2 ตอน วันนั้น
โดย คิมซัน
“นี่คือสมาชิกใหม่ของทีมการตลาดตั้งแต่นี้ไป แนะนำตัวสิ”
เดือนเมฆละสายตาจากกองเอกสารตรงหน้าเพื่อมองคนแปลกหน้าผู้ที่มาในฐานะพนักงานในทีมคนใหม่ ส่วนสูงที่ดูยังไงก็มากกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ดวงตาคมถูกบดบังด้วยแว่นทรงกลมที่เหมือนใส่เป็นแฟชั่นมากกว่าใส่เพื่อแก้ไขสายตา รูปร่างสมส่วนที่ผู้ชายด้วยกันดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นสายเล่นกีฬา คนตรงหน้าดูดีไม่น้อย
แต่ในเรื่องของฝีมือการทำงาน มันตัดสินจากภายนอกไม่ได้หรอก
“ชื่อกองทัพครับ อายุยี่สิบหกปี ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
น้ำเสียงทุ้มกล่าวเอ่ยแนะนำตัว ภาษาไทยสำเนียงแปลก ๆ นั้นทำให้เดือนเมฆถึงกับขมวดคิ้วทันที อีกฝ่ายก็ดูหน้าตาเหมือนคนไทยแท้ ทำไมถึงได้มีสำเนียงเหมือนคนต่างชาติเวลาพูดภาษาไทยเลยนะ
“กองทัพอยู่ที่แคนาดาตั้งแต่เด็กก็เลยพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัดมากนัก ถึงจะพูดเก่งแต่สำเนียงก็จะฟังจากนิดหน่อย ช่วยแนะนำกันด้วยล่ะ”
“ครับ/ค่ะ”
สิ้นคำอธิบายของหัวหน้าทีมก็ทำให้ข้อสงสัยของเดือนเมฆนั้นถูกไขจนกระจ่าง เขาไม่ได้สนใจในตัวพนักงานใหม่อะไรมากมายจึงเลือกที่จะหันกลับมาสนใจงานที่อยู่เบื้องหน้าของตนเองเหมือนเดิม เขารู้สึกเหมือนเสียงรอบข้างนั้นเงียบหายไปจากโสตประสาท ก่อนจะสะดุ้งเมื่อถูกสะกิดจากด้านหลังโดยหัวหน้าทีม
“งั้นให้เมฆดูแลเด็กใหม่ชั่วคราวสักสามเดือนแล้วกัน”
“อะไรนะครับ!?”
เดือนเมฆถึงเบิกตากว้าง
เขามองหน้าของหัวหน้าสลับกับเด็กใหม่ที่อายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปี ส่งเสียงคัดค้านภาระหน้าที่ใหม่อยู่ในใจเป็นหมื่นล้านคำ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถบอกให้หัวหน้าฟังได้เลยสักคำ
ชีวิตเอ๋ยชีวิต
อย่าสิ้นคิดด้วยการปฏิเสธหัวหน้า
“สามเดือนเลยเหรอครับ”
“หรือจะหกเดือน”
“สามก็ได้ครับ”
เดือนเมฆทำได้เพียงกลืนคำพูดของตัวเองลงคอแล้วกัดฟันเอ่ยประโยคสุดทรมานออกมา เขาไม่ชอบการเป็นพี่เลี้ยงใคร เพราะนั่นมันหมายถึงหน้าที่และความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น และเวลาพักผ่อนที่น้อยลง !
เพราะเขาต้องคอยตรวจงานของเด็กใหม่ไงล่ะ
“ฝากตัวด้วยนะครับ”
เวลาชีวิตกำลังจะสูญหายไป
“…คุณเมฆ ^^”
เกลียดมันโว้ยย!
“สถานที่ภายในที่ควรรู้ก็มีเท่านี้แหละ ว่าง ๆ ก็เดินดูโซนอื่นเอาเองแล้วกัน”
เดือนเมฆเปิดปากหาวสำหรับกิจกรรมน่าเบื่อที่กินเวลาทำงานของเขาเสียเหลือเกิน แทนที่จะได้เอาเวลาไปเครียงานที่ค้างอยู่ เขากลับต้องพาเด็กใหญ่เดินดูรอบ ๆ ที่ทำงานอีก เขาเกลียดนักเกลียดหนากับการดูแลหรือแนะนำคนอื่น
เฮ้อ อยากลาบวชจังโว้ยยย
“พักกลางวันก็สิบเอ็ดโมงครึ่งถึงบ่ายโมง ข้าวที่อร่อยที่สุดคือข้าวร้านขวามือข้างตึก”
“ที่โรงอาหารไม่ดีเหรอครับ”
“แดกไม่ได้เลย”
สิ้นประโยคนั้นของรุ่นพี่ที่ทำงานก็สร้างเสียงหัวเราะในลำคอแก่พนักงานคนใหม่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เดือนเมฆเกาแก้มตัวเองราวกับแก้เขิน ก่อนที่จะส่งเสียงในลำคอให้อีกฝ่ายหยุดหัวเราะเขาเสียที
“คุณอายุเท่าไหร่”
“ถามทำไม”
“ผมจะได้รู้ว่าเรียกพี่ได้หรือเปล่า”
เดือนเมฆฏมองหน้าของคนใจกล้าข้างกาย จู่ ๆ เขาก็รู้สึกสนุกขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เขานึกถึงภาพจำของแฟ้มประวัติกองทัพที่เปิดดูเมื่อเช้า เมื่อนึกถึงรายละเอียดข้างในแล้วก็ถึงกับแอบยกยิ้มที่มุมปากเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็น
“จะเรียกอะไรก็เรียกเถอะ”
“อายุเท่าผมเหรอ”
“มากกว่าแค่ปีเดียว”
“…”
“แต่จะเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ ไม่ถือ”
กองทัพเบิกตากว้างขึ้นอย่างประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะอายุมากกว่าเขา นึกว่าอีกคนจะอายุน้อยกว่าเขาไม่ต่ำกว่าสามถึงสี่ปีด้วยซ้ำ พอได้รู้ว่าเขานั้นคิดผิดก็แปลกใจอยู่มากโข
“แล้วปกติ ตอนกลางวันรุ่นพี่ไปทานข้าวกับใครเหรอครับ”
“คนเดียว”
“…”
“คนอื่นกินแล้วก็คุย ผมชอบอยู่เงียบ ๆ ก็เลยกินคนเดียว”
“งั้นวันนี้ไปกินข้าวด้วยกันไหมครับ”
“…”
“ถือว่าเลี้ยงขอบคุณล่วงหน้าสำหรับการสอนงานผมก็ได้ครับ”
เดือนเมฆจ้องคนที่ความสูงมากกว่าเขาไม่กี่เซนติเมตร รอยยิ้มที่ดูไร้พิษภัยทำให้เขาถึงกับรู้สึกหายใจติดขัด ความรู้สึกแปลกที่ตัวเขาเองรู้ดีว่ามันคืออะไรกำลังถาโถมเข้ามา เดือนเมฆส่งเสียงกระแอมในลำคอ พลางแสร้งหันหน้าไปทางอื่นที่ไม่ต้องเห็นหน้าอีกฝ่าย
ความจริงแล้วเขากลัวที่จะให้อีกคนเห็นหน้าเขาเสียมากกว่า
“กลางวันไม่ว่าง วันนี้ต้องแวะไปซื้อของ”
“…”
“กลางคืนแล้วกัน เจอกันที่ร้านเหล้าสองทุ่ม เดี๋ยวส่งโลเคชั่นไป”
“ร้านเหล้าเหรอครับ”
“พรุ่งนี้วันเสาร์นี่ ไม่เกี่ยงใช่เปล่า”
“ก็ได้อยู่นะครับ”
“ก็ตามนั้นแหละ”
“…”
“แยกกันไปกินข้าวนะ ตอนเย็นเจอกัน”
โชคดีที่วันนี้เป็นวันศุกร์ หากเป็นวันเสาร์คงยากที่จะเห็นเดือนเมฆออกไปตามนัดกับใครในตอนกลางคืน วันหยุดของเขาถูกจองด้วยเจ้าของแอคเคาท์นามว่า ‘_26xxknp’ เสมอ เสาร์อาทิตย์ของเขาหมดไปกับการอยู่กับอีกฝ่ายผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์เสมอ
เดือนเมฆก้มลงมองดูนาฬิกา อีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลาที่นัดไว้กับอีกฝ่ายแล้ว
“รุ่นพี่ครับ”
กองทัพในตอนนี้ช่างต่างกับกองทัพคนเมื่อเช้าอย่างสิ้นเชิงแว่นตาที่ใช้บดบังใบหน้าคม ณ บัดนี้มันได้หายไปแล้ว พอไม่มีมันบดบังใบหน้าอันหล่อเหลา เขาก็ค้นพบว่าอีกฝ่ายมีไฝอยู่ที่ข้างดวงตาขวา
เดือนเมฆจ้องหน้าอีกฝ่ายอยู่นาน
นานจนคนที่โดนจ้องกำลังทำตัวไม่ถูก
“อะฮึ่ม! ทำไมถึงนัดมาร้านเหล้าละครับ”
“ก็แค่อยากมา”
“...”
“แต่ไม่อยากมาคนเดียว”
เดือนเมฆพูดออกไปตามที่ใจคิด เขามองว่ากองทัพนั้นไร้พิษภัย ถึงแม้ว่าทั้งตัวเขาและอีกคนละรู้จักกันวันนี้เป็นวันแรก แต่ต้องยอมรับเลยว่าเขารู้สึกสบายใจ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอีกคนเป็นคนง่าย ๆ หรือว่าเขาเปิดใจให้อีกฝ่ายมากไป
กองทัพเป็นคนอันตรายจริง ๆ
“ได้เอารถมาเปล่า”
“เอามาครับ...”
“งั้นฝากพากลับบ้านด้วยแล้วกัน”
“ครับ ?”
“ผมไม่ได้เอารถมา”
ผมกดแชร์โลเคชั่นคอนโดของผมส่งให้อีกฝ่ายในไลน์ทั้งที่อีกคนกำลังยืนงงกับภารกิจที่ได้รับโดยไม่คาดคิด นับว่าเป็นเรื่องดีที่กองทัพยอมมากับเขาในวันนี้ มิเช่นนั้นเขาคงต้องนั่งเก็บความเครียดไว้ในใจ นั่งระบายกับเบียร์ที่ไม่อร่อยในห้องอยู่คนเดียว
เสียงดนตรีที่เล่นสร้างบรรยากาศให้แก่ภายในร้านตอนนี้ช่างเหมาะเจาะเสียจริง สมแล้วที่เลือกมาระบายความเจ็บปวดนอกสถานที่ วันนี้เขาตั้งใจที่จะนั่งร้องไห้เหมือนหมาให้ได้มากที่สุดเลย
ก็มีกองทัพพากลับบ้านนี่
ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว
“พี่ดื่มเยอะไปแล้วหรือเปล่า”
“แค่นี้มันล้างความเจ็บปวดที่มีไม่ได้หรอก”
เดือนเมฆยังคงปล่อยให้บรรยากาศและเสียงเพลงนำพาอารมณ์ไป เมื่อแอลกอฮอล์ในเลือดเริ่มสูงขึ้น ภาพเหกตุการณ์ในอดีตก็ยิ่งหลั่งไหลเข้ามาดั่งสายธาร
“คนอย่างมึงมีสิทธิพูดแบบนี้กับกูด้วยเหรอ!!!”
เดือนเมฆมองมือตัวเองที่สั่นเทา หยาดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่มี่ท่าทีว่าจะเหือดแห้ง เขากัดริมฝีปากจนมันแดงราวกับห่อเลือด รสชาติคาวปากเป็นเครื่องบอกอย่างดีว่ามีนไม่ได้เกินจริง ความเจ็บปวดบนฝ่ามือที่เกิดจากการกำมือของเขาเองนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บในจิตใจที่เกิดขึ้นด้วยภาพที่เห็นก่อนหน้า สองร่างแสนคุ้นตาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนกับเพื่อนสนิทกำลังร่วมรักกันบนเตียงของเขาอย่างสุขสม เป็นการกระทำที่ทำลายจิตใจของคนพบเห็นอย่างเขาจนไม่เหลือชิ้นดี
ยังไม่รวมกับคำพูดที่เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
“พี่ทำแบบนี้กับผมได้ยังไง”
เสียงของเขากำลังสั่นเทา
“พวกมึงเอากันในที่ของกูได้ยังไง!!”
เหมือนโลกของเขากำลังแตกสลาย
โดนคนรอบกายย่ำยีอย่างไม่ปราณี
เดือนเมฆลุกขึ้นจากพื้นที่เย็นเฉียบ สองมือพุ่งเข้าไปกระชากเสื้อเชิ้ตของเขาที่ถูกสวมใส่โดยเพื่อนสนิทอย่างรวดเร็วตามแรงอารมณ์ จ้องเข้าไปในดวงตาที่คุ้นเคยแต่บัดนี้มันกลับผิดแปลกไป
นี่สินะ ความในใจของมัน
“มึงไม่หันกลับมามองตัวเองหน่อยเหรอวะเมฆ”
“นี่มึงจะบอกว่าการกระทำเหี้ย ๆ ของพวกมึง มันเกิดจากตัวกูเหรอ!”
“เออ!!”
“...”
“ถ้ามึงมันดีพอ แฟนมึงจะมาหากูเหรอ!”
“หุบปาก!!”
“...”
“มึงอย่าเอาตัวกูไปเป็นข้ออ้างของมึง!”
เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำนั้นมันผิดมากเพียงใด
“พวกมึงสองตัว! ไม่สมควรยืนหายใจร่วมกับกูด้วยซ้ำ!”
เขากล้าพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าสิ่งที่ทำให้มนุษย์รู้สึกเจ็บมากที่สุดนั้นไม่ใช่การเจ็บปวดทางกาย
แต่เป็นการโดนทำร้ายจากคนที่ไว้ใจมากที่สุดต่างหากที่ทำให้เจียนตายที่สุด
“ไปตายกันให้หมดเลย”
เพล้ง!
“ถึงมันจะผ่านมาครึ่งปีแล้ว ผมก็ยังจำไม่ลืม”
หลังจากจบบทสนทนา เดือนเมฆก็จัดการยกเหล้าเข้ากรอกปากยกใหญ่อีกหนึ่งที เมื่อกองทัพเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นเมาจนแทบจะนั่งไม่ตรงแล้วจึงตัดสินใจคว้าแก้วที่สองที่อีกคนกำลังยกขึ้นออกมา แล้วถือวิสาสะยกดื่มเองจนเดือนเมฆได้แต่นั่งมึนงง
“พี่ฟังผมนะ”
“...”
“ผมจะเป็นคนนึงที่พี่ไว้ใจได้แน่ ๆ”
“...”
“ผมจะไม่อยากพี่เจอเรื่องผิดหวังแบบที่พี่เคยเจอ”
“...”
“เพราะฉะนั้น...”
“...”
“หยุดคิดถึงอดีต หยุดเสียใจไปกับมัน”
“...”
“ลืมมันไปเถอะนะครับ”
เขาเคยพูดแล้วใช่ไหม...
กองทัพน่ะ...อันตราย
กองทัพอันตรายแค่ไหน ตอนหน้ารู้กันครับ
#แฟนของแอคนั้น
Comments (0)