ฉีมู่หลินหลังจากที่เติมเต็มความต้องการให้กระเพาะอาหารเรียบร้อยแล้ว สมองของเขาก็เริ่มทำงานอีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้เขาไม่ได้เสียเวลาคิดอยู่คนเดียว เขาสอบถามข้อมูลจากคุณยายมอลลี่ด้วย

และครั้งนี้คุณยายมอลลี่ก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง เธอสามารถให้ข้อมูลเขาได้

“คุณยายพาเราไปดูได้ไหม” ฉีมู่หลินหมายถึงให้คุณยายมอลลี่พาเขาไปดูเถาวัลย์ชนิดหนึ่งที่เธอให้ข้อมูลว่ามันเหนียวและทนทานมาก

ฉีมู่หลินฟังแล้วจินตนาการถึงเถาวัลย์ไม้เลื้อยชนิดหนึ่งในยุคของเขา และเขาภาวนาให้มันเป็นชนิดเดียวกัน หรือไม่ก็มีคุณสมบัติคล้ายกันจริง ๆ

“เอ่อ ให้กระหม่อม ให้ยายไปตัดมาให้ท่านดูเถอะเจ้าค่ะ” คุณยายมอลลี่คิดอย่างลังเลใจ ก่อนจะพูดออกมา

ฉีมู่หลินได้ยินอย่างนั้นก็ย่นคิ้วไปชั่วแวบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าตอบตกลงอย่างเนือย ๆ

เมื่อฉีมู่หลินเห็นด้วย ยายมอลลี่ก็เดินออกไปหาเถาวัลย์ที่เธอว่ามาให้ฉีมู่หลินดูทันที 

เพราะเป็นเถาวัลย์ที่มักจะขึ้นใกล้ ๆ บริเวณริมน้ำใกล้ ๆ เชิงเขา คุณยายมอลลี่จึงใช้เวลาไม่นานนักในการไปตัดมันมาให้ฉีมู่หลินดู

“นี่แหละ นี่แหละใช้ได้เลยครับ!” ฉีมู่หลินพูดอย่างดีใจเมื่อเขารับมันมาพิจารณาดูอยู่นานสองนานเพราะต้องค้นความทรงจำด้วยว่ามันใช่อย่างที่เขาเคยเห็นตอนรีเสิรช์ข้อมูลเขียนบทหรือไม่

ใช่แล้ว ความรู้รอบตัวส่วนมากของฉีมู่หลินนั้นเขาได้มันมาจากการรีเสิร์ชข้อมูลเวลาเขียนบท นั่นทำให้เขามีความรู้ในหลาย ๆ แขนง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องโชคดี เพราะหากเขามีความรู้แค่ในตำราเรียนล่ะก็ เห็นทีเขาจะมีชีวิตอยู่ที่นี่อย่างยากลำบากแล้ว

กลับมาที่ตอนนี้ก่อน เมื่อฉีมู่หลินหาวัสดุที่จะมาใช้แทนด้ายไนล่อนได้แล้ว เขาก็เริ่มมองหาวัสดุชิ้นถัดไป

ใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวันกว่าจะได้วัสดุมาครบ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นวัสดุที่ได้มาไม่เหมาะจะใช้สารแห แต่เหมาะจะใช้ทำตาข่ายมองดักปลามากกว่า 

ฉีมู่หลินก็ไม่ติดขัดอะไรที่จะต้องเปลี่ยน ถึงอย่างไรก็มีความสะดวกเหมือนกัน และตาข่ายมองนั้นดูเหมือนจะใช้งานได้ง่ายกว่าด้วย

เมื่อได้วัสดุมาครบแล้ว ฉีมู่หลินก็ค้นความทรงจำของตัวเองอีกครั้งว่าเขาจะนำเถาวัลย์มาแปรรูปแล้วใช้แทนด้ายได้อย่างไร

ใช้เวลาอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมง ในที่สุดเขาก็นึกออก

ฉีมู่หลินนำเถาวัลย์มาผ่าซีกออก จากนั้นก็ลอกไส้ในออกแล้วขูดสีที่เปลือกออก เก็บเฉพาะเส้นใยสีขาวเอาไว้ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนได้เส้นใยจำนวนหนึ่งที่คิดว่าเพียงพอแล้วเขาก็นำไปตากแดด

“สมกับเป็นชื่อจักรวรรดิจริง ๆ แดดแรงเป็นบ้า” ฉีมู่หลินอดไม่ได้ที่จะพูดบ่น 

ขณะเดียวกันคุณยายมอลลี่ที่คอยเฝ้ามองการกระทำของฉีมู่หลินอยู่ แววตาของเธอก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มันมีทั้งความอยากรู้อยากเห็น มีทั้งความคาดหวังและตื่นเต้น

เธอไม่รู้หรอกว่าฉีมู่หลินกำลังทำอะไร แต่สัมผัสได้ว่ามันเป็นสิ่งดีที่จะทำให้ชีวิตของคนที่นี่ดีขึ้น

คุณยายมอลลี่ไม่รู้ว่ามันไม่ใช่แค่ดีขึ้น แต่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนที่นี่ไปเลย

 

“เถาวัลย์นี่มีเยอะไหมครับ” เมื่อนำเส้นใยเถาวัลย์ไปตากแดดจนได้อย่างที่ต้องการแล้ว ฉีมู่หลินก็นำมาทดลองปั่นเป็นเส้นดู และพบว่ามันได้ตามที่เขาคิดไว้ ดังนั้นปัญหาต่อไปคือเจ้าเถาวัลย์นี่มีเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่

“มีเยอะมากเจ้าค่ะ” คุณยายมอลลี่พูดตอบ

ฉีมู่หลินได้ยินก็ยิ้มอย่างดีใจ ก่อนที่รอยยิ้มจะจางลงเมื่อคิดอีกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้

แล้วใครจะไปตัดมา ลำพังแค่คุณยายมอลลี่คนเดียว เห็นทีว่าจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะได้มากพอเท่าที่ต้องการ ครั้นจะให้เขาออกไปช่วย ฉีมู่หลินก็ยังไม่อยากเสี่ยงต่อการถูกจับตัวไปบูชากราบไหว้เป็นเทพเจ้า

ราวกับคุณยายมอลลี่รู้ความคิดของฉีมู่หลิน เธอพูดขึ้นมาว่า

“ยังมีมิตเหลืออีกสามตัว สามารถใช้แลกได้เจ้าค่ะ” ความหมายของคุณยายมอลลี่ก็คือใช้ปลาแลกกับแรงงาน

ฉีมู่หลินได้ยินแล้วก็เลิกคิ้วขึ้น ใช้ปลาแลกแรงงาน หากเป็นยุคสมัยของเขา เห็นทีจะต้องถูกฟ้อง แต่เมื่อนึกถึงเสียงที่เต็มไปด้วยความอิจฉาของชาวบ้านยามเห็นคุณยายมอลลี่ย่างปลา ฉีมู่หลินก็รู้ว่าความคิดของคุณยายมอลลี่นั้นใช้ได้

แต่ว่าแทนที่จะเอาปลาสด ๆ ไปแลก ไม่สู่นำมันมาแปรรูปเป็นอาหารแล้วใช้แจกจ่ายจะดีกว่า 

ฉีมู่หลินเสนอความคิดออกไป ให้คุณยายมอลลี่ไปหาชักชวนคนช่วยตัดเถาวัลย์ โดยจะแลกกับอาหารสองมื้อ

ที่จริงฉีมู่หลินอยากจะเลี้ยงอาหารสามมื้อ แต่พิจารณาแล้ว หากว่าให้มากเกินไป นั่นอาจจะเกิดปัญหาทีหลังได้

คุณยายมอลลี่ได้ยินความคิดของฉีมู่หลินก็ดวงตาเป็นประกาย รีบตอบรับแล้วทำตามที่ฉีมู่หลินพูดทันที ไม่นานเธอก็รวบรวมคนมาได้สี่คน เป็นชายชราสองคนและหญิงชราสองคน ทั้งสี่คนเป็นคนที่คุณยายมอลลี่รู้จักมักคุ้นดี และรู้นิสัยว่าเป็นคนซื่อตรง

ใช้เวลาอยู่ประมาณสามวัน ฉีมู่หลินก็ได้เถาวัลย์ในประมาณที่มากพอ เขาจึงให้คุณยายมอลลี่และคุณตาคุณยายอีกสี่คนหยุดเก็บเถาวัลย์ ซึ่งสร้างความเสียดายแก่ชายหญิงวัยชราทั้งสี่มาก เพราะเมื่อหยุดเก็บเถาวัลย์ ก็แปลว่าอาหารที่พวกเขาจะได้ทานวันละสองมื้อจากคุณยายมอลลี่ก็ไม่มีแล้ว

ที่จริงแล้วการเคลื่อนไหวของคุณยายมอลลี่และคุณตาคุณยายทั้งสี่คนนั้นได้เรียกความสนใจจากชาวบ้านคนอื่น ๆ มีคนมาสอบถามแต่คุณยายมอลลี่และคุณตาคุณยายทั้งสี่คนต่างปิดปากเงียบ ทำให้ชาวบ้านได้แต่จับตามอง

ฉีมู่หลินก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้เรื่องนี้ แต่เขาจนใจที่จะเปิดเผยทุกอย่างในตอนนี้ เขาต้องการให้เขาประสบความสำเร็จในสิ่งที่จะทำก่อน เมื่อนั้นค่อยเปิดเผยออกไป

ส่วนจะเปิดเผยอย่างไรนั้นค่อยคิดอีกที

 

“ท่าน ท่านพักก่อนเถิดเจ้าค่ะ” คุณยายมอลลี่มองคนที่นั่งหลังขดหลังแข็งถักเส้นใยที่ได้จากเถาวัลย์อยู่

จนถึงตอนนี้คุณยายมอลลี่ยังไม่รู้เลยว่าฉีมู่หลินกำลังจะทำอะไร แต่ถึงอย่างนั้นการที่เธอคอยลอบมองอยู่ก็ทำให้เธอได้เรียนรู้วิธีการถักเส้นใยที่ฉีมู่หลินกำลังทำอยู่ด้วย

ซึ่งฉีมู่หลินก็ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังอะไร เขาปล่อยให้คุณยายมอลลี่เรียนรู้ไป 

“อีกเดี๋ยว” ฉีมู่หลินพูดตอบโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองคุณยายมอลลี่ 

ตั้งแต่ได้แปรรูปเส้นใยเป็นด้ายและนำมาลองถักเป็นตาข่ายมองดักปลานั้น ฉีมู่หลินต้องลองผิดลองถูกอยู่นานกว่าที่จะได้วิธีการที่ถูกต้อง

เอ่อ ถูกต้องหรือเปล่าฉีมู่หลินไม่แน่ใจ แต่คิดว่าน่าจะใช้ได้ เพราะมันดูเป็นรูปเป็นร่างอย่างที่เขาเคยรีเสิร์ชเจอขึ้นมาแล้ว

เมื่อฉีมู่หลินตอบอย่างนั้น คุณยายมอลลี่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก แม้ว่าอีกเดี๋ยวของฉีมู่หลินนั้นจะกินเวลาเป็นชั่วโมงก็ตาม

อ้อ พูดถึงเรื่องชั่วโมง ฉีมู่หลินก็เพิ่งรู้อีกเช่นกันว่าคนที่นี่นั้นไม่ได้นับเวลาเป็นชั่วโมง เป็นนาที เป็นวินาที เรียกได้ว่าอาศัยมองเวลาจากดวงอาทิตย์ และความคุ้นชิน เมื่อแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว พวกเขาก็เข้าบ้านเงียบ ไม่มีกิจกรรมอะไรที่ทำได้อีก

อันที่จริงแล้วหากว่าจุดไฟก็สามารถทำได้บ้าง แต่ว่าเพราะต้องการประหยัดฟืน จึงไม่มีใครยอมจุดไฟหากไม่จำเป็นจริง ๆ

ดังนั้นแล้วเมื่อฉีมู่หลินถักตาข่ายมองมาจนถึงช่วงหมดแสงสว่างของวันแล้ว เขาจึงต้องหยุดไปโดยปริยาย 

 

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกสามวันแล้ว รวม ๆ แล้วฉีมู่หลินมาอยู่ที่นี่ได้สิบวันแล้ว

และในวันนี้สิ่งที่ฉีมู่หลินพยายามทุ่มเทมาตลอดหลายวันก็สำเร็จ ตาข่ายมองผืนแรกในยุคนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว!

แต่จะใช้งานได้หรือไม่นั้นต้องรอพิสูจน์ดูอีกที ฉีมู่หลินรอคอยให้ถึงช่วงมืดเร็ว ๆ เพื่อที่เขาจะได้ออกไปทดสอบตาข่ายมองที่เขานั่งหลังขดหลังแข็งสร้างมันขึ้นมา

แน่นอนว่าไปครั้งนี้ฉีมู่หลินจะให้คุณยายมอลลี่ไปเป็นลูกมือช่วยเขาด้วย

แน่นอนว่าเมื่อถึงเวลาคุณยายมอลลี่ก็ตามฉีมู่หลินไปด้วยความเต็มใจ

ฉีมู่หลินใช้วิธีการที่ง่ายที่สุดในการวางตาข่ายมอง คือการขึงตาข่ายมองกลางลำน้ำ จากนั้นก็ใช้ไม้ตีที่ผิวน้ำแรง ๆ เพื่อให้ปลาตกใจแล้วว่ายเข้าไปติดในตาข่ายมอง 

คุณยายมอลลี่มองการกระทำของฉีมู่หลินอย่างสนใจ จากนั้นดวงตาของเธอก็เบิกกว้างเมื่อเห็นปลามากมายว่ายมาติดกับดัก

“ท่าน มิต มิตเต็มไปหมดเลยเจ้าค่ะ” หญิงชราพูดเสียงสั่น เธอตื่นเต้นจนมือสั่นตัวสั่นไปหมดแล้ว

ฉีมู่หลินหันไปยิ้มให้คุณยายมอลลี่ในตอนแรก แต่เมื่อเห็นท่าทางของเธอ เขาก็รีบเดินไปประชิดตัวเธอ กลัวว่าเธอจะเป็นลมล้มไปเสียก่อน

“อย่าเพิ่งเป็นลมนะ ต้องอยู่ช่วยเราจับปลาพวกนี้ก่อน” ฉีมู่หลินพูดเสียงกลั้วหัวเราะ

และราวกับเป็นถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ หญิงชราไม่ยอมให้ตัวเองเป็นลม

แต่แล้วพวกเขาก็เจอปัญหาใหม่ พวกเขาลืมว่าไม่มีอุปกรณ์อะไรมาใส่ปลาเลย

ฉีมู่หลินตบแปะเข้าที่หน้าผากของตัวเอง ก่อนที่จะมองหาอะไรสักอย่างมาเป็นภาชนะใส่ปลา แต่ก็ไม่มีอะไรพอที่จะบรรจุปลานับสิบตัวไปได้ เขาจึงให้คุณยายมอลลี่อยู่เฝ้าที่นี่ เพื่อที่เขาจะได้กลับไปหาอะไรมาใส่ปลา แต่คุณยายมอลลี่ปฏิเสธ เธอให้ฉีมู่หลินอยู่ที่นี่แทน แล้วเธอจะเป็นคนไปเอง

ฉีมู่หลินลังเลใจ แต่สุดท้ายก็ยินยอม และเขารอไม่นานคุณยายมอลลี่ก็กลับมาพร้อมกับไถดินเผาแบบหยาบ ๆ ใบหนึ่ง ซึ่งฉีมู่หลินจำได้ว่ามันเป็นไหใส่น้ำที่ตั้งอยู่ในบ้านดินของคุณยายมอลลี่ 

มันมีขนาดใหญ่พอที่จะใส่ปลาได้ทั้งหมด

หลังจากเก็บปลาไปจนหมดแล้ว ฉีมู่หลินก็เก็บตาข่ายมองขึ้นมา เขาไม่ได้ปล่อยทิ้งเอาไว้เพื่อดักปลารอบใหม่ เพราะว่าเขาไม่มีเวลามาเฝ้าดู และหากทิ้งเอาไว้ รุ่งสางชาวบ้านมาใช้แหล่งน้ำก็จะต้องพบเจอมัน

ก่อนที่เขาจะหาคำอธิบายที่น่าเชื่อถือได้ ฉีมู่หลินจะยังไม่เปิดเผยมันออกไป

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ฉีมู่หลินก็หาวิธีที่จะทำให้ปลาที่เขาหามาได้นี้อยู่ได้นานขึ้น ก่อนจะนึกถึงวิธีถนอมอาหารที่ทีแลนด์ใช้กัน เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในตอนนี้

ตากแดด!

แต่ว่าครั้งนี้ฉีมู่หลินไม่ได้ทำเองคนเดียวทั้งหมด เขาสอนคุณยายมอลลี่ และให้คุณยายมอลลี่เป็นลูกมือ 

คุณยายมอลลี่ใช้สายตาเปล่งประกายและเคารพนับมือมองฉีมู่หลินเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้

ตอนที่เห็นสีดวงตาของฉีมู่หลิน เธอหวาดเกรง แต่ตอนนี้ความหวาดเกรงยังคงอยู่ แต่ที่มากกว่านั้นคือความเคารพและชื่นชม

ยังไม่เห็นผลลัพธ์ของการนำปลาไปตากแดดหรอก แต่แค่วิธีหาปลาของฉีมู่หลิน ก็ทำให้เธอรู้แล้วว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นจะต้องออกมาดี

 

“ยายมอลลี่ทำอะไรน่ะ” เพื่อนบ้านเดินเข้ามาถามคุณยายมอลลี่ที่กำลังนั่งจัดการกับปลาอยู่

ฉีมู่หลินช่วยคุณยายมอลลี่ได้ไม่เยอะ เพราะการจะจัดการทำความสะอาดปลาที่ในบ้านนั้นเป็นการทรมานตัวเองกันเกินไป เนื่องจากทำให้บ้านที่อับชื้นอยู่แล้ว ยิ่งมีกลิ่นเหม็นมากยิ่งขึ้น คุณยายมอลลี่จึงต้องยกปลาออกมาทำข้างนอก และช่วยไม่ได้เลย ในชุมชนที่เบียดเสียดแออัดอย่างนี้ ไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไรย่อมตกอยู่ในสายตาคนอื่นได้อย่างง่ายดาย

พูดมาถึงตรงนี้แล้ว ต้องบอกว่าการที่ฉีมู่หลินยังหลบซ่อนตัวอยู่ได้นั้นเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อไม่น้อยเลย

แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะซ่อนตัวได้อีกนานแค่ไหนกัน

คุณยายมอลลี่เมื่อได้ยินเพื่อนบ้านถามอย่างนั้นเธอก็ชะงักมือที่กำลังจัดการกับปลา

“มิต! นั่นมิตนี่ ยายมอลลี่ไปเอามิตมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหน คงไม่ใช่ว่ามันตายจนเกยฝั่งมาอีกใช่ไหม” คราวนี้ผู้พูดพูดด้วยเสียงอันดัง เรียกความสนใจจากคนอื่น ๆ ให้มาสนใจยายมอลลี่ได้มากยิ่งขึ้น 

คนมากมาย ดวงตาหลายสิบคู่พากันจับจ้องมองมาที่คุณยายมอลลี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ตั้งคำถาม อิจฉา และมีบางคนที่มีความคิดบางอย่างอยู่ในหัว

คุณยายมอลลี่นั้นแม้ว่าจะเหมือนคนที่ไม่รู้อะไรมากนัก แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่จะคาดเดาสายตาของคนอื่นไม่ออก เธอรู้สึกกังวล แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงรักษาท่าทางสงบนิ่งเอาไว้ได้อยู่ดี

“ไม่ใช่หรอก มิตพวกนี้ข้าเป็นคนไปหามาเอง” คุณยายมอลลี่ตอบไปอย่างกึ่งจริงกึ่งเท็จ

คำตอบของคุณยายมอลลี่ทำให้เพื่อนบ้านทั้งหลายมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้างและเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงมากยิ่งกว่าเดิม

“หามาเอง! ยายจับมิตได้เยอะขนาดนี้ด้วยตัวเองน่ะนะ หรือว่ายายมีคาถาอะไร” เพื่อนบ้านที่เป็นผู้เปิดประเด็นขึ้นมาในตอนแรก ถลาร่างเข้าหาคุณยายมอลลี่แล้วถามด้วยดวงตาลุกวาว คำถามของเธอทำให้คนอื่นมองคุณยายมอลลี่ราวกับเหยื่อ 

“ไม่ใช่ ข้าจะไปมีคาถาอะไรได้อย่างไรกัน” คุณยายมอลลี่รีบร้อนปฏิเสธทันที แต่ว่าคำปฏิเสธของคุณยายมอลลี่ไม่ได้ทำให้เพื่อนบ้านเหล่านี้เชื่อเลยสักนิด

คุณยายมอลลี่ก็รู้ว่าพวกเขาไม่เชื่อ เธอถอนหายใจ ก่อนจะพูดตามที่ฉีมู่หลินนัดแนะกับเธอเอาไว้ก่อนหน้านี้

“เมื่อหลายวันก่อนข้าฝัน” คุณยายมอลลี่ที่พูดประโยคนี้ขึ้นมาทำให้เพื่อนบ้านทั้งหลายมองเธอด้วยความสับสนมึนงง

“คุยกันอยู่เรื่องคาถาจับมิตไม่ใช่เหรอ อยู่ ๆ มาพูดเรื่องฝันทำไมกัน” เสียงคนคนหนึ่งพึมพำขึ้นมาอย่างไม่พอใจ 

คุณยายแม้ว่าจะชรามากแล้ว แต่หูของเธอก็ยังทำงานได้ดีอยู่ เธอเหลือบมองคนพูดเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหน่ายใจ

“ที่ข้าพูดเรื่องที่ข้าฝัน ก็เพราะการที่ข้าจับมิตมาได้มากมายถึงขนาดนี้ ก็เพราะในฝันมีท่านเทพผู้สง่างามมาสอนข้าน่ะสิ!” 

“ ยายมอลลี่ ข้าตักน้ำให้เอง”

“ยายมอลลี่จะไปหาฟืนใช่หรือไม่ ไม่ต้อง ๆ ข้าหามาเผื่อแล้ว”

“ยายมอลลี่ หลังคาบ้านเจ้ารั่วแล้ว ข้าซ่อมให้นะ”

คำพูดเป็นมิตร น้ำใจที่หาได้ยากจากเพื่อนบ้านทั้งหลายทำให้คุณยายมอลลี่รู้สึกขนลุกเล็กน้อย แต่เธอก็ยินดีรับเอาไว้ ด้วยรู้ว่าน้ำใจพวกนี้มันคือค่าตอบแทนที่เธอจะสอนวิธีทำตาข่ายมองที่ใช้จับปลาให้

ใช่แล้ว หลังจากวันนั้นคุณยายมอลลี่ก็ได้รับการถ่ายทอดวิธีถักตาข่ายมองจากฉีมู่หลินอย่างละเอียดจนเธอสามารถเอาไปสอนเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ ได้

แต่ว่าก่อนที่เธอจะสอนนั้น เธอได้ให้เพื่อนบ้านสาบานต่อเทพสุริยันว่าจะไม่เอาไปเผยแพร่ให้กับคนอื่นโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากเธอก่อน

ไม่ใช่ว่าคุณยายมอลลี่หวงวิชา แต่เพราะฉีมู่หลินบอกให้เธอถ่ายทอดความรู้ให้คนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน แต่ไม่ได้บอกว่าสามารถถ่ายทอดให้คนนอกหมู่บ้านได้ เธอเลยตีความเอาเองว่าแค่เฉพาะคนในหมู่บ้านเท่านั้น

อ่า คนที่นี่ช่างใสซื่อจริง ๆ

ส่วนที่ให้สาบานต่อหน้าเทพสุริยัน ก็เพราะคนที่นี่มีความเคารพบูชาต่อเทพสุริยัน ถือเป็นเทพเจ้าสูงสุด เมื่อสาบานด้วยเอ่ยอ้างถึงเทพสุริยัน ไม่มีใครมีความกล้าที่จะผิดคำสาบาน

เรื่องนี้ฉีมู่หลินก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ เขามีความคิดที่ซับซ้อนต่อเรื่องนี้ ด้วยยุคสมัยที่เขาจากมา เขาไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อย่างแน่นอน แต่ว่าในสถานการณ์แบบนี้ การที่ผู้คนมีความเชื่อแบบนี้ก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย

นั่นแหละ กลับมาที่เรื่องถ่ายทอดวิธีการถักตาข่ายมอง หลังจากที่คุณยายมอลลี่อธิบายว่าเธอใช้อะไรในการหาปลา ชาวบ้านต่างก็พากันไปหาวัสดุมาทำตามอย่างรวดเร็ว และในตอนนี้เองที่ชาวบ้านเข้าใจแล้วว่าเมื่อหลายวันก่อนคุณยายมอลลี่และเพื่อนของเธอนั้นไปทำอะไรกัน

หลังจากที่ได้งวัสดุมากันครบแล้วก็พากันมาที่บ้านคุณยายมอลลี่เพื่อให้เธอสอน แต่ว่าสถานที่ช่างไม่เอื้ออำนวยเอาเสียเลย 

อย่าว่าแต่เข้าไปในบ้านที่อยู่กันแค่สองคนก็อึดอัดคับแคบแล้วเลย แค่หน้าบ้านยืนเบียด ๆ กันก็แออัดจนหายใจไม่ออกแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหาสถานที่อื่น แต่ไม่ว่าจะหาสถานที่ไหนก็ไม่สามารถจุคนนับร้อยคนได้ สุดท้ายจึงต้องไปขอความคิดเห็นจากหัวหน้าหมู่บ้าน

เรื่องนี้เดิมทีหัวหน้าหมู่บ้านที่เพิ่งกลับมาจากหมู่บ้านข้าง ๆ ไม่ได้รู้เรื่องด้วย แต่เมื่อชาวบ้านไปปรึกษา ได้ยินเรื่องราวจากชาวบ้าน ดวงตาของเขาก็ลุกวาว แล้วรีบตอบตกลงให้ใช้ลานกว้างของหมู่บ้านเป็นสถานที่เรียนรู้วิธีถักตาข่ายมองได้

ลานกว้างของหมู่บ้านนั้นเป็นลานที่ปกติแล้วจะใช้สำหรับประชุมหมู่บ้าน ซึ่งแต่ละครั้งที่จะใช้งานนั้นส่วนมากแล้วจะเป็นเพราะหัวหน้าหมู่บ้านเรียกคนปรึกษาหารือในเรื่องต่าง ๆ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เข้าร่วม

อย่างเช่นคุณยายมอลลี่ที่อยู่ที่นี่มาหลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมเลย แต่ใครจะรู้ว่าครั้งนี้เธอจะได้เข้าสู่ลานกว้างของหมู่บ้านและถูกให้ความสำคัญราวกับเป็นบุคคลสำคัญ

แต่จริง ๆ แล้วในสายตาของชาวบ้านในตอนนี้ คุณยายมอลลี่ก็กลายเป็นคนสำคัญไปแล้วจริง ๆ นั่นแหละ

คุณยายมอลลี่เมื่อได้รับความสำคัญเธอก็ดีใจแต่ไม่ได้ลิงโลด ทั้งยังรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย เหมือนกับว่าเธอขโมยความสำเร็จมากจากฉีมู่หลิน

ทว่าไม่มีอะไรที่คุณยายมอลลี่ทำได้มากกว่านั้นนอกจากเธอตั้งใจสอนไปและอวยยศให้ฉีมู่หลินไปด้วย

“ท่านเทพผู้สง่างามกล่าวว่าแม้ว่าจะมีวิธีการจับมิตแบบนี้แล้ว แต่เราก็ไม่สามารถละโมบจับปลามากมายเกินความต้องการ ไม่อย่างนั้นล่ะก็มิตจะเกิดใหม่ไม่ทัน ถึงตอนนั้นเราก็จะไม่มีมิตให้กินกันอีก” คุณยายมอลลี่พูดในสิ่งที่ฉีมู่หลินพูดกับเธอมา ก่อนจะพูดต่อ

“ท่านเทพผู้สง่างามยังกล่าวอีกว่า

คุณยายมอลลี่พูดมากมายหลายประโยค แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนเรื่องพูดใหม่กี่ครั้ง เธอก็ยังขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่า ท่านเทพผู้สง่างาม อยู่ทุกครั้ง