1 ตอน ใครอยู่ในห้อง
โดย Aki_Kaze
ถนนแกรห์มเป็นย่านที่พักอาศัย มีบ้านสองชั้นทำด้วยอิฐสีแดงตั้งเรียงเป็นระเบียบ ขอบหน้าต่างทาสีขาว ส่วนประตูบ้านนั้นนอกจากสีขาวแล้ว ยังมีสีแดง สีน้ำเงินให้ได้เห็น ช่วยสร้างสีสันและความแตกต่างให้กับบ้านเรือน
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ”
“ส่งอะไรกัน ต้องมาตรวจแถวนี้พอดีต่างหาก” นายตำรวจโลแกนตอบ มอลลี่ คู่หูของเขาถึงกับหัวเราะ ความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้ตรวจย่านนี้ด้วยซ้ำ แต่คงถือว่าเป็นการมาซื้ออาหารเช้าที่ไกลหน่อย
หญิงสาวผมสีน้ำตาลเกล้าขึ้นเป็นโดนัทลงจากรถพร้อมกระเป๋าสีดำคู่ใจ เห็นตำรวจในเครื่องแบบหนึ่งนายยืนอยู่หน้าบ้านเลขที่ 90 ผู้ชายอีกคนที่ยืนหันหลังให้คงเป็นเจ้าของบ้าน
“คุณตำรวจ” เธอส่งเสียงทัก
“เจเจ” นายตำรวจโอลิเวอร์ทักกลับ ก่อนแนะนำเธอให้รู้จักกับผู้อยู่อาศัย “สก็อต เทอร์เนอร์ เขาเพิ่งกลับจากการทำงาน ทางนี้คือเจเจ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานหน้าใหม่ไฟแรงของเรา”
อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิ ทำเอาเธอเก้อเขินขึ้นมา หญิงสาวเงยหน้ามองสก็อตเป็นครั้งแรก ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ มีบางอย่างในรอยยิ้มของเขาที่ทำให้เธอไม่อาจละสายตาไปได้
ครั้งแรกและครั้งเดียวที่เจเจรู้สึกเหมือนได้ตกหลุมรักใครสักคน คือตอนที่เธอเห็นแมทธิวในซีรีส์ไซไฟเรื่องโปรด นับแต่นั้นมาเธอก็พยายามหาทางไปเจอเขาให้ได้ หญิงสาวถึงขั้นลงทุนนั่งรถไฟลงลอนดอนตามลำพัง เพื่อไปดูเขาเล่นละครเวที เธอตื่นเต้นจนไม่กินอาหารทั้งวัน และพอหลังละครจบเธอก็มายืนรอเขาที่ประตูด้านนอก ยามที่แมทธิวเดินออกมาแล้วแฟน ๆ ส่งเสียงกรี๊ดต้อนรับ เธอถึงกับมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก ตอนขอลายเซ็น ขอถ่ายรูปก็พูดรัวเป็นชุดจนเขาต้องขอให้เธอพูดช้าลงหน่อย หลังจากได้เจอเขาในคราวนั้นเธอก็บอกตัวเองว่าจะตามไปให้กำลังใจเขาทุกที่ที่สามารถไปได้ เธอไม่ได้ชอบเขาเพียงเพราะมีใบหน้าหล่อเหลากับดวงตาสีเขียวน่าหลงใหล เธอชอบการแสดงของเขา ความเป็นกันเองของเขา ความเอาใจใส่แฟน ๆ ของเขา ทุกอย่างทำให้เธอเปรียบเทียบเขากับผู้ชายคนอื่นที่เข้ามาในชีวิต และคนเหล่านั้นมักเทียบแมทธิวไม่ติด
ความน่าสนใจในตัวผู้ชายที่ชื่อสก็อต เทอร์เนอร์คนนี้ กลับแซงทุกคนมาอยู่เทียบเท่าแมทธิวได้อย่างน่าประหลาดทั้งที่เพิ่งจะได้เห็นหน้ากันเป็นครั้งแรก เขามีผมสีน้ำตาลอ่อนคล้ายแมทธิว มีดวงตาสีฟ้าที่เหมือนรวบรวมท้องฟ้าโปร่งในฤดูร้อนไว้ในลูกกลม ๆ ทั้งสองข้าง สันกรามของเขามีเสน่ห์ สอดคล้องกับต้นคอที่ทำเอาหญิงสาวหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
“สวัสดีค่ะฉันเจสซี่เจนกินส์เป็นเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจากหน่วยพิสูจน์หลักฐานยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
“...ครับ?” เสียงขานรับสั้น ๆ ก็ทำเอาคนฟังใจสั่นขึ้นมา
“เธอพูดว่าไงนะ” โอลิเวอร์ถาม นั่นทำให้เจเจรู้ตัวว่ากำลังอยู่ที่ไหน และต้องทำอะไร เมื่อครู่เธอคงพูดเร็วจนเขาฟังไม่ทันเป็นแน่
“ฉัน...”
“เจนกินส์” เสียงเรียกของสายสืบวิลคินสันดังมาจากในบ้านทำเอาเจ้าของชื่อสะท้านวาบ โอลิเวอร์ไม่ได้บอกก่อนว่าผู้ชายคนนี้อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่มายืนคุยเล่นกับเขาแบบนี้แน่ เจ้าตัวคงรู้ดีว่ากำลังโดนเจเจต่อว่าในใจ ถึงได้ทำปากขมุบขมิบเพื่อขอโทษ
บรรยากาศผ่อนคลายพลอยตึงเครียดขึ้นมาทันที
“ค่า” เธอขานรับก่อนจะรีบสวมถุงมือ เตรียมปฏิบัติหน้าที่
หญิงสาวหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพโดยรวมของบ้าน โดยที่โอลิเวอร์พาสก็อตไปยืนคุยห่างจากตัวบ้าน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น เจเจหันมองผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง เขาไม่ได้หันมาทางเธอและยังคงคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยสีหน้าเรียบเฉย มีบ้างที่เขาจะยิ้มบาง ๆ ออกมา ขณะที่เธอได้แต่ยิ้มไม่หุบเมื่อเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไปตามการสนทนา
“ทำบ้าอะไรน่ะ ทำงานสิ ทำงาน” หญิงสาวต่อว่าตัวเอง
“ขอโทษนะครับ”
เสียงเรียกของสก็อตทำเอาเจเจรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว หัวใจของเธอเต้นตึกตักแม้จะบอกให้เงียบอยู่หลายครั้งแล้วก็ตาม
หญิงสาวคำนวณองศาการหันหน้าเพื่อให้ได้มุมสวยตอนหันไปหาเขา ทว่าน่าเสียดายที่มันไม่มี ขนาดตอนถ่ายรูปตัวเองเธอยังต้องหันแล้วหันอีก
“คะ”
สก็อตเพียงแค่ก้าวเท้ายาว ๆ มาก้าวเดียวโดยไม่ได้เข้าใกล้ตัวบ้าน
“ขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้ แต่ช่วยเร่งหน่อยได้ไหมครับ ผมยังไม่ได้นอน”
“อ้อ ค่ะ” เจเจรู้สึกอับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี เธอควรตั้งใจทำงาน ไม่ใช่มายืนเขินอยู่แบบนี้
หญิงสาวเริ่มลงมือทำงานและสิ่งแรกที่เห็นคือรอยงัดแงะที่ประตู
“เขาส่งเธอมาคนเดียวเหรอ”
“คุณสายสืบ” เจเจทัก เขาดูไม่ค่อยชอบหน้าเธอเท่าไร หรือไม่ก็แค่คิดไปเอง แต่บางทีสายสืบคนนี้อาจจะไม่ได้ชอบหน้าใครเลยก็ได้ “นีลกำลังตามมาค่ะ”
ตอนเจเจได้รับสายจากแอนน์ เฮเซลล์ ผู้จัดการหน่วยพิสูจน์หลักฐาน เธอก็ดีใจที่จะได้ลงตรวจสอบพื้นที่คนเดียวเป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มทำงานมา คดีงัดแงะแบบนี้ใช้เจ้าหน้าที่คนเดียวก็เพียงพอ แต่อีกฝ่ายดันโทรศัพท์มาแจ้งตอนหลังว่า นีลตรวจสอบที่เกิดเหตุของเขาเสร็จแล้ว และจะตามมาช่วย หัวใจที่เคยพองโตก็ลดฮวบ
เขาทำเสียงขึ้นจมูก
“เจ้าของบ้านเช่าไปเที่ยวต่างประเทศ ฉันได้คุยกับนายหน้าไปแล้ว ส่วนผู้อยู่อาศัยกลับมาถึงบ้านตอนเก้านาฬิกาสิบนาที พบว่าประตูหน้าบ้านโดนงัดเลยโทรศัพท์แจ้งตำรวจ เหตุน่าจะเกิดกลางดึก เพราะเจ้าตัวก็ทำงานกะดึกเลยไม่ได้กลับบ้าน แต่หลังจากตรวจสอบก็ไม่พบว่าไม่มีอะไรหายไป ตำรวจในเครื่องแบบสอบถามจากเพื่อนบ้านแล้ว พวกเขาไม่เห็นสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด ฉันพบลายนิ้วมือตรงลูกบิดประตู อย่าลืมเก็บลายนิ้วมือของเทอร์เนอร์ไว้ด้วยล่ะ”
“ค่ะ...แล้วกล้องวงจรปิด”
“ประสานงานไปแล้วแต่ไม่รู้ว่าจะได้อะไรหรือเปล่า เพราะกล้องก็อยู่ไกลจากตรงนี้”
“คุณบอกว่าไม่มีของหาย”
“ใช่ ไม่มี”
เจเจขมวดคิ้ว ใครกันที่งัดแงะเข้าบ้านมาแล้วแต่กลับไม่เอาอะไรไปเลย
“บางทีมันอาจไม่มีอะไรสำคัญให้เอาไปก็ได้นะ” วิลคินสันพูดต่อ
หญิงสาวหันมองสก็อตอีกครั้ง ก่อนมองไปรอบบ้าน
มันก็ไม่มีอะไรน่าขโมยจริง ๆ
“เอาล่ะ ฉันจะปล่อยให้เธอทำงาน” สายสืบพูดจบก็เดินออกไปนอกบ้าน
เจเจพบรอยบางส่วนของรองเท้าตรงพื้นระหว่างส่วนต่อที่เป็นพรมกับพื้นไม้
หญิงสาวเดินไปที่หน้าประตูบ้านอีกครั้ง
“สะ...คุณเทอร์เนอร์” หญิงสาวเกือบเผลอเรียกชื่อประหนึ่งว่ารู้จักกันมานาน “ขอดูพื้นรองเท้าได้ไหมคะ”
เขาทำหน้างง ๆ แต่ก็ยกเท้าให้ดู พบว่าเป็นรองเท้าแบบพื้นเรียบที่ไม่สามารถทำให้เกิดรอยแบบเดียวกันกับที่เธอเห็นได้
“ขอบคุณค่ะ”
เธอกลับเข้ามาในบ้านแล้วถ่ายรูปดังกล่าวเก็บไว้ รอยรองเท้านับเป็นหลักฐานที่น่าสนใจ ลวดลายบนพื้นรองเท้าและการจัดวางของลายสามารถบ่งบอกถึงรุ่นและยี่ห้อของรองเท้าได้ ส่วนร่องรอยการเสียหายบนพื้นรองเท้าจะสร้างเอกลักษณ์ให้กับรองเท้าคู่นั้น ๆ ปีเตอร์ อิริคสัน อาจารย์ของเธอและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านรอยรองเท้าคงต้องทำตาเป็นประกายแน่ตอนเธอนำหลักฐานชิ้นนี้ไปส่ง
ไม่กี่นาทีต่อมา นีล เคอร์รี เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานอีกคนก็มาถึง เขาช่วยเก็บลายนิ้วมือของสก็อต ทำให้การทำงานว่องไวขึ้นทันที นีลขึ้นไปตรวจสอบที่ห้องชั้นบน
หลังจากเก็บหลักฐานจากรอยรองเท้าเสร็จแล้ว เจเจก็ได้ยินเสียงเรียกมาจากด้านบน
“เจสซี่”
“คะ” เจเจแหงนหน้าไปทางบันได
“ขึ้นมาข้างบนหน่อย แล้วระวังบันไดด้วย”
“ค่า” เธอขานรับ บันไดขั้นแรกมีป้ายหมายเลขระบุตำแหน่งของหลักฐานวางอยู่ ตรงขอบบันไดมีร่องรอยเหมือนคนนำรองเท้ามาปาดเพื่อเช็ดสิ่งสกปรก หญิงสาวเดินชิดไปอีกด้านเพื่อขึ้นบันได พอเจอสามประตูที่ชั้นบนก็ถึงกับไปต่อไม่ถูก “อยู่ไหนน่ะ”
“ทางนี้” นีลโผล่หน้ามาจากห้องแรกทางซ้ายมือ
ห้องนอนของสก็อต เทอร์เนอร์ เป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าห้องนอนของเจเจจนเธอรู้สึกละอายใจขึ้นมา เฟอร์นิเจอร์ในนั้นคงเป็นของติดบ้านเพราะดูมีอายุแล้ว ส่วนของใหม่ในห้องเห็นทีจะเป็นโทรทัศน์แบบติดผนังกับเครื่องเล่นเกมที่วางบนพื้น
ที่นอนของเขาปูผ้าเป็นระเบียบแต่รอยยับย่นบนที่นอนก็ชวนขมวดคิ้วในเมื่ออีกฝ่ายบอกเองว่ายังไม่ได้นอน
“เขาบอกหรือเปล่าว่ามีแฟน”
เจเจชาวาบไปทั้งตัวเมื่อได้ยินคำว่า แฟน ยิ่งนีลคีบเส้นผมสีบลอนด์ยาวที่หล่นบนผ้าห่มนวมขึ้นมาก็ทำเอาหดหู่ในทันที
“เจสซี่”
“ไม่ค่ะ ไม่ได้บอก...ไม่ได้ถาม” เธอแก้ สายตาของเธอเริ่มมองไปรอบห้อง หากมีแฟนก็น่าจะมีรูปถ่ายตั้งอยู่บ้าง หรือเดี๋ยวนี้คนติดรูปถ่ายของแฟนแค่ในโทรศัพท์กันแล้ว
“ในห้องน้ำมีแปรงสีฟันสองอัน พวกสบู่ ครีมอาบน้ำ ยาสระผมก็มีแยกกัน” ความยินดีของเจเจลดลงเรื่อย ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของนีล “ห้องข้าง ๆ ก็น่าจะเป็นห้องผู้หญิง”
“ถ้าเป็นแฟนก็ต้องนอนห้องเดียวกันสิ” เธอโพล่งขึ้นจนแม้แต่นีลยังตกใจ
“ก...ก็ใช่ ถึงได้ถามว่ามีแฟนหรือเปล่า อาจจะมาแบบครั้งคราวก็ได้”
“หรืออาจจะเป็นคนร้าย”
“ใช่ อาจจะเป็นคนร้าย”
เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานสองคนยืนมองเตียงนอนที่มีรอยยับย่น เพียงแค่คิดว่ามีคนแปลกหน้ามานอนบนที่นอนตัวเองก็ถึงกับขนลุกซู่ไปตาม ๆ กัน
“โรคจิตเหรอ” นีลพูด
“คนจรจัด” เจเจเสนอ
“เธอคิดว่าไง”
นี่เป็นช่วงเวลาที่เจเจจะได้นำหลักฐานและการสังเกตทั้งหมดมาสันนิษฐานการเคลื่อนไหวของคนร้าย เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอชอบทำงานกับนีล เขามักเปิดโอกาสให้เธอแสดงความคิดเห็น
“คนร้ายใช้อุปกรณ์ที่คาดว่าเป็นแชลง เอ่อ...ของแข็งที่มีความกว้างของปากประมาณสองนิ้ว งัดประตูเพื่อเข้ามาทางหน้าบ้าน เดินผ่านทางเดินที่ปูพรมมาจนถึงห้องนั่งเล่นที่เป็นพื้นไม้ ก่อนจะเห็นว่ารองเท้าของตัวเองเลอะ จึงนำไปเช็ดตรงบันได แล้วขึ้นมาด้านบน ไม่มีรอยรองเท้าในห้องน้ำ”
“อีกห้องก็ไม่มีร่องรอยว่าอีกฝ่ายเข้าไป” นีลเสริม
“คนร้ายตั้งใจมาที่ห้องนี้...เพื่อนอน แล้วก็กลับออกไปทางประตูหน้าเหมือนเดิม” เจเจรู้สึกได้ว่ามันมีบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ คนร้ายลงทุนงัดบ้านเพื่อเข้ามานอน แถมยังเลือกนอนเตียงแทนที่จะเป็นโซฟาข้างล่าง
“เอาเถอะ ข้างบนใกล้เสร็จแล้ว ข้างล่างล่ะ เรียบร้อยหรือยัง” นีลเองก็คงรู้สึกเช่นกัน
“เรียบร้อยค่ะ”
“โอเค งั้นเก็บของแล้วเจอกันหน้าบ้าน”
เจเจเดินกลับลงมาที่ชั้นล่าง บันทึกทุกอย่างลงในแบบฟอร์มแล้วเก็บอุปกรณ์ของตัวเองให้เรียบร้อย พอได้เอากล้องออกจากคอเธอก็รู้สึกโล่งขึ้นมาทันที ถึงจะต้องสะพายกล้องแบบนี้ทุกครั้งที่ปฏิบัติหน้าที่ แต่หญิงสาวก็ยังปวดเมื่อยเสมอ
“เรียบร้อยแล้วเหรอ” โอลิเวอร์ถามเมื่อเห็นเจเจเดินออกมาจากบ้าน
“นีลกำลังเก็บหลักฐาน เดี๋ยวก็เสร็จแล้วค่ะ” เธอตอบก่อนหันไปทางสก็อต “ขอถามอะไรเพิ่มได้ไหมคะ”
“ครับ”
“คุณมีเพื่อนผู้หญิงที่มีผมสีบลอนด์หรือเปล่าคะ”
หัวคิ้วของเขาขมวดหากันอย่างรวดเร็ว
“ถามทำไมครับ”
“เราเจอเส้นผมบนที่นอนค่ะ ดูเหมือนคนร้ายจะขึ้นไปนอนบนที่นอนของคุณ”
นายตำรวจโอลิเวอร์เผลอส่งเสียงแสดงอาการรังเกียจออกมา แน่นอนล่ะว่าใครเจอแบบนั้นก็ต้องขนลุกขนพอง
“ถ้าคุณหมายถึงจะมีผู้หญิงคนไหนมานอนในห้องผม นอกจากน้องสาวแล้วก็ไม่มีคนอื่นหรอกครับ ตอนนี้เธออยู่คาร์ดิฟฟ์ เธอมาเยี่ยมแค่ตอนปิดเทอมเท่านั้น แล้วเธอก็มีผมสีเดียวกันกับผม” สก็อตหันมองบ้านตัวเอง
“คุณมีที่อยู่อื่นหรือเปล่า” หญิงสาวอยากตบปากตัวเอง มันไม่ใช่หน้าที่ของเธอเลย แต่เธอก็อดห่วงความปลอดภัยของเขาไม่ได้
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร เมื่อครู่เอเจนต์ติดต่อมา ช่วงบ่ายเจ้าของบ้านจะส่งช่างมาซ่อมประตู ว่าแต่เรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ”
“เรียบร้อยครับ” นีลเดินออกจากบ้านมาพอดี “ทางเรามีความคืบหน้าอะไรจะติดต่อไปนะครับ”
“ช่วงนี้จะมีรถตำรวจมาตรวจตราและแวกนี้บ่อยขึ้น เพื่อเฝ้าระวัง” โอลิเวอร์เสริม
“ขอบคุณครับ” สก็อตพยักหน้าให้
เจเจเผลอสบตาเขาเพียงเสี้ยววินาที ใบหน้าร้อนผ่าวเหมือนอยู่ในเตาอบ หลังจากคืนพื้นที่เกิดเหตุให้สก็อตแล้ว ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานต่างก็แยกย้ายกลับ
ชายหนุ่มยืนมองรถทั้งสองคันแล่นจากไป เมื่อคิดว่าต้องกลับเข้าไปในบ้านที่มีใครไม่รู้บุกรุกเข้าไปกลางดึก ถึงกับต้องทบทวนความปลอดภัยในย่านนี้ ถ้าหากน้องสาวเขามาค้างพอดีล่ะ เขาไม่อยากคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
สก็อตเดินกลับเข้าไปในบ้าน ความรู้สึกแตกต่างไปทันที เขาเช่าบ้านหลังนี้ต่อเนื่องกันมาเป็นปีที่สองแล้ว จนรู้สึกว่ามันคือ “บ้าน” แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดทำให้เขาเหมือนเดินเข้ามาให้ห้องที่ตนไม่รู้จักมาก่อน ครั้นจะย้ายออกก็ทำไม่ได้เพราะเพิ่งต่อสัญญาไป ชายหนุ่มได้แต่หวังว่าตำรวจจะจับคนร้ายได้โดยเร็ว
ตอนเห็นว่าประตูหน้าบ้านโดนงัด เขาก็โทรศัพท์แจ้งตำรวจทันทีพร้อมกับเข้ามาดูข้าวของในบ้าน ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเว้นเสียแต่มีรอยรองเท้าบนพื้น ส่วนของมีค่ากลับไม่มีอะไรหายไป พอคิดแบบนั้นก็หดหู่ขึ้นมา เขาไม่มีเงินสดเก็บในบ้าน เงินติดตัวก็น้อยนิดเพราะปัจจุบันใช้บัตรจ่ายไปเสียหมดทุกอย่าง ของที่มีราคาสุดสำหรับเขาคงเป็นโทรทัศน์จอแบนแบบติดผนังกับเรื่องเล่นเกมรุ่นลิมิเตดสีน้ำเงินเข้มแบบโปร่งแสง หากโจรตั้งใจมาขโมยของเห็นบ้านไม่มีอะไรน่าขโมยคงโมโหน่าดู
หรือนั่นจะเป็นเหตุผลที่อีกฝ่ายไปนอนบนที่นอนของเขา
ชายหนุ่มเดินขึ้นมาถึงห้องนอน มองดูสภาพเตียงนอนหลังเจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็เอาถอดปลอกผ้านวมไปตรวจด้วย เขาเลยรู้สึกน่าขนลุกน้อยลง กระนั้นสก็อตก็อดไม่ได้ที่จะถอดปลอกหมอนและผ้าปูเตียงออกไปซัก แล้วปูที่นอนด้วยผ้าเซ็ตใหม่
เขายืนมองที่นอน นึกถึงเส้นผมสีบลอนด์ที่เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานคนนั้นพูดถึง
“ใครกัน”
ชายหนุ่มลูบแขนตัวเอง ถึงได้รู้ว่ายังสวมเสื้อโค้ตอยู่ด้วยซ้ำ เขานำเสื้อลงไปแขวนที่ด้านล่าง แล้วกลับขึ้นมาอาบน้ำที่ด้านบน สก็อตอดสำรวจข้าวของภายในห้องน้ำไม่ได้ว่ามีอะไรอยู่ในตำแหน่งที่ต่างไปจากเดิมหรือไม่ หลังจากนี้ไปเขาคงมองอะไรหลาย ๆ อย่างในบ้านไม่เหมือนเดิม และคงต้องหาโอกาสบอกน้องสาวเรื่องนี้ก่อนปิดเทอมจะมาถึง
หลังจากได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า สก็อตก็สดชื่นขึ้นกว่าเดิม แม้จะยังไม่ได้นอน ถ้าเป็นปกติ สิบโมงเขาก็หลับเป็นตายแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับไม่สะดวกใจที่จะหลับ อีกทั้งต้องรอให้ช่างมาซ่อมประตูให้อีก ยังดีที่วันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดของเขา เอาไว้ค่อยนอนก็ยังได้
ชายหนุ่มชงชามินต์ขึ้นมาดื่มในห้องนอน แล้วเปิดเกมเล่น หวังให้สมองหยุดกังวล
“เฮ้ย ตายอีกแล้ว” สก็อตร้อง บนจอโทรทัศน์ปรากฏตัวอักษรคันจิที่แปลว่า ตาย ตัวใหญ่ ๆ สีแดง เขาหยุดเกมเพื่อจิบชา พลางหันมองที่ว่างข้าง ๆ ณ จุดที่เจ้าหน้าที่บอกว่ามีคนมานอน เหตุการณ์บางอย่างในอดีต แวบเข้ามาในหัวสมอง
“เป็นไปไม่ได้” เขาสลัดความคิดไร้สาระทิ้ง แล้วหันกลับไปสนใจเกมต่อ ชายหนุ่มติดอยู่ที่เดิมมาตั้งแต่การเล่นครั้งที่แล้ว เขาตั้งมั่นว่าจะต้องผ่านบอสตัวนี้ไปให้ได้
ประมาณบ่ายสองสิบห้านาทีช่างก็มากดออดเรียก สก็อตพักหน้าจอเกมแล้วลงไปดูอีกฝ่ายเปลี่ยนประตูบานใหม่
“ช่วงนี้เห็นมีขโมยขึ้นบ้านเยอะเหมือนกัน พ่อหนุ่มยังโชคดีนะที่ไม่มีอะไรหายไป วันก่อนคุยกับคุณนายไวท์ที่ร้านขายพิซซ่าบนถนนเอสเซ็กซ์ แกเล่าว่าร้านแกโดนโจรงัดเข้าไปขโมยเงินเป็นร้อย ๆ ปอนด์ มันไปขโมยช่วงที่แกไปเยี่ยมหลานที่ซันเดอร์แลนด์พอดี พวกนี้มันคงจ้องไว้แล้ว” แซมเล่า เขาเป็นสารพัดช่างที่ดูแลประตู หน้าต่าง และเฟอร์นิเจอร์อีกหลายชิ้น สก็อตเคยเจออีกฝ่ายเพราะขอให้เข้ามาซ่อมบานพับหน้าต่างในห้องนั่งเล่นเมื่อสามเดือนก่อน
ชายหนุ่มได้แต่ขานรับให้กับคำบอกเล่าของแซม อีกฝ่ายเองก็ชินกับความเงียบของผู้ชายคนนี้ และมันก็ไม่ได้หยุดความช่างพูดช่างจาของเขา
“เมื่อคืนดูบอลหรือเปล่า ลุ้นกันจนเหงือกแห้ง...” แซมยังคงพูดต่อแต่สก็อตก็ไม่ได้จับใจความในสิ่งที่ได้ยินแล้ว เขาไม่ค่อยดูกีฬาเท่าไรนัก โอกาสที่จะได้ดูจะมาจากโทรทัศน์ในล็อบบี้ของโรงแรมที่เปิดให้แขกนั่งดู แล้วเขาก็ได้เห็นไปด้วย
“อย่างนั้นเหรอครับ” ชายหนุ่มขานรับเป็นระยะ เพื่อให้เห็นว่ายังสนใจ แม้ความจริงเขากำลังนึกถึงด่านต่อไปในเกมว่าควรไปสำรวจที่ไหนต่อ
หลังจากเรื่องฟุตบอล แซมก็พูดถึงครอบครัว เขาแอบบ่นที่ลูก ๆ หลาน ๆ ไม่ค่อยมาเยี่ยมเหมือนเมื่อก่อน
“แล้วนี่มีแฟนหรือยังล่ะ พ่อหนุ่ม” สก็อตจำได้ว่าคราวก่อนอีกฝ่ายก็ถามแบบนี้
“ยังครับ”
“เอาไว้แนะนำหลานสาวให้รู้จักไหม” ประโยคนี้ก็เหมือนกันกับสามเดือนที่แล้วเป๊ะ
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ” คำตอบของเขาก็เหมือนถอดมาจากบทสนทนาคราวก่อนไม่มีผิดเพี้ยน แฟน คงเป็นเรื่องสุดท้ายที่เขาจะนึกถึงในช่วงนี้
“เอาล่ะ เสร็จเรียบร้อย นี่กุญแจดอกใหม่” แซมยืนกุญแจให้ ก่อนจะกล่าวลา
“ขอบคุณครับ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีนะครับ” สก็อตปิดประตูไล่หลัง รู้สึกดีที่ประตูบ้านกลับมาแน่นหนาอีกครั้ง “สงสัยคงต้องนอนก่อน”
พอทุกอย่างกลับเข้าที่เข้าทาง ความเหนื่อยล้าก็ถาโถม แถมตอนนี้ก็เกือบสามโมงแล้วด้วย ยิ่งนอนช้า ตารางเวลาเขาก็ยิ่งรวน ชายหนุ่มเดินกลับขึ้นห้อง ปิดเครื่องเล่นเกมและโทรทัศน์ เดินเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัวเพื่อเตรียมเข้านอน
สก็อตหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูด้วยความเคยชิน เห็นน้องสาวลงรูปอาหารมื้อกลางวันเป็นติ่มซำแล้วก็อยากกินขึ้นมา
‘พาพี่ไปกินบ้างสิ’ ชายหนุ่มทิ้งข้อความไว้
พอเลื่อนไปเจอโพสต์ของพี่ชาย พบว่าอีกฝ่ายอ้างอิงประโยคของคนดังเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนที่อ่านเจอ ชายหนุ่มเพียงแค่กดถูกใจก่อนจะเปลี่ยนไปเปิดแอปพลิเคชันอื่น
หัวคิ้วของเขาพุ่งเข้าหากันเมื่อเห็นชื่อที่ขอเป็นเพื่อนเข้ามา
เจสซี่ เจนกินส์
Comments (0)