิ่มไข่แบบพิเศษของโปรดลูกไง กินเยอะๆ นะวี จะได้หายเร็วๆ"

          ผมได้แต่ยิ้มรับและซดโจ๊กเงียบๆ นั่งจ้องโทรทัศน์ที่ปลายเตียงผู้ป่วยด้วยใบหน้าซื่อราวกับหมาน้อย ด้วยรู้ตัวดีว่าไม่ควรพูดอะไรออกไปในตอนนี้ทั้งนั้น

          กลัวบรรยากาศแย่กว่าเดิมหรือ? อ๋อเปล่า กลัวโป๊ะ

          โธ่ ก็พวกคุณลองคิดดู พ่อแม่เขาอยู่กับเจ้าของร่างนี้มาทั้งชีวิต เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย จนตอนนี้กลายเป็นหนุ่มหล่อแต่งงานแล้วขนาดนี้ ผมหันหน้าผิดองศานิดเดียวเขาก็รู้แล้วมั้งว่าผมไม่ใช่ลูกเขา

          เผลอๆ ตอนนี้ผมอาจจะโป๊ะแล้วก็ได้ บางทีร่างนี้อาจจะกินขิงในโจ๊ก แต่ผมไม่กิน เพราะฉะนั้นผมจะเขี่ยมันออกไปแบบแนบเนียนแล้วกัน โอ้มายกู๊ดเนส

          "น่ารักมาก กินข้าวเสร็จแล้วต้องกินยาด้วยนะคะ ห้ามแอบไปคายทิ้งนะ พักผ่อนให้มากๆ เดี๋ยวแม่ต้องไปทำงานแล้ว วีอยากได้อะไรบอกลุงพ่อบ้านนะ ห้ามดื้อนะคะ"

          ผมพยักหน้าหงึกหงักรับคำที่แม่พูดจนเส้นผมตกลงมาปรกหน้าปรกตาเต็มไปหมด แอบเห็นลางๆ ผ่านกลุ่มเส้นผมว่าเธอยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนจะทั้งปัดทั้งเสยผมให้ 

          อ่า ถึงอย่างไร ลูกก็คือลูกอยู่วันยันค่ำสินะ ไม่มีวันโตขึ้นไปมากกว่าสิบขวบได้เลย

          หลังจากที่พ่อกับแม่ของวีกลับไป ห้องพักคนไข้ถึงได้กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เหลือเพียงเสียงลมที่พัดผ่านจากเครื่องปรับอากาศ และเสียงสวบสาบของเสื้อผ้าเวลาขยับตัวเท่านั้น

          อ๊า กลับมาทบทวนกันหน่อย ร่างที่ผมอยู่ชื่อวี มีพ่อแม่ที่หน้าตาเหมือนพ่อแม่ผมเป๊ะๆ โดนจับคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชายใหญ่คนนั้นมาสองปีแล้ว และดูตามร่างกาย มีแค่ความรู้สึกเจ็บๆ ตึงๆ บริเวณหน้าผากด้านซ้ายเท่านั้น น่าจะหัวแตก?

          แต่คือ นี่มันโลกแบบไหนกันวะครับเนี่ย ตอนแรกที่เห็นวาคู่สมรสของวีเป็นผู้ชาย ผมก็นึกว่าจะเป็นโลกที่เจริญแล้วเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ายังมีการคลุมถุงชนอยู่

          วีงงครับแม่...


TALK :

ถามว่าทำไมเกิดใหม่แล้วต้องเป็นคนรวย ก็เพราะการเป็นคนรวยมันทำอะไรก็ง่ายไปหมดน่ะสิ!! ฉันไม่ยอมให้ลูกฉันมาลำบากหาเงินงกๆ ในโลกทุนนิยมหรอกนะ!! 

13/03/2022