เป็นหนึ่งถึงเปื้อนดาว 2

 

ร้านแปลกประหลาดตั้งอยู่ใกล้ทางเข้าตลาดในตัวอำเภอ แม้จะมีการเข้ามาใช้สอยพื้นที่ตลาดจากคนทั่วสารทิศในตอนเช้าของทุกวัน แต่สำหรับเจ้าของร้านสองชีวิต มันคงเป็นเช้าเกินความสามารถของมนุษย์กลางคืน จึงทำให้ร้านหนังสือในสายตาของคนเดินตลาดเช้าคือพื้นที่ปิดสนิท ร้านที่ไม่มีคนเช่ามานานแต่ไม่ขึ้นป้ายให้เช่าหรือซื้อ

เปื้อนดาวยังคงสะลึมสะลือ เดินขยี้ตาลงมาชั้นล่างซึ่งเป็นที่ประจำการของตนในช่วงเวลาสายของวัน ซ้ำยังเป็นที่นอนประจำของนักวิทย์ฯสติเฟื่อนแบบปั้นหยาด้วย

“ทำไมลงมาเช้าจัง” 

ถึงจะสายสำหรับพ่อค้าแม่ขาย แต่ก็ยังคงเช้าสำหรับเด็กจบใหม่ที่ติดนิสัยลงตารางเรียนบ่ายเกือบทุกวันสินะ

“กาแฟไหม” 

เสียงการจราจรคึกคักภายในตลาดไม่ได้เป็นตัวเร่งการกระทำกิจวัตรประจำวันของคนทั้งสอง แก้วกาแฟไร้ลายถูกหยิบยื่นมาหยุดที่หน้ากาต้มน้ำไฟฟ้าขนาด 1.5 ลิตร

เปื้อนดาวไม่ได้ต้องการคาเฟอีนในตอนเช้ามากขนาดนั้น แต่กลิ่นและรสชาติที่ติดปากตั้งแต่เด็กทำให้ยากที่จะเมินเฉย

“เพิ่งเก้าครึ่ง” 

เขาครางตอบเบา ๆ ในเวลานี้หากเป็นวันที่ถูกกำหนดให้เป็นวันตลาด ก็คงจะมีเสียงรถ ทั้งรถยนต์ และจักรยานยนต์ที่สลับกันวิ่งผ่านหน้าร้านทุกนาที

“วันนี้วันพุธ” 

“หืม?” 

ใบหน้าที่ง่วนอยู่กับการเป่าลมระบายความร้อนของเครื่องดื่มเงยขึ้นมาหาเจ้าของวลีสั้น ๆ ไม่ได้ใจความ เมื่อคิดได้ดวงตาก็ถูกถ่างอ้าจนดันรอยปานดาวบนคิ้วให้ถอยไปด้านหลัง เปื้อนดาววางแก้วในมือลงและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแทนที่

“จริงด้วย…ลืมวันไปเลย” 

ปั้นหยาหัวเราะออกมา ฝากถ้วยไว้โต๊ะทำงานของเขาก่อนหันหลังกลับไปเก็บพับฟูกนอนหลังโต๊ะทำงานของเขากลับเป็นโซฟาสภาพพร้อมรับแขก (แต่จริงๆ เจ้าตัวเอาไว้นอนกลางวันตอนเฝ้าร้าน) เหมือนเดิม

“เปิดเลยไหมล่ะ” เขาแอบเห็นเจ้าตัวหาวออกมาก่อนพูด

“ไปอาบน้ำก่อนเถอะ” 

ยังโชคดีที่ร้านถูกออกแบบให้เป็น co-working space จึงทำให้มีห้องน้ำพร้อม หากจะมีคนต้องการใช้ในเวลาเดียวกันสองคนล่ะนะ

 

เปื้อนดาวทำธุระเสร็จก่อน เขาเลื่อนเปิดประตูด้านในก่อนจึงตามด้วยประตูเหล็กแบบพับที่ติดตั้งมาพร้อมกับตัวอาคารพานิชย์

เงาสีเขียว ๆ วิ่งผ่านหางตาเมื่อเปิดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แว่วเสียงมนุษย์เร่งรีบถามด้วยเงาว่าเขาเอากาแฟไหม เปื้อนดาวส่ายหน้าเบา ๆ อยากเขาก็อยากอยู่หรอก แต่การที่ปั้นหยารีบเร่งออกไปแบบนี้ แม้จะสายมาแล้วแต่ก็ยังไม่มีร้านกาแฟนอกตลาดร้านไหนเปิดให้บริการหรอก

รออีกสักหน่อยเธอคงกลับมาพร้อมกับขนมรองท้องในตอนเช้า และถามเขาอีกว่าจะเอาอะไรในตอนเที่ยง เมื่อตกบ่ายจึงกลับมาพร้อมกับกาแฟแยกชั้นกับนมของเจ้าตัว ชาสีส้มประกอบด้วยกลิ่นหอมและคาเฟอีนของเขา และอาหารเที่ยงต่างร้านตามโอกาสที่หญิงสาวจะแวะเวียนไปชิมเมนูที่นึกขึ้นได้

สิ่งเหล่านี้คือปั้นหยาและกิจวัตรของเจ้าตัวที่ถึงแม้จะทำตัวผลุบ ๆ โผล่ ๆ คล้ายผีที่พร้อมหลอกคนตอนกลางวันยังไง แต่ก็ไม่เคยหลีกพ้นจากวงจรที่ตัวเองได้วางรูปแบบไว้เลยสักวัน

 

“อ๊ะ…คุณแม่มานั่งอะไรแถวนี้คะ เข้ามาเลยค่ะ เข้ามานั่งที่เย็น ๆ ก่อนนะคะ” 

ผ่านไปไม่ทันไรก็แว่วยินเสียงหญิงสาวจากมุมหน้าร้าน เปื้อนดาวเพิ่งจัดการแก้วกาแฟของทั้งคู่ได้เดินมาถึงประตูและพบเข้ากับปั้นหยาที่เดินรั้งท้ายคล้ายประคองหญิงชราเข้ามาข้างในร้าน

เขาวิ่งเข้าไปซ้อนหลังเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุดพลางเลื่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้งาน เราวิ่งวุ่นกันต้อนรับแขกด้วยน้ำเย็นคลายร้อนจากสภาพอากาศตามฤดูกาลข้างนอก

“ขอบใจจ้า” 

“อ๊ะ ขอนั่งด้วยได้ไหมคะ” คนสูงวัยยังไม่ทันได้จิบน้ำ ปั้นหยาก็เริ่มชวนสนทนาด้วยความเป็นมิตร

“นั่งเลยค่ะ นั่งได้เลย” 

ในสายตาคนมองก็ได้เห็นภาพคล้ายกับเจ้าของร้านเชิญแขกนั่งก็ไม่ปาน

“ร้อนหรือเปล่าครับ” ว่าพลางกดเร่งความแรงลมเครื่องปรับอากาศที่เปิดค้างไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืน แต่ไร้กลิ่นไอของคนเนื่องจากการเปิดประตูค้างเพื่อระบายอากาศก่อนหน้า

ผู้ใหญ่ไม่ตอบกลับอะไร มีเพียงแค่เสียงการขยับของเสื้อผ้าขณะยกแก้วดื่มน้ำดังขึ้นระหว่างความเงียบเท่านั้น เขาสะกิดปั้นหยาผู้เห็นเหตุการณ์จึงได้คำตอบคล้ายไม่แน่ใจมาว่าเธอไม่ได้มองข้างทางตอนที่ปั่นจักรยานออกไป จึงไม่สามารถตอบได้ว่าหญิงรุ่นใหญ่อยู่ที่หน้าประตูมานานพอให้ร้อนมากกว่าปกติหรือเปล่า

ผู้สูงวัยวางแก้วลงอย่างเงียบเชียบ เงยหน้ากวาดสายตาไปทั่วร้าน

“ร้านหนังสือเหรอคะ” 

“ครับ” ถึงจะงงกับการไม่ตอบคำถามก่อนหน้าแต่เปื้อนดาวก็ตอบกลับอย่างรวดเร็วราวกับรอคอยคนที่มีความสนใจในสิ่งที่ตนหมกมุ่นในการสะสมมากเหมือนกัน “สนใจหนังสือแบบไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ” 

“หนังสือนิทานเก่า” 

“หืม…” ทั้งปั้นหยาและเปื้อนดาวต่างส่งเสียงครางแสดงอาการครุ่นคิดในลำคอออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

เปื้อนดาวเริ่มสะสมหนังสือในวัยที่สามารถเก็บเงินเพื่อต่อกรกับราคาหนังสือพอได้แล้ว ดังนั้นหนังสือนิทานจึงแทบจะไม่เคยอยู่ในความสนใจของมนุษย์ที่พอมีอายุมากขึ้นเกินสิบปีขึ้นมาเลย

และปั้นหยาก็พอรู้เรื่องนี้มาบ้างเหมือนกัน ส่วนตัวของหญิงสาวที่มุ่งมั่นในการพาตัวเองเข้าไปอยู่ในห้องทดลองก็เก็บกำเพียงแค่หนังสือเรียน หนังสือเตรียมสอบ และวารสารต่าง ๆ เพียงเท่านั้น

แขกเห็นท่าทางคล้ายสัญญาณขอความช่วยเหลือที่ส่งไปมาผ่านสายตาของทั้งคู่ จึงกระแอมไอเรียกผู้เยาว์วัยกว่า ให้หันกลับมาพบเจอกับรอยยิ้มเพื่อคลายความกังวล

“หลานยายอายุเกือบเท่าพวกเราเลย แล้วอยู่ ๆ ก็อยากฟังนิทานเก่าน่ะ” 

“ครับ” 

อีหล่าอีลุน” 

“อ๊ะ…” เจ้าของร้านทำตาโต พลางกลอกตาอย่างใช้สมอง “รู้สึกคุ้นหูครับ แต่ว่าจำไม่ได้ว่ามาจากเรื่องไหน” 

“ชื่อมาขนาดนี้แล้วก็น่าจะเป็นชื่อเรื่องไหม” ปั้นหยาออกความเห็น

นางผมหอมต่างหากค่ะ” 

เปื้อนดาวร้องอ้อขึ้นมาทันที “จำได้ว่ารู้จักนะครับ เหมือนกับยายเป็นคนเล่าให้ฟัง” 

“หืม” 

“แต่เหมือนจะจำได้เป็นกลอนนะครับ อืม…แอบกินน้ำเยี่ยวช้าง…แล้วก็จำได้แค่การเว้นวรรคคล้ายสรภัญญะนั้นน่ะครับ” 

“เฮ้ย! ใช่เหรอเปื้อน กินฉี่เหมือนข่าวกินฉี่รักษาโรคเลยอะ…” คนข้างกระซิบด้วยเสียงที่คิดว่าเบาที่สุด

“อ่า…เท่าที่น้องชายเล่าให้ฟังก็บอกว่าน้ำในวรรณคดีพวกนี้บางครั้งแทนเรื่องลามกน่ะ ส่วนช้างก็เป็นกษัตริย์ เรื่องก็เลยออกมาเป็นว่าแม่ของอีหล้ากับอีลุนท้องลูกทั้งสองคนนี้ไง” 

แว่วเสียงสาวอาวุโสหัวเราะคลอเคล้าไปกับเสียงแสดงความประหลาดใจของปั้นหยา ใบหน้าสาวเจ้าปิดความรู้สึกนั้นไม่มิดเลยแม้แต่นิดถึงแม้ก่อนหน้าพยายามกระซิบคำถาม

“แล้ววัวล่ะคะ” 

“…ครับ…” เป็นเปื้อนดาวบ้างที่ทำหน้าแบบนั้นหลังได้ยินคำถามต่อมาจากแขก

“มีคนหนึ่งที่เป็นลูกพญาวัว แต่โดนช้างเหยียบตายอีกที” 

“…จำไม่ได้ว่ามีลูกพญาวัวด้วยเลยนะครับ” 

ครั้งนี้หญิงชราหัวเราะออกมาอีกครั้ง พลันลุกขึ้นเฉียบพลันจนพวกเขาต้องถลาเข้าไปประคองตัวขึ้น เธอหัวเราะออกมาเสียงดังและเอ่ยบอกเพียงแค่ “หลานน่าจะถึงตลาดแล้วเพราะนัดกันในเวลาสิบโมง” 

เจ้าของร้านทั้งคู่ต่างเดินไปส่งแขกถึงหน้าร้านและพบกับหลานดังที่กล่าว เป็นเด็กผู้หญิงหัวสีที่น่าจะอยู่ในวัยเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยพอดี ทำให้เพื่อนสนิทต่างมองหน้ากันเมื่อนึกถึงคำบอกเล่าที่คุณยายได้บอกว่าอายุเกือบเท่าพวกเขาแล้ว

“จำอายุคนผิดพลาดก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่นะ…” 

ทั้งเปื้อนดาวและปั้นหยาต่างเห็นพ้องกันคล้อยหลังคุณยายกานต์ตามที่หลานเรียก พวกเขาหลงวันเวลานั่นเป็นเรื่องที่คล้ายกับคุณยายที่ลืมอายุของหลาน เมื่ออายุทางการศึกษาน้อยลงก็จะหยุดนับเวลาด้วยเช่นกัน วันเวลาในช่วงนั้นก็จะถูกร่นเข้ามาถูกจำในช่วงหนึ่งโดยไม่แบ่งปีหรือเดือนก็ยังได้

 

คุณยายที่ลืมวันยังขยันเดินเข้ามานั่งในร้านทุกวันเมื่อถึงวันตลาดซึ่งเป็นเวลาสองครั้งต่อสัปดาห์ ดูนาฬิกาข้างผนังทุกครั้ง และเมื่อถึงเวลาก็จากจนกลายเป็นลูกค้าประจำและเป็นดังสัญญาณแสดงความเป็นมิตรของร้านหนังสือมุมตลาดก่อกลายเป็นสถานที่ที่สามารถเดินเข้ามารอพักหรือรับน้ำหลังพบเจอกับอากาศที่แสนอบอ้าวในทุก ๆ วัน

เปื้อนดาวยิ้มต้อนรับแขกทุกคนที่เข้ามาสร้างจุดนัดพบเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสาร เขาไม่รู้สึกแย่ที่ห้องสมุดมีเสียงดังเนื่องจากเป้าประสงค์ในตอนแรกของการจัดตั้งคือต้องการมองสีสันของชีวิตในช่วงชีวิตที่เริ่มเงียบลงไปทุกทีหลังจบการศึกษา และเพียรรอวันเวลาที่จะได้เปิดร้านเพื่อรอพบเจอกับสิ่งสวยงามแม้ไม่ใช่วันตลาดแล้วก็ตาม