1 ตอน PROLOGUE - ใครคือกิมเจ๋ง
โดย papersimmon-na
เรามีสังคมที่แตกต่าง
เราทุกคนมีความแตกต่าง
แต่ไม่ใช่ทุกความแตกต่าง
จะได้รับการยอมรับ
ผมชื่อ เมธานินท์ พงไพรรักษ์ คนรอบตัวเรียกผมว่า เม รูปลักษณ์ของผมที่ผู้คนภายนอกมองเห็นคือเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว ตัดผมทรงรองทรงต่ำ และใส่แว่นกรอบเหลี่ยมสีดำ
ก็ดูเป็นคนธรรมดาทั่วไปนี่
ผมโตมากับหนังสือเรียนวิชาสุขศึกษาที่สอนเรื่องเพศศึกษาไว้ว่า สังคมมีเพียงเพศชายและหญิง นอกเหนือจากนั้นถือว่าเป็นผู้มีความผิดปกติทางเพศ หรือที่ในหนังสือเขียนอธิบายว่า กลุ่มคนเหล่านี้คือพวก เบี่ยงเบนทางเพศ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่สังคมและถูกนำเสนอในมุมมองเชิงลบ
ผู้ใหญ่บางคนบอกผมว่าการเบี่ยงเบนทางเพศคือโรคที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา
พ่อแม่ผู้ปกครองบางคนก็ต่อต้านและไม่ยอมรับในสิ่งที่ลูกพวกเขาเป็น
ผมไม่เข้าใจ
ทำไมสิ่งที่ผมเป็นถึงไม่ปกติ ?
ทำไมต้องบอกว่าผมไม่ใช่คนธรรมดา ?
ทำไมทุกคนมองว่าสิ่งที่ผมเป็นคือเรื่องที่ผิด ?
"พ่อครับ แม่ครับ ผม....ชอบผู้ชาย ผมเป็นเกย์"
ตัวผมในวัยสิบสี่ตัดสินใจบอกถึงตัวตนของตัวเองให้พ่อแม่ได้รับรู้ อย่างน้อย ผมก็ยังหวังว่าครอบครัวที่มีกันสามคนพ่อแม่ลูกนี้ จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ผมได้
แต่ผมคิดผิด
แม่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
พ่อลุกออกไปจากโต๊ะกินข้าว
มันคงเป็นการแสดงออกที่ชัดเจนแล้วว่าการเป็นเกย์ของผมไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวและนั่นคงไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยสำหรับผม
บางทีโลกภายนอกอาจจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยของผมก็ได้
แฟนคนแรกของผมคือรุ่นพี่ในโรงเรียน เขาอยู่ชมรมบาสเก็ตบอลชาย เราคบกันโดยที่คนส่วนมากในโรงเรียนต่างรู้กันอย่างชัดเจน
ผมดีใจที่มีคนยอมรับและให้เกียรติ แต่อย่างที่ทุกคนรู้กัน การที่มีคนยอมรับ ไม่ได้หมายความว่าทุก ๆ คนจะยอมรับ
บางคนเอาเรื่องของเราไปซุบซิบเหมือนเป็นเรื่องสนุก
บางคนล้อเลียนผมเวลาที่เจอหน้ากัน เรียกว่านักขุดทองบ้าง เรียกตุ๊ดบ้าง แล้วแต่ว่าวันนั้นพวกเขาอยากจะเรียกผมว่าอะไร
บางคนเรียกผมว่า แม่ น้องสาว หรือพี่สาว ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้มีความต้องการที่จะเป็นเพศหญิง ผมแค่ชอบผู้ชาย ซึ่งมันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเรียกผมแบบนั้นได้ตามใจชอบ
ผมจึงได้ค้นพบว่าไม่ว่าจะเป็นในครอบครัวหรือสังคมภายนอก ตัวตนของผมก็ไม่ได้ถูกยอมรับอย่างจริงจัง
เพราะว่าถูกตีกรอบหรือเปล่า ?
นั่นสิ บางทีนี่อาจจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดก็ได้
สังคมตีกรอบว่าความรักระหว่างหญิงชายเป็นเรื่องปกติและให้กฎหมายรองรับต่าง ๆ มากมาย ในขณะที่ความรักของกลุ่มคนเพศเดียวกันถูกมองว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด เป็นความรักเพียงชั่ววูบ ไม่จีรังยั่งยืน จึงไม่ได้รับการสนับสนุนใด ๆ
สังคมยังตีกรอบอีกว่า คู่รักที่เป็นเพศเดียวกัน ฝ่ายรุกจะต้องมีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมหล่อ ส่วนฝ่ายรับจะต้องตัวเล็กและมีใบหน้าหวาน
สุดท้ายการถูกยอมรับก็ยังคงเป็นเรื่องที่ยาก
ตราบใดก็ตามที่ไม่ได้เป็นไปตามกรอบที่คนส่วนใหญ่ตีขึ้นมา การถูกยอมรับยังคงยากเสมอ
"นักเรียนคะ เดี๋ยวครูจะให้จับคู่ทำงานกันนะ แต่เนื่องจากว่าห้องนี้มีจำนวนนักเรียนเป็นเลขคี่ ใครที่ไม่มีคู่ทำงาน ให้เดินมาหาครูนะ"
ในอาทิตย์แรกของการเปิดเทอมสำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก คุณครูประจำวิชาสังคมศึกษาได้สั่งงานชิ้นหนึ่งขึ้นมาด้วยเงื่อนไขว่าให้ทำกันเป็นคู่
บางคนในห้องท้วงขึ้นว่าน่าจะจับกันเป็นกลุ่มโดยให้มีสมาชิกเป็นเลขคี่มากกว่าจับกันเป็นคู่ จะได้ไม่มีใครที่ต้องอยู่เป็นเศษ
"แต่ครูว่า ถ้าจับกลุ่มแบบนั้นจะไม่ยุติธรรมกับเพื่อน ๆ ห้องอื่นที่เขาจับคู่ทำงานกันแล้ว"
แต่เหตุผลของคุณครูก็สมเหตุสมผล เนื่องจากมีบางห้องที่เรียนกันไปแล้วและได้รับมอบหมายงานไปก่อนหน้า ถ้าจะให้ห้องเราจับกลุ่มด้วยจำนวนสมาชิกที่มากกว่า แน่นอนว่าคงไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่เริ่มลงมือกันทำงาน
"ขอโทษนะไอ้เม"
"ถ้าครูสั่งอะไรมาเดี๋ยวพวกกูช่วยอีกแรงนะ"
แน่นอนว่าผมกับเพื่อน ๆ อย่างกอล์ฟกับภูมิที่มีกันสามคนก็ต้องมีหนึ่งคนที่ไม่มีคู่ และผลของการโอน้อยออกก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคนคนนั้นก็คือตัวผมเอง
"ไม่เป็นไร ๆ สบายมาก"
เป็นเรื่องที่ดีว่าทั้งกอล์ฟและภูมิต่างยอมรับผม อีกทั้งยังสนับสนุนในสิ่งที่ผมเป็น ทำให้เราสามารถสนิทกันได้มากถึงขนาดนี้
"ชื่อเมธานินท์ใช่ไหม เดี๋ยวครูจะให้เราคู่กับจรัลพิพัศ ห้องห้านะ"
คุณครูบอกว่าห้องห้าเองก็มีจำนวนนักเรียนเป็นเลขคี่ และคนที่ชื่อจรัลพิพัศก็ยังไม่มีคู่เหมือนผมเพราะวันที่สั่งงานเขาไม่ได้มาเรียน
ผมไม่ได้ติดใจอะไรกับการที่ได้ทำงานคู่กับเพื่อนต่างห้อง แต่ปัญหาคือผมไม่รู้จักเขา ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร ถ้าไม่ใช่คนใจร้ายก็คงดี
"กูไปถามไอ้ทีมา มันบอกว่าเป็นเพื่อนในกลุ่มมันเอง"
กอล์ฟช่วยผมไว้ได้มาก ทันทีที่รู้ชื่อคู่ทำงานของผม เขารีบส่งข้อความไปถามเพื่อนที่รู้จักทันและทำให้เราทั้งสามคนอุ่นใจว่าอย่างน้อยคนคนนั้นก็ไม่ใช่คนไกลตัวจนเกินไป
"คนไหนวะ ?"
"ชื่อ กิมเจ๋ง เคยเห็นหน้าอยู่ แต่ไม่เคยคุยกัน ดูเป็นคนพูดน้อย เงียบ ๆ แต่ไอ้ทีบอกใจดีมาก"
"ใจดี แต่เหยียดเพศ ความคิดป่วย ก็ไม่ได้ไหม"
"กูว่าไม่นะ กลุ่มไอ้ทีก็มีคนที่เป็นทรานส์เป็นเลสเบี้ยน ไม่เห็นใครจะมีปัญหากับกิมเจ๋งสักคน"
"แล้วพอจะมีรูปไหม ?"
"ไม่มีว่ะ ไอ้ทีมันบอกว่าเพิ่งเปลี่ยนมือถือเลยยังไม่ได้ย้ายข้อมูลมา ไม่มีรูปให้ แต่เดี๋ยววันนี้ตอนเลิกเรียนจะมาคุยด้วย"
สุดท้ายเราก็จบประเด็นของคนที่ชื่อกิมเจ๋งเพราะคุณครูเริ่มเรียกให้พวกเรากลับมาสนใจกับบทเรียนที่จะเรียนกันในวันนี้แทน
เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน ในขณะที่คนส่วนใหญ่ทยอยเดินออกจากห้องเรียน เตรียมตัวเดินทางกลับบ้านหรือไปทำธุระส่วนตัวกันต่อ ผมยังคงต้องอยู่ในห้องเรียนเพราะตลอดอาทิตย์นี้ เป็นเวรทำความสะอาดของผมกับเพื่อนอีกจำนวนหนึ่ง
"พอดีพวกกูรีบว่ะ งั้นหนูเมทำความสะอาดไปนะ มึงน่าจะชอบอยู่แล้วพวกงานบ้านงานเรือน เผื่อจะได้ใช้มัดใจผัวในอนาคต"
คนที่พูดประโยคเมื่อกี้คือ ฟิล์ม เขาเป็นคนที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมรับตัวผม แม้ในตอนที่เรียนอยู่ชั้นมอสี่ ช่วงเปิดเทอมใหม่ ๆ เราดูจะไปกันได้ดี แต่เมื่อเขารู้ว่าผมเป็นเกย์ ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป
เขาทำตัวหยาบคายกับผม เรียกผมด้วยสรรพนามที่ผมไม่ชอบ พูดจาล้อเลียนให้ผมรู้สึกอาย พยายามทำทุกอย่างให้ผมรู้สึกแย่กับสิ่งที่ผมเป็น
มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับการที่มีคนเห็นด้วยและสนับสนุนให้เขาทำแบบนั้นต่อไป
ผมยังไม่เข้าใจเลยว่าเขาต้องการอะไรถึงมาทำแบบนี้กับผม
เสียดายที่กอล์ฟกับภูมิกลับกันไปก่อนแล้วเพราะต้องรีบไปเรียนพิเศษ ดังนั้นในห้องเรียนนี้จึงเหลือผมอยู่คนเดียว
ใช่ ผมคนเดียว
ถ้าผมไม่ทำเวรด้วยอีกคน ห้องของเราจะถูกหักคะแนนจิตพิสัยกันทั้งห้องโทษฐานที่ไม่รับผิดชอบ ปล่อยให้ห้องเรียนไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งผมไม่ต้องการให้คนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดต้องมาโดนหักคะแนนไปด้วย จึงรีบทำเวรให้เสร็จก่อนจะถึงเวลาตรวจความสะอาด
"สวัสดี"
แต่อยู่ดี ๆ ก็มีเสียดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังจัดโต๊ะเรียน
เมื่อมองไปทางต้นเสียงก็พบเข้ากับเด็กหนุ่มที่ดูอายุเท่า ๆ กันยืนอยู่หน้าประตูห้อง เขามีผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ ตัดสั้นเป็นทรงรองทรงสูง ผิวเหลืองและออกไปทางคล้ำแดด แต่ที่ทำให้ผมสะดุ้งไปเล็กน้อยคือดวงตาที่ถึงแม้จะโตแต่ก็เป็นทรงคมเฉี่ยวสีเดียวกับเส้นผม มันทำให้เขาดูมีใบหน้าที่หงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา
แต่พูดกันตามตรง เขาแอบทำให้ผมนึกถึงคุณสามสี แมวของลุงภารโรงที่ชอบทำหน้าไม่ต้อนรับเด็ก ๆ อยู่เหมือนกัน
"อ่า...สวัสดีครับ"
บนอกเสื้อของเขาปักไว้ว่า จรัลพิพัศ เจริญปัญญากุล และดาวที่อยู่เหนือชื่อนั้นก็บ่งบอกว่าเราอยู่ชั้นเดียวกัน
"เมธานินท์อยู่ไหม ?"
เสียงของเขาค่อนข้างเบา แต่ก็ยังคงดังพอให้ได้ยิน
"อืม เราเอง...เมธานินท์คือเราเอง"
"อ๋อ..."
ดูเหมือนเขาจะเก็บอะไรบางอย่างเข้ากระเป๋าเสื้อก่อนจะชี้ที่ตัวเอง
"กิมเจ๋งนะ ที่อยู่ห้องห้า"
กิมเจ๋งคือคนนี้นี่เอง
"อื้อ !"
"แล้วนี่ทำเวรคนเดียวเหรอ ?"
"ใช่ ๆ พอดีคนอื่นติดธุระ เราเลยอยู่เป็นเวรคนเดียว"
"อืม..."
เหมือนว่ากิมเจ๋งจะยื่นหน้าเข้ามาดูสภาพห้องเรียน เมื่อเขาเห็นว่ามีผมทำเวรอยู่คนเดียวจริง ๆ และห้องเรียนก็ยังไม่เรียบร้อย เหลืออีกตั้งหลายจุดที่ต้องเก็บกวาด เขาจึงเดินเข้ามาและตรงไปที่ตู้เก็บไม้กวาดจากนั้นก็เริ่มกวาดพื้น
จริง ๆ กิมเจ๋งไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลยก็ได้ เขาไม่ใช่เวรทำความสะอาดของอาทิตย์นี้และไม่ใช่นักเรียนห้องนี้ด้วยซ้ำ จะเรียกให้ผมไปคุยก่อนแล้วกลับบ้านเลยก็ยังได้
แต่เขาก็ทำ
ร่างที่ผมไม่คุ้นตานั้นกวาดพื้นห้องเรียนอย่างตั้งใจตั้งแต่หน้าห้องไปจนถึงหลังห้อง และเมื่อกวาดเสร็จแล้วยังเดินเอาขยะไปเททิ้งอีก
"เมธานินท์ จัดโต๊ะเสร็จหรือยัง ?"
"อื้อ จัดเสร็จแล้ว เดี๋ยวเราไปลบกระดานก่อนนะ"
"อย่าลืมเช็คปากกาด้วยนะ ถ้าหมึกหมดก็ไปเบิกที่ส่วนกลาง"
กิมเจ๋งใส่ใจทุกรายละเอียด อันที่จริงเขาจะเมินมันไปก็ได้หรือจะลืม ๆ ไปก็ยังไม่ผิด ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องมาใส่ใจเรื่องนี้โดยที่เขาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับอะไรสักอย่าง
แต่ก็ยังจำ และใส่ใจมาก ๆ
"ขอบใจที่มาช่วยนะ ถ้าไม่ได้กิมเจ๋ง ตอนนี้ก๋ยังทำไม่เสร็จหรอก"
"ไม่เป็นไร"
เราเดินลงจากตึกเรียนด้วยกันโดยที่ระหว่างทางก็พูดถึงงานที่ได้มาทำคู่กันไปด้วย
การเดินข้างกันแบบนี้ทำให้ผมสังเกตว่า กิมเจ๋งค่อนข้างเป็นคนตัวเล็ก น่าจะสูงไม่เกินหนึ่งร้อยหกสิบปลาย ๆ ซึ่งนั่นทำให้เขาสูงพอดีกับคางผม
"เมธานินท์สนใจหัวข้อไหนเหรอ ?"
"เรียกเราว่าเมก็ได้ พูดกูมึงอะไรก็ได้นะ ตามสบายเลย"
"อืม"
"เราสนใจหัวข้อที่สาม กิมเจ๋งล่ะว่าไง ?"
"หัวข้อสามเหมือนกัน"
เมื่อเดินมาจนถึงหน้าบันไดทางขึ้นรถไฟฟ้าก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ถึงเราต่างคนต่างต้องแยกย้ายกันไปใช้เวลาส่วนตัว ผมจึงขอช่องทางการติดต่อกับกิมเจ๋งไว้จะได้สื่อสารกันสะดวกมากขึ้น
ผมน่าจะบอกตรงนี้เลยว่า จริง ๆ แล้วกิมเจ๋งต้องนั่งรถสองแถวกลับบ้าน แต่เพราะเห็นว่าผมต้องเดินมาขึ้นรถไฟฟ้าเลยเดินมาส่ง
ทำไมถึงใจดีได้ขนาดนี้ ?
ทำไมถึงสร้างกิมเจ๋งมาเป็นให้เป็นคนใจดีขนาดนี้ได้นะ ผมอยากรู้จริง ๆ
"ถ้ายังไง ขอพวกคอนแทคของกิมเจ๋งไว้หน่อยนะ มีอะไรจะได้ส่งหากัน"
"อ๋อ ได้ ๆ"
แทนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วให้เบอร์โทรหรือไอดีตัวเอง กิมเจ๋งกลับควักสิ่งที่เคยเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อของตัวเองขึ้นมาแล้วยื่นให้ผม
"จริง ๆ ตั้งใจว่าจะเอาไปแปะที่โต๊ะเรียน แต่เจอกันก่อนก็เลยไม่ได้ให้ งั้นเมแอดมาตามนี้ได้เลยนะ"
มันคือโพสอิทสีเหลืองอ่อนที่ถูกเขียนด้วยปากกาสีดำให้อ่านได้ง่าย ดังนั้นผมจึงเก็บมันเข้ากระเป๋าเสื้อก่อนจะบอกลากัน
"อื้ม งั้นกลับบ้านดี ๆ นะกิมเจ๋ง"
"เมก็กลับบ้านดี ๆ เหมือนกัน"
กิมเจ๋งเดินกลับไปรอรถสองแถวแล้ว จึงเหลือแต่ผมที่กำลังอ่านข้อความจากโพสอิทที่ได้รับมาจากเจ้าตัว
'สวัสดี เมธานินท์
จรัลพิพัศนะ เรียกกิมเจ๋งก็ได้
ขอโทษที่วันนี้ไม่ได้เข้าไปหาตั้งแต่เช้า พอดีว่าไปทำธุระมา
ติดต่อเราได้ผ่านช่องทางนี้นะ เลือกตามที่เมธานินท์สะดวกเลย
เบอร์โทร:09x-xxxxxxx
id line:GJJim
instagram:gimj_
ปล. เราแนบลูกอมมาด้วยนะ ไถ่โทษที่วันนี้ไม่ได้เข้าไปหา รสนี้อร่อยมาก'
ด้านหลังของโพสอิทนี้มีแนบลูกอมรสองุ่นไว้จริง ๆ มันถูกติดด้วยเทปกาวและมีตัวหนังสือเขียนเอาไว้อีกนิดหน่อยว่า
'ถ้าชอบมาบอกเราได้ เราชอบซื้อเก็บไว้ แบ่งให้เมธานินท์ได้ หรือถ้าอยากไปซื้อเอง สหกรณ์ที่โรงเรียนมีขาย
แต่ถ้ามันไม่อร่อยสำหรับเมธานินท์ เราแนะนำรสมิ้นต์ '
ให้ตายเถอะ
ผมขอเปลี่ยนจากคำว่าใจดีเป็นคำว่าน่ารักดีกว่า
กิมเจ๋งคือที่สุดของความน่ารักเลย
อยากรู้จังว่ากินอะไรเข้าไปถึงได้น่ารักขนาดนี้ พวกทีที่อยู่ด้วยกันไม่สำลักความน่ารักนี้บ้างหรือไง เคยปวดใจกับความน่ารักของกิมเจ๋งบ้างหรือเปล่า
วันนี้เหมือนผมได้รับของขวัญเป็นกิมเจ๋งมาให้ชื่นใจพอจะหายเหนื่อย แต่อยู่ดี ๆ ก็ได้รู้ว่าของขงัญที่ชื่อกิมเจ๋งนั้นชิ้นใหญ่สำหรับผมมาก
หน้าไบโอในอินสตราแกรมของกิมเจ๋งเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า
Support LGBTQ+
ผมว่าผมโดนกิมเจ๋งตกเข้าให้แล้ว
__________________________
เพอร์? :
สวัสดีค่า !
นี่เป็นครั้งแรกเลยสำหรับการใช้readhausของเรา อาจจะมีความผิดพลาดทางเทคนิคประการใดก็ขออภัยด้วยนะคะ สามารถแจ้งได้เสมอเลย
หรือการเขียนของเรามีจุดไหนที่ควรปรับปรุงอย่างไรก็สามารถบอกได้เสมอเช่นกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหน้าหรือหลังไมค์ !
แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ !