บทที่ 1 


 

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องสีขาวโล่นในห้องพักของโรงพยาบาล “หิวน้ำ” ผมค่อย ๆ ขยับริมฝีปากบอกความต้องการของตัวเองให้กับหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียง ผมไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดเเต่ก็ยังสังเกตเห็นว่าเธอรีบกระวีกระวาดหาน้ำมาให้ผมดื่มตามคำขอด้วยความยินดี ดวงตาสองข้างมีรอยเเดง ๆ เหมือนผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา


 

เธอคนนี้คือใคร? ผมได้เเต่ตั้งคำถามกับตัวเองในใจก่อนจะผล็อยหลับไปอีกครั้ง จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เเต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็มีคุณหมอเข้ามาตรวจเช็คร่างสภาพร่างกาย สิ่งเเรกที่หมอถาม


 

"เธอชื่ออะไร? จำได้มั้ย? "


 

ผมได้เเต่ส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ


 

จากนั้นคุณหมอก็ทำการสอบถามเเละตรวจร่างกายอีกมากมายผลสรุปที่ออกมาคือ


 

“หมอคิดว่าน้องกวีคงมีอาการความจำเสื่อมกลุ่มอาการลืมเหตุการณ์ทั้งหมดชั่วคราวเกิดจากสมองได้รับการกระทบกระเทือน หรือคนไข้มีความเครียดอย่างรุนแรง  ”

จากนั้นคุณหมออธิบายอาการเเละวิธีการรักษาอีกให้ผมเเล้วผู้หญิงคนนี้ที่เอาเเต่ร้องไห้น้ำตานองหน้า


 

ความจำเสื่อมเหรอ? ใช่เหรอ? แต่ถึงจะถามว่าตัวผมคือใคร ผมคงตอบกลับไปว่าไม่รู้ เเต่ที่เเน่ชัดที่สุดคือร่างนี้ไม่ใช่ร่างกายที่ผมรู้จัก กวีชื่อที่คนอื่นใช้เรียกเขาเป็นเด็กหนุ่มเจ้าของผิวขาวสะอาดสะอาน ส่วนสูงมาตรฐานชายไทย ถึงจะดูผอมไปสักนิดเเต่ก็คงเป็นเพราะเขาออกกำลังกายสม่ำเสมอไม่ใช่เพราะป่วยไข้ ผมสัมผัสใบหน้าคมสันที่บางมุมก็ดูหวานของเขาซ้ำไปซ้ำมาในตอนที่ได้ส่องกระจกครั้งเเรก ดวงตากลมโตคู่นั้นในกระจกที่จ้องกลับมามีเเววตกตะลึง

สิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจว่าร่างกายนี่ไม่ใช่ของผมคือคำบอกเหล่าของผู้หญิงที่เเนะนำตัวว่าเธอคือมารดาเเท้ ๆ ของกวี เล่าว่ากวีประสบอุบัติเหตุระหว่างกลับมาจากเรียนพิเศษ


 

นี้คือจุดที่ผิดไป เพราะความทรงจำสุดท้ายที่ผมมีคือตอนที่ผมกำลังพยายามฆ่าตัวตายด้วยการเเขวนคอต่างหาก


 

ถึงทุกอย่างจะดูเเปลกประหลาดเเละทุกอย่างดูจะผิดแผกไม่มีอะไรสักอย่างเข้าที่เข้าทางเเต่ตัวผมกลับสงบจิตสงบใจได้อย่างประหลาดตลอดช่วงที่ยังอยู่ในโรงพยาบาลจนกระทั่งถึงวันที่ต้องกลับไปพักรักษาตัวต่อที่บ้าน


 

“วันนี้พึ่งออกจากโรงพยาบาลวันเเรกอยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” ผู้หญิงที่บอกว่าตัวเองเป็นเเม่ของผมพูดระหว่างที่เราสองคนกำลังนั่งรถกลับบ้าน


 

“ไม่มีครับ” ผมตอบกลับไปอย่างเฉยชา เธอหน้าม่อยลงด้วยความเสียใจก่อนจะพยายามกลับมาทำตัวสดใสอีกครั้ง


 

“งะ...งั้นเหรอ? ก็ยังจำอะไรไม่ค่อยได้นิ่นะ เเม่นี้เเย่จริงๆ เลย ฮ่าๆ ๆ ๆ ”


 

ทำไมต้องพยายามเค้นเสียงหัวเราะด้วยนะ รู้มั้ยว่ามันยิ่งทำให้ทางนี้รู้สึกอึกอันน่ะผมคิด เเต่เพราะตลอดที่อยู่โรงพยาบาลก็มีเเต่เธอคนนี้ค่อยมาอยู่ดูเเลตลอดผมเลยตัดสินใจพยายามไม่พูดอะไรที่ทำให้เธอเสียใจจะดีกว่า


 

“ทำอะไรง่ายๆ อย่างเเกงจืดก็ได้ครับ” ผมพูด


 

เธอหันมายิ้มรับอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าผมพยายามจะต่อบทสนทนากับเธอ เเต่สุดท้ายคืนวันนั้นผมก็ไม่ได้กินเเกงจืดอยู่ดี



 

“ฉันอยากกินอะไรที่รสจัด ๆ หน่อย” ชายที่ดูเหมือนว่าเป็นพ่อของผมพูดพลางพลิกหน้าหนังสือพิมพ์ไปมาเพื่อหาข่าวที่เขาสนใจ


 

“เเต่...ลูกบอกว่าอยากกินเเกงจืด เดี๋ยวฉันทำผัดเผ็ดเนื้อให้คุณเพิ่มก็ได้” เเม่พยายามพูดต่อรอง


 

“ทำผัดเผ็ดเนื้อกับต้นเเซ่บกระดูหมูเเล้วกัน ส่วนไอ้เด็กเเค่นี้ก็ทำตัวเป็นปัญหามากพอเเล้วอย่าเรื่องมากมีอะไรให้กินก็กินไป” ชายคนนั้นพูด


 

ผมได้เเต่ตอบกลับว่าครับเพียงสั้น ๆ ในระหว่างนั้นผมก็เกิดความสงสัยในความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้ขึ้นมา


 

จากคำบอกเล่าเเละการสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัว ก็ดูเหมือนว่าครอบครัวของกวีจะเป็นครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดี พ่อทำธุรกิจส่วนตัว เเม่ทำหน้าที่เเม่บ้านเต็มเวลา บ้านที่อยู่ก็หรูหรา เเต่คนเป็นพ่อก็ดูจะเข้มงวด ทุกอย่างในบ้านหลังนี้ต้องเป็นไปตามคำบัญชาของเขา


 

“เเล้วจะกลับไปโรงเรียนวันไหน” เขาถามต่อ


 

ผมไม่ตอบเพราะไม่รู้ จึงเเต่หันไปมองเเม่เพื่อขอความข่วยเหลือเเทน


 

“อาทิตย์หน้าก็จะกลับไปเรียนเเล้วล่ะพี่” เเม่ตอบ


 

“ต้องรอถึงอาทิตย์หน้าเลยเหรอ! ศุกร์นี้ก็เอามันไปส่งโรงเรียนเลยเเล้วกัน”


 

“ตะ เเต่ลูกพึ่งออกจากโรงพยาบาล”


 

“มันก็ดูสบายดีไม่ใช่เหรอ!! จะพักอะไรนักหนา นี้ก็หยุดเรียนไปตั้งอาทิตย์หนึ่งมันจะเรียนทันคนอื่นเขามั้ย” ชายคนนั้นพูดพร้อมกับใช้มือตบลงไปบนโต๊ะด้วยความโมโห


 

“ไปเรียนวันศุกร์เลยก็ได้ครับ” ผมพูดขึ้นมาเพื่อหวังว่าจะช่วยตัดปัญหา ก่อนจะเดินเข้าไปหาเเม่ที่ยืนอยู่ในครัว

“ผมไม่กินข้าวนะครับ อยากขึ้นไปนอนเเล้ว” ผมพูด เเม่ก็ได้เเต่ยิ้มเศร้าตอบรับผมจึงเดินออกมา


 

“เเกน่ะอย่างทำตัวให้มันมีปัญหามากนักนะ” ชายคนนั้นหันมาพูดกับผมก่อนที่ผมจะก้าวขึ้นบันไดไป


 

“ที่มีปัญหาคงไม่ใช่ผมหรอกมั่ง!! ” ผมพูดเสียงตะคอกออกไปอย่างเหลืออด เขาเองก็ดูตกใจที่เห็นผมเป็นเเบบนั้นก่อนจะเริ่มตะโกนด่าผมกลับเสียงดัง เเต่เมื่อขึ้นไปบนห้องนอนที่เเม่บอกว่านี้คือของห้องนอนของผมหรือกวี ผมก็ไม่ได้ยินเสียงดุด่าของเขาเเล้วเพราะโชคดีที่ในห้องมีเครื่องเล่นเพลงพร้อมหูฟังที่สามารถตัดเสียงรบกวนได้เป็นอย่างดีอยู่

นี้มันเกิดอะไรขึ้นกันเเน่ผมได้เเต่คิด หรือนี้มันจะเป็นการกลับมาเกิดใหม่เเบบที่เคยเจอในหนังสือนิยาย เเต่ปกติมันควรไปเกิดในต่างโลกอะไรเเล้วจากนั้นชีวิตก็จะพบอุปสรรคนิดหน่อยแล้วสุดท้ายก็จบเเบบเเฮปปี้สิ


 

“นายก็ท่าทางจะลำบากไม่ใช่น้อยเหมือนกันนะ” ผมพูดกับกวีในกรอบรูปที่วางดูบนโต๊ะ ก่อนจะเริ่มสำรวจรอบห้องเพื่อหาเบาะแสว่ากวีเป็นใคร มีนิสัยใจคอเเบบไหน


 

อย่างและที่สังเกตเห็นผมพบว่าภายในห้องนอนของกวีเต็มไปด้วยหนังสือเรียน ตำราวิชาการต่าง ๆ เกียรติบัตรที่เเสดงว่าเขาเป็นเด็กที่เรียนดีมายมาก พอเปิดเข้าไปในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของเขาก็พบว่าไฟล์ข้อมูล ประวัติการท่อเว็บ เเละล๊อคอินในโซเชียลเน็ตเวิร์ค ถูกลบออกหมด ในขณะที่กำลังอับจนหนทางหางตาก็เหลือบไปเห็นรูปภาพเก่าๆ ใบหนึ่งที่ตกอยู่ข้างใต้เตียง มันเป็นรูปคู่ของเด็กชายวัยไล่เลี่ยกันสองคน เเน่นอนว่าคนหนึ่งคงจะเป็นกวีที่ก้มหน้ามองพื้นเล็กน้อยด้วยความเขินอาย ส่วนเด็กอีกคนช่างดูเเตกต่างกับกวีเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มสดใส ผิดกายดูคล้ำแดดที่เเสดงให้เห็นว่าเขาคงเป็นเด็กซนที่ชอบออกไปเที่ยวเล่นกางเเจ้งมากกว่าจะหมกตัวอยู่ในบ้าน เสื้อผ้าที่เด็กคนนี้สวมใส่ก็ดูปอน ๆ กว่าที่กวีในสมัยเด็กสวมกว่ามาก


 

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น


 

“วี หลับหรือยังลูก” ผมได้ยินเสียเเม่เรียกดังออกมาจากด้านหลังประตู


 

“ยังไม่นอนครับ” ผมตอบก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้เธอ


 

“เรากินข้าวเย็นไปนิดเดียวเอง เเม่กลัววีจะหิวเลยเอานมกับขนมมาให้” แม่พูดก่อนจะเดินเข้าไปวางเเก้วนมเเละจานใส่ขนมลงบนโต๊ะอ่านหนังสือที่ตั้งอยู่ใกล้


 

“เอ่อคือ….คนในรูปนี้คือใครเหรอครับ” ผมถามพร้อมยื่นรูปที่พบเมื่อสักครู่ส่งให้เเม่ดู


 

“ไหนดูสิ อ้อ นี้เอื้อเพื่อนของวีไง สมัยเด็กเขาชอบมาชวนวีออกไปเล่นด้วยกันบ่อย ๆ พอเข้ามัธยมก็เห็นว่าไม่ได้สนิดกับวีเหมือนตอนเด็ก ๆ แล้ว อ้อ...เเต่ตอนนี้ก็เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันกับวีนะ” เเม่เล่าด้วยเสียงสนุกสนาน ผมได้เเต่ทำหน้าเศร้าเพราะผมไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งที่เธอเล่ามาเลย


 

“ตอนนี้จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ นึกก็ได้” เธอพูดอย่างอ่อนโยน


 

“เเต่เมื่อกี้พ่อคุยกับเเม่ว่าให้เอาลูกไปส่งโรงเรียนพรุ่งนี้เลย เเม่ขอโทษนะที่ขัดพ่อเไม่ได้ เเต่เดี๋ยวเเม่จะโทรไปบอกครูไว้ว่าถ้าลูกยังรู้สึกไม่สบายก็ขอพักอยู่ในหอต่อ”


 

“เเบบนั้นก็ดีเหมือนกันครับ” ผมพูด


 

“นั่นสินะ ถ้างั้นก็รีบนอนนะลูก”


 

“ครับ” ผมตอบ หลังจากนั้นไม่นานผมก็ล้มตัวลงบนเตียงก่อนผล่อยหลับไป